ตอนที่ 2 ไอ้เงี้ยว
เท้าเรียวย่ำลงกับหน้าบันไดไม้สักหนา ขนาดของมันกว้างพอจะรองรับฝ่าเท้าเล็กๆ ของหญิงสาวผู้มาจากแดนไกลได้อย่างสบายๆ ตัวเรือนสูงใหญ่อย่างเรือนพม่าจึงต้องใช้ความพยายามในการก้าวขึ้นไปด้านบน กว่าจะก้าวจากตีนกระไดขึ้นไปถึงยังหัวกระไดขั้นบนสุดเล่นเอาพี่เลี้ยงชาวมอญขาสั่นผับ ด้วยตัวเรือนสูงกว่าเรือนกาแลที่เชียงใหม่อยู่พอสมควรทีเดียว ครั้นก้าวถึงด้านบนสายลมเย็นก็พลันโชยปะทะแก้มอิ่ม ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อยิ้มหวานอย่างพอใจ ยอมรับนับถือในความใส่ใจของเจ้าของเรือนงาม เพราะตัวเรือนสะอาดสะอ้านตาดี เครื่องเรือนหลายๆ ชิ้นที่บ้านในเวียงเชียงใหม่ไม่มี เรือนนี้มีให้ครบครัน
“หูย แม่หญิงเจ้า มีตั่งเตียงด้วยเจ้า! งามขนาด!” มิเมนักสำรวจมือฉมังดอดเข้าไปดูเรือนนอนก่อนเป็นคนแรก มองสำรวจตรวจตราดูความสะอาดสะอ้าน และเครื่องเรือนสมัยใหม่อันแสนหรูหราและไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อย่างเตียงนอนสี่เสาหลังใหญ่แบบฝรั่ง ใกล้ๆ กันมีโต๊ะเครื่องแป้งประดับคันฉ่องวงโตที่ฉลุลายเถาล้อมรอบกระจกเงาบานใหญ่ แกะลายนกน้อยคู่หนึ่งเกาะอยู่เหนือวงกระจก
“งามจนน่าแปลกใจ” เกี้ยวจันทร์ที่เดินตามมากวาดตามองรายรอบเรือนนอนของเธอ ทุกอย่างภายในห้องตกแต่งหรูหรา ผิดวิสัยบ้านป่าบ้านเมืองดงที่ห่างไกลยิ่งนัก
ดวงตางามสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองฉากกั้นห้องฉลุลายนกยูงตัวใหญ่ที่เกี้ยวพานรำแพนหางดั่งจะล่อตาล่อใจเธอ ให้ตกหลุมรักนกยูงหนุ่มตัวนี้ อีกทั้งภาพวาดบนผืนผ้าใหม่ที่รังสรรค์ลวดลายหงส์คู่อย่างมีนัยสำคัญ แม่หญิงคนงามได้เห็นถึงกับกำมือแน่น บัดนี้เธอรับรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของผู้เป็นบิดาแล้ว การมาในครั้งนี้ของเธอหาใช่เพียงมาเที่ยวพักผ่อน หรือแวะมาเยี่ยมเยียนตามคำเชิญของนายห้างตันฉเวไม่ หากจงใจให้เธอมาดูตัวเสียมากกว่า
“มันบ่ง่ายหรอกอีพ่อ” เกี้ยวจันทร์กัดฟันกรอด ศักดิ์ศรีของสาวล้านนานั้นข้นเสียยิ่งกว่าสายเลือดทางพ่อ ในเมื่อตาของเธอแต่งเข้าเรือนยาย และพ่อเองก็แต่งเข้าเรือนแม่ เหตุใดกันเกี้ยวจันทร์ต้องแต่งเข้าเรือนชายอื่นที่เธอไม่พึงใจ เธอมีสิทธิ์เลือกและเธอเป็นผู้เลือกมาโดยตลอด
แม่หญิงเวียงไกลมองดูเรือนนอนใหญ่ของเธอที่แบ่งเป็นสองฝั่งด้วยฉากกั้นฉลุ กั้นขวางเธอกับมิเมให้นอนห่างกันอยู่ประมาณ 2-3 วาเศษ ยังผนังฝั่งทิศใต้มีหีบใหญ่สำหรับใส่ของและแจกันดอกไม้ที่ประดับประดาไว้เอาใจสาวเชียงใหม่อย่างเธอ
“สุ่นคำ ถ้าเราจะอาบน้ำ เราจะอาบน้ำที่ใด” ตอนนั้นเองที่เกี้ยวจันทร์เอ่ยปากถามบ่าวรับใช้อีกคน หรือหากจะเรียกให้ถูกต้อง ‘สุ่นคำ’ เป็นบ่าวของนายห้างตันฉเว รับคำสั่งจากนายเหนือหัวให้ดูแลเธอ
สุ่นคำเป็นสาวลาว แต่งกายด้วยชุดผ้าทอสีหม่น ทว่าใบหน้าขาวผ่องและเรือนผมยาวที่เกล้าไว้เหนือศีรษะนั้นดำสนิทเรียบแปล้ หน้าตาสะอาดสะอ้านดี ที่สำคัญพูดจาสุภาพอ่อนหวาน ดูเหมือนพ่อและนายห้างตันฉเวจะทำการบ้านมาดี ดีเกินไปจนผุดพิรุธมากมาย
“มีน้ำตกเกล็ดแก้วน้อยอยู่บ่ใกล้บ่ไกลเจ้า ปกตินายผู้หญิงจะขึ้นไปอาบที่นั่น” สุ่นคำตอบด้วยเสียงอันไพเราะ ริมฝีปากเล็กของหล่อนสั่นระริกอยู่น้อยๆ หล่อนอาจถูกปลูกฝังมาว่าแม่หญิงชาวล้านนาผู้นี้สวก (ดุ) เสียยิ่งกว่าเสือ เอาแต่ใจตัวเป็นที่หนึ่ง ใครทำอะไรไม่ถูกใจเธอก็มักจะถูกเฆี่ยนถูกโบยจนหลังแตกหลังลาย เช่นบ่าวไพร่ที่ถูกเฉดหัวให้ไปดูแลพ่อเธอ รอยแผลเป็นบนแผ่นหลังบางยังมีปรากฏให้เห็นอยู่เลย
“แม่หญิงจะอาบน้ำเลยก่อเจ้า สุ่นคำจะได้ไปจัดผ้าให้” สุ่นคำรีบเสนอ ด้วยหวั่นเกรงว่าจะถูกลงโทษหาทำอะไรผิดใจเธอ
“ยังบ่อาบ” แม่นายน้อยตอบในทันที “เราอยากออกไปเดิน อุดอู้อยู่แต่ในกูบมาเจ็ดวันเจ็ดคืน เราจะเป็นง่อยอยู่แล้ว”
เธอไม่เปิดโอกาสให้สุ่นคำได้ออกความเห็น แม่หญิงจากเวียงเชียงใหม่พลันก้าวเดินออกไปด้านนอก มิเมที่เห็นจึงรีบรี่ตามไป เหล่าข้าไทบ่าวไพร่ทั้งหลายจึงวิ่งตามทันควัน
“แม่หญิงรอมิเมก่อนเจ้า! แม่หญิงจะไปไหน! เดี๋ยวหลงทางหนาเจ้า!” พี่เลี้ยงสาวรีบร้องบอก สาวเท้าลงกระไดเสียจนลืมไปแล้วว่า กระไดเรือนรับรองแขกหลังนี้นั้นสูงใหญ่เหลือเกิน กว่าจะรู้ตัวสองขาก็ย่ำอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว สองมือเล็กเฝ้าประคองนายตัวให้เดินไปอย่างระแวดระวัง
“จะตามมาทำไมกัน ไม่มีอะไรทำหรือ” เกี้ยวจันทร์หันถามบ่าวของนายห้าง พวกนางรีบหลบสายตากันเสียยกใหญ่ แม้แต่สุ่นคำก้มหน้าก้มตาตัวสั่น
“หน้าที่ของข้าเจ้า คือต้องดูแลแม่หญิงเจ้า…ให้ข้าเจ้าเป็นคนนำทางให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เน่อเจ้า บ่อั้นพ่อเลี้ยงจะด่าเจ้า…” สุ่นคำเหลือบมองเธอด้วยดวงตาดวงเล็กที่สั่นไหว น้ำเสียงอ้อนวอนของหล่อนทำให้หญิงสาวจากเวียงไกลเริ่มใจอ่อน ทว่ากับบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่เอาแต่หลบสายตา ไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้าเธอ ถูกไล่กลับให้ขึ้นไปเฝ้ารอยังเรือน
“เช่นนั้นนำไป ส่วนคนอื่นจะไปไหนก็ไป เราคร้านเห็นหน้า”
พวกบ่าวไพร่รับคำ ทว่าสีหน้าและรอยยิ้มที่ปรากฏบนหน้ากลมของพวกมันทำให้เกี้ยวจันทร์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย ดูเหมือนข้าทาสเหล่านี้ถูกบังคับให้มาดูแลเธอ ตอนนี้คงดีใจเสียจนเก็บอาการกันไม่อยู่ ถึงกระนั้นจะเธอให้โวยวายเสียงดังเฉกเช่นตอนอยู่เวียงเชียงใหม่ก็คงไม่งาม อีกอย่าง…สถานที่แห่งนี้ก็หาใช่ที่ทางของเธอ อะไรปล่อยได้ก็คงต้องปล่อยไปก่อน
“แม่หญิงอยากไปดูสิ่งใดก่อนดีเจ้า ไปดูสวนดอกไม้ ไปดูปลา หรือไปดูช้างดีเจ้า” สุ่นคำเดินนำไปเฉียงๆ พลางเสนอ หันใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมาถาม สลับเหลือบมองทางข้างหน้าไปด้วย
“ดอกไม้ก็ใช่ว่าบ่เคยเห็น ปลาก็ใช่ว่าบ่เคยเห็น ช้างก็ช้างบ้านเราเวียงเราแท้ๆ ที่สูเจ้าบอกมา บ่มีสิ่งใดอยากดู” เกี้ยวจันทร์ตอบตามตรง ก่อนจะฉุกคิดถึงสิ่งที่เธออยากเห็นจริงๆ
“อยากเห็นบ้านสุ่นคำ พาไปดูได้ก่อ”
คำขอนี้ทำเอาบ่าวและพี่เลี้ยงเธอสะดุ้งโหยง ขนลุกขนพองกันเป็นทิวแถว ด้วยบ้านบ่าวไพร่จำต้องแยกห่างออกจากบ้านเจ้านาย ครั้นจะให้พาแม่หญิงลูกสาวแขกคนสำคัญของนายห้างออกไปยังบริเวณบ้านพักคนงานก็ดูไม่งาม ด้วยคนพวกนั้นเป็นขมุ เป็นมอญไปมาก มิหนำซ้ำยังมีแต่ชายฉกรรจ์ แม้บางคนจะมีเมียมีลูกติดตามมาด้วย แต่ในป่าลึกเช่นนี้คงหาสาวงามอย่างแม่หญิงไม่ได้ ให้พาออกไปคงเหมือนออกไปหาปากเสือปากจระเข้
“บ่ได้เจ้า เข้าไปถึงบ้านสุ่นคำบ่ได้” สุ่นคำรีบปฏิเสธเสียงสั่น
“เหตุใดจึงบ่ได้” เกี้ยวจันทร์ร้องถามเสียงแข็ง
“เรือนสุ่นคำอยู่ไกล ต้องเดินผ่านบ้านขมุ ผ่านหมู่ป้อจายไปอีก พาแม่หญิงเดินไปบ่ได้เจ้า” สุ่นคำรีบชี้แจ้งโดยพลัน ด้วยสีหน้าของเกี้ยวจันทร์เริ่มแสดงออกแล้วว่า เธอไม่พอใจที่ถูกขัด
“มิเมเห็นด้วยกับสุ่นคำมันเจ้า แม่หญิงเป็นแม่ญิง มันจะบ่งาม” มิเมรีบร้องปรามด้วยอีกคน ทำเอาอกอิ่มของแม่นายน้อยแห่งเวียงเชียงใหม่ขยับทันทีที่ถอนหายใจ สองขาเรียวภายใต้ผ้าซิ่นต๋าชั้นดีต่อตีนจกสีแดงสดก้าวฉับๆ นำบ่าวไพร่ไปเอง ไม่มีบ่าวใดห้ามเธอได้ แม้แต่มิเมเองก็ตาม
ทว่าเมื่อก้าวมาถึงยังซุ้มประตูโขงไม้สักใหญ่ แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ก็จำต้องหยุดยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้าน เธอทอดตาลงไปตามทางดินที่ค่อยๆ ลาดลงลดหลั่นไปเป็นเนินเตี้ยๆ สู่ทางสามแพ่งหน้าสะพาน กระทั่งหยุดสายตาตรงสะพานไม้ใหญ่ สถานที่ที่เธอและมิเมเคยเดินข้ามมาเมื่อยามเที่ยง แม้เวลาบัดนี้จะเข้าสู่ยามกลองแลงหรือประมาณบ่ายสองโมง บ่ายสามโมง ทว่ากลับไม่รู้สึกร้อนเลยสักเพียงนิด จะมีก็แต่มิเมและสุ่นคำที่หอบแฮกและร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าเธอ แม้เนื้อตัวจะไร้ซึ่งเหงื่อไคล ทว่าหัวใจนั้นร้อนรน
“นั่นเขามุงอะไรกัน” ผู้เป็นนายถามอย่างสงสัยในที สองบ่าวที่เร่งรี่ตามมาชะเง้อหน้ามอง
เกี้ยวจันทร์มองสำรวจกลุ่มคนมากมายที่รุมล้อมชายร่างใหญ่ผิวขาวผู้หนึ่ง ขาวจนผิดวิสัยแรงงานปางป่า รูปร่างกำยำนั้นใหญ่โตเสียยิ่งกว่ายักษ์ สูงเกือบๆ สองเมตรได้ ศีรษะเคียนด้วยผ้าขาว เกล้ามวยผมยาวสีดำขึ้นสูง ทว่าหน้าตาเป็นเช่นไรไม่ทราบได้ ด้วยอยู่ห่างเกินกว่าจะมองเห็น
“ไอ้เงี้ยวคงเอาของป่ามาขายเจ้า แม่หญิงอย่าเพิ่งออกไปเลยเน่อเจ้า” สุ่นคำเร่งแจ้ง ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว เมื่อเกี้ยวจันทร์เลือกที่จะก้าวไปดู ด้วยสนใจสินค้าและของขายของชาวป่าที่หาบเร่เข้ามาในปาง
“แม่หญิง! บ่ได้เจ้า!” มิเมรีบป้องแขนกัน ไม่ยอมให้นายตนเดินออกไปปะปนอยู่กับข้าทาสข้าไทที่ไม่คุ้นเคย หวั่นเกรงจะมีอันตรายมาสู่นางอันเป็นนายเหนือหัว ฟันซี่เล็กของมิเมขบลงกับริมฝีปากอย่างไม่ยอมเสียให้ได้
“เราแค่จะไปดูของ เราอยากรู้ไอ้เงี้ยวมันขายอะไร ถ้ามีของสวยๆ งามๆ เราจะได้ซื้อไว้” เกี้ยวจันทร์ออกอุบาย
“บ่มีหรอกเจ้า ไอ้เงี้ยวมันหาเป็นแต่ของป่า เก็บผักเก็บไม้ ล่าสัตว์เป็นเต้าอั้น” สุ่นคำเร่งเข้าช่วย ป้องร่างนายสาวด้วยอีกแรง ทำเอาแม่หญิงคนงามกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายในที อุตส่าห์ยอมมาลำบากอยู่ในป่าในดอย ยังต้องคอยเกรงอันตรายออกไปไหนมาไหนเองไม่ได้เสียนี่
“อย่างนั้นพี่ทั้งสองก็ไปดู เราอยากรู้ไอ้เงี้ยวมันขายอะไร” สองแขนเรียวกระชับกอดอกไว้จนแน่น ผ้าคลุมผืนบางที่ห่มคลุมอยู่กับบ่า รัดรึงอยู่กับอกอิ่มของตัว ยืนขมวดคิ้วรอดูอยู่ว่าพี่เลี้ยงและบ่าวของเธอจะได้ข้อมูลอะไรกลับมา
สองสาวบ่าวไพร่หันมองหน้ากันอย่างฉงนงุนงง ไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไรดี เพียงแต่เมื่อแม่นายคนดีสั่งมาให้ทำ ก็จำต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงชาวมอญและหญิงชาวลาวทั้งสองจึงเดินเกาะเกี่ยวควงแขนกันไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฝ่าฝูงชนคนไท คนขมุ คนมอญ เข้าไปหายังกายาใหญ่ที่ย่อกายจัดการกับสินค้าที่ตนนั้นหาบมาจากในห้วยในดอย แผ่มันลงบนใบตองสดที่ปูรองดิน
ไม่กี่นาทีพวกนางก็กุลีกุจอกลับมาหานายตัว ระยะทางที่ห่างกันอยู่เพียงหนึ่งร้อยก้าว ทว่าเป็นทางลาดขึ้นเนิน กว่าสองบ่าวจะก้าวมาถึงยังนายก็หอบแฮก
“มีไหน่ มีจ่อนขุ่ย มีฟาน มีผักมีไม้ เจ้า” มิเมรีบแจกแจงด้วยเสียงหอบ จากสิ่งที่หล่อนมองเห็นมา ภายในแปมพะหรือตะกร้าสานคาดหัวใบโตของนายเงี้ยวร่างใหญ่ผู้นั้น มีไหน่ (กระรอก) จ่อนขุ่ย (พังพอน) ฟาน (อีเก้ง) ส่วนใหญ่ถูกฆ่าและแขวนมากับตอกไผ่ มีเพียงเนื้อฟานบางส่วนที่ใส่ไว้ในก๋วยหรือตะกร้าสานตาห่าง วางอยู่บนใบตองใบสัก มิเมดูลุกลี้ลุกลนด้วยต้องเดินแทรกเบียดกายชาวป่าชาวดอยเข้าไปมองดู เนื้อตัวจึงเปื้อนเหงื่อไคลของบ่าวไพร่ชาวขมุมาด้วย
“มีขะต่าย กับหน่อไม้ มีปลาตัวใหญ่ด้วยเจ้า” สุ่นคำเอ่ยเสริม
“ขะต่ายหรือ เราอยากได้” ดวงตากลมของเกี้ยวจันทร์ฉายแววประกายสุกใสดั่งกลุ่มดาวช้างหลวง เธอจับจ้องกลุ่มคนที่กำลังมุงซื้อมุงหาอาหารป่าที่ไอ้เงี้ยวนำมา หวนคิดถึงสมัยยังเป็นเด็กตัวน้อย
สมัยนั้นแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ในวัยสิบขวบ ผู้สดใสสมเด็กหญิงล้านนาทั่วๆ ไป ออกไปผจญภัยกับกลุ่มลูกสาวข้าไทของเธอ พรานอินทร์พรานเก่าพรานแก่ลูกน้องผู้ไว้ใจได้ของยายและแม่เพิ่งกลับมาจากการเข้าป่าล่าสัตว์ วันนั้นแกลากหมูป่าตัวใหญ่กลับมาพร้อมบางอย่างในหับนก หรือกรงขังนกขนาดเล็ก สานขึ้นง่ายๆ ด้วยตอก อะไรบางอย่างที่หูยาว ตัวสีเทาอมน้ำตาลเล็กกระจิ๋ว พรานอินทร์เล่าว่า แกพบแม่กระต่ายป่าติดบ่วงแร้วเก่าของพรานกระต่าย ทว่ามันคงตายเพราะถูกแมวป่าหรือเสือปลาตะปบ ใกล้ๆ กันนั้นมีรังกระต่าย และแกพบว่ามันมีลูกรออยู่ จึงเก็บกลับมาด้วยเกรงว่ามันจะถูกฆ่าไปอีกตัว
แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ในวัยเด็กตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นลูกกระต่ายตัวเล็กน่ารัก ขนของมันนุ่มฟูน่ากอด เธอกดกอดมันไว้ในอ้อมแขนเรียวแทบจะตลอดเวลา ให้ข้าวให้น้ำมันทุกๆ สามมื้อด้วยอาหารเฉกเช่นเดียวกันกับคน ทว่ากระต่ายเด็กนั้นหาได้ต้องการไออุ่นจากการกอดรัดฟัดเหวี่ยง หรืออาหารเป็นข้าวดิบเม็ดเล็กเช่นเป็ด เช่นไก่ มันจึงตายไปหลังจากอยู่กับเธอได้เพียงเจ็ดวัน หลังจากนั้นแม่หญิงคนงามจึงไม่เคยเลี้ยงสัตว์ใดอีกเลย จะมีก็แต่หมาแมวที่เดินเพ่นพ่าน แต่ก็ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูเท่าเจ้าลูกกระต่ายที่จากไปเลยสักเพียงนิด
“แม่หญิงอยากกินจิ้น (เนื้อ) ขะต่ายหรือเจ้า” สุ่นคำรีบถามเอาใจ ทว่ากลับถูกมือเล็กของมิเมฟาดแขนในทันที
“แม่หญิงเกี้ยวจันทร์บ่กินขะต่าย แม่หญิงอยากได้ตัวเป็นๆ” มิเมจุปาก ชี้แจงสุ่นคำก่อนที่หล่อนจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“ตัวเป็นๆ บ่มีหรอกเจ้า ไอ้เงี้ยวมันล่ากิน บ่ล่าขาย ขนาดนายห้างอยากได้เขากวางใหญ่ มันยังบ่หามาให้เลย” บ่าวสาวชาวลาวร้องบอก เพราะแต่เดิมสัจจะพรานป่านั้นล่าเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น สำหรับไอ้เงี้ยวผู้นี้ มันจะเข้าป่าล่าสัตว์สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และนำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาเลี้ยงสู่ชาวปาง แลกกับเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นสินน้ำใจ แม้จะไม่ได้มากได้มาย แต่สิ่งที่มันได้กลับไปคือน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
“ทำไมจะบ่มี ก่อนมันจะตาย มันก่อ ‘เป็น’ อยู่บ่ใช่หรือ” เกี้ยวจันทร์ค้านหัวชนฝา ทำท่าจะก้าวไปสอบถามด้วยตนเอง ทว่าสองบ่าวกลับอ้าแขนกัน
“ถ้าบ่ให้เราลงไปถาม สูเจ้าสองคนก่อลงไปถาม เราอยากได้ขะต่ายตัวเป็นๆ เอาลูกมันก่อได้ เอาแม่มันก่อได้” เกี้ยวจันทร์ร้องสั่งเสียงหนักแน่น สีหน้าของเธอจริงจังและเต็มเปี่ยมด้วยความต้องการเสียจนสองบ่าวจำต้องก้าวลงไปยังหัวสะพานไม้ใหญ่นั้นอีกครา เพื่อเจรจาถามหากระต่ายที่ยังมีชีวิตอยู่
ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นจากฝูงชน เกี้ยวจันทร์รู้ได้ในทันทีว่า เธอกำลังถูกหัวเราะเยาะ เหล่าแรงงานปางไม้ทั้งชาวขมุ ชาวไท ชาวมอญต่างหันหน้ามามองยังเธอเป็นสายตาเดียวกัน บ้างหัวเราะคิกคัก บ้างป้องปากขำ สองบ่าวที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบรี่กลับไป เพียงแต่มันคงสายเกินไปเสียแล้ว เมื่อแม่หญิงคนงาเดินลงมาเอาเรื่องพวกข้าไทที่หัวเราะเยาะเธอ
“แม่หญิงเจ้า บ่ได้เจ้า กลับดีกว่า” พี่เลี้ยงชาวมอญพยายามปราม แต่เสียงแผดดังของแม่นายน้อยจากเวียงเชียงใหม่สวนมาทันควัน
“เราจะเอาขะต่าย มันยากอย่างใด!” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ร้องสั่ง ดวงตาแข็งกร้าวของเธอจับจ้องชายที่ตนกำลังถาม มันผู้เป็นเจ้าของเรือนผมยาวสีดำสนิท เคียนผ้าขาวเอาไว้เหนือศีรษะ ไม่สวมเสื้อ นุ่งแต่ผ้าเค็ดม่ามสีมอซอ เผยให้เห็นรอยสักขาลายอย่างลาวพุงดำ ทว่าเพียงมองกลับรู้สึกแปลกตา ด้วยลวดลายไม่เหมือนลาวพุงดำทั่วๆ ไป มิหนำซ้ำกลางแผ่นหลังของชายผู้ง่วนอยู่กับการแล่เนื้อเถือหนังกระต่ายกลับมีรอยปานประหลาดสีขาวแต่งแต้มอยู่
แต่ดูเหมือนกับว่ามันผู้นั้นหาได้สนใจเธอไม่ ยังคงง่วนอยู่กับการใช้มีดซุยชำแหละซากกระต่าย ขณะที่แรงงานคนอื่นเงียบกริบ
“แม่หญิงชาวเจียงใหม่เปิ้นจะเอาขะต่ายไปฆ่าแกงคนเดียว” ทันใดนั้นเองเสียงเจื้อยแจ้วของ ‘ขวัญศรี’ ลูกสาวแสนดีของควาญช้างใหญ่แห่งปางไม้สัพยอกหยอกเธอ ดวงตาสุกใสของสาวชาวป่าผู้เข้มแข็งดั่งหินผากลางป่าเขา แสดงอาการเย้ยหยันอย่างไม่กลัวถูกลงทัณฑ์จากเธอ หล่อนกอดอก รัดแผ่นอกราบเรียบด้วยผ้าสีมอซอ นุ่งซิ่นต๋าต่อตีน เพียงมองการแต่งกายก็คงพอเดาได้ว่า แม่ศรีผู้นี้เป็นชาวไทยวนเฉกเช่นเดียวกัน ทว่าเป็นเพียงไพร่ธรรมดา ลูกสาวควาญช้างและแม่ครัวปางเพียงเท่านั้น
“เราถามใคร คนนั้นก็ตอบ ไม่ได้ถามใครก็อย่ารู้มาก” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ถลึงตาใส่ ทันใดนั้นเองซากกระต่ายตัวโตพลันถูกโยนลงยังเบื้องหน้าเธอ สาวเจ้ากรีดร้องอย่างตกใจ เธอกระโดดเหยง ถอยร่นออกไปในทันที มันเป็นภาพตลกโปกฮาของชาวปาง เพียงแต่กับสาวชาวเวียงเช่นเธอ มันหดหู่เสียยิ่งกว่าอะไร
“ไอ้เงี้ยว!” สุ่นคำตวาดใส่เสียงดัง แม้หล่อนจะรู้สึกว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เป็นคนน่ากลัว แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นนาย จะให้เงี้ยวไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำกิริยาหยาบช้ากับเธอไม่ได้ แม้หล่อนจะรู้ดีว่าการเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เงี้ยว’ นั้นเป็นคำสบประมาทที่รุนแรงของชาวไทใหญ่ แต่ ‘ไอ้เงี้ยว’ ผู้นี้ไม่ชอบพูดชอบจากับใคร ถามคำตอบคำ ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด เสียจนถูกเรียกว่าไอ้เงี้ยวตลอดมา จะมีก็แต่พรานต่อมพ่อของหล่อนและควาญต๋าพ่อของขวัญศรีเท่านั้นที่ดูรู้จักมักจี่กับนายเงี้ยวผู้นี้ดีกว่าคนอื่นๆ
“เราบ่เอาศพเอาซาก!” หญิงสาวตวาดลั่น ดวงตากลมสั่นไหว จ้องมองซากเนื้อกระต่ายสีแดงฉานที่เปียกชุ่มด้วยเลือด มันกองอยู่กับพื้นดินอย่างน่าอดสู หยดเลือดสีแดงค่อยๆ หยดแหมะลงกับพื้น และซึมหายไปกับพื้นดินแห้งๆ ทว่าเจ้าของกายาใหญ่กลับยังคงนิ่งงัน
คิ้วเรียวของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ผูกกันแน่น ในขณะที่ไอ้เงี้ยวค่อยๆ เงยหน้ามองเธอ ดวงตาใสดั่งน้ำค้างกลางไพรของเขามองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉ่ำวาว ทำให้เจ้าของดวงตาคู่หลังกำมือเรียวขาวแน่น ทั้งโกรธ ทั้งเกลียดไอ้เงี้ยวผู้นี้เสียจนอยากสั่งโบยเสียให้เข็ด ถึงอย่างนั้นกลับไม่อาจออกคำสั่งใดที่ปางแห่งนี้ได้นัก
แม่หญิงชาวเวียงทำได้เพียงกระทืบเท้าลงกับดิน ย่ำตึงตังกลับไปยังเขตที่พักของเธอในทันที ฟันซี่เล็กขบลงกับริมฝีปากอิ่มอย่างขุ่นเคืองใจ เลือกจะทิ้งซากกระต่ายไว้เพราะเธอไม่ได้หมายใจจะกินกระต่ายตัวนั้นเลย เพียงอยากได้มาเลี้ยงดูทดแทนเจ้ากระต่ายตัวเดิมที่เคยเลี้ยงดูสมัยยังเป็นเด็กก็เท่านั้น
ความคิดเห็น |
---|