ตอนที่ 4 หมอกเหมย
ความเย็นเฉียบแผ่ซ่านเข้ามาจากปลายเท้าเล็กๆ ทำให้หนาวเหน็บเสียยิ่งกว่านอนแช่น้ำตกในช่วงฤดูหนาวเสียอีก เสียงซ่าดังกระหึ่มดังสายธาราร่วงหล่นพร่างพรมลงมาจากเหนือหัว ละอองน้ำเล็กๆ ลอยละล่องปะทะผิวกายขาว ไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่เกี้ยวจันทร์รู้ตัวว่าบัดนี้เธอยืนอยู่เบื้องหน้าน้ำตกใหญ่ แม่หญิงจากเวียงเชียงใหม่ค่อยๆ ลืมตาตื่น เห็นแสงพราวระยิบจากดวงดาราสาดส่องลงมากระทบกับผืนน้ำเบื้องล่างที่ไหวกระเพื่อม
หน้าผาสูงเด่นสง่าราวไต่จากพื้นสู่ผืนนภาสูง หญิงสาวเงยหน้าอย่างช้าๆ ทอดตาไปตามชะง่อนหินจนสุดสายตาที่จุดตัดผืนฟ้ากับยอดน้ำตก ท้องฟ้าสีกรมท่าเข้มประดับประดาไว้ด้วยดารานับแสน กระแสธาราดั่งจะพัดพาเอามวลหมู่ดาวให้ไหลหลั่งลงสู่พื้น เสียงซ่าๆ จากน้ำที่ไหลจากที่สูงตกกระทบลงกับแอ่งน้ำกว้างเบื้องล่างนี้ นำสายตาให้ดรุณีต่างแดนหลุบมองพื้น เห็นเพชรนิลจินดาปูกองเกลื่อนแอ่งน้ำไปหมด หญิงสาวกะพริบตาปริบ เธออยู่ยังที่แห่งใด แล้วทำไมมันจึงน่าพิศวงเหลือเกิน
“มิเม!” แม่หญิงผู้ใจหาญเมื่ออยู่ตัวคนเดียวก็เป็นเพียงนงคราญผู้อ่อนแอ ร้องหาแต่พี่เลี้ยง ดวงตาใสเริ่มฉ่ำวาว เพราะรายรอบกายดูมืดมนคล้ายจะมีสิงสาราสัตว์กระโจนเข้าใส่ได้ตลอดเวลา
“มิเมมีไหน! เรากลัว! มิเม!” ริมฝีปากอิ่มแผดเสียงเรียกร้องหา ครั้นพอหันหน้าออกจากน้ำตกหลวง ดวงตาสุกใสของบางอย่างก็พลันต้องแสงทันที ร่างงามถอยกรูดเข้าหาน้ำตก หมายใจจะให้ภูผากล้าเป็นเกราะกำบังกาย ทว่ามันกลับคล้ายกรงขังที่กันตัวเธอให้พ้นจากอิสรภาพเสียมากกว่า
“ออกไป! เราบอกให้ออกไป!” แม่หญิงออกปากสั่ง ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมาจากริมฝีปากฉ่ำวาวของเธอ เหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มไหลซึมออกจากเรือนกาย กระทั่งแผ่นหลังบางทาบกับโขดหินใหญ่ น่าแปลกใจว่าเหตุใดร่างกายเธอจึงไม่เปียกปอนเลยสักเพียงนิด
แต่เจ้าของดวงตาสุกใสดั่งหยาดน้ำค้างนั้นยังคงขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่แสงสะท้อนจากผิวน้ำต้องลงกับเกล็ดขาวพราวระยิบ เผยให้เห็นร่างขาวยืดยาวที่ขดอยู่รายรอบตัวเธอ มันใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าจะเป็นเพียงสัตว์เลื้อยคลานธรรมดา ร่างงามถอยร่นเสียจนแผ่นหลังแทบแนบโขดหินใหญ่ ทันใดนั้นเองเมื่อหินเหล่านั้นเริ่มขยับไหว เธอรับรู้ได้ในทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วมันหาใช่น้ำตกไม่ แต่เป็นกายามหึมาของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังขดกายเข้าโอบรัดเธอ
“อีแม่! อีแม่ช่วยลูกด้วย!” สาวเจ้ากรีดร้องอย่างตกใจ เธอลนลานเสียยิ่งกว่ากวางน้อยจะถูกเสือขย้ำ ต่างกันตรงที่เจ้าสิ่งนี้อาจเป็นผีเงือก มือเรียวโอบกอดตัวเองไว้จนแน่น หันมองไปรายรอบด้วยหมายใจจะมองเห็นทางออก แต่ไม่เลย…ไม่ว่าทางใดก็ล้วนแล้วแต่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยลำตัวหนาของมัน
ลมหายใจถี่กระชั้นของเกี้ยวจันทร์พ่นออกมาจากริมฝีปากที่เริ่มแห้งผาก เธอยืนนิ่ง ทำตัวแข็งทื่อ คำสอนของแม่และยายไม่มีข้อใดเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับงู พรานอินทร์เองที่เคยบอกกล่าวเกี่ยวกับการเผชิญหน้าสัตว์ป่าเพียงว่า แม่หญิงนั้นไม่ควรเข้าป่าเพียงลำพัง ไม่มีใครเคยสอนว่าหากเจองูตัวเท่าหน้าผาต้องทำเช่นไร เกี้ยวจันทร์จึงทำได้เพียงประนมมือไหว้สา เนื้อตัวของเธอสั่นผับไปหมด ดวงตางามหลับตาปี๋ ด้วยปลงใจแล้วว่าคงไม่รอด
“แม่จ๋า…ลูกกลัว…” เกี้ยวจันทร์พร่ำบอกกับแม่ผู้ล่วงลับ ก่อนจะรับรู้ถึงเนื้อหนังเกล็ดหนาเย็นเฉียบที่ครูดไถไปตามร่างกายเธอ อาจจะโอบรัดตัวเธอให้แหลกเหลวก่อนจะกลืนกินตัวเธอทั้งเป็น
เสียงซ่าของน้ำตกใหญ่บัดนี้เงียบลงแล้ว จะเหลือไว้ก็แต่เพียงเสียงน้ำที่เกิดจากร่างมหึมาไหลเลื้อยผ่าน เกี้ยวจันทร์ยังคงหลับตาปี๋ เธอรู้ดีว่าคงไม่มีทางรอดไปได้ เพียงแต่ความรู้สึกนุ่มนวลที่โอบรัดเข้ามาผิดวิสัยของสัตว์ที่จะฆ่าเหยื่อ
ลิ้นยาวสองแฉกแลบเลียแก้มอิ่ม ราวลิ้มรสโฉมสะคราญหอมกรุ่น ถูไถเกล็ดกายลายขาวที่พร่างพราวกับเนื้อเนียน เบียดกายเข้าชิดเชยชมสะโพกกลมกลึงของสาวแรกรุ่น จนผ้าซิ่นผืนบางถลกขึ้นน้อยๆ เนื้อนวลเนียนที่ไม่เผยให้ใครได้เห็นถูกรัดรึงด้วยกล้ามเนื้อแกร่ง เจ้าเกล็ดขาวซอกซอนซุกเรียวขางามอย่างเชื่องช้า ทำเอาเกี้ยวจันทร์ส่งเสียงประหลาด
“ยะ…อย่า…” แม่หญิงครางกระเส่า ร้องปรามมันที่กำลังเล่นกับของกินอย่างเธอ ในขณะที่หัวใหญ่กลมทู่อันเต็มไปด้วยเกล็ดหนาซุกซอนอยู่กับซอกคอขาว แลบลิ้นถี่รัวเลียใบหูเล็ก ร่างงามอ่อนระทวยลงในทันที
อีกหนึ่งบดเบียดสองปทุมถัน ซุกซอนผ้ามันแพรไหม กระหวัดรัดอกอิ่มพลางรัวลิ้นกับเนื้ออ่อน แก้มลออของเธอถึงกับแดงแจ๋ ทว่าในขณะที่หญิงสาวเคลิบเคลิ้มกับอารมณ์ประหลาด อีกหัวหนึ่งเลียต้นขาเนียน ทำเอาสาวเจ้าสะดุ้งโหยงและถีบโถมแรงสะดุ้งตื่นทันตา
“อย่านะ!”
เกี้ยวจันทร์สะดุ้งเฮือก มือเรียวคว้าเอาผ้าห่มหนาขึ้นห่มคลุมกาย กระชับกอดตัวเองในขณะที่มิเมพี่เลี้ยงพุ่งตัวขึ้นจากฟูกนอนหลังฉากกั้นห้องอันใหญ่ โถมกายเข้าปลอบขวัญเจ้าชีวิตในทันที
“บ่เป็นไรเจ้าแม่หญิง มิเมอยู่นี่ มิเมอยู่นี่แล้ว!” สองแขนของมิเมโอบกอดแม่หญิงไว้แนบอก ในขณะที่เกี้ยวจันทร์ยังคงส่งเสียงแหบ อกอิ่มของเธอรัดด้วยผ้าแพรผืนมันและผ้าซิ่นยังคงอยู่ดี
“เราฝันร้าย! เราฝันเห็นผีเงือกผีงูมันจะกินเรา มันรัดเรา…มันจะกินเรา! มิเม!” แม่หญิงคนงามของมิเมร้องร่ำคร่ำครวญอย่างหวาดผวา เนื้อตัวขาวของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ สาวเจ้าร่างสั่นเทาอย่างลูกกวางตัวเล็กๆ สองแขนโอบกอดมิเมผู้เป็นทุกอย่างของเธอในตอนนี้เอาไว้แนบสนิท
“บ่เป็นหยังเจ้า ข้าเจ้าอยู่นี่แล้ว จะผีมดผีแมง ผีเงือกผีงู ข้าเจ้าจะเอามีดฟันมันให้ตายตกไปให้หมด จะบ่ให้มันมาทำอันตรายกับแม่หญิงของมิเมเด็ดขาด” พี่เลี้ยงผู้จงรักภักดีปลอบขวัญแม่หญิงคนดีอยู่อย่างนั้น กระชับผ้าห่มผืนหนาห่มคุมกายาเพรียวนี้เอาไว้ ไม่ยอมให้ออกห่างตัวแม้สักวินาที
“เราบ่ชอบที่นี่…เราอยากกลับบ้าน อีแม่มาช่วยเราบ่ได้ ผีอีแม่เข้าป่าบ่ได้” เกี้ยวจันทร์สะอื้นร่ำ ริมฝีปากอิ่มของเธอเม้มแน่นและสั่น
เป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ในใจของเธอว่าผู้เป็นแม่และยายจะยังคงอยู่เพื่อปกป้องลูกหลานทุกคน อย่างผีปู่ผีย่าที่คอยปกป้องคนในครอบครัวตลอดมา เพียงแต่ในความฝันอันน่ากลัวนั้นไม่ว่าเธอจะตะโกนเรียกหาแม่ดังสักเท่าใด หรือแผดเสียงให้ได้ยินอีกร้อยก้าวพันวาก็กลับไม่มีใครเลยได้ยิน ความจริงที่เป็นอยู่เริ่มค่อยๆ ตอกย้ำเธอ ว่าชีวิตต่อจากนี้ ชีวิตที่ไม่มีแม่และยายจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
“ช่วยเจ้า แม่นายเปิ้นช่วยแน่ๆ มิเมรู้ว่าแม่นายจะอยู่ดูแลแม่หญิงของมิเม เหมือนที่มิเมอยู่กับแม่หญิงตอนนี้ จะบ่มีใครทำร้ายเจ้าชีวิตของมิเมได้ มิเมสาบาน” มิเมรับรู้ได้ว่าแม่หญิงแสนดีกระชับกอดหล่อนแน่นขึ้น ความผูกพันระหว่างหล่อนกับผู้เป็นนายนั้นเหนียวแน่นนัก
‘มิเม’ เป็นเด็กสาวชาวมอญที่ถูกทิ้งไว้ให้ตายอยู่กลางทุ่งนาในหน้าแล้ง ว่ากันว่าในสมัยนั้นอีแร้งเป็นเจ้าถิ่นใหญ่ในนาข้าว ยิ่งในช่วงที่นาขาดน้ำและหลังเก็บเกี่ยว ก็มักจะเห็นฝูงแร้งรุมทิ้งซากสัตว์ที่ถูกนำมาทิ้งไว้กลางนา ให้เหล่าแร้งเหล่ากาจิกกินแทนการฝัง แรกเริ่มเดิมทีมันก็อาจเป็นเพียงแค่วัวควายที่ป่วยเป็นโรคตายไม่มีใครกล้านำไปกิน ชาวบ้านก็จะนำมาทิ้งไว้กลางทุ่งนา ไม่กี่วันก็เหลือเพียงซากกระดูก เพียงแต่หลายครั้งหลายคราที่เจ้าของที่นาพบซากกระดูกที่หากใช่เพียงซากวัวซากควายไม่
ในคืนเดือนดับคืนหนึ่ง เด็กหญิงเมอายุสามขวบถูกนำมาทิ้งไว้ยังสุสานวัวควายแห่งนี้ ด้วยป่วยออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่ยังเป็นทารก ปัจจุบันแม้จะลืมตาดูโลกมาได้สามปี แต่ร่างกายผอมซูบเกินเยียวยา ครั้นพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ไหว ด้วยหยูกยาหรือสมุนไพรใดก็ไม่สามารถรักษา จนปัญญาจะช่วยเหลือจึงน้ำมาทิ้งไว้ให้เป็นไปแต่เวรแต่กรรม ทว่าโชคชะตากลับเป็นใจให้เด็กหญิงเม
ไม่รู้ว่าคืนนั้นอะไรดลใจให้พรานอินทร์เลือกที่จะเดินเข้าป่าจากทางคันนาผืนใหญ่ เด็กหญิงเมจึงถูกพรานอินทร์ชีวิตช่วยเอาไว้ กระนั้นชายฉกรรจ์คนเดียวฤๅจะเลี้ยงดูเด็กหญิงวัยสามขวบได้ เมื่อเสียงร้องไห้หาแม่ของเด็กหญิงเมดังไปถึงเรือนใหญ่ ‘อุ๊ยจั๋น’ สะฅ่วยมั่งมีเจ้าของพื้นที่นากว้างใหญ่จึงอาสารับไว้เลี้ยงดูแทน ร่างกายของเด็กหญิงเมจึงดีวันดีคืน
แกเลี้ยงดูเด็กหญิงเมดั่งลูกหลานของตน สั่งสอนเรื่องการบ้านการเรือนมาตั้งแต่เด็กๆ ใช้ชีวิตเป็นบ่าวไพร่แต่นับถืออุ๊ยจั๋นและ ‘แม่เสี้ยว’ ลูกสาวแกเป็นดั่งแม่แท้ๆ กระทั่งหล่อนอายุได้เจ็ดขวบ แม่เสี้ยวได้ให้กำเนิดเกี้ยวจันทร์ ลูกคนแรก เพียงแต่แม่เสี้ยวนั้นมีอาการคัดเต้าอย่างรุนแรง น้ำนมของผู้เป็นแม่มีมาก แต่ไม่อาจบีบหรือเค้นออกได้ มันสร้างความเจ็บปวดให้แกเสียจนแทบล้มหมอนนอนเสื่อ
ความโชคดีที่เข้ามาในชีวิตของกันและกันนี้ทำให้เด็กหญิงเมได้ดื่มกินนมจากเต้าเดียวกันกับเกี้ยวจันทร์ เด็กหญิงเมวัยเจ็ดขวบ ช่วยดูดน้ำนมออกจากเต้าที่บวมแดง บรรเทาอาการคัดเต้าให้ดีวันดีคืน ตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณทั้งสอง หล่อนได้รับความเมตตาจากแม่เสี้ยวและอุ๊ยจั๋นตลอดมา กระทั่งโตขึ้นและได้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลเกี้ยวจันทร์ หล่อนจึงขอร้องให้เกี้ยวจันทร์เรียกเธอว่า ‘มิเม’ ซึ่งแปลว่าพี่สาวเม นั้นเอง
“มิเมหนาวก่อ…” เกี้ยวจันทร์ถามพี่เลี้ยงเสียงแผ่ว
“บ่หนาวเจ้า แม่หญิงหนาวก่อ” มิเมถาม พลันกระชับผ้าห่มผืนหนาให้คลุมกายาของแม่นายน้อยคนสวย ตบบ่าบางของเกี้ยวจันทร์อย่างแผ่วเบาที่สุด เกี้ยวจันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนั้นเองที่มิเมเริ่มฮัมเพลงกล่อมนอน เป็นเพลงกล่อมที่แม่เสี้ยวเคยกล่อมให้ฟัง
“เราใหญ่แล้วหนา…ยังกล่อมอยู่อีก…” เกี้ยวจันทร์เอ่ยด้วยเสียงหวาน รู้สึกงัวเงียเสียจนแทบเคลิ้มหลับ สองแขนเรียวกระชับกอดพลางซุกซบลงกับอกอิ่มของพี่เลี้ยงเธอ ค่อยๆ หลับตาหนักอึ้งทีละน้อย กระทั่งเธอม่อยหลับไปหลังจากนั้น
ม่านหมอกเหมยโปรยปรายลงมาบดบังสายตาให้แทบมองไม่เห็นอะไรเบื้องหน้า แม้แต่ราวระเบียงไม้ที่ฉลุเป็นลายเถายังมองไม่เห็น ลำธารใสที่เห็นเมื่อวาน ยิ่งมองไม่เห็นเข้าไปใหญ่ มีก็แต่เสียงซ่าของสายธาราไหลหลากลงไปถึงสะพานไม้ใหม่ดังอยู่ไกลๆ พอให้ได้ยิน พื้นระเบียงไม้สักของเรือนรับรองหลังเล็ก บัดนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างจากสายหมอก เท้าเรียวขาวของแม่หญิงจากเวียงเชียงใหม่ย่ำพื้นเย็นฉ่ำ เธอทอดตาออกไปรายรอบ ดื่มด่ำบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน
แม้ในตัวเวียงจะพอให้เห็นช่วงเวลาหมอกขาวหนาทึบ ทว่าเธอไม่เคยเห็นหมอกที่ลอยละล่องอยู่เหนือผืนป่าและปกคลุมอยู่เหนือหน้าผิวน้ำไหล เสียงน้ำเคล้าเสียงนกเสียงไพรดังเข้ามาในโสต ความสุขสงบนี้หาได้เคยพบไม่ ละอองหมอกที่โชยพัดเข้าใส่ใบหน้าขาวทำให้คิ้วเรียวเปียกชุ่ม ริมฝีปากอิ่มฉ่ำวาวยิ้มร่า ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ได้พบเจอจากปางป่าเมืองเถื่อนจะทำให้ใจสงบ
“แม่หญิงเจ้า! เข้ามาเทอะ! ประเดี๋ยวจะบ่สบาย!” เสียงของมิเมทำลายความสงบที่กำลังเกิด ดึงเธอให้กลับเข้าสู่ชีวิตจริง พี่เลี้ยงเธอก้าวเข้ามาหาพร้อมกับผ้าทอผืนบางไว้คลุมหัว เพราะอากาศภายนอกในตอนนี้หนาวเหน็บเสียงจนทำเอานิ้วเท้าเธอเริ่มแข็ง สองขาจำต้องรีบก้าวกลับเข้าไปยังใต้ชายคา และนุ่งห่มคลุมผ้าตุ๊มผืนหนาให้อุ่นสบาย
“แม่หญิงบ่ใคร่หลับกา วันนี้ตื่นเช้า บ่สบายหรือเจ้า” มิเมถามอย่างเป็นห่วง ในขณะที่นั่งเช็ดผมเช็ดเผ้าให้เธอด้วยสองมือ ในความเป็นจริงแม่นายของหล่อนก็หาใช่คนประเภทขี้เกียจสันหลังยาวกระทั่งตื่นสายบ่ายเที่ยงไม่ ทว่าในยามรุ่งเช่นนี้เร็วกว่าปกติวิสัยจริงๆ
“บ่ใช่บ่ใคร่หลับ แต่หลับบ่ลง หลับๆ ตื่นๆ เลยตื่นเสีย รำคาญตัวเอง” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ตอบอย่างขุ่นเคือง เพราะฝันถึงผีเงือกผีงูเมื่อคืนนี้ เธอจึงหลับไม่เต็มอิ่ม พลอยโทษไปถึงไอ้เงี้ยวคนเมื่อวาน ที่นอนฝันร้ายเห็นผีเงือกผีงู อาจเพราะมันโยนซากกระต่ายใส่เธอ
ตามความเชื่อโบราณเล่าขานเกี่ยวกับ ‘ผีเงือกผีงู’ ไว้ว่า ผีเงือกผีงูนั้นคล้ายงูใหญ่ มีหงอนยาว ร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาว แม้จะไม่มีการระบุรูปพรรณสัณฐานโดยชัดเจน ทว่าอิทธิฤทธิ์นั้นสำแดงเดชในทุกคราที่ฟ้าฝนเทกระหน่ำ น้ำป่าไหลหลาก หรือแม้แต่ในช่วงที่มีน้ำขึ้นสูง ผีเงือกนั้นเป็นได้ทั้งผีร้ายและผีดี ตามแต่พื้นที่จะเล่าลือกันไป บางตำนานเล่าว่าเป็นเทพยดาที่ปกปักรักษาผืนป่าต้นน้ำ แปลงกายเป็นภูเขา น้ำตก บางตำนานเล่าขานกันว่าผีเงือกผีงูเป็นผีร้ายกินคน แต่บางตำนานก็เล่าขานไว้ว่าผีเงือกผีงูจะเอาชีวิตเฉพาะผู้ไร้ศีลธรรมและกระทำผิดคำสาบานเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ท้าวพญา มหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารโยนกและตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่
“อย่างนั้น…แม่หญิงจะให้มิเมเรียกสุ่นคำจัดสำรับเลยบ่เจ้า” มิเมถามผู้เป็นนายพลางหวีผมดำยาวสลวยอย่างเบามือที่สุด เกล้ามวยต่ำปักแซมด้วยปิ่นเงินหัวบัว กลัดหย่องเล็กๆ ประดับให้สวยสมสง่า
“เรายังบ่หิว รอเมื่องาย3ก่อนค่อยกิน ประเดี๋ยวเราว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย มิเมบ่ต้องเรียกสุ่นคำหรอก เราไปบ่ไกล” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เอ่ยกับพี่เลี้ยงของเธอ มือเรียวกระชับผ้าตุ๊มผืนหนาเข้าโอบคลุมกาย พลางเหลือบมองยังผ้าตุ๊มย้อมห้อมสีครามเข้มสวย ทอด้วยผ้าฝ้ายชั้นดีจากบ้านฮ่อบนดอยสูงที่แม่และยายไปกว้านซื้อมา
“เสร็จแล้วเจ้า” มิเมจ้องมองแม่หญิงผ่านกระจกเงาบานใหญ่ สำรวจร่างกายหญิงสาวไม่ให้บกพร่อง ก่อนแม่หญิงแสนดีจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกไปยังนอกเรือน มิเมคว้าผ้าคลุมสีเข้มของตัวติดตามนายออกไปด้วย ไม่ลืมกำชับบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากเวียงช่วยดูแลเรือนให้ดี
แม่หญิงเวียงพิงสวมรองเท้าผ้าสีดำคู่ประจำของเธอเข้าคู่กับผ้าซิ่นต๋าต่อตีนจกอย่างผ้าซิ่นดอยเต่าที่ยายได้มาจากการติดต่อซื้อขายทางเรือล่องระมิง (เรือล่องแม่น้ำปิง) ทิ้งหางสะเปาดำบนตีนซิ่นสีแดงเข้ม แม้หางสะเปาจะสั้นกว่าตีนจกแม่แจ่มที่เธอมีอยู่ในหีบผ้า แต่ความงดงามนั้นกินกันไม่ลงเลยจริงๆ เป็นที่รู้กันดีในหมู่คาราวานช้างที่มาถึงปางพ่อเลี้ยงตันฉเวว่า แม่หญิงเกี้ยวจันทร์นั้นพกผ้าซิ่นมากว่าหลายสิบผืน วันไหนอยากนุ่งลายใดก็จะหยิบเลือกลายนั้นออกมานุ่ง เลือกสรรให้เข้าคู่กับผ้ารัดอกและสไบห่มเฉียงของเธอ
วันนี้หญิงสาวเลือกผ้ารัดอกสีครามเข้มให้เข้ากับตัวซิ่นต๋าสีน้ำเงินแกมเขียว ห่มผ้าตุ๊มสีเดียวกันกับผ้ารัดอก ขับผิวขาวให้ขาวผ่องยิ่งขึ้น ร่างงามก้าวไปตามทางเดินดิน ไม่มีเป้าหมายว่าอยากเดินไปยังที่แห่งใด อาศัยว่าก้าวไปข้างหน้า หากมีอะไรน่าสนใจก็จะแวะชมแวะดู มิเมที่ก้าวตามมากางจ้องแดงหรือร่มแดงคันเล็กปกหัวแม่นายน้อย หวั่นเกรงว่าหมอกเหมยจะตกลงกับหัวนาย มิวายจะเจ็บป่วยเสียจนล้มหมอนนอนเสื่อกลางดง
“แม่หญิงจะไปไหนเจ้า” มิเมถาม สองขายาวก้าวฉับๆ ตามอยู่ไม่ยอมห่าง ด้วยหมอกหนายังคงไม่จางไป เบื้องหน้าถัดออกไปอีกราวยี่สิบก้าวยังเห็นเป็นม่านหมอกขาวอยู่เลย
“ไปดูขัวอยากเห็นขัวในหมอก” เกี้ยวจันทร์เอ่ยอยากเห็นสะพาน เหตุเพราะไม่อยากอยู่ใกล้เรือนใหญ่ของนายห้างมากนัก เกรงจะเจอปิตาตัวกำลังพลอดรักกับอีไพร่ต่ำตม แม้ในยามนี้ทั้งสองจะยังคงไม่ตื่นนอนก็ตามที
เสียงนกน้อยร้องขับขานรับรุ่งอรุณอันขาวโพลนอย่างเริงร่า ทำให้เกี้ยวจันทร์และมิเมรู้สึกตื่นตัวตามไปด้วย ใบหน้างามของเกี้ยวจันทร์มีรอยยิ้มหวาน เมื่อใดกันที่มนตร์เสน่ห์ของป่าทำให้เธอลุ่มหลง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหา พยายามจับจ้องนกน้อยที่โบยบินอยู่เหนือหัว ผสานเสียงร้องกับช้างใหญ่ยังปางช้างที่อยู่ถัดออกไปจากสะพานไม้ใหม่ ความรู้สึกอยากเที่ยวเล่นยังปางไม้แห่งนี้เริ่มก่อเกิดภายในใจของเธอบ้างแล้ว
“เดินดีๆ เน่อเจ้า” พี่เลี้ยงเธอยังเอ่ยย้ำ เพราะแม้ทางเดินจะเรียบ ทว่าก็ยังคงชื้นด้วยไอหมอก สองสาวจากเวียงเชียงใหม่ก้าวเดินไปเคียงข้างกัน กระทั่งทั้งคู่ก้าวมาถึงซุ้มประตูโขงไม้สักใหญ่
เกี้ยวจันทร์ทาบมือไม้ท่อนโตพลางเหลือบมองออกไปยังด้านนอกเขต หรี่ตาสำรวจว่า ด้านนอกนั้นมีผู้คนอยู่มากเท่าเมื่อวานหรือเปล่า ภาวนาขออย่าให้ได้เจอไอ้เงี้ยวคนนั้นอีกเลย หากพบหน้าจะหยิบก้อนหินปาเสียให้เข็ด โทษฐานที่เมื่อวานมันโยนซากกระต่ายใส่เธอ แต่ทั้งหมดคงอยู่ได้เพียงภายในหัว ด้วยหมอกที่ลงจัดทำให้เธอและมิเมไม่สามารถมองเห็นอะไรที่ยืนอยู่บนสะพานได้เลย
“มองบ่เห็นอะไรเลย” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์จุปากอย่างรำคาญใจ แม้หมอกจะงดงามเพียงใดก็ตาม แต่มันทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีเอาเสียเลย
“กลับไปที่เรือนก่อนบ่เจ้า” มิเมเสนอ รู้สึกหวั่นอยู่ภายในใจพิกล
“บ่เอา เราตื่นแล้ว บ่อยากกลับไปรอ” เกี้ยวจันทร์ดึงดัน ก้าวเดินลงไปตามทางเดินอย่างระแวดระวัง หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเมื่อเริ่มเข้าใกล้สะพาน รู้สึกตื่นเต้นปนหวาดกลัวแตกต่างจากมิเมที่เริ่มวิตก กลัวว่าจะมีเสือดอดมาคาบหล่อนไปกิน
“แม่หญิงเจ้า…มันอันตรายหนา~” พี่เลี้ยงเธอยังคงโยเย ส่งเสียงงอแงอย่างไม่อยากตามใจแม่หญิง แต่ก็ขัดใจเธอไม่ได้ ทั้งสองก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ดวงตากลมของมิเมมองซ้ายทีขวาทีอย่างลุกลี้ลุกลน
เมื่อทั้งสองเดินเข้าใกล้สะพานไม้ใหม่มากขึ้น ภาพทุกอย่างจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน อาจเพราะตรงสะพานไม่ค่อยมีร่มไม้ใหญ่ปกคลุม แสงแดดในยามเช้าจึงพอทำให้เมฆหมอกจางตา
ดวงตางามสีน้ำตาลอ่อนของเกี้ยวจันทร์เห็นได้ไกลถึงอีกฟากหนึ่งของสะพาน ใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหัวสะพานฝั่งนี้ทำให้เธอลำบากใจ เป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนพูดคุยกับกายาใหญ่เจ้าของลายสักขาลายแปลก คนที่ทำกิริยาเลวทรามใส่เธอเมื่อวาน เกี้ยวจันทร์หยุดกึกในทันที คิ้วเรียวขมวดกันแน่น อยากก้มลงเก็บก้อนหินแล้วปาเข้าใส่ แต่เสียงหนึ่งที่ตะโกนเรียกชื่อเธอเป็นเสียงสุ่นคำที่กำลังยืนพูดคุยอยู่กับพรานอีกคน
“แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เจ้า! มาได้อย่างใดเจ้า” สองมือเล็กของสุ่นคำกำชายผ้าซิ่นตัว เร่งรี่เข้ามาหาแม่หญิงจากเวียงเชียงใหม่ที่ออกมาเดินเล่นไกลจากเรือนรับรอง
“เดินมา” เกี้ยวจันทร์ตอบเพียงสั้น น้ำเสียงดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย มิหนำซ้ำดวงตางามของเธอกลับจ้องเขม็งไปยังไอ้เงี้ยวอย่างคาดโทษ
“เอ่อ…เจ้า…” สุ่นคำได้แต่ยิ้มแหย พลางมองตามสายตาขุ่นเคืองของเกี้ยวจันทร์ไปยังไอ้เงี้ยวคนเมื่อวาน หัวใจดวงเล็กๆ เต้นอยู่ตุ๊มๆ ต้อมๆ หวั่นกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า หล่อนอาจต้องลองชวนให้แม่หญิงเดินไปทางอื่น หรือไม่ก็กลับไปไล่ให้ไอ้เงี้ยวผู้นั้นไปยืนยังจุดอื่นแทน แต่ไม่ว่าทางใดก็ลำบากใจหล่อนทั้งสิ้น
ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ กายาใหญ่กลับก้าวเข้ามาหา ทำให้มิเมรีบขยับเข้ากางแขนกางขากันแม่หญิงของหล่อนในทันที สุ่นคำที่เห็นก็พลอยช่วยกันด้วยอีกแรง เพียงแต่ครั้นเมื่อกายาใหญ่ก้าวเข้ามาอยู่ในระยะ ฝ่ามือหนาพลันปลดผ้าถักสีแดงที่คาดพาดไว้กับหน้าผากเขาออก ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมา
“ไอ้เงี้ยว! ออกไปจากแม่หญิงของกู!” มิเมตะคอกเสียงแข็ง
“ไอ้เงี้ยว! ออกไป! พ่อช่วยด้วย!” สุ่นคำตะโกนเรียกชายอีกคนที่ยืนอยู่ แต่ท่าทางของชายคนนั้นไม่ได้ทุกข์ร้อนใดๆ เลย ออกจะรู้สึกขบขันที่สองสาวมิเมและสุ่นคำโหวกเหวกโวยวายเสียมากกว่า
เสี้ยวจันทร์ที่ถูกกันเอาไว้ถึงกับก้าวถอยออกไปก้าวหนึ่ง เธอไม่รู้เลยว่าชายคนนี้ต้องการจะทำอะไร บางทีมันอาจโกรธเธอที่เธอกระทืบเท้าใส่มันเมื่อวาน
ยิ่งเข้ามาใกล้เจ้าของกายาใหญ่ก็ดูใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจดวงเท่ากำปั้นของเกี้ยวจันทร์แทบหยุดเต้น แล้วสิ่งที่ถูกยกยื่นให้เธอนั้นเป็นหับนกใบใหญ่ ภายในมีเจ้าขนฟูหูยาวตัวสีเทามอซออยู่ตัวหนึ่ง หนวดเส้นเล็กๆ ของมันขยับฟุดฟิด ปากเล็กๆ ยังคงคาบหญ้าเส้นหนึ่งไว้อยู่เลย
มิเมและสุ่นคำแผดเสียงร้องอย่างตกใจ เพียงแต่เมื่อตั้งสติได้และรับรู้ว่าภายในหับนกนั้นเป็นลูกกระต่ายตัวกระจ้อย ทั้งสองจึงนึกโล่งอก ขณะที่ดวงตากลมของเกี้ยวจันทร์เป็นประกายระยิบ
“อะไร!” แม้จะอยากได้มันใจจะขาด เพียงแต่ทิฐิของเธอสูงเสียดฟ้าเหลือเกิน “เราบ่เอา!” แม่หญิงเวียงเชียงใหม่ปฏิเสธออกไปอย่างฉะฉาน
“บ่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลัง” เกี้ยวจันทร์ทำใจดีสู้เสือ เธอตวาดกลับไปอย่างไม่ยอมรับน้ำใจของเขา แม้จะลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอพร้อมกับสองมือเธอที่กำแน่นกึกอยู่ก็ตาม ถึงกระนั้นชายร่างสูงยังคงยื่นให้ เจ้ากระต่ายน้อยนั้นตัวเล็กกว่าฝ่ามือเขาอยู่มาก มันขยับหางกระดุกกระดิก พลางทำจมูกฟุดฟิดน่ารักเชียว
แน่นอนว่าโอกาสที่จะได้เลี้ยงกระต่ายมาถึงตรงหน้าของเธอแล้ว หากไม่ยอมคว้าไว้ตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสนี้อีก ตอนนั้นเองที่ขวัญศรีเจ้าปัญหาเพิ่งตื่นนอน และเดินออกมาจากเรือนไม้บั่วใกล้ๆ กัน ครั้นเมื่อหล่อนเห็นกายาใหญ่ก็รีบร้องทัก สองขาในผ้าซิ่นสีมอซอก้าวฉับๆ เข้ามาหาชายคนนี้ในทันที ดวงตางามของเกี้ยวจันทร์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอนั้นเป็นกังวล กลัวจะถูกลูกควาญช้างแย่งลูกกระต่ายไป
แววตาสุกใสดั่งหยาดน้ำค้างกลิ้งอยู่กลางใบบัวจ้องมองเข้ามาในดวงตากลมของเธอ มันดูเหมือนกับว่า ไอ้เงี้ยวผู้นี้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอต้องการลูกกระต่ายเหลือเกิน
“อุ๊ย! ขะต่าย น่าฮักขนาด (น่ารักมาก)” ขวัญศรียิ้มร่า ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังดูถูกดูแคลนเธอที่อยากได้กระต่ายตัวเป็นๆ อยู่เลย
“น้องอยากได้ อ้ายให้น้องได้ก่อ” อยู่ดีๆ สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ก็ทำทีจะคาบลูกกระต่ายไปต่อหน้าต่อตาเธอ
“บ่ได้!” เกี้ยวจันทร์รีบร้องห้าม เธอรีบเขย่าชายสไบของมิเมให้หล่อนรีบคว้าหับนกนั้นมา พี่เลี้ยงของเธอรีบทำตามคำสั่งในทันที รอยยิ้มจางๆ บนมุมปากเข้มของกายาใหญ่กระดกขึ้นน้อยๆ อย่างพอใจ ทำให้เกี้ยวจันทร์รู้สึกหมั่นไส้เขาเหลือเกิน
“อ้าว ก็นึกว่าจะไม่เอา…อ้าย! อ้ายหามาให้น้องอีกสักตัวได้ก่อ” ครั้นเมื่อขวัญศรีเห็นว่ากระต่ายตัวนี้น่ารัก แต่มีเจ้าของแล้ว จึงร้องขอต่อชายร่างใหญ่ให้ช่วยหากระต่ายเพิ่ม เพียงแต่ว่า…
“บ่ได้! ในปางนี้มีเราเลี้ยงขะต่ายได้ผู้เดียว! ไอ้เงี้ยว! เราสั่งห้ามบ่ให้หาขะต่ายให้ไผอีก!” เกี้ยวจันทร์ถลึงตาใส่ ออกปากสั่งกายาใหญ่ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังคิดจะปาหินใส่อยู่เลย
ชายเจ้าของลายสักขาลายถึงกับอมยิ้มขำอยู่คนเดียว เขาก้มหน้าลงและหันหลังกลับไปหาพรานต่อมที่ยืนยิ้มร่ารออยู่ ขวัญศรีจำต้องรี่ตามไป ด้วยเกรงว่าอยู่นานจะถูกเกี้ยวจันทร์สั่งโบยเอาไม่รู้ตัว
ส่วนแม่หญิงเกี้ยวจันทร์นั้น เธอต้องทำทีเป็นไม่สนใจกระต่ายในหับนกไปเสียก่อน รอให้กลับเข้าไปยังเขตที่พักของนายห้าง เธอค่อยเปิดมันกดกอดก็ยังไม่สาย…
ความคิดเห็น |
---|