2
เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
“โอเครึเปล่าโช” ชนินทร์ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อดาราสาวในสังกัดเดินกลับมานั่ง แต่เมื่อโชติกายิ้มให้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความสบายใจ “รู้ไหมแกทำให้พี่เป็นห่วง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่นี้จิ๊บๆ” หญิงสาวทำท่าประกอบคำพูดพร้อมกับขยิบตาให้ พอดีกับที่เจ้าสัวและภรรยาเดินมาทักทายที่โต๊ะพอดี บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณที่มาร่วมงานนะครับ” ท่านเจ้าสัวพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ๊ะ! นั่นใช่คุณโชติกาหรือเปล่าครับ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะที่ท่านเจ้าสัวจำโชได้” โชติกาพูดเสียงนอบน้อมและยิ้มกริ่มด้วยความยินดี
แปลกใจไม่น้อยที่ท่านเลือกจะทักเธอ ทั้งที่แขกร่วมโต๊ะต่างก็มีชื่อเสียงทั้งนั้น ทว่านี่เป็นโอกาสทองของเธอ ในเมื่อพ่อว่าที่สามีทักทายมาขนาดนี้ก็อย่าทำให้เสียชื่อขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนเด็ดขาด
โชติกาพยายามไม่สบตากับหนุ่มหล่อที่หมายปอง เพราะคำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้ายังดังก้องในหู ‘อย่าแสดงออกจนเกินงาม’ เธอเฝ้าแต่ท่องคำนี้ไว้ในใจและเพียงยิ้มหวานออกมาเท่านั้น
“มีใครบ้างล่ะที่จำ โชติกา ประกายวรรณ ไม่ได้ ที่สำคัญยอดขายอันดับหนึ่งตลอดกาลของหนังสือเราคือเดือนที่มีหนูมาขึ้นปกให้ ทำไมฉันจะจำไม่ได้”
“เพราะหนังสือของท่านเจ้าสัวต่างหากค่ะที่ทำให้คนรู้จักโชมากขึ้น”
“หนูนี่นา...เอาเป็นว่าตามสบายแล้วกันนะ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้”
“ขอบคุณค่ะท่านเจ้าสัว” หญิงสาวพนมมือไหว้ด้วยความอ่อนช้อย ไม่ให้เสียชื่อนักแสดงสาวซุป’ตาร์ที่ร่ำเรียนวิชาการแสดงมายาวนาน
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปทักทายแขกคนอื่นก่อนนะ”
โชติกาส่งยิ้มให้ท่านเจ้าสัวและภรรยาอีกครั้ง เลยไปถึงลูกชายของท่านที่กำลังมองมาพอดี หญิงสาวผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นเขามองเธออยู่ ไม่รู้ว่าเขาจ้องเธอมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ต้องรีบดึงสายตากลับ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอกำลังตระหนกตกใจและดีใจจนเนื้อเต้นเป็นจังหวะแทงโก้
เมื่อเจ้าของงานและครอบครัวเดินจากไปแล้ว โชติกาก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ดูไม่ใช่แกเลยยายโช” ชนินทร์พูดให้ได้ยินเพียงสองคน การกระทำที่ดูอ่อนช้อยและเป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมของโชติกาเมื่อครู่ทำให้แปลกใจ ไม่รู้ว่าดาราสาวจะมาไม้ไหนกันแน่
“แล้วพี่แชมป์คิดว่าถ้าเป็นโชตัวจริง คุณพีเขาจะสนใจไหม”
“ฉันตอบแทนเลยว่า ไม่!”
เพราะรู้ว่าสิ่งที่โชติกาแสดงออกกับชีวิตจริงนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ยังนึกชื่นชมเจ้าหล่อนที่แสดงให้คนอื่นเชื่อได้ว่าเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน
“เราต้องอย่าแสดงออกจนเกินงาม ทำตัวให้เป็นผู้หญิงน่าสนใจ ที่สำคัญอย่าคิดไปลงแข่งกับผู้หญิงคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันจะทำให้เราเสียคะแนน ใช้รอยยิ้มพิมพ์ใจของโชนี่แหละเรียกความสนใจจากเขา”
“แกดูฉลาดขึ้นนะโช รู้ไหมแกทำให้ฉันลืมภาพเกรดสองจุดศูนย์หนึ่งของแกตอนจบ ป. ตรีไปเลย”
“นี่คำชมเหรอพี่แชมป์” โชติกาย่นจมูกใส่ ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องเรียน ได้ใบปริญญามาครองก็ดีตายชัก “เกรดเฉลี่ยไม่ได้บ่งชี้ทุกอย่างของชีวิตหรอกน่า”
“ฉันแค่จะบอกว่าแกรู้จักคิดขึ้นเยอะ”
“ปกติโชทำอะไรไม่คิดหรือไง” หญิงสาวย้อนถาม
“ก็ใช่น่ะสิ”
“พี่แชมป์!”
“เอาเถอะน่า แล้วนี่แกจะทำยังไงต่อ” ชนินทร์รีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะถูกดาราสาวหักคอตายเสียก่อน พร้อมกับพยักพเยิดให้ดูสองสาวไฮโซโต๊ะตรงหน้าที่กำลังเล่นหูเล่นตากับลูกชายเจ้าสัวธนินทร์ “แกคงตามพวกหล่อนไม่ทัน”
“เคยได้ยินไหม ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามไง”
“กลัวมันจะไม่ทันการน่ะซี้ เพราะพร้าเล่มงามน่ะถูกงาบไปกินก่อน”
“เชื่อโชเถอะน่าพี่แชมป์” โชติกาบอกผู้จัดการให้เชื่อตน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะลองเชื่อคำแนะนำจากผู้ชายด้วยกันคงดีกว่าเชื่อตัวเองเป็นไหนๆ
...
สองสาวอยู่ร่วมงานวันเกิดท่านเจ้าสัวธนินทร์จนถึงงานเลิกก่อนจะพากันกลับ ทั้งสองเดินออกมาที่ลานจอดรถซึ่งบ้านวิสิทธิ์ธรานนท์จัดแจงให้
“ฉันไม่เห็นแกจะทำอะไรคุณพีเขาเลย” ชนินทร์ถามขึ้นระหว่างเดินไปที่รถส่วนตัว
“ใครว่าโชไม่ทำล่ะพี่แชมป์” โชติกายิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ตายแล้วพี่แชมป์ โชลืมมือถือไว้ที่โต๊ะแน่ๆ เลย” หญิงสาวเปิดดูกระเป๋าถือของตัวเองไปด้วย
“หาดีแล้วรึยัง”
“โชหาดีแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่แชมป์ไปรอโชที่รถก่อนนะคะ เดี๋ยวโชเดินกลับไปดูที่โต๊ะก่อน เผื่อมีใครเก็บไว้ให้” หญิงสาวพูดด้วยความกระวนกระวายใจ
“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม” ชนินทร์ถามด้วยความหวังดี เพราะจากลานจอดรถเข้าไปในงานถือว่าไม่ใกล้นัก
“ไม่เป็นไรค่ะ โชจะรีบไปรีบกลับ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปรอที่รถก่อนก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ”
โชติกาหมุนตัวกลับเพื่อเดินเข้างานอีกครั้ง ทว่ากลับต้องตกใจจนผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ ซ้ำยังโชคร้ายที่พื้นด้านหลังเป็นหลุม ทำให้จังหวะก้าวเสียสมดุลจนหงายหลังไป
แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ เมื่อชายร่างสูงที่เดินตามหลังมาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นได้ล้มลุกคลุกดินไปเรียบร้อย
โชติการีบคว้าร่างสูงไว้เป็นที่ยึดตามสัญชาตญาณ พอดีกับที่ชายหนุ่มคว้าเอวคอดของเธอไว้ ทำให้ตอนนี้ร่างทั้งสองแนบชิดกันแม้แต่อากาศก็ยังผ่านไม่ได้
ทั้งสองจ้องตากันในระยะประชิดเพราะไม่มีใครคาดหมายว่าจะตกอยู่ในท่วงท่าแบบนี้
“เอ่อ...ขอบคุณที่ช่วยโชไว้นะคะ...คุณพีรภัทร”
โชติกาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนพร้อมทั้งขยับกายให้เจ้าของร่างสูงปล่อยตัวเอง ทั้งที่ความจริงเธออยากจะอยู่ในท่านี้ให้นานเท่านาน ทว่าคำพูดของผู้ให้คำชี้แนะยังดังก้องในหัว จึงได้แต่ตัดใจ
‘ผู้ชายอะไร ตัวหอมเป็นบ้า’ โชติกาคิดในใจ แต่ก็พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
เธอตั้งใจลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะเพราะเห็นเป้าหมายเดินสำรวจความเรียบร้อยของงาน จึงลองเสี่ยงดวงเอา หวังว่าเขาจะตามหาเจ้าของมือถือ เพราะรูปพักหน้าจอเป็นรูปของเธอ ทว่าจนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ไม่ยอมมาติดกับเสียที จนคิดว่าต้องเดินกลับไปเอาโทรศัพท์ที่ตั้งใจลืมไว้ด้วยตัวเอง
ช่วงเวลาที่โชติกากำลังตัดสินใจกลับเข้าไปในงานก็เหลือบเห็นหนุ่มร่างสูงคุ้นตาจากกระจกมองข้างของรถคันหนึ่ง จึงแสร้งบอกผู้จัดการสาวไปแบบนั้น
เมื่อคนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้จึงหมุนตัวกลับไปเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ และแล้วพระเอกในชีวิตจริงก็ทำเหมือนพระเอกในละครเปี๊ยบ นั่นคือรับนางเอกที่กำลังเสียหลักหงายหลังได้ทันท่วงที
การที่เธอเป็นนักแสดงมากฝีมือ การแสดงออกทั้งท่าทางและสีหน้าจึงทำได้ดีจนเป้าหมายไม่มีทางรู้ทัน
‘ถึงจะเป็นนางเอกมาตลอดทั้งชีวิต แต่ว่าฉันก็เรียนรู้บทนางร้ายมาดีเหมือนกัน หึๆ’ หญิงสาวยิ้มลำพองในใจ ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมานั้นคือรู้สึกผิดเสียเต็มประดา
“ไม่เป็นไรครับ” พีรภัทรปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระพร้อมกับเว้นระยะห่างให้เหมาะสม
“ถ้าอย่างงั้นโชขอตัวก่อนนะคะ พอดีโชลืมของไว้ในงาน ขอบคุณคุณพีรภัทรอีกครั้งนะคะที่ช่วยโชไว้” เธอแสร้งทำสีหน้าร้อนรน ก่อนจะเดินเลยชายหนุ่มไปด้วยความรีบร้อน
“เดี๋ยวสิครับคุณโช” พีรภัทรถือวิสาสะคว้ามือนุ่มไว้ในจังหวะที่เธอเดินผ่านตัว
โชติกาอมยิ้มเมื่อเป้าหมายเดินตามเกมที่วางไว้ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันกลับไปเลิกคิ้วถามเขา มองเลยไปที่มือแกร่งซึ่งจับมือเธอไว้
“ขอโทษที่รุ่มร่ามครับ” พีรภัทรรีบปล่อยมือสาว กระแอมตอบคำถามทางสายตาเธอ “ถ้าของที่คุณโชว่าคือสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ ไม่ต้องเดินไปให้เมื่อยแล้วครับ”
พีรภัทรชูสมาร์ตโฟนซึ่งเป็นของแขกที่ลืมไว้ที่พนักงานเอามาให้ตน เขาจึงวิสาสะกดเข้าไปดูหน้าจอ ถึงจะตั้งรหัสไว้ แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเครื่องเป็นใคร เพราะภาพพักหน้าจอตอบคำถามเขาได้เป็นอย่างดี
“โอ๊ะ! นั่นมือถือของโชนี่คะ” โชติกาแสร้งตาโตอย่างไม่คาดคิด
“ใช่ครับ” พีรภัทรยื่นสมาร์ตโฟนในมือให้เจ้าของ มองหญิงสาวที่ยิ้มด้วยความดีใจเมื่อได้รับของคืน
รอยยิ้มของโชติกาติดตาเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ซึ่งเขายอมรับเลยว่าเธอยิ้มสวยจนเขาลืมไม่ลง และจำชื่อเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนเป็นพ่อออกปากทักทาย
“ขอบคุณนะคะ โชนี่ขี้ลืมจริงๆ เลย คุณพีรภัทรเลยลำบากไปด้วย” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์คืน ทั้งยังตำหนิตัวเองที่ขี้ลืมจนชายหนุ่มต้องลำบาก
“ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นเจ้าของงาน ยินดีบริการเต็มที่” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ “แล้วคุณโชเรียกผมว่าพีเฉยๆ ก็พอครับ ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้น ผมไม่ค่อยชินน่ะ”
“ยินดีค่ะคุณพี” โชติกาไม่ปฏิเสธ เธอพร้อมเรียกเขาว่า ‘ที่รัก’ ด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่คำนึงถึงความเป็นกุลสตรีอาจมีทุบหัวลากเข้าถ้ำไปแล้ว “ถ้าอย่างนั้นโชขอตัวก่อนนะคะ ป่านนี้พี่แชมป์คงรอจนเบื่อแล้ว”
“ครับ”
โชติกาโบกมือลา ก่อนจะเดินเร็วไปที่รถตามคำพูดโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเป้าหมายอีก ไม่เช่นนั้นเขาจะสงสัยถึงความจริงที่เธอพยายามปกปิดไว้ แต่ทันทีที่ขึ้นรถและปิดประตูเรียบร้อยก็กรีดร้องออกมาด้วยความอัดอั้น
“กรี๊ด!!! พี่แชมป์!!!”
“ฉันเห็นแล้วย่ะ แผนสูงนะแกยายโช”
ชนินทร์เบ้ปากใส่ยายผู้หญิงเจ้าแผนการ นี่ถ้าไม่เหลือบไปเห็นพีรภัทรที่เดินตามมาไกลๆ คงคิดว่าโชติกาลืมโทรศัพท์มือถือไว้จริงๆ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นแผนของเจ้าหล่อนทั้งหมด แถมยังสำเร็จอีกต่างหาก
“ถ้าเป็นนางเอกแล้วต้องขึ้นคาน ขอสลับวิญญาณเป็นนางร้ายเสียยังดีกว่า”
“ย่ะ คุณนางร้าย”
เธอยิ้มเขินและพูดเสียงจริงจัง “คุณพีหล่อโฮกอ้ะพี่แชมป์ ตัวงี้หอมมากๆ นี่ถ้าโชไม่ใช่นางเอกรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อน คงเหวอแตกต่อหน้าคุณพีเขาแน่ๆ ผู้ชายอะไรน่ารักเป็นบ้า”
“พี่ว่าคุณพีเขาอะไรยังไงกับแกอยู่นะ” ชนินทร์ออกความเห็น แต่ก็ไม่กล้าฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์
“เขาอะไรยังไงกับโชสิดี เพราะนั่นคือสิ่งที่โชต้องการ”
“ขอให้ฉันมองไม่ผิดทีเถอะ”
ชนินทร์ขับรถออกจากลานจอดรถของงานตรงไปส่งโชติกาที่คอนโด ระหว่างทางกลับก็ได้รับสายซึ่งเป็นเบอร์ที่โทร. มาจากต่างประเทศ และคุ้นชินดีกับปลายสาย “ว่ายังไง...”
“ผมต้องการใช้เงิน”
“รอบนี้จะเอาเท่าไหร่ล่ะ”
“สองล้าน” ปลายสายบอกจำนวนเงินที่ตัวเองต้องการ
“มันเยอะเกินไปไหม” ชนินทร์แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะจำนวนเงินมากขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ อยู่มาก แถมเงินในบัญชีของโชติกายังเหลือไม่มากอีกต่างหาก
“ถ้าพี่ไม่ให้ ผมจะไม่โทร. มาหาอีก เลือกเอาก็แล้วกัน” อีกฝ่ายขู่ และน้ำเสียงจริงจังนั้นเองที่ให้ชนินทร์ต้องตอบตกลงไป
“โอเคๆ เดี๋ยวพี่จัดการให้”
“ขอบคุณครับ” ปลายสายพูดจบก็ชิงวางสายไปทันที
ชนินทร์ได้แต่ถอนหายใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามความต้องการของอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
โชติกาตื่นขึ้นมาในยามเช้าด้วยความสดชื่น ได้หลับสบายตลอดทั้งคืน แถมยังฝันดีถึงเป้าหมายที่เธอเตรียมพุ่งชน หญิงสาวดึงที่ปิดตาออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบิดตัวยืดเส้นยืดสาย
“วันนี้ต้องไปออกกำลังกายซะหน่อยแล้ว” เธอวางกำหนดการให้ตัวเอง
ถึงอายุจะล่วงเลยมาเกือบสามสิบห้าปีในอีกไม่กี่เดือน แต่การที่เป็นนักแสดงต้องดูแลรูปร่างให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยจนเป็นประจำ ทว่าอย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์ก็ต้องมีสักวันสองวันที่ได้ยืดเส้นยืดสาย
โชติกาลุกขึ้นจากที่นอนเข้าชำระร่างกายออกมาด้วยชุดเตรียมพร้อม หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอแล้วเดินออกจากห้องเพื่อลงไปที่ชั้นฟิตเนส ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมาก็แทบเช็ดเลือดกำเดาไม่ทัน เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือผู้ชายรูปร่างดีมากๆ คนหนึ่งกำลังเปลือยท่อนบน ท่อนล่างมีเพียงกางเกงยีนพอดีตัว แต่เอวกลับต่ำจนเห็นขอบกางเกงชั้นในสีขาวยี่ห้อดัง และเขากำลังปีนบันไดเพื่อเปลี่ยนหลอดไฟหน้าห้องที่เสียเมื่อวันก่อน
สิ่งที่เรียกความสนใจจากเธอได้เป็นอย่างดีคือรูปร่างสูงเพรียวที่มีกล้ามหน้าท้องเป็นลอนเรียงตัวสวย เหงื่อไคลที่ไหลจากกรอบหน้าลงลำคอ ผ่านร่องอกตกที่หน้าท้องแกร่ง ก่อนจะไหลซึมตามไรขนใต้สะดือลงไปที่ขอบกางเกง และปลายทางของมันก็อยู่ที่...
“ผู้หญิงสมัยนี้เขามองผู้ชายด้วยสายตาแบบนี้กันเหรอ”
เสียงทุ้มคุ้นหูทำให้โชติกาหันหน้าไปมองช่างไฟทันที และใบหน้าที่คุ้นตาทำให้เธออ้าปากค้างหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่คาดคิดว่าผู้ชี้แนะทางสว่างให้เธอเมื่อคืนก่อนจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในตอนนี้
“นาย!”
“รู้ไหมคุณผู้หญิง สายตาของคุณนี่น่ากลัวเป็นบ้า” ติณณภพปีนลงจากบันไดเมื่อเปลี่ยนหลอดไฟดวงที่เสียเสร็จ
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้แค่ว่าตนเองกำลังถูกจ้อง แต่เพราะกำลังทำงานติดพันเลยไม่ได้สนใจ ทว่าเมื่อเสร็จงานจึงหันไปมอง ได้พบกับหญิงสาวสวยจัดแม้ไม่ได้แต่งหน้าที่อยู่ในชุดออกกำลังกาย
เมื่อเพ่งมองดีๆ เลยจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เขาเจอในงานวันเกิดของท่านเจ้าสัวธนินทร์ ทว่าสายตาเจ้าหล่อนกลับไม่ได้จ้องที่หน้าเขา แต่เธอกำลังมองมาด้วยสายตาบางอย่างตามลำตัวเขาตั้งแต่คอเรื่อยลงมาจนถึง ‘เป้ากางเกง’ นี่ถ้าไม่ออกปากทัก เจ้าหล่อนคงจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้วกระมัง
“นะ...นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” โชติกาพยายามเบี่ยงประเด็น ไม่สนใจที่เขากำลังพูดถึง แต่เอาเข้าจริงทำยากเหลือเกินเมื่อหุ่นเขาดีไปทุกสัดส่วนแบบนี้ เธอพยายามไม่มองต่ำกว่าปลายคางที่มีหนวดเคราปกคลุมของคนตรงหน้า แต่กล้ามท้องน่ามองของเขาก็คอยแต่จะดึงสายตาเธอให้มองต่ำอยู่ร่ำไป
เกิดมาจนอายุสามสิบสี่ปีเจ็ดเดือนยังไม่เคยเห็นซิกซ์แพ็กใครน่าลูบไล้เท่านี้มาก่อน แม้จะเคยเห็นของผู้ชายคนอื่น หรือนักแสดงชายที่ร่วมงานกันมาหลายคน แต่ของคนตรงหน้ากลับทำเธอเสียสติได้เป็นอันดับหนึ่ง
“นายเป็นช่างไฟของคอนโดเหรอ” เธอคาดเดาจากสิ่งที่เขาทำ ไม่รู้ว่าทางคอนโดเลือกช่างไฟจากหน้าตาหรือไม่ นี่ถ้าเขามาเปลื้องผ้าต่อหน้าคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ถูกลากเข้าห้องคงโทษใครไม่ได้ นอกจากรูปร่างของเจ้าตัวที่มันล่อตาล่อใจซะเหลือเกิน
“พูดกับผมกรุณามองหน้าอย่ามองอย่างอื่นสิครับ” ติณณภพแทบหลุดขำเมื่อคนตรงหน้าเหล่ตามองลงต่ำกว่าหน้าเขาด้วยท่าทางน่าขัน แถมยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่เขาเพิ่งจับได้คาหนังคาเขา
คนถูกจับได้เฉไฉด้วยความเก้อเขินพร้อมกับเงยหน้ามองเขาอย่างที่ปากพูด “ก็...มองหน้าอยู่นี่ไง”
“โอเค ผมจะเชื่ออย่างที่คุณบอกก็ได้” ติณณภพยกมือยอมแพ้ แต่ประโยคต่อมาของเธอทำเขาสำลักลมหายใจ
“นี่นาย...ช่างเปลี่ยนหลอดไฟจำเป็นต้องถอดเสื้อโชว์กล้ามด้วยเหรอ” โชติกาอดจะออกปากถามไม่ได้ เพราะปกติที่เห็นช่างไฟต้องแต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มของบริษัทที่ตัวเองสักกัดอยู่ แต่จากการแต่งตัวของเขาเหมือนกำลังเปลี่ยนหลอดไฟที่บ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น และต่อให้ดูยังไงที่นี่ก็ไม่น่าจะใช่บ้านของเขา
“ไม่จำเป็น” เขาตอบตามสิ่งที่คิด
“อ้าว...แล้วนายจะถอดเสื้อทำไม”
‘ก็เพราะผมไม่ใช่ช่างเปลี่ยนหลอดไฟน่ะสิแม่คุณ’
ติณณภพตอบเพียงในใจไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดให้อีกฝ่ายแต่อย่างใด สภาพภายนอกเขาคงเหมือนช่างไฟกระมัง แต่คงไม่แปลกเพราะก่อนหน้านี้เธอเคยทักว่าเขาเป็นคนดูแลเรื่องอาหารมาแล้วครั้งหนึ่ง สุดท้ายนี้ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนตาไม่ถึงหรือว่าสภาพของเขาเกินเยียวยาแล้วกันแน่
“ข้างนอกมันร้อนไง” เขาบอกเหตุผลโง่ๆ ไป
“แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว” ติณณภพตอบขณะเก็บบันไดและอุปกรณ์ทำงานไปด้วย
“ขอบใจนายมากๆ นะที่ให้คำแนะนำฉันเมื่อวันก่อน”
โชติกากล่าวขอบคุณจากใจจริง หากคิดแผนการเองคงเข้าไปร่วมวงชิงพีรภัทรจากผู้หญิงคนอื่นอย่างคนไม่มีอารยะอย่างแน่นอน แต่เพราะคำชี้แนะของชายหนุ่มทำให้เธอมีแผนการแสนแยบยลเข้ามาในหัว และเลือกใช้สิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดเรียกร้องความสนใจจากเป้าหมายแทน
“หืม?...”
ติณณภพหันมองหน้าหญิงสาวด้วยความข้องใจ ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้สาวเจ้ากำลังเดินหน้ารุกฆาตลูกชายเจ้าสัวธนินทร์ และดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
“มันสำเร็จไปได้ด้วยดีเชียวละ”
“เขาขอคุณเป็นแฟน?”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ถือว่าเรียกร้องความสนใจจากเขาได้เป็นที่น่าพอใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” ติณณภพยิ้มให้พร้อมกับนำเครื่องมือไปวางกองไว้ที่ผนังห้องรอเรียกคนมาเก็บ ส่วนตัวเองก็เดินเข้าห้องฝั่งตรงข้ามห้องเธอ
“เดี๋ยวสินาย” โชติกาเรียกชายหนุ่มไว้ เพราะเห็นเขากำลังจะเข้าห้องฝั่งตรงข้ามห้องตัวเอง จากที่เธออยู่ที่นี่มานานแทบจะไม่เคยเจอเพื่อนบ้านห้องนี้เลย แต่กลายเป็นว่าหนุ่มช่างไฟกำลังจะเปิดห้องฝั่งตรงข้ามเข้าไป
“ครับ” ติณณภพหยุดมือที่กำลังกดรหัสเข้าห้อง หันมาหาหญิงสาวที่เรียกเขาไว้
“เจ้าของห้องเขาจ้างนายมาทำไฟเหรอ”
“เปล่าครับ”
“แล้วทำไมนาย...”
ยังไม่ทันที่โชติกาจะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมา ติณณภพก็ชิงพูดขึ้นเสียเอง แถมยังเป็นคำถามที่เธอเตรียมจะถามเขาเสียด้วย
“กำลังสงสัยว่าผมจะเข้าไปในห้องนี้ทำไม เข้าไปได้ยังไง ใช่ไหมครับ”
“ก็...ประมาณนั้น” หญิงสาวยิ้มแหย สายตาที่เขามองมาเหมือนกำลังบอกว่าเธอกำลังทำตัวเป็นสอใส่เกือกอยู่
เธอกำลังทำตามนโยบายของคอนโดอยู่ต่างหาก ที่ให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนช่วยสอดส่องดูแลความผิดปกติ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ร่วมชั้นและตึกเดียวกัน เธอไม่ได้อยากสอดรู้สอดเห็นเสียหน่อย ที่ทำไปเพราะความปลอดภัยของทุกคนล้วนๆ
“ผมพักอยู่ที่นี่” ติณณภพตอบออกไปตามความจริง เขาเป็นเจ้าของโครงการของตึกหลังนี้และตึกข้างๆ อีกสองตึก ส่วนห้องที่กำลังจะเข้าไปนี้คือห้องพักที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เพราะห้องเดิมซึ่งอยู่อีกตึกกำลังตกแต่งใหม่ ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเข้าอยู่ได้ ที่นี่จึงเป็นห้องพักสำรองเพื่อใช้อยู่อาศัยระหว่างรอ
“มาดูแลห้องระหว่างเจ้านายไม่อยู่เหรอ”
‘สงสัยตาเธอจะไม่ถึงจริงๆ’ ติณณภพคิดในใจ ถึงขนาดบอกว่าเขาพักอยู่ที่นี่ เจ้าหล่อนยังคิดว่าเขาเป็นคนเฝ้าห้องก็เกินเยียวยาแล้วจริงๆ
“คงอย่างนั้นครับ”
“ดีจังเลยเนอะ ฉันอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามนี่เอง” หญิงสาวชี้ไปที่ประตูห้องของตัวเอง “นายต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกฉันได้เลยนะ ตอบแทนที่นายเคยช่วยฉันไง”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณความมีน้ำใจกับคนแปลกหน้าของเธอ ก่อนจะพูดขึ้นเมื่อเห็นชุดออกกำลังกายบนตัวหญิงสาว “คุณจะไปออกกำลังไม่ใช่เหรอครับ” ติณณภพทักเพราะหากยังยืนคุยกับสาวเจ้านานกว่านี้อีกหน่อย ดีไม่ดีอาชีพของเขาอาจจะเปลี่ยนไปอีกหลายอาชีพก็เป็นได้
“นั่นสิ มัวแต่คุยจนเพลิน”
โชติกายิ้มแหยๆ อีกครั้ง อาจจะเพราะไม่ค่อยได้พบปะกับใคร นอกจากผู้จัดการส่วนตัว พอได้คุยก็เลยมีบทสนทนายาวเหยียดเป็นธรรมดา แถมคนตรงหน้ายังพูดคุยธรรมดา ไม่เห็นเธอเป็นดาราดังและไม่คิดขายข่าวให้นักข่าวดังเช่นคนอื่นที่มาตีสนิท ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่จากที่เห็นเธอมองว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“เชิญครับ” ติณณภพผายมือเชิญ ก่อนจะใส่รหัสเปิดประตูห้องอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน”
และก็เขาถูกเรียกอีกครั้ง...จากคนเดิม
ติณณภพหันหลังกลับมามองคนเรียกด้วยความเบื่อหน่าย เพราะตอนนี้เขาอยากจะชำระคราบเหงื่อไคลบนตัวเต็มทน แถมยังต้องไปทำงานอีก หากมัวแต่โยกโย้อยู่หน้าห้องแบบนี้ คงได้ไปทำงานสายอีกตามเคย
“นายจะอยู่ที่นี่นานไหม”
“พักใหญ่ๆ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันเคาะประตูเรียกนายได้ใช่ไหม” เธอกลั้นใจถาม เมื่อเห็นสายตาเป็นคำถามของเขาจึงอธิบายต่อ “คือฉันยังอยากได้คำแนะนำจากนายเรื่องคุณพีรภัทรน่ะ”
“คุณคิดว่าผมช่วยคุณได้เหรอ”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันลองทำตามที่นายแนะนำมันก็ได้ผลดีนี่ ถ้าได้นายเป็นที่ปรึกษา ฉันว่างานนี้สำเร็จอย่างแน่นอน” เธอพูดด้วยความมั่นใจ “แต่ฉันไม่ได้ให้นายช่วยฟรีหรอกนะ ฉันมีค่าจ้างให้”
“เท่าไหร่”
“ห้าพันบาทขาดตัว”
“ห้าพันเนี่ยนะ”
เป็นราคาค่าตัวที่ถูกที่สุดที่เขาเคยทำงานมาเชียวละ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเขาไม่ยอมตกลงเพราะค่าจ้างน้อยไป ทั้งที่ความจริงให้ช่วยเปล่าไม่คิดเงิน เขาก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อเจ้าหล่อนเสนอมาแล้วก็ไม่อยากขัดศรัทธา
“มันน้อยไปเหรอ”
เมื่อเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่มีความสนใจงานที่เสนอ เลยคิดว่าเขาคงไม่พอใจกับค่าจ้าง นี่ถ้าเป็นเมื่อสี่ห้าปีก่อนเธอคงเสนอให้เขาเป็นล้านไปแล้ว แต่ด้วยตอนนี้สถานภาพทางการเงินของเธอไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงอยากประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทว่าก็ยังอยากได้เขาเป็นที่ปรึกษาอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นฉันเพิ่มให้อีกห้าพันรวมเป็นหนึ่งหมื่นบาท นายจะช่วยฉันไหม” โชติกาเสนออีกไปอีกเท่าตัว
“จริงๆ ผมตอบตกลงตั้งแต่ห้าพันแล้วละ”
“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นห้าพันเหมือนเดิม” เธอรีบกลับคำ เพราะตัวเองจะได้ไม่ต้องเสียห้าพันเพิ่ม แต่กลับถูกอีกฝ่ายดักคอไว้ได้ทัน
“ไม่ทันแล้วครับคุณ” ติณณภพส่ายหน้าโดยไม่คิดยินยอม อยากรู้นักว่าหญิงสาวจะทำอย่างไร
“หกพันห้าขาดตัว” โชติกาไม่ยอมแพ้ เพราะตัวเองจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
“แปดพัน”
“เจ็ดพัน”
“โอเค” ติณณภพยอมตกลงในที่สุด มองคนตรงหน้าที่เคี่ยวไม่หยอก
“ตกลงตามนั้น”
เมื่อได้ข้อสรุปอันเป็นที่พอใจ โชติกาจึงยื่นมือไปตรงหน้าที่ปรึกษาจำเป็น เพื่อจับมือแสดงความเป็นพันธมิตรต่อกัน แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจที่เธอต้องการจะสื่อ
“ก็จับมือร่วมงานกันไง” หญิงสาวอธิบายการกระทำของตัวเอง
“นี่คุณไม่ได้จะหลอกจับมือผมใช่ไหม เห็นแบบนี้ผมก็หวงเนื้อหวงตัวเหมือนกันนะครับ” เขาแสร้งเบี่ยงตัวหลบพร้อมยกมือบังหน้าอกตัวเอง
“มันควรเป็นฉันไหมที่ต้องพูดคำนั้นน่ะ” เธอมองค้อนคนหวงตัว
“แล้วทำไมคุณไม่พูดล่ะครับ มาขอจับมือผมทำไม”
“ไม่จับก็ไม่จับ!” โชติกาชักมือกลับ ทว่ากลับถูกมือแกร่งคว้าจับได้ทันท่วงที ก่อนที่เขาจะเขย่าเบาๆ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับเจ้านาย”
“ย่ะ” โชติกาดึงมือออกและบอกลาอีกฝ่าย ก่อนจะตรงไปที่ลิฟต์ลงไปชั้นฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย
ส่วนคนที่กลายเป็นที่ปรึกษาจำเป็นแบบไม่มีกำหนดระยะเวลาจ้าง ด้วยค่าแรงทำงานแบบเหมาจ่ายในราคาเจ็ดพันบาทถ้วน ได้แต่สงสัยว่าตัวเองกำลังเล่นสนุกอะไรอยู่ที่ไปรับปากหญิงสาวแบบนั้น ทั้งที่งานตัวเองก็มีก่ายกองจนเลขาฯ เอาแต่บ่นอยู่ทุกวัน แต่เมื่อรับปากไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูดสินะ ส่วนเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
เจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงแปลกที่เขาเพิ่งเคยเจอ หรืออาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาคบค้าสมาคมนอกเหนือจากเรื่องงานและเรื่องเซ็กซ์ แต่พูดไปเธอก็อยู่ในจำพวกติดต่อด้วยเรื่องงาน ถึงจะเป็นค่าจ้างอันน้อยนิด แต่ก็ถือว่าทำงานก็แล้วกัน หวังว่าจบงานนี้แล้วเขาคงไม่แปลกตามเธอไปอีกคน
เขาหวังแบบนั้นจริงๆ
ความคิดเห็น |
---|