6
เสน่ห์ปลายจวัก
“เอาจริงดิ!” ติณณภพมองหน้าคนที่อยากโชว์เสน่ห์ปลายจวักให้ประจักษ์ไปทั่ว ‘ดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่ชื่อว่าโลก’ ด้วยความไม่เชื่อมั่น แต่เขาก็ไม่อาจขัดขืนแรงลากจูงของคนที่พาตรงไปยังโซนซูเปอร์มาร์เกตได้
“จริง! เพราะคุณพีเขาชอบผู้หญิงที่เก่งงานบ้านงานครัว”
โชติกาลากผู้ช่วยเฉพาะกิจของตัวเองตรงไปยังโซนที่พีรภัทรเพิ่งเดินเข้าไปเมื่อครู่พร้อมกับรถเข็นคันโต และเพื่อความสมจริงเธอจึงพยักพเยิดให้ติณณภพเข็นรถตามหลังมา
“คุณก็เลยต้องไปแสดงให้เขาเห็นว่ามีคุณสมบัติตรงตามที่เขาต้องการ”
“ถูกต้อง”
โชติกากลับหลังหันไปชูนิ้วโป้งและชี้ไปที่คนเดินตามหลัง ก่อนจะหันกลับไปสอดส่ายสายตามองหาพีรภัทรเช่นเดิม
“ถ้าลงทุนขนาดนี้แล้วไม่ได้เป็นสะใภ้เจ้าสัวธนินทร์คงเสียดายน่าดู”
“คนอย่างโชติกาไม่มีคำว่าพลาด” หญิงสาวพูดด้วยความมั่นใจ
“เหรอ...”
จากที่สังเกตเห็นสายตาของพีรภัทรมองเจ้านายสาวในสวนสาธารณะวันนั้นก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะมองไม่ออก พีรภัทรเองก็ชอบพอโชติกาอยู่ไม่น้อย ถึงเธอไม่เป็นฝ่ายเข้าไปจีบเป้าหมายก่อน อีกฝ่ายก็ต้องเข้ามาจีบเธออยู่ดี และเธอคงไม่แคล้วได้เป็นสะใภ้เจ้าสัวสมใจ
“เอารถเข็นมานี่” โชติกาเดินไปจับรถเข็นแทนที่ติณณภพ เพราะตอนนี้เธอเหลือบเห็นเป้าหมายแล้ว ซึ่งกำลังเลือกผักสดอยู่ “ส่วนนายก็เดินรอแถวๆ นี้ หรือจะไปรอที่รถก็ได้”
“ถ้าแน่ใจว่าขนของไปไหว ผมจะไปรอที่รถ”
“ฉันไม่ซื้ออะไรเยอะหรอกน่า เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือจีบผู้ชาย ไม่ใช่ซื้อของ” โชติกาปิดปากหัวเราะชอบใจ ทว่าก็อยู่ในภาพลักษณ์ที่ดูดีตามคอนเซปต์ซุป’ตาร์ดาวค้างฟ้า
“โอเค ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทร. มาแล้วกัน”
“ตามนั้น”
เมื่อตกลงกับคนขับรถเฉพาะกิจเรียบร้อย โชติกาก็หยิบจับเครื่องปรุงบนชั้นวางของใส่ลงรถเข็นให้ดูสมจริงว่าเธอตั้งใจมาซื้อของ ไม่ใช่มาเมียงมองจีบผู้ชาย ก่อนจะแสร้งเดินเข้าไปเลือกผักบนกระบะเยื้องกันกับพีรภัทร
ส่วนติณณภพที่ถูกไล่ให้ไปรอที่รถก็ไม่ได้ทำตามแต่อย่างใด ชายหนุ่มยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม และเห็นว่าเจ้านายสาวแสดงละครได้อย่างแนบเนียนสมกับเป็นซุป’ตาร์ดาวค้างฟ้าที่สั่งสมประสบการณ์ทางด้านการแสดงมาร่วมสิบห้าปี
นี่ถ้าไม่รู้รายละเอียดแผนการของเธอก่อน เขาคงคิดว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การแสดง และเขารับรองได้เลยว่าพีรภัทรไม่มีทางมองออกอย่างแน่นอน
“วันนี้จะกินอะไรดีนะ” โชติกาปรึกษากับตัวเองเสียงเบา พร้อมกับเลือกผักหลากชนิดที่วางขายอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่วายเหลือบไปมองชายหนุ่มข้างๆ กันที่กำลังจะเอื้อมหยิบผักชี
และทันทีที่มือเรียวของพีรภัทรหยิบกำผักชี เธอก็ใช้จังหวะนั้นหยิบกำผักชีกำเดียวกับที่เขาเล็งไว้ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าเธอไม่ได้จับกำผักชี แต่กลายเป็นกำมือของเป้าหมายแทน ‘มือนุ้มนุ่ม’
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” โชติการีบชักมือกลับพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยอีกฝ่าย
“คุณโช!”
พีรภัทรเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่คาดฝัน รู้แค่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาเลือกของอยู่ข้างๆ เพราะได้กลิ่นหอมของกายสาว แต่ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือโชติกา ถ้าเธอไม่ใจตรงกันหยิบผักชีกำเดียวกัน เขาคงไม่รู้ว่าเป็นเธอ
“คุณพี!” โชติกาแสร้งทำเป็นตกใจเช่นเดียวกัน “ขอโทษอีกครั้งนะคะที่โชไม่ระวัง”
“ถ้ารู้ว่าเวลาคุณโชไม่ระวังแล้วเป็นแบบนี้ ผมชอบให้คุณโชไม่ระวังดีกว่าครับ”
“คุณพีนี่ก็ชอบพูดเล่นจริงๆ” ปากพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจนี่ตีลังกาไปหลายสิบตลบแล้ว “คุณพีมาซื้อของเหรอคะ”
โชติกาชวนคุยระหว่างที่ตนเองเลือกผัก ไม่ลืมที่จะหยิบผักชีกำใหม่ใส่รถเข็นให้ว่าที่สามี
“ขอบคุณครับ”
พีรภัทรกล่าวขอบคุณการกระทำอันน่ารักของเธอ จากที่ยืนเลือกผักอยู่ ตอนนี้กลายเป็นว่าเขากำลังยืนมองคนเลือกผัก ทุกกิริยาของโชติกา ไม่ว่าจะการเคลื่อนที่ การส่งสายตาที่ไม่มีนัยแอบแฝง หรือแม้แต่รอยยิ้มหวานของเธอ ทุกสิ่งที่เธอแสดงออกทำให้เขามองเธอด้วยความเพลินตา
“ผมชอบแวะมาซื้อของที่นี่ไปทำอาหารทานเองครับ”
คำตอบของพีรภัทรทำให้โชติกาอมยิ้ม เพราะข้อมูลตรงตามที่เธอได้รับมาจากผู้จัดการส่วนตัว
“หายากนะคะผู้ชายทำอาหารเป็น” เธอเข็นรถไปอีกฝั่งซึ่งมีผักที่ต้องการวางอยู่ โดยมีพีรภัทรเดินเข็นรถตามหลังมาไม่ห่าง “พูดกันตามตรง โชไม่คิดว่าคุณพีจะอยู่ในกลุ่มผู้ชายหายากด้วยซ้ำ”
“ผู้ชายหายากแบบผมต้องรีบคว้าไว้นะครับ” พีรภัทรพูดทีเล่นทีจริง “ปกติผู้หญิงสมัยใหม่ก็ไม่ค่อยทำอาหารทานเองเหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นจะเก่งทำงานนอกบ้านกันซะมากกว่า”
“สงสัยโชเป็นผู้หญิงสมัยเก่ามั้งคะ”
“ที่เก่งทั้งงานในบ้านและนอกบ้านหรือเปล่าครับ”
“ไม่เก่งอะไรสักอย่างต่างหากค่ะ ทำอาหารก็ทานได้แค่โชคนเดียว งานนอกบ้านก็เรื่อยๆ ตามประสา” เธอถ่อมตัวจนนึกหมั่นไส้ตัวเอง ทว่าที่เธอพูดไปก็จริงไปเกินครึ่ง
“วันนี้คุณโชจะทำอะไรทานครับ” พีรภัทรมองไปที่รถเข็นหญิงสาวซึ่งมีของมากมายอยู่ในนั้น โดยเฉพาะ... “คุณโชชอบทานรสเค็มเหรอครับ”
“คะ!?” เธอแปลกใจที่ได้รับคำถามแบบนั้น
“ก็ในรถเข็นคุณโชมีแต่น้ำปลาเต็มไปหมด”
โชติกาหันขวับตามนิ้วแกร่งซึ่งชี้มาในรถเข็นเธอ มันเต็มไปด้วยน้ำปลาอย่างที่ชายหนุ่มบอกจริงๆ แถมไม่ใช่ยี่ห้อเดียว แต่แทบจะทุกยี่ห้อที่มีวางขายในท้องตลาด คงเป็นเพราะเธอมัวแต่มองเป้าหมายจนไม่ได้สังเกตว่าตัวเองหยิบจับอะไรออกมาจากชั้นวางของ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาทักนี่ละ
น่าอายเป็นบ้า!
แต่ด้วยรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนทำให้เธอเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้พีรภัทร ก่อนจะอธิบายด้วยสีหน้าปกติ
“ตอนนี้โชระวังเรื่องอาหารรสเค็มมากค่ะ แต่ที่ต้องชื้อไปเยอะขนาดนี้ แถมยังแทบจะทุกยี่ห้องก็ว่าได้เพราะโชอยากเอาไปเทสต์รสชาติด้วยตัวเองค่ะ จะได้เลือกถูกว่าควรบริโภคยี่ห้อไหนดีที่สุด”
“ดีนะครับ ผมเองก็ชอบคนรักสุขภาพด้วยสิ”
“อะไรนะคะ” เธอแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งที่จริงได้ยินเต็มสองหูเลยละ เขากำลังบอกว่าชอบเธออย่างนั้นเหรอ นี่มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก
ถูกหวยน่ะได้เงินไม่กี่ล้าน แต่ถ้าถูกลูกชายเจ้าสัวรัก...ชาตินี้ทั้งชาติก็ใช้เงินไม่หมด
“ผมแค่คิดว่าคุณโชจะทำต้มยำหรือเปล่าวันนี้” พีรภัทรเฉไฉชี้ไปที่รถเข็นของหญิงสาวให้เธอเห็นว่าเขาไม่ได้คาดเดาลอยๆ แต่ดูจากสิ่งที่เธอเลือกซื้อ
“โชเชื่อแล้วค่ะว่าคุณพีโปรด้านนี้ โชซื้อของไม่กี่อย่าง คุณพียังเดาเมนูได้ว่าโชจะทำอะไร”
เธอส่งยิ้มให้อย่างมีจริต มองไปที่รถเข็นตัวเองที่มีน้ำปลายี่ห้อต่างๆ และผักชีหนึ่งกำที่ไปแย่งเขามานั่นละ มองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าเมนูเธอจะเป็นต้มยำ และถ้าให้พูดอีกคือเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้มยำที่เขาว่าต้องใส่อะไรบ้าง
ในเมื่อเขาชงให้เธอทำต้มยำขนาดนี้แล้ว เธอก็จะทำต้มยำอย่างที่เขาพูด โชติกานึกถึงต้มยำน้ำข้นที่สั่งร้านยายมาบ่อยๆ ว่าในถ้วยนั้นมีอะไรบ้าง จึงเริ่มหยิบสิ่งที่คิดว่าต้องใช้
“หวังว่าสักวันผมจะได้ทานอาหารฝีมือคุณโชนะครับ”
ในเมื่อว่าที่สามีพูดมาขนาดนี้ เธอก็คงต้องไปลงเรียนทำอาหารคอร์สเร่งด่วนเสียแล้ว หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเข้าคอร์สเตรียมความพร้อมเป็นสะใภ้เจ้าสัวหมื่นล้าน
“ถ้าคุณพีไม่กลัวท้องเสียนะคะ โชยินดีค่ะ” เกิดเป็นหญิงจะให้ตอบตกลงแบบกระดี๊กระด๊าได้อย่างไร มันต้องมีชั้นเชิงในการตอบ และไม่ลืมตั้งกระทะใส่น้ำมันรอ พอร้อนๆ ค่อยโยนสะพานลงไป เขาเรียกทอดสะพานอย่างมีชั้นเชิง
“คุณโชซื้อของเยอะแบบนี้จะขนกลับไหวเหรอครับ”
“จะอาสาไปส่งโชเหรอคะ” วางกับดักไว้อีกชั้น แต่ก็อย่าให้ผู้ชายรู้ว่ากำลังอ่อยเหยื่อ “โชล้อเล่นค่ะ โชมากับคนขับรถน่ะค่ะ แค่นี้สบายมาก”
“น่าเสียดายจัง” พีรภัทรแสดงสีหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง
ทว่าเธอก็ยังแสดงเหมือนไม่เข้าใจที่เขาจะสื่อ “เรื่องอะไรคะ”
“ผมอดได้เป็นพระเอกไปส่งนางเอกถึงห้องน่ะสิครับ” พีรภัทรทำหน้าเสียดาย ทว่านัยน์ตาเขากลับแพรวพราวยามมองไปที่ร่างบาง “หวังว่าคุณโชจะให้โอกาสผมเป็นพระเอกบ้างนะครับ”
เธอต้องไม่ผลีผลามจนเกินงาม อ่อยเบาๆ เพื่อให้ดูน่าสนใจ จึงควรตอบไปว่า “ได้สิคะ แต่วันนี้โชต้องขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวผมช่วยถือของไปส่งที่รถนะครับ”
“จะไม่เป็นการรบกวนคุณพีเกินไปเหรอคะ”
“ไม่เลยครับ”
เมื่อเขาตอบมาแบบนั้นก็อยากชวนเขามาร้องเพลง ‘รบกวนมารักกัน’ ของ ทาทา ยัง ด้วยกันจริงๆ
~หากไม่ดูเป็นการรบกวน ก็จะชวนเธอมารักกัน ถูกใจเธอมาตั้งนานรู้ไหม หากเต็มใจจะโดนรบกวน ก็จะชวนมารวมหัวใจ ก็คิดว่าช่วยหน่อยก็แล้วกัน~
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอพูดด้วยความเกรงใจ นี่ถ้าไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกุลสตรีว่าที่ลูกสะใภ้เจ้าสัวละก็...เธอคงชวนเขาไปตำ เอ๊ย! กินต้มยำที่คอนโดให้รู้แล้วรู้รอด
“ให้ผมช่วยถือดีกว่าครับ ถ้าคุณโชถือเองกลัวจะไม่ถึงรถน่ะสิ ที่สำคัญคนขับรถคุณโชก็ไม่รู้อยู่ไหน ให้ผมช่วยนั่นแหละดีที่สุดครับ”
โอ๊ย...ผู้ชายอะไรหน้าตาดีแล้วยังเป็นสุภาพบุรุษอีกต่างหาก และเมื่อเขาเสนอมาแบบนี้ เธอก็สแตนด์บายพร้อมจะสนองอยู่แล้ว
“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ” โชติกาเดินนำไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ทว่ารอยยิ้มที่มีบนใบหน้าเมื่อก่อนเก่าค่อยๆ กลายเป็นฉีกยิ้มด้วยความขัดใจ หรือเหมือนการยิงฟันมากกว่าฉีกยิ้มก็ว่าได้
“คุณโชซื้อของเสร็จแล้วเหรอครับ ผมกำลังจะโทร. หาอยู่พอดี”
“เสร็จแล้ว” โชติกาจำใจตอบไป สายตาจ้องไปที่คนขับรถเฉพาะกิจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แถมตัวต้นเหตุยังทำเป็นไม่รู้ว่าเธอกำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจ จะมาช้ากว่านี้หน่อยก็ไม่ได้รึไง!
“คนขับรถของคุณโชเหรอครับ”
“ครับ” ติณณภพเป็นฝ่ายตอบแทน ก่อนจะเข้าไปแย่งรถเข็นจากมือของโชติกามาเข็นเสียเอง “ไปกันครับคุณโช”
“อื้อ” หญิงสาวจำต้องกัดฟันตอบไป ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าหันไปยิ้มหวานให้ว่าที่สามี “โชไปก่อนนะคะคุณพี ขอบคุณที่เดินซื้อของเป็นเพื่อนนะคะ”
“ผมยังจำได้นะครับที่คุณโชสัญญาจะทำอาหารเลี้ยงผม”
“ถ้าอย่างนั้นโชจะได้ไปซื้อเกลือแร่เตรียมไว้ให้ เผื่อว่าคุณพีท้องเสียหลังจากได้ทานอาหารฝีมือโช” หญิงสาวป้องปากพูดท้ายประโยคทีเล่นทีจริง
“คุณโชรับปากแล้วนะครับ”
“ค่ะ โชไปก่อนนะคะ” โชติกาโบกมือลาเป้าหมาย ก่อนจะเดินตามหลังติณณภพที่ตอนนี้ยืนรอที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเดินไปใกล้เขาพร้อมกับบิดไปที่สีข้างคนตัวโตด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะครับคุณโช” ติณณภพร้องเสียงหลง รีบดึงแขนโชติกาออกจากสีข้างตัวเอง ก่อนที่เนื้อเขาจะหลุดติดไปกับเล็บเธอด้วย
โชติกายอมปล่อยมือ แต่ไม่ลืมต่อว่าเขาที่เข้ามาผิดจังหวะ “นายควรจะเข้ามาช้ากว่านี้”
“ผมเห็นคุณซื้อของเสร็จแล้วเลยเดินเข้าไปหา ผมผิดตรงไหนเนี่ย” ติณณภพยังแก้ต่างให้ตัวเอง ทั้งที่ความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจของเขาล้วนๆ เห็นคนจีบกันแล้วเกิดอาการหมั่นไส้จึงเดินเข้าไปขัดคออย่างที่เห็น
“ผิดตรงที่นายเดินเข้ามาไวเกินไปไง”
“นี่คุณเห็นนายพีรภัทรดีกว่าผมเหรอ”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามคำถามนั้นออกไป ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าสำหรับเธอใครสำคัญกว่ากัน
“ของมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่คุณกับผมรู้จักกันก่อนที่คุณจะรู้จักนายพีรภัทรนั่นอีก”
‘ข้ออ้างเด็กชะมัด’ ติณณภพคิดในใจถึงข้ออ้างที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป นับวันเขายิ่งทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปทุกที ที่สำคัญไอ้ที่ทำที่พูดอยู่เนี่ยไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด
“แล้วยังไง” โชติกาไหวไหล่ ไม่สนใจคำพูดของเขา “ถ้าเอาตามความจริงฉันรู้จักคุณพีก่อนรู้จักนายซะอีก”
“ใช่ซี้! ผมมันแค่คนขับรถนี่”
เพราะรู้ว่าต่อให้เถียงยังไงความสำคัญของเขาก็ไม่มีทางมากกว่าพีรภัทรได้จึงพูดประชดออกไป แต่ทำไมเขาต้องพูดอะไรเป็นเด็กน้อยแบบนี้ไปด้วยเนี่ย ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ
“ถ้ารู้ว่าเป็นคนขับรถก็ขนของซะ”
โชติกาชี้ไปที่สิ่งของมากมายทั้งของสดและของแห้งที่เธอเลือกซื้อก่อนหน้านี้ เพิ่งรู้ว่าตัวเองหยิบของมาเยอะเกินความจำเป็นก็ตอนที่จะจ่ายเงินนี่ละ
“สองพันสามร้อยสิบสองบาทค่ะ”
“นี่ค่ะ” โชติกาหยิบธนบัตรมากกว่าจำนวนเงินที่ซื้อส่งให้พนักงานสาว แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ยืนยิ้มมองจ้องมาที่เธอไม่วางตา “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” พนักงานสาวกล่าวออกมาด้วยความลุแก่โทษที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมกับลูกค้า ก่อนจะรีบรับเงินจากลูกค้าสาว “ตัวจริงคุณโชสวยมากเลยนะคะ หนูเห็นแล้วตาค้างเลย”
“พูดขนาดนี้เอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคู่เลยดีกว่าค่ะ” โชติกาพูดด้วยรอยยิ้ม นั่นยิ่งทำให้คนที่ชื่นชมดาราสาวอยู่แล้วเคลิ้มเข้าไปอีก
“ได้เหรอคะ” เธอตาโตด้วยความยินดี แต่ก็กลัวว่าโชติกาจะพูดเล่นจึงไม่กล้าทำอย่างที่ดาราสาวแนะนำ
“ได้สิคะ”
“ถ้าอย่างนั้นหนูไม่เกรงใจแล้วนะคะ” พนักงานสาวไม่พูดเปล่า แต่รีบหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปที่โหมดถ่ายภาพทันที
“เต็มที่เลยคนสวย” โชติกายื่นหน้าเข้าไปในเฟรมพร้อมกับยิ้มหวานรับกล้อง
“ขอบคุณคุณโชมากนะคะ”
“ยินดีค่า...พี่ขอตัวก่อนนะคะ”
โชติกาเดินจากมาด้วยรอยยิ้ม เธอมีความสุขทุกครั้งที่มีคนแสดงออกว่าชื่นชอบเธอ และไม่เกี่ยงงอนหากอีกฝ่ายต้องการเก็บภาพคู่ไว้เป็นที่ระลึก ออกจะภูมิใจด้วยซ้ำไปที่มีคนอยากถ่ายรูปคู่กับเธอ
ติณณภพถือของเต็มมือเดินตามเจ้านายเฉพาะกิจที่เดินลิ่วนำไปไกล เขาไม่รีบตามไปติดๆ เพราะอยากเห็นรอยยิ้มที่ยิ้มทั้งปากและตาของเธอให้เต็มที่เสียก่อน
โชติกาเป็นกันเองกับแฟนคลับของเธอเสมอ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ในบางครั้งเขาก็เคยรับหน้าที่เป็นช่างภาพจำเป็นให้เธออีกด้วย
“เดินเร็วๆ สินายติณณภพ”
ดูเหมือนว่าเขาจะทิ้งระยะห่างมากเกินไปจนคนที่มองอยู่หันกลับมาเร่ง ซึ่งคนที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นลูกจ้างคงตอบได้เพียงแค่ว่า...
“คร้าบ...เจ้านาย”
ติณณภพยกข้าวของที่โชติกาเหมามาจากซูเปอร์มาร์เกตเข้าไปวางที่ครัวในห้องเธอ โดยมีเจ้าของห้องคอยเดินตามกำกับอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนซื้อน้ำปลามากินเองหรือขายต่อ เพราะในถุงมีแต่น้ำปลาหลากหลายยี่ห้อ กินอีกสิบปีก็ไม่รู้จะหมดหรือเปล่า
“ขอบคุณที่ยกของมาให้นะ” เจ้าของห้องกล่าวขอบคุณพร้อมยื่นแก้วน้ำเย็นที่เธอไปรินมาตอนไหนไม่รู้มาตรงหน้าเขา
“ไม่เป็นไร คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น”
ติณณภพหยิบน้ำจากมือเธอมาดื่มพร้อมกับมองสำรวจห้องเธอไปด้วย ภายในห้องไม่ได้แตกต่างจากห้องที่เขาอยู่สักเท่าไร มีเพียงการตกแต่งที่แตกต่างกันเท่านั้น
“นี่อยู่นานจนลืมเหรอว่าเป็นห้องเจ้านาย ไม่ใช่ห้องตัวเอง” โชติกายกมือกอดอกแขวะเพื่อนบ้าน
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะสุดท้ายห้องนั้นผมก็เป็นคนอยู่อยู่ดี” ติณณภพไหวไหล่ วางแก้วน้ำที่ตนดื่มจนหมดไว้ในซิงก์ล้างจาน ก่อนจะหันมากอดอกสู้กับเจ้าของห้อง “คุณเปิดประตูให้ผมเข้ามาแบบนี้ ไม่กลัวผมทำมิดีมิร้ายเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะฉันมีนี่...”
โชติกาเปิดกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ยังไม่ได้วางเก็บแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมาโชว์ตรงหน้าแขกหนุ่ม
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
“เล่นของหนักนะเนี่ย” ติณณภพพยักหน้าชื่นชมความไม่ประมาทของเธอที่พกเครื่องชอร์ตไฟฟ้าติดตัว แต่การที่เธอยื่นมันมาตรงหน้าเขาชนิดที่จะแนบอกอยู่นี่น่าจะไม่ค่อยปกติ “ไม่ต้องยื่นมาใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้งคุณ”
“เผื่อนายอยากพิสูจน์ว่ามันจะได้ผลไหม”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องอยากพิสูจน์กันหรอกเนอะ” ติณณภพยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความเป็นมิตร ให้เธอได้รู้ว่าเขาไม่มีทางทำอย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้หรอก เมื่อกี้น่ะแค่หยอกขำๆ “เก็บเอาไว้เหมือนเดิมดีกว่านะ”
“ถือเป็นการขอบคุณ...”
“ผมไม่ยอมเป็นหนูทดลองเครื่องชอร์ตไฟฟ้าของคุณอย่างแน่นอน!” ติณณภพโพล่งออกมาโดยที่โชติกายังไม่ทันพูดจบ
“ฉันบอกให้นายมาเป็นหนูทดลองรึไง!”
“ก็คุณพูดเหมือนต้องการแบบนั้นนี่” เขาเอ่ยเสียงเบาลง
โชติกาเก็บเครื่องป้องกันตัวไว้ในกระเป๋าเช่นเดิมและวางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ใกล้มือ เพราะเห็นอาการระแวงของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสงสาร “ฉันแค่จะขอบคุณที่นายช่วยขับรถให้โดยการทำอาหารเย็นให้กิน เพราะนี่ก็ห้าโมงเย็นแล้ว”
“แล้วไป...” ติณณภพถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ว่าแต่คุณทำอาหารเป็นใช่ไหม”
“นายคิดว่ายังไงที่ฉันซื้อของมาตั้งมากมายแบบนี้” เธอชี้ไปที่ข้าวของซึ่งเขาเป็นคนแบกมันขึ้นมาเอง
“ทำกับข้าวไม่เป็น แม้แต่ทำไข่เจียวยังไหม้ มันเป็นเรื่องยอดฮิตเหมือนนางเอกในละครไม่ใช่เหรอ” ติณณภพนึกถึงละครไทยที่มารดาชอบดู เคยนั่งดูกับท่านอยู่แป๊บๆ ก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เพราะอะไรก็อย่างที่เห็นๆ กันอยู่
“ฉันจะบอกอะไรให้นะนายติณณภพ!”
โชติกาพูดเสียงแข็ง อีกฝ่ายดูถูกมาขนาดนี้จะให้เธอยอมอยู่เฉยได้อย่างไร ในเมื่อนางเอกในละครที่เขาหมายถึงมันรวมเธออยู่ด้วย และบทบาทนั้นก็ใช่ว่าเธอไม่เคยเล่น
“ไอ้ทำกับข้าวไม่เป็น แม้แต่ทำไข่เจียวยังไหม้ที่นายว่ามาน่ะมันของนางเอกในละคร แต่นี่มันในชีวิตจริง” เธอชี้นิ้วลงกับอากาศ
“จะบอกว่าคุณทำอาหารเป็น ไม่เหมือนนางเอกในละคร ว่างั้น”
“เปล่า...ฉันเป็นเหมือนนางเอกในละครที่นายว่านั่นแหละ” เธอพูดจบก็เดินหนี
“ไม่น่าพูดยาวให้เหนื่อยเลยเนอะ เอาน้ำสักแก้วไหม เผื่อคอแห้ง”
ติณณภพอดจะแขวะเธอไม่ได้ด้วยความหมั่นไส้ แค่บอกว่าทำอาหารไม่เป็นตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ส่วนที่ไปคุยโวกับพีรภัทรไว้ก่อนหน้านี้ก็แค่ทำตามแผนการสินะ
“นั่นสิ...ยิ่งพูดยิ่งอายยังไงชอบกล” หญิงสาวพูดเสียงเบาท้ายประโยคด้วยความอับอาย ยิ่งเห็นสายตาติณณภพที่มองมาอย่างไม่ปิดบังนั่นอีก...
บอกได้คำเดียวว่าโคตรจะอาย
ถึงเธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครบัญญัติไว้นี่ว่าผู้หญิงทุกคนต้องทำอาหารเป็น ที่สำคัญเธอไม่มีเวลามากพอที่จะทำอาหารหรือฝึกทำ เพราะต้องทำงานนอกบ้านเป็นหลัก
แต่จากที่คิดไว้เธอคงต้องลงเรียนทำอาหารเสียแล้วสิ ไม่ใช่แค่เตรียมตัวเป็นสะใภ้เจ้าสัว แต่เธอจะลบคำสบประมาททางสายตาของติณณภพให้ได้
“มันคงไม่ยากเกินไปหรอกน่า” โชติกาเปิดตู้ในครัวแล้วหยิบหนังสือวิธีการทำอาหารไทยออกมา ซึ่งเคยซื้อเก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ “ข้าวของก็ซื้อมาแล้ว คงมีสักเมนูนั่นแหละที่ทำได้”
“คุณคงไม่ได้ตั้งใจให้ผมเป็นหนูทดลองก่อนลูกชายท่านเจ้าสัวหรอกใช่ไหม”
“จริงๆ ก็แอบคิด แต่เอาเข้าจริงอยากทำอาหารเลี้ยงขอบคุณมากกว่า” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มหวานประจบคนรู้ทัน แต่ใช่ว่ารอยยิ้มที่มักได้ผลกับคนอื่นเสมอจะใช้ได้ผลกับผู้ชายคนนี้
“เชื่อตายละ”
“ล่มหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้แล้วก็เอาหน่อยเหอะน่า” เธออ้อนเสียงหวาน เปิดดูรายละเอียดด้านในหนังสือ เธอสารภาพตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่หยิบหนังสือขึ้นมาดูตั้งแต่ซื้อมา
“ลองต้มยำกุ้งหน่อยไหม”
เพราะเมนูนี้เป็นเมนูที่โอ้อวดกับพีรภัทรไว้ และในอนาคตข้างหน้าเธอต้องทำมันเป็นให้ได้ แต่เมื่อดูรายการเครื่องปรุงกับของที่ซื้อมาแล้วคงต้องข้ามเมนูนี้ไปก่อน
“หน้าตาแบบนี้แสดงว่าเมนูนี้ไม่เวิร์ก” ติณณภพเดาจากสีหน้าท่าทางของว่าที่แม่ครัว
“เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะคุณ”
ติณณภพเอนหลังพิงเคาน์เตอร์บาร์ด้านหลัง มองภาพหญิงสาวที่มองหนังสือในมือที หันมองของในถุงที่ซื้อมาทีอยู่อย่างนั้นด้วยความเพลิดเพลิน เธอดูจริงจังจนเขาไม่อยากแกล้งให้เธออารมณ์เสียเล่น
เวลาผ่านมาสักพักก็ยังไม่มีวี่แววว่าแม่ครัวจำเป็นจะได้เมนูที่ต้องการ และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าตอนไหนเธอจะได้ลงมือทำ
“มันเลือกยากขนาดนั้นเลยเหรอคุณ”
“ไม่มีเมนูไหนที่มีของพร้อมใช้งานเลย” เธอตอบโดยไม่มองหน้าคนถาม เพราะยังคงเปิดดูเมนูอาหารต่อไปจนเกือบจะหมดเล่มอยู่แล้ว
“ผมเห็นคุณซื้อหมูสับมา” ติณณภพเข้าไปช่วยดู หยิบหมูสับออกมาพร้อมกับใบกะเพรา
ไม่รู้ว่าเธอหยิบมาผิดหรือตั้งใจหยิบมากันแน่ แต่เพราะมันทำให้เขาคิดออกว่าควรจะทำอะไรดีในตอนนี้ และคิดว่าเมนูนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่ไม่เคยทำอาหารมาก่อนเช่นเธอ...และเขา
“ในตู้เย็นมีไข่อยู่หลายฟอง” ดูเหมือนว่าโชติกาจะรู้ว่าติณณภพจะทำเมนูอะไร จึงเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบไข่สดออกมาสองฟองและชูให้เขาดู “วันนี้เราจะกินกะเพราหมูสับไข่ดาวกัน”
“หน้าที่เด็ดกะเพราเป็นของคุณ” ติณณภพยื่นใบกะเพราให้เธอ “เดี๋ยวผมขอทอดไข่ดาวรอกะเพราก่อนแล้วกัน”
“ตามนั้นค่ะ”
เมื่อโชติกาเดินไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว เขาก็ต้องทำหน้าที่ตัวเองบ้าง แม้จะเงอะๆ งะๆ แต่คิดว่าน่าจะผ่านไปด้วยดี
ติณณภพหยิบกระทะออกมาจากตู้ที่ยังดูใหม่เอี่ยมเหมือนเจ้าของห้องไม่เคยได้ใช้ ถึงเธอจะบอกว่าทำอาหารไม่เป็น ทว่าเครื่องครัวก็มีครบครันให้เลือกใช้ แม้แต่เตาอบขนมยังมี คิดดูสิ
เขานำกระทะไปล้างเสียก่อนเพื่อสุขลักษณะที่ดี นำมาตั้งไว้บนเตาแล้วเทน้ำมันพืชตามลงไปแล้วเปิดไฟ เมื่อได้ยินเสียงน้ำมันที่คาดว่ากำลังร้อนจึงตอกไข่ใส่ลงไป
“ฉันเด็ดใบกะเพราเสร็จแล้วนะคุณ” โชติกาส่งเสียงบอกพร้อมกับวางถ้วยใบเล็กที่มีใบกะเพราอยู่ในนั้นตรงหน้าพ่อครัวใหญ่ในวันนี้
ติณณภพที่ถือตะหลิวในมือเตรียมไว้หันมาบอกโชติกา “ขอบคุณครับ”
“ฉันต้องทำอะไรต่อ”
โชติกาไม่อายที่จะถามไปตามตรงว่าเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป เพราะไม่มีอะไรต้องปิดบังคนตรงหน้า และไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ จากที่ดูเขาน่าจะเก่งเรื่องเข้าครัวมากกว่าเธอแน่นอน
“ถึงคุณจะทำอาหารไม่เป็น แต่ผมว่าคุณคงพอหุงข้าวได้”
หุงข้าวอย่างนั้นเหรอ...
“คุณติณณ์...” เธอเรียกคนข้างๆ เสียงเบา พร้อมเอื้อมมือไปจับแขนแกร่งของเขา มองหน้าชายหนุ่มด้วยความจริงจัง
“ครับ”
“ฉันว่าเราเจอปัญหาใหญ่แล้วละ”
“ปัญหาใหญ่” ติณณภพทวนคำพูดของเธอ เจ้าตัวก็พยักหน้ายืนยัน “ปัญหาอะไร”
“ห้องฉันไม่มีข้าวสาร”
“ฮะ!” ติณณภพอุทานออกมาพร้อมกับเสียงบางอย่างดังขึ้น
โพละ! ใบหน้าหวานพยักขึ้นลง และ...
“โอ๊ะ!”
ติณณภพยกมือกุมหน้าผากตัวเองด้วยความปวดแสบปวดร้อนเพราะถูกน้ำมันจากกระทะที่ตัวเองทอดไข่กระเด็นใส่หน้าและรีบเอื้อมมือไปปิดเตาให้เร็วที่สุด ก่อนที่หน้าเขาจะเสียโฉมไปมากกว่านี้
“อย่าบอกนะว่าที่ล้างกระทะเมื่อกี้ไม่ได้เช็ดให้แห้งก่อนใส่น้ำมัน” โชติกาที่กระโดดหลบออกไปไกลถามขึ้น แต่แทนที่จะได้ยินคำตอบกลับได้ฟังคำถามแทนซะงั้น
“ต้องเช็ดให้แห้งด้วยเหรอ”
เอาเป็นว่าทั้งเธอและเขามันก็พอๆ กันนั่นละในเรื่องทำอาหาร ก่อนหน้านี้ติณณภพโจมตีเธอซะเหมือนว่าตัวเองทำอาหารเป็น แต่ที่ไหนได้...สภาพก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก
“ถ้าไม่เช็ดให้แห้งก่อนใส่น้ำมัน ผลลัพธ์มันก็อยู่ที่หน้าผากคุณนั่นไง”
ติณณภพทำหน้ามุ่ย มองไข่ดาวของตัวเองที่อมน้ำมันอยู่ในกระทะก็ท้อใจ เขาคงไม่เหมาะกับงานครัวจริงๆ นั่นละ
จากวันนี้ที่วางแผนไว้จะทำอาหารทานเองกับโชติกาก็คงต้องพับโครงการเก็บเอาไว้อย่างเดิม และคาดว่าโครงการนี้อาจจะไม่ได้ไปต่ออย่างแน่นอน ถ้าคนเข้าครัวยังเป็นเขาและเธออยู่แบบนี้
ความคิดเห็น |
---|