1

ความขัดแย้ง

 

Chapter 1

ความขัดแย้ง

 

“เฮียตง ผมพามันมาแล้ว”

กลุ่มเด็กมัธยมในชุดเครื่องแบบนักเรียนผลักใครคนหนึ่งเข้าไปในห้องน้ำชาย คนที่โดนผลักทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว ก่อนกวาดตามองกลุ่มคนในห้องน้ำ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ตรงหัวโจกที่คนพวกนี้เรียกว่า ‘เฮียตง’

ฉีตงยืนพิงขอบหน้าต่างด้วยท่าทีสบายๆ คาบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน และจ้องมองคนที่ถูกลูกน้องของตนพาตัวมาอย่างขี้เกียจ

         แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กเกเร แต่คนที่ถูกจับมากลับยืนตัวตรงอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นัยน์ตาเจือไปด้วยความเหยียดหยาม ราวกับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เสียเปรียบ

         ฉีตงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณ เพียงเท่านั้นทุกคนในกลุ่มก็เข้าใจนัยของเขาเป็นอย่างดี

“เฮ้ย ไอ้เด็กห้องหนึ่ง มึงเป็นคนไปฟ้องครูใช่ไหม”

         “ฉันไม่ใช่เด็กประถมนะ จะไปฟ้องอะไรล่ะ” หลิงเต้าซีพูดอย่างเย็นชา

         “ยังไม่ยอมรับอีกเหรอ ตอนที่เฮียสูบบุหรี่ในห้องน้ำ นอกจากมึงแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาอีก พอวันต่อมาเหล่าเจี่ยงก็รู้เรื่อง ยังจะมาบอกว่ามึงไม่ได้ฟ้องอีกเหรอ”

         “พวกนายจะสูบหรือไม่สูบ มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย ฉันไม่ใช่เด็กห้องสิบนะ เอาเรื่องของพวกนายไปฟ้องครูแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”

“แม่งเอ๊ย ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเหรอมึง” นักเรียนชายคนที่พูดขึ้นมองเพื่อนๆ รอบกาย “เล่นแม่งดิ๊”

สิ้นเสียงอีกฝ่าย หลิงเต้าซีก็สัมผัสถึงความเจ็บปวดบริเวณเอว เมื่อเห็นเงาพุ่งมาตรงหน้า เขายกมือข้างหนึ่งปัดป้อง ส่วนมืออีกข้างก็เหวี่ยงไปด้านหลังจนข้อศอกไปกระแทกกับหน้าท้องของใครคนหนึ่งเข้า

           “นี่มึงกล้าสู้กลับเหรอ!” คนที่โดนศอกกระแทกตวาดอย่างโกรธเคือง “จัดมันให้กูดิ๊ เอาให้หนัก!”

           แม้ว่าหลิงเต้าซีไม่ใช่พวกหนอนหนังสือที่ทำเป็นแต่อ่านตำรา หากสู้กันตัวต่อตัวเขายังพอรับมือได้ แต่ถ้าหลายคนเขาเองก็สู้ไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ยังเป็นนักกีฬาทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนอยู่หลายคน สองสามคนในนั้นล็อกแขนเขาไว้ หลิงเต้าซีถูกต่อยอย่างหนักหลายหมัด แต่เขากลับกัดฟันเงียบ ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่แอะเดียว

          “มึงจะพูดได้ยัง!” คนที่ถามเขาก่อนหน้านี้ตวาดขึ้น

          “ฉันไม่ได้ทำ” คนพูดกัดฟันเปล่งเสียงออกมา

          “นี่มึงยังจะปากแข็งอีกเหรอ อัดมันต่อ!” เสียงการต่อสู้พร้อมเสียงด่าทอดังต่อเนื่องอยู่ในห้องน้ำชาย “กูจะบอกอะไรมึงให้นะ พวกกูชังหน้ามึงมานานแล้ว ห้องหนึ่งมันวิเศษวิโสนักเหรอ ดูถูกพวกห้องสิบอย่างพวกกูใช่ไหม ไม่ว่ามึงจะเป็นคนไปฟ้องครูหรือไม่ แต่วันนี้คนที่พวกกูกระทืบก็ต้องเป็นมึง!”

          หน้าท้องถูกอัดอย่างแรงจนหลิงเต้าซีไม่สามารถกลั้นเสียงร้องเอาไว้ได้ เขาทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แขนทั้งสองข้างที่ถูกยึดเอาไว้ก็อ่อนแรงลง หลิงเต้าซีสูญเสียพละกำลังอย่างสิ้นเชิง เขานอนอยู่บนพื้น ใบหน้าแนบกับกระเบื้องจนสัมผัสได้ถึงความเย็น

          บรรดาเด็กเกเรยังคงไม่หายแค้นใจ พวกเขาเดินเข้ามาหมายจะกระทืบอีก แต่ฉีตงที่ยืนดูด้วยแววตาเย็นชามาโดยตลอดพูดขัดขึ้น

“หยุดได้แล้ว”

        เขาสั่งให้ลูกน้องพาหลิงเต้าซีเข้ามาเพื่อสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไอ้หมอนี่มันไม่มีค่าพอที่จะทำให้พวกเขามีปัญหาใหญ่

        ฉีตงก้าวไปหาคนที่นอนอยู่บนพื้นช้าๆ คนอื่นๆ ต่างหลีกทางให้เขาโดยอัตโนมัติ

        หมัดหนักๆ กระแทกใส่หน้าหลิงเต้าซีอย่างแรง เขาพยายามดิ้นรนอยู่สองสามครั้ง แต่ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง มีเพียงดวงตาจ้องมองรองเท้าผ้าใบของฉีตงที่กำลังก้าวเข้ามา และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

        ฉีตงพ่นควันบุหรี่ลงพื้น จากนั้นก็ยกเท้าเหยียบศีรษะหลิงเต้าซี ร่างกายของคนถูกเหยียบสั่นเล็กน้อย ก่อนจะนิ่งไป

ฉีตงโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก “ครั้งนี้กูจะปล่อยมึงไปก่อน คราวหลังหัดฉลาดขึ้นอีกนิดนะ เรื่องที่ไม่ควรพูดก็อย่าสาระแนไปพูด ไม่อย่างนั้น...” เขาออกแรงบดขยี้ศีรษะของคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า “อย่าหาว่ากูไม่เกรงใจมึงแล้วกัน”

ทันทีที่สิ้นเสียงของฉีตง หลิงเต้าซีก็จ้องมองเขา แววตาไม่ใช่ศัตรู ไม่ได้มีความหวาดกลัว แต่แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้

ฉีตงไม่สนใจว่าหลิงเต้าซีจะคิดอย่างไร เขายืนขึ้นก่อนจะก้าวข้ามร่างของอีกฝ่ายออกไปจากห้องน้ำ คนอื่นๆ ก็เดินตามไปติดๆ ไม่มีใครสนใจหลิงเต้าซีสักคน พวกเขาทำราวกับว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นเป็นแค่เศษผ้าเท่านั้น

เมื่อเด็กเกเรเดินออกไปหมดแล้ว หลิงเต้าซีก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาแล้วเข้าไปในห้องน้ำ

 

ทุกชั้นปีของโรงเรียนมัธยมปลายเมืองหลิงจะแบ่งออกเป็นสิบห้อง โดยห้องหนึ่งถือว่าเป็นห้องคิง อีกแปดห้องเป็นห้องธรรมดา ส่วนห้องสุดท้ายคือห้องพิเศษ ซึ่งมีไว้สำหรับเด็กนักเรียนโควตาพิเศษด้านกีฬาและดนตรีและพวกที่สอบเข้าไม่ได้ แต่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้สนับสนุนเงินทุนของโรงเรียน ยิ่งห้องคิงมีการเรียนที่เข้มข้นมากเท่าไร ระเบียบวินัยของเด็กห้องพิเศษก็ยิ่งแย่มากเท่านั้น

ฉีตงเป็นนักเรียนโควตาพิเศษด้านกีฬาของโรงเรียนมัธยมปลายเมืองหลิง พรสวรรค์ของเขาปรากฏตั้งแต่สมัยอยู่มัธยมต้น หลังจากเรียนมัธยมต้นได้สองปี เขาก็พาทีมคว้าชัยชนะการแข่งขันบาสเกตบอลรอบจูเนียร์ลีก แชมเปียนชิป อีกทั้งยังได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม (MVP) ถึงสองปีซ้อน เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง เขาเป็นตัวหลักของทีมบาสเกตบอลโรงเรียน และตอนเรียนมัธยมปลายปีสอง ก็เป็นกัปตันทีม นับเป็นการทำลายประเพณีดั้งเดิมของทีม ที่เดิมทีกัปตันจะต้องเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสาม

ฉีตงก้าวเข้ามาในฐานะพอยต์การ์ด[1] ของทีม บาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ผู้เล่นเต็มไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ตำแหน่งพอยต์การ์ดกลับต้องการความสงบเยือกเย็น และทั้งสองขั้วที่แตกต่างนี้ได้มารวมอยู่ในตัวฉีตง เขาเกิดมาพร้อมการเป็นผู้นำ หลังจากเข้ามาเรียนไม่นาน เขาก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนกลุ่มเล็กๆ ในโรงเรียน

ทุกๆ ช่วงพักระหว่างวิชา ฉีตงจะต้องไปเล่นบาสเกตบอลที่สนามกีฬาเสมอ และจะมีแฟนคลับสาวๆ คอยล้อมวงดูเขาเล่นอยู่ข้างสนาม รวมถึง ‘เฉินจิ้ง’ ดาวโรงเรียนมัธยมปลายเมืองหลิง

เมื่อเฉินจิ้งเห็นว่าเขาเล่นบาสเกตบอลเสร็จแล้ว เธอก็ยื่นขวดน้ำให้ ฉีตงรับขวดน้ำมาบิดฝาออก แล้วราดน้ำเปล่าลงบนผมของตัวเอง ก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา การกระทำของเขาเรียกเสียงกรีดร้องเบาๆ จากสาวๆ ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างทางกลับไปห้องเรียน ลูกสมุนที่ติดตามฉีตงก็พูดขึ้นมา “เฮียตง ไอ้หมอนั่นมันแอบมองซ้ออีกแล้ว”

ฉีตงเงยหน้า ดวงตาเขาสบเข้ากับดวงตาของหลิงเต้าซีที่อยู่บนชั้นสามพอดี ครู่เดียวอีกฝ่ายก็หันไปทางอื่น ทำราวกับเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

ฉีตงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนหันมาพูดกับเฉินจิ้ง “โน่น คนที่ชอบเธอน่ะ”

แม้เฉินจิ้งจะไม่เคยพูดคุยกับหลิงเต้าซีมาก่อน แต่ชื่อเสียงของอีกฝ่ายนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก อาจเรียกได้ว่าสูสีกับฉีตง เมื่อไรก็ตามที่บรรดานักเรียนชั้นยอดเยี่ยมปรากฏตัว แน่นอนว่าจะขาดเขาไม่ได้

หลิงเต้าซีเป็นหัวหน้าห้องคิงในระดับมัธยมปลายปีสาม ไม่ว่าจะเป็นการสอบย่อยหรือไล่ระดับไปจนถึงการสอบครั้งใหญ่ๆ ชื่อของเขาจะปรากฏเป็นที่หนึ่งเสมอ การมีคนแบบนี้มาแอบชอบนับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น หลิงเต้าซียังเป็นคนที่มีความสามารถ ส่วนฉีตงเองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เมื่อคิดว่าหนุ่มสองคนนี้ต่างต่อสู้เพราะหึงหวงโดยมีเธอเป็นต้นเหตุแล้ว เฉินจิ้งรู้สึกว่าชายกระโปรงของเธอล่องลอยไม่ติดพื้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอยังสงวนท่าทีในแบบฉบับของสุภาพสตรีเอาไว้

“พูดอะไรของนายน่ะ” เธอเม้มริมฝีปาก “ฉันว่าเขากำลังมองนายมากกว่านะ ดีไม่ดี... เขาอาจจะชอบนายก็ได้”

ฉีตงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม เขาไม่พูดอะไรและเหลือบตามองด้านบนอีกครั้ง เห็นเงาด้านข้างของหลิงเต้าซีอย่างเลือนราง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขามักจะจับสายตาของอีกฝ่ายได้บ่อยครั้ง ทีแรกเขาไม่ได้ใส่ใจนัก จนกระทั่งเพื่อนในทีมบอกว่าหลิงเต้าซีชอบเฉินจิ้ง

เทอมที่แล้วพวกเขารุมซ้อมหลิงเต้าซีในห้องน้ำชาย ต่อมาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปริปากพูดเรื่องอะไรอีก ครั้งนี้แม้ว่าหมอนั่นจะสนใจในตัวผู้หญิงของเขา แต่ก็ทำได้เพียงแอบชอบ ไม่ต่างอะไรกับพวกทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมสักนิด

เมื่อฉีตงมาถึงชั้นสาม เขาก็ถูกเหล่าเจี่ยงผู้เป็นครูประจำชั้นเรียกพบ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเรียกไปฟังคำสั่งสอนที่น่าเบื่อหน่าย แต่วันนี้เหล่าเจี่ยงกลับอารมณ์ดี ยิ้มหน้าระรื่นราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

ฉีตงเดินตามเหล่าเจี่ยงมาจนถึงห้องพักครู เพียงก้าวผ่านประตูเข้ามา เขาก็พบว่าคุณครูทั้งหลายต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มดูอ่อนโยน และครูคนหนึ่งก็เดินเข้ามาตบบ่าเขา

“ใช้ได้เหมือนกันนี่ไอ้หนู”

ฉีตงแปลกใจ การปฏิบัติที่แตกต่างจากปกติทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไรนัก

เหล่าเจี่ยงเดินนำฉีตงมาถึงโต๊ะทำงานของตน ลากเก้าอี้เป็นสัญญาณให้เขานั่งลง ฉีตงประหลาดใจ แต่เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่เกรงใจใดๆ และรอดูว่าวันนี้ครูประจำชั้นจะมีแผนอะไรกันแน่

“คืออย่างนี้นะ...” เหล่าเจี่ยงกระแอมไอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น “คำขอลงชื่อสมัครในฐานะนักศึกษาโควตาพิเศษบาสเกตบอลของมหา’ลัยเยียนของนาย... ถูกปฏิเสธ”

‘เวรเอ๊ย! มันมีค่าให้แกมีความสุขขนาดนี้เลยเหรอเหล่าเจี่ยง’ ฉีตงคิดในใจ

สีหน้าของเหล่าเจี่ยงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง “แต่พวกเขาตอบรับนายในฐานะนักศึกษาทีมพายเรือแคนู”

“พายเรือแคนู?” ฉีตงถามด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่เห็นรายการดังกล่าวปรากฏอยู่ในโควตานักกีฬาของมหาวิทยาลัยเยียนซาน อีกทั้งเรือแคนูมันเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ เรื่องนี้มันเกินคาดเป็นอย่างมาก

เหล่าเจี่ยงรู้ว่าฉีตงสงสัย จึงอธิบายให้เขาเข้าใจ “เป็นทีมใหม่ที่เขาเพิ่งจัดตั้งในปีนี้ เลยยังไม่มีในรายการโควตา ที่จริงเป็นรายการรับพิเศษน่ะ”

“ผมจับไม้พายยังไม่เป็นเลย จะไปพายเรือยังไงล่ะครับ”

“โธ่เอ๊ย จะมีเด็ก ม. ปลายสักกี่คนกันที่เคยฝึกพายเรือ เขาก็คัดเอาจากนักกีฬาบาสเกตบอลทั้งนั้นละน่า ความสามารถทางกีฬานายโดดเด่นขนาดนี้ จะฝึกกีฬาอะไรก็ไม่เกินความสามารถของนายหรอก ใช่ไหมล่ะ” ในความเข้าใจของเหล่าเจี่ยง ไม่ว่ากีฬาใดๆ ในโลกนี้ แค่ได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เพื่อเพิ่มผลงานให้แก่ตัวเอง ต่อไปจะโดดยางหรือเดาะลูกขนไก่ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันทั้งนั้น

เหล่าเจี่ยงคิดว่าคำอธิบายของตนยังไม่มีน้ำหนักพอ จึงเกลี้ยกล่อมฉีตงอีกครั้ง “ครูรู้ว่านายชอบเล่นบาสเกตบอลมาก แต่นายจะเล่นมันไปตลอดชีวิตหรือไง เข้าทีมชาติได้ไหม เอ็นบีเอล่ะ หรือนายจะไปเข้าทีมของพวกมหา’ลัยอันดับสองหรือสาม คิดดูนะ นายทุ่มเทเวลาให้พวกเขาตลอดสี่ปี พอจบมาแล้วจะไปทำอะไร จะหางานได้เหรอ”

แม้ว่าเหล่าเจี่ยงจะดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาฉีตง แต่เขาก็ทำงานในแวดวงการศึกษา จึงอธิบายข้อดีข้อเสียให้เด็กหนุ่มฟังอย่างละเอียด “แต่ถ้านายไปเรียนที่มหา’ลัยเยียนมันจะต่างออกไปนะ มหาวิทยาลัยเยียนซานเป็นยังไงงั้นเหรอ นั่นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ร่วมร้อยปี ชื่อเสียงโด่งดัง ต่อให้นายเรียนห่วยยังไง ถ้าแข่งขันได้แต้มดีๆ เขาให้นายจบอยู่แล้ว มีใบปริญญาของมหาวิทยาลัยเยียนซานมาประดับบ้านซะอย่าง นายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหางานทำอีกแล้ว

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ นายไม่ได้ไปในฐานะนักศึกษาโควตาพิเศษนักกีฬา แต่เป็นนักศึกษารับพิเศษ อย่าคิดว่าแค่คำมันต่างกันนิดๆ หน่อยๆ ความจริงนายจะได้รับการปฏิบัติที่ต่างกันมาก ถ้าให้ครูอธิบายละก็ หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยเยียนซานกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซินหลันแข่งกีฬากันดุเดือดมาก พวกเขาจัดตั้งทีมพายเรือแคนูในเวลาเดียวกัน มีเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเพื่อจะแข่งขันกันระหว่างสถาบัน

“ตอนนี้พวกเขาต่างเฟ้นหาคนมีความสามารถ สวัสดิการก็ย่อมดีตามไปด้วย ข้อจำกัดเรื่องสาขาของนักศึกษาโควตาพิเศษค่อนข้างเข้มงวด แต่สำหรับนักศึกษารับพิเศษ แค่คะแนนสอบวิชาวัฒนธรรมสูงมากพอ อยากจะเรียนสาขาอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น”

ฉีตงนิ่งคิด เขาไม่ได้สนใจว่าจะเรียนคณะอะไรอยู่แล้ว แต่ปัญหาสำหรับนักเรียนคือความเย้ายวนของชื่อเสียงมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สมัครในฐานะนักศึกษาบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยเยียนซานตั้งแต่แรก

การที่เขาไม่ได้เข้าร่วมทีมบาสเกตบอลนั้นเป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างมาก แต่การเข้าร่วมทีมพายเรือแคนูไม่ได้แปลว่าเขาจะหาเวลามาเล่นบาสเกตบอลไม่ได้ แม้ว่าเหล่าเจี่ยงจะเกลี้ยกล่อมเขาเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของโรงเรียน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นเรื่องจริง อาชีพนักกีฬาเป็นมื้ออาหารของวัยรุ่น คนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงคือผู้เล่นที่มีฝีมือไม่กี่คนเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักจะเผชิญกับชะตากรรมเกษียณอายุหรือถูกปลด การมีปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยดังๆ ดูจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในชีวิต

เหล่าเจี่ยงจับสังเกตปฏิกิริยาของฉีตง เขาก็รู้ว่าการโน้มน้าวของตนได้ผลไปแล้วถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ “ตอนแรกที่ครูเห็นนาย ครูคิดไม่ผิดจริงๆ นายจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ๆ”

ฉีตงได้แต่ก่นด่าในใจ และฟังเหล่าเจี่ยงพูดอีกครั้ง

“นายได้รับการตอบรับเป็นคนที่สองเลยนะ ครั้งนี้ห้องเราไม่แพ้เด็กห้องหนึ่งสักนิด” เหล่าเจี่ยงยิ้มอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าห้องหนึ่งและห้องสิบนั้นต่างกันสุดขั้ว แต่ทุกปีนักเรียนจากสองห้องนี้ก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ ได้ไม่แพ้กัน มีเพียงวิธีการสอบเข้าเท่านั้นที่แตกต่างกัน

“อีกคนคือใครเหรอครับ” ที่จริงแล้วฉีตงไม่อยากรู้ เขาแค่ถามไปอย่างนั้นเอง

“หลิงเต้าซีจากห้องหนึ่งน่ะ เขาถูกแนะนำไปที่สาขาคณิตศาสตร์ของเซินหลัน... นั่นไง พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา”

ฉีตงหันไปเห็นหลิงเต้าซีหอบกองกระดาษเดินเข้ามา เขาไม่สงสัยกับการมาของอีกฝ่ายนัก นักเรียนดีๆ แบบนี้ล้วนอยู่ในห้องพักครูตั้งแต่เช้าจดเย็น ผิดกับหลิงเต้าซีที่สงสัยเป็นอย่างมากเมื่อฉีตงมาอยู่ในห้องพักครู อีกทั้งยังนั่งอย่างสบายๆ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ทำเรื่องผิดแล้วถูกเรียกมาอบรมสักนิด

เมื่อครู่เหล่าเจี่ยงยังพูดจากระทบกระเทียบเด็กห้องหนึ่งอยู่เลย แต่พอเห็นหลิงเต้าซีเดินเข้ามา ก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส พลางพูดขึ้นอย่างมีความสุข “ไอหยา ว่าที่นักศึกษามหา’ลัยดังทั้งสองคนมารวมตัวกันแล้วสิเนี่ย คนหนึ่งนักปราชญ์ อีกคนนักบู๊ พวกนายสองคนนี่เป็นที่น่าภูมิใจมากจริงๆ”

หลิงเต้าซีถูกเหล่าเจี่ยงสรรเสริญก็ตกตะลึงทันที คุณครูที่อยู่อีกด้านเห็นเข้าจึงชี้แจงพร้อมรอยยิ้ม

“มหา’ลัยเยียนตอบรับฉีตงน่ะ ต่อไปพวกนายทั้งสองคนก็จะเรียนอยู่ตรงข้ามกันนี่เอง”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงเต้าซีก็หันมองฉีตงด้วยความประหลาดใจ ส่วนฉีตงเองก็จับได้ถึงท่าทีของอีกฝ่าย เขาจึงอดที่จะรู้สึกภูมิใจขึ้นมาไม่ได้

ในจังหวะที่ฉีตงจะเดินผ่านหลิงเต้าซี ทั้งสองคนสบตากันพอดี ฉีตงอารมณ์ดีไม่น้อยจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย ยั่วยุ และหยอกล้อ

หลิงเต้าซีชะงัก ก่อนเบนสายตาไปจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ฉีตงคิดในใจ ‘มึงดูถูกกู กูเองก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรมึงนักหรอก เป็นนักเรียนดีเด่นแล้วยังไง สุดท้ายก็ถูกกูเหยียบอยู่ใต้ตีนอยู่ดี ได้เข้าเซินหลันแล้วไง กูได้เข้ามหา’ลัยเยียนก็แล้วกัน ไหนใครกันแน่ที่ด้อยกว่า’

เรื่องที่ฉีตงได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเยียนซานแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาก็เป็นคนดังในโรงเรียนอยู่แล้ว พอมีข่าวนี้ขึ้นมา ฉีตงยิ่งดูจะฮอตมากขึ้น สายตาของรุ่นน้องสาวๆ ที่มองเขาผิดไปจากเดิม แม้แต่เฉินจิ้งที่มองว่าตัวเองสูงส่งยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

เวลาผ่านไปไม่นาน เรื่องของเขาก็ถูกกลบด้วยข่าวที่เป็นประเด็นร้อนอย่างรวดเร็ว ฉีตงไม่ใช่พวกชอบพูดเรื่องชาวบ้าน แต่ชื่อของหลิงเต้าซีก็เป็นที่พูดถึงในช่วงเวลาสั้นๆ แม้กระทั่งเฉินจิ้งยังพูดถึงอีกฝ่ายในขณะที่กำลังกินข้าวกับเขาที่โรงอาหาร โดยมีเพื่อนสนิทของเธอร่วมโต๊ะด้วย

“พวกเธอพูดถึงไอ้หมอนั่นมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนะ สรุปมันเป็นอะไรกันแน่” ถ้ารวมครั้งนี้ วันนี้ฉีตงได้ยินชื่อหลิงเต้าซีมาห้าครั้งแล้ว เขาจึงอดที่จะถามไม่ได้ แม้ว่าจะส่งผลต่อความอยากอาหารก็ตาม

“นี่นายไม่รู้เหรอ” เพื่อนสนิทของเฉินจิ้งตอบอย่างว่องไว “หลิงเต้าซีห้องหนึ่งปฏิเสธสิทธิ์เข้าเรียนเซินหลัน เขาต้องสอบเข้าใหม่อีกครั้งน่ะ”


 


[1] พอยต์การ์ด หรือการ์ดจ่าย (Point Guard) เป็นผู้เล่นตำแหน่งหนึ่งของกีฬาบาสเกตบอล มีหน้าที่เฉพาะคือดูแลการบุกของทีม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น