4

ผู้ชายนิรนาม


บทที่ ๔
ผู้ชายนิรนาม 

 

ดราก้อนทุบมือลงบนระเบียงเหล็กดาดฟ้าเพื่อระบายอารมณ์ เช่นเดียวกับลี่หงที่ใช้บุหรี่ดับความกลัดกลุ้ม ข้อเสนอหนึ่งหน้ากระดาษแต่แท้จริงแล้วคือกฎเหล็กจากผู้เป็นพ่อที่ไม่ต้องการให้ผู้ชายหน้าไหนมาใกล้ชิดลูกสาว เทียนไอ่และไป่ถังถึงกับทนฟังไม่ไหวลุกเดินหนีไปตั้งแต่ลูซี่อธิบายได้เพียงครึ่งหน้า ส่วนหย่งเต๋อที่เดิมทีถือหางนักร้องสาวตั้งแต่ต้นก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ 

“ข้อห้ามเยอะแบบนี้ ทำไมไม่เข้าวัด แล้วโกนบวชชีไปเลยล่ะ”

“ใจเย็นๆ น่าริว เราไม่มีทางเลือก นายอยากทำโพรเจกต์นี้มากไม่ใช่หรือ”

“อยากสิ แต่มันอดหงุดหงิดไม่ได้ ผู้หญิงอะไร เรื่องมากฉิบเป๋ง เหวินลู่ชิงคิดว่าลูกสาวเนื้อเป็นทองคำหรือไง ถึงห้ามนู่น ห้ามนี่ยุ่บยั่บไปหมด”

ลูซี่พยายามชี้แจงรายละเอียดอย่างใจเย็นแต่สิ่งที่ทุกคนกลับรู้สึกกลับหงุดหงิดในความเรื่องมาก ไหนจะห้ามใกล้ชิด ห้ามโอบเอว ที่สำคัญถ้ามีฉากจูบต้องใช้มุมกล้อง ห้ามอยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่รโหฐานและอื่นๆ อีกมากมาย

“เชื่อหรือยัง ที่ฉันเคยบอกว่าเจ้าพ่อมาเฟียหวงลูกสาวน่ะ ฉันมั่นใจเลยว่าทั้งหมดในหนึ่งหน้ากระดาษ เหวินลู่ชิงร่างเองล้วนๆ แล้วให้ทนายความพิมพ์ตาม”

“ยายเด็กกะโปโลนั่นน่าหวงตรงไหนวะ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่จับขังไว้ในห้องให้รู้แล้วรู้รอด ปล่อยให้ออกมาเดินเพ่นพ่านทำไม”

“นายก็พูดเกินไป หยางอิงก็น่ารักพอตัวอยู่นะ”

ภาพของใบหน้ารูปไข่ผุดขึ้น เรือนร่างเพรียวสมส่วนวันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดกระโปรงมินิสเกิร์ตตามสมัยนิยม เรียวขาของหล่อนเรียวกระชับไร้ส่วนเกิน ยิ่งมีผิวขาวเนียนไร้ที่ติแล้วก็ทำให้หยางอิงดูเซ็กซี่อย่าบอกใคร 

“ถึงหล่อนจะน่ารักแค่ไหน ถ้ามีพ่อเรื่องมากอย่างนี้ มีหวังผู้ชายหนีหายหมด นายลองคิดดูสิ ข้อห้ามสามข้อแรกก็ไปไม่ถูกกันแล้ว”

ข้อห้ามที่ว่าหมายถึงการห้ามโอบเอว โอบบ่า รวมถึงถ้ามีฉากกอดต้องใช้สแตนด์อิน แต่เนื้อเพลงที่ทั้งสองจะถ่ายทอดออกมานั้นเป็นความรักของสามีและภรรยา ทีมงานจึงพากันกุมขมับ หย่งเต๋ออยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก เขาทนฟังจนจบแต่หลังจากนั้นก็ขอตัวออกไปโทรศัพท์ ดราก้อนกับลี่หงทนไม่ไหวจึงขึ้นมาสูดอากาศที่ดาดฟ้า

“นายก็หยวนๆ ไปเถอะ”

“บอกตรงๆ นะ ยายเดวิลทำให้ฉันอึดอัดมาก แล้วอย่างนี้เราจะทำตามข้อเสนอของเทียนไอ่ได้ยังไง”

“ไม่รู้ ตอนแรกฉันคิดว่าให้นายกับแองเจิ้ลออกกำลังกายด้วยกัน แล้วที่เหลือก็คือเวลาซ้อมร้องเพลง ถ้ารวมๆ กันก็คงถึงหกชั่วโมงตรงตามข้อเสนอ แต่พอเห็นไอ้ข้อเรียกร้องหนึ่งหน้ากระดาษ ฉันชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่างานนี้จะไปรอดหรือเปล่า”

“เฮ้อ ทำไมมันยากอย่างนี้วะ นายคิดว่ายายเดวิลนี่เคยมีแฟนบ้างไหม”

ในเมื่อเหวินลู่ชิงหวงลูกสาวเข้าขั้นขนาดนี้ แล้วจะมีหนุ่มคนไหนที่สามารถผ่านด่านอรหันต์เข้าไปได้ ไม่ต้องคิดถึงตอนคบกันที่ฝ่ายชายจะไม่สามารถโอบเอวหรือโอบไหล่ รวมถึงการแตะเนื้อต้องตัวแม้แต่ปลายก้อย

“ฉันไม่รู้ แต่ข่าวที่รู้มา น่าจะไม่มี”

หยางอิงอายุใกล้จะยี่สิบ บิดาเลี้ยงดูราวกับไข่ในหิน ที่ผ่านมาตอนเข้าประกวดร้องเพลง เหวินลู่ชิงก็ใช้อำนาจทุกอย่างเพื่อให้มีโอกาสได้ตามดูแลใกล้ชิด เพราะแบบนี้เองถึงได้มีข่าวแพลมออกมาว่าอีกฝ่ายใช้เส้นเพื่อให้ลูกสาวได้แชมป์

“ผู้ชายคนไหน ได้หล่อนเป็นแฟนคนซวยไปทั้งชาติ มีหวังตอนเข้าหอพ่อตาเข้าไปนอนด้วยแน่ๆ”

“ไอ้บ้า คิดลามก หรือว่านายอยาก” ลี่หงหันมาหรี่ตามอง ดราก้อนส่ายหน้าดิกๆ แค่ได้ยินผู้จัดการสาวแถลงกฎข้อบังคับ เขาก็อยากจะอาเจียนออกมา 

“บ้าหรือ แค่ยืนใกล้ฉันยังสะอิดสะเอียนเลย แต่เพราะเป็นงาน ฉันถึงได้ยอม”

“สรุปว่านายจะยอมตามข้อตกลง”

“ฉันจะยอมในข้อที่ฉันเห็นสมควรโว้ย แต่ถ้าข้อไหนดูไร้สาระละก็ฉันจะฝ่าแม่งเลย”

“เฮ้ย หาเรื่องให้หัวแบะแล้วไหมล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันดูแลตัวเองได้ นายรีบไปคุยกับเทียนไอ่กับไป่ถังดีกว่าฉันว่าสองคนนั้นดูหงุดหงิดน่าดู เผลอๆ อาจจะเอาเพลงไปเสนอค่ายอื่น”

“ไม่มีทางหรอก สัญญาก็เซ็นสัญญาไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนใจก็คงต้องจ่ายค่าปรับอานเลย ฉันว่าสองคนนั้นคงไม่กล้าแน่”

“แต่ฉันต้องการให้ชัวร์ ฉันไม่อยากให้ความเสียสละที่ต้องทำงานกับยายนั่นสูญเปล่า” ดราก้อนโต้ ลี่หงดูดบุหรี่จนหมดมวน เขาหันมาพยักหน้ากับดราก้อน 

“ได้ งั้นฉันจะลองโทร. คุยดู นายจะลงไปข้างด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันอยากยืนรับลมตรงนี้สักพักก่อน ลงไปข้างล่างอึดอัดตายชัก ยิ่งเห็นใบหน้ายายเดวิล คงกินอะไรไม่ลง”

ดราก้อนพูดติดตลก ลี่หงโคลงศีรษะ เขาเปิดประตูเดินลงบันไดไปที่ห้องประชุม ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนอยู่เพียงลำพัง ดราก้อนสูดลมหายใจเขาลึก อดนึกถึงใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวไม่ได้ หยางอิงเห็นด้วยกับข้อห้ามนั้นหรือเปล่า ข้อนี้เองที่เขายังไม่แน่ใจ 

 

 “ป๊าทำแบบนี้กับหนูได้ยังไง นี่ป๊าไม่รักหนูแล้วใช่ไหม”

หยางอิงโพล่งทั้งน้ำตา ตลอดเวลาเกือบชั่วโมงในห้องประชุม หล่อนกลายเป็นตัวประหลาดเพราะข้อเรียกร้องในกระดาษแผ่นนั้น จะว่าไปแล้วหญิงสาวไม่เคยเห็นมันมาก่อน เพราะแบบนี้เองสินะ ลูซี่กับบิดาถึงได้คุยกันอยู่นาน 

“ป๊าต้องยกเลิกทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นป๊าจะไม่ได้เห็นหน้าหนูอีก”

ปลายสายเงียบ หยางอิงรู้ว่าบิดากำลังฟัง 

“ป๊าจะทำตามที่หนูบอก”

หยางอิงกดตัดสาย มือปาดน้ำตาออกไปจากพวงแก้ม หล่อนไม่มีหน้ากลับเข้าไปในห้องประชุมอีก ลูซี่นั่งหน้าเครียดอยู่กับหย่งเต๋อ ส่วนไป่ถังและเทียนไอ่โกรธมากผลุนผลันออกจากบริษัท หญิงสาวอยากหนีไปจากตรงนี้ หล่อนแค่ต้องการที่เงียบๆ เพื่อใช้ความคิด หญิงสาววิ่งเร็วๆ ขึ้นไปที่ดาดฟ้าและพบว่าประตูเปิดค้างอยู่ 

สำนักงานแห่งนี้ตั้งอยู่บนตึกสูงสามสิบชั้น มองไปด้านล่างจะเห็นหมู่ตึกมากมาย หยางอิงเงยหน้าขึ้น อยากตะโกน น้ำตาแห่งความอัดอั้นไหลทะลักออกมาไม่หยุด หล่อนเหมือนคนไร้ทางออก ร่างบางทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงกอดเข่าสองข้างไว้ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบน ทุกครั้งที่เครียดหยางอิงชอบมองท้องฟ้า แต่วันนี้ฟ้าช่างอ้างว้างเหลือเกิน 

ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับหล่อนด้วย ทุกคนคงคิดว่าหยางอิงเรื่องมากแถมยังชอบใช้เส้นอย่างที่ดราก้อนปรามาส ตั้งแต่เล็กจนโตหยางอิงต้องรับมือกับคำสบประมาทของคนรอบตัวมานับครั้งไม่ถ้วน นับตั้งแต่เข้าโรงเรียน การเป็นลูกสาวของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นมาเฟียทำให้หญิงสาวไม่มีเพื่อน แม้จะมี ‘คนที่ถูกสั่ง’ ให้มาอยู่ด้วย แต่เขาและเธอเหล่านั้นก็ทำตัวไม่ต่างจากตุ๊กตาเดินได้ มีเพียงคำพูดว่าคะ ครับ ทุกคนถูกบังคับให้ตามใจ 

เมื่อหยางอิงโตขึ้น เพื่อนที่แวดล้อมหล่อนก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกลูกคุณหนูที่มีฐานะร่ำรวยพอๆ กัน เพื่อนต่างใช้ชีวิตอย่างหาแก่นสารอะไรไม่ได้ วันๆ จัดปาร์ตี้ บินไปชอปปิงซื้อของแบรนด์เนมที่เมืองนอกเป็นว่าเล่น ใช้เงินราวกับเบี้ย ทุกคนต่างเป็นคนในวงการธุรกิจของพ่อ ความเหงาจากการอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า ทำให้หญิงสาวตัดสินใจทำบางอย่างที่เป็นความต้องการของหล่อนจริงๆ นั่นก็คือเข้าประกวดร้องเพลง 

หยางอิงทุ่มเทฝึกซ้อมร้องเพลงและเต้นรำ ไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นพอได้ตำแหน่งแชมป์ก็ไม่วายถูกคนปรามาสว่าหล่อนใช้เส้น 

ร่างบางปาดน้ำตาออกไป ก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกในลำคอหล่อนซบหน้าร้องไห้อีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมาหญิงสาวพยายามพิสูจน์ตัวเอง แต่วันนี้ทุกอย่างพังเพราะข้อเสนอหนึ่งหน้ากระดาษเพียงตัวเดียว หล่อนจะอธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างไร หญิงสาวร้องไห้อยู่นาน 

“เช็ดน้ำตาซะ ร้องไห้ขี้มูกโป่ง น่าเกลียดออก” เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีคนยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ แต่พอเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าก็บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม

“นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 หญิงสาวปาดน้ำตา รีบร้อนลุกขึ้น ตากวาดมองไปโดยรอบดาดฟ้าเพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่หรือไม่ 

“ไม่มีคนอื่นหรอก ลี่หงเพิ่งเดินลงไปเมื่อตะกี้”

เพราะเหตุนี้เองประตูดาดฟ้าถึงเปิดอยู่ หญิงสาวเม้มปากแน่น ความเสียใจแปรเป็นความหงุดหงิดเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจงใจจับผิด 

“นายแอบดูฉันร้องไห้ใช่ไหม”

ร่างสูงหน้าบึ้ง โต้กลับเสียงแข็ง

“น้อยๆ หน่อยเธอ ฉันเนี่ยนะแอบ ดูสารรูปตัวเองเสียก่อน ร้องไห้จนตาบวมเป็นหมีแพนด้า ยังมีอะไรน่าดูอีกฮึ”

“ฉันจะร้องไห้ มันธุระกงการอะไรของนายด้วย”

“นี่หาว่าฉันเสือกงั้นสิ” ดราก้อนโต้กลับหน้าชา

“ใช่ นายมันแย่ที่สุด คงสมน้ำหน้าฉันสินะ ทั้งหมดเป็นเพราะนายคนเดียว ถ้านายไม่หาเรื่องฉันในที่ประชุม ฉันก็คงไม่”

น้ำตาที่เพิ่งหยุดไปไหลทะลักออกมาอีกรอบ สายตาของทุกคนที่มองมาทำให้หยางอิงแทบทนไม่ได้ หล่อนเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด 

“เออแน่ะ โทษคนอื่นอีก เธอนี่มันนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจขนานแท้เลยนะ แทนที่จะโทษตัวเองว่าคิดข้อห้ามพิเรนทร์อะไรนั่นขึ้นมา”

“ฉันไม่ได้ทำ อย่ามากล่าวหากันนะ”

“แต่เธอก็รู้เรื่องทั้งหมดมาตลอด ไม่อย่างนั้นลูซี่จะมาเสนอให้ทีมงานดูทำไม”

“บอกแล้วไงว่าไม่รู้เรื่องๆ เอกสารนั่นฉันเพิ่งเคยเห็นวันนี้ ทุกคนก็ดีแต่ด่าว่าฉัน เคยมีใครเข้าใจฉันบ้าง”

 ร่างบางที่เพิ่งหยุดร้องไห้ ระเบิดน้ำตาออกมาอีกรอบ ความรู้สึกอัดอั้นที่มีมาตลอดหลายปี คนอาจจะคิดว่าหล่อนโชคดีที่เกิดมาบนกองเงินกอง แต่แท้จริงแล้วคือชีวิตที่ขาดอิสระเหมือนนกที่ถูกขัง บิดาไม่เคยปล่อยให้หล่อนไปไหนมาไหนคนเดียว ยามออกไปข้างนอกก็ต้องมีคนขับรถไปส่ง อีกทั้งยังมีบอดีการ์ดเดินตามถึงสองคน สมัยไปแข่งร้องเพลง หยางอิงก็ไม่มีโอกาสออกไปเที่ยวกับเพื่อนตามลำพัง หล่อนต้องรีบกลับบ้านเมื่องานเสร็จ 

“เธอก็ดีแต่เรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจ แล้วเคยเปิดตาดูบ้างไหมว่าทีมงานเขาต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะมีโพรเจกต์นี้ขึ้นมา เทียนไอ่ใช้เวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะได้เนื้อเพลงที่ลงตัว กว่าจะใส่ทำนองออกมาเป็นเดโม ทุกอย่างมันก็ต้องทุ่มเททั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอทำมันไม่เป็นมืออาชีพ”

“ฉันไม่เป็นมืออาชีพตรงไหน”

“ก็ตรงที่เธอมัวแต่กลัวว่าใครจะแตะเนื้อต้องตัว โดยที่ไม่สนห่าเหวอะไรเลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันคืองานยังไงล่ะ”

“ถ้าคำว่างานทำให้ฉันต้องยอมให้คนชั่วอย่างนายแต๊ะอั๋งละก็ฉันยอมตายเสียดีกว่า”

คำว่าคนชั่วสะกิดต่อมโกรธดราก้อน เขาย่างสามขุมเข้ามา หยางอิงลุกขึ้นจากพื้น ประจันหน้ากัน

“คำก็ชั่ว สองคำก็ชั่ว จะบอกให้เอาบุญนะ ว่าคนอย่างฉันถ้าต้องการผู้หญิงสักคนบนเตียงละก็ แค่กระดิกนิ้วเรียกก็มีคนมาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”

“ไอ้คนหลงตัวเอง”

 “เรียกว่ารู้จักเสน่ห์ของตัวเองน่าจะดีกว่าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก เธอก็ดีแต่ร้องไห้ฟ้องพ่อว่าโดนรังแก แต่บนโลกใบนี้คนที่เขาลำบากกว่าเธอมีตั้งเยอะแยะ”

 “ฉันไม่ใช่เด็ก”

 “งั้นหรือ แล้วที่คอยแขวะคนอื่นตลอดเวลา มันนิสัยผู้ใหญ่นักหรือไง”

“นายก็เหมือนกันนั่นละ ดีแต่กัดคนอื่น”

 หยางอิง มือกำแน่น กัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด เมื่อรู้ว่าเถียงไปยังไงก็ไม่ชนะก็หันหลังกลับ 

 “จะรีบไปไหน เรายังคุยกันไม่จบ เธอจะมาเดินหนีไปแบบนี้ไม่ได้”

 หญิงสาวสะบัดมือไหล่ออก เงื้อมือหมายสั่งสอนผู้ชายปากเก่งที่ดีแต่ค่อนแคะหล่อน แต่ดราก้อนไวกว่าเขารวบข้อมือหยางอิงเอาไว้กระชากทีเดียวร่างบางก็เซเข้ามาปะทะแผ่นอก ทั้งสองต่างตกใจกับความใกล้ชิด แต่ดราก้อนได้สติก่อน เขาถึงแกล้งเสพูดยั่ว

 “อยากซบอกก็ไม่บอก ขอกันดีๆ ก็ได้นะ ไอ้ฉันมันก็ใจอ่อนเสียด้วย” ชายหนุ่มหัวเราะกวนประสาท หยางอิงผลักอกชายหนุ่มอย่างแรงเพื่อประท้วง

 “อีตาบ้า ออกไปห่างๆ ฉันนะ ใครอยากซบอกนาย ทุเรศที่สุด”

 หยางอิงทุบรัวเข้าที่อก แต่ดราก้อนใช้ความแข็งแรงรวบข้อมือสองข้างเอาไว้และตรึงหล่อนเข้ากับกำแพง ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้

 “ทำไมกลัวหรือ ไหนว่าไม่ใช่เด็กไง ปากเก่งก็ทำให้ตลอดสิ ทำไมต้องหน้าแดงหูแดงเป็นลูกตำลึงแบบนี้ด้วย”

 ลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดตรงหน้าผาก ระลงมาถึงดั้งจมูกและริมฝีปากทำให้หญิงสาวไม่กล้าประสานสายตา ปากบอกว่าไม่กลัวแต่ทำไมขาสองข้างถึงได้สั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ขนาดนี้ ดราก้อนทำอะไรกับหล่อน เสียงแหบพร่ายามเอ่ยออกไป

 “ปล่อยฉันนะ”

 “ถ้าอยากให้ปล่อยก็เงยหน้าสบตาฉัน ทำแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ให้มันรู้ไปเลยว่าใครแน่กว่าใคร”

 หยางอิงสูดหายใจเข้าลึก กลั้นใจเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตา แต่หล่อนพลาด! เพราะเมื่อตาประสานกัน อานุภาพของบางอย่างก็ทำให้หญิงสาวถึงกับตกตะลึง 

นัยน์ตาคมของผู้ชายตรงหน้าราวกับมีพลังสาดส่องออกมา หยางอิงลืมตัวเผลอมองเสี้ยวหน้าคมราวกับรูปสลัก แต่ส่วนที่ทำให้ตกตะลึงกลับเป็นริมฝีหยักลึกที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หล่อนไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมถึงไม่ขยับเขยื้อน ไม่ขัดขืน แถมยังไม่โต้แย้งเสียอีก

ดราก้อนกำลังจะจูบหล่อนงั้นหรือ ก็ไหนเขาบอกเองว่าหล่อนไม่ใช่สเปค หยางอิงสั่งตัวเองว่าต้องขัดขืน แต่ทำไมแข้งขาถึงอ่อนแรงราวกับขี้ผึ้งเหลว ลมหายใจที่กระชั้นขึ้นเหมือนจะขาดใจ เมื่อใบหน้าคมโน้มต่ำลงมา หยางอิงหลับตาลง กายสาวสั่นเทิ้ม หล่อนกำลังจะถูกปล้ำจูบ แต่แล้ว 

 “...”

 เสียงริงโทนในโทรศัพท์กระชากทั้งคู่ออกจากภวังค์ ดราก้อนสบถเสียงดังลั่น เขาผละออกวิ่งลงบันไดไป ทิ้งให้หยางอิงยืนหอบหายใจระรัวบนดาดฟ้า เนื้อในอกข้างซ้ายเต้นแรงและรัวราวกับจะหยุด จนหญิงสาวต้องใช้มือกดมันเอาไว้ 

 หล่อนเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ทำไมใจถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ เรี่ยวแรงเหมือนถูกสูบไปจนหมด เมื่อครู่นี้หล่อนเกือบจะจูบกับดราก้อน ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน หยางอิงเข่าอ่อนจนทรงตัวไม่อยู่ ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น 

 ต้องไม่ใช่แน่ๆ สิ่งนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น หล่อนส่ายหน้า แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว เริ่มไม่แน่ใจตัวเองว่าความรู้สึกที่มีต่อรักแรกในวัยเด็กของหล่อนหายไปจริงๆ หรือไม่ หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว หล่อนยังหลงรักดราก้อน ไม่ได้การ หยางอิงต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นหล่อนอาจจะต้องพลาดตกเป็นเหยื่อของผู้ชายปากร้ายคนนั้นซ้ำอีกครั้ง 

 

ดราก้อนมองเบอร์ที่อยู่หน้าจอ และพบว่ามาจากผู้จัดการหนุ่มที่เพิ่งเดินลงไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ที่แปลกก็คือเพราะอะไรลี่หงถึงได้โทร. ตาม เขากดรับสายและกรอกเสียงลงไป

“มีอะไรลี่หง”

“เรื่องด่วน นายรีบลงมาที่ล็อบบี้ด่วนที่สุด มีคนต้องการพบนาย”

“แต่ฉันไม่อยากพบใครทั้งนั้นตอนนี้ นายช่วยไล่ไปที”

“แต่คนนี้ฉันไล่ไปให้ไม่ได้ นายรีบลงมา เรื่องสำคัญมาก”

ผู้จัดการหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง ดราก้อนสลัดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทิ้งไป ใครกันที่ทำให้ลี่หงเคร่งเครียดขนาดนี้ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกมองเห็นชายในชุดเครื่องแบบตำรวจก็ทำให้ตกใจ 

“เชิญนั่งก่อนครับคุณดราก้อน ผมอยากรบกวนให้คุณดูนี่หน่อย”

ตำรวจดึงรูปถ่ายออกมาจากกองเอกสาร ทั้งหมดคือรูปของเฉินห่าวในอิริยาบถต่างๆ กัน ดราก้อนกัดกรามแน่น ลางสังหรณ์บอกว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นแล้ว 

“ใช่ครับ ผมรู้จักเขา”

“ไม่ทราบว่าเฉินห่าวกับคุณมีความสัมพันธ์กันยังไงครับ”

“เฉินห่าวเป็นอาจารย์ และเป็นคนสอนศิลปะป้องกันตัวให้ผม”

ไม่เพียงแต่ตำรวจที่ประหลาดใจ ลี่หงก็พลอยเลิกคิ้วตามไปด้วย ตำรวจพูดต่อ

“ไม่ทราบว่าคุณดราก้อนได้เจอกับเฉินห่าวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และที่ไหน”

“ผมเจอเขาที่เมืองไทยครับ เขาไปพักร้อนที่นั่น แต่ขากลับผมรีบมาจัดการธุระที่ฮ่องกงเลยยังไม่เจอกันอีก ปกติเราสองคนก็ไม่เคยเดินทางด้วยกันอยู่แล้ว แต่คุณตำรวจทำไมถึงถามเรื่องนี้หรือครับ หรือว่าเขา”

ลางสังหรณ์ทำให้มือเรียวเย็นเฉียบ ดราก้อนโทร. บอกเฉินห่าวว่ามาถึงฮ่องกงแล้วแต่เขายังไม่รับสาย 

“คือทางเราสงสัยว่าเฉินห่าวคือศพชายนิรนามที่เราพบที่โกดังร้างเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน”

“อะไรนะครับ”

ภาพถ่ายที่ถูกยื่นมาให้ทำให้ดราก้อนต้องเบือนหน้าหนี เขาจำเสื้อผ้าชุดนั้นได้ รวมถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่เปื้อนเลือดที่บรรจุในซอง 

“เบอร์สุดท้ายที่โทร. เข้ามาคือเบอร์ของคุณ รวมถึงข้อความที่คุณส่งมาหาเฉินห่าวทำให้พวกผมตัดสินใจมาหาคุณที่นี่ และถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ผมจึงอยากเชิญคุณไปยืนยันศพ”

ตำรวจแจ้งว่าได้โทร. หาหญิงสาวคนหนึ่งตามเบอร์ที่พบในโทรศัพท์ แต่หล่อนอยู่เมืองไทยและยังไม่ได้เดินทางมาที่ฮ่องกง

“นายไปรู้จักเฉินห่าวได้ยังไง ไปเรียนศิลปะป้องกันตัวมาตอนไหน”

“นานมากแล้วตั้งแต่ฉันเด็กๆ เฉินห่าวไม่มีญาติ เขาไม่ได้แต่งงาน เท่าที่ฉันรู้ เขาอยู่ตัวคนเดียว”

ศพนิรนามนั้นใช่เฉินห่าวจริงๆ หรือไม่ อาจารย์ของเขาเป็นคนเก่ง มีศิลปะป้องกันตัวเป็นเลิศ อีกทั้งยังระวังตัวอย่างดีเยี่ยม คนที่จะทำร้ายเขาได้ต้องเป็นคนที่สนิทด้วยเท่านั้น

“นอกจากคุณแล้ว มีคนอื่นที่เฉินห่าวติดต่อด้วยไหมครับ”

“ข้อนี้ผมไม่ทราบครับ ปกติ เรามักจะนัดเจอกันที่ยิมที่ผมเป็นสมาชิก บางทีเราก็ไปซ้อมยิงปืนที่สนาม”

“นี่นายยิงปืนเป็นด้วยหรือดราก้อน”

“ก็พอเป็นบ้าง นายก็รู้ ฉันมันศัตรูรอบด้าน ก็ต้องฝึกเอาไว้หน่อย”

“ถ้าคุณดราก้อน พอมีเวลาผมอยากจะขอให้คุณไปที่สถาบันนิติเวชกับผม เพื่อยืนยันบุคคล ส่วนการส่งพิสูจน์อัตตาลักษณ์นั้นเราให้ทางทีมพิสูจน์หลักฐานดำเนินการอยู่คงจะกินเวลาสักหนึ่งอาทิตย์”

“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่คุณตำรวจคิดว่าเฉินห่าวเสียชีวิตจากอะไรหรือครับ”

“ผมคิดว่าเขาจมน้ำตายครับ ตามร่างกายของศพมีแผลถูกทำร้ายร่างกายหลายแห่ง สภาพศพค่อนข้างขึ้นอืด เราจึงบอกได้ยากว่าใช่เฉินห่าวจริงหรือเปล่า”

“ได้ครับ เราไปกันเลยก็ได้ครับ วันนี้ผมไม่มีงานอะไรแล้ว”

“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนนะ” ลี่หงผุดลุกขึ้น แต่ดราก้อนโบกมือส่ายหน้า 

“อย่าเลย นายกลัวผี ขืนไปดูในห้องเก็บศพ มีหวังคืนนี้นอนไม่หลับแน่”

“นายจะไปคนเดียวงั้นหรือ”

“เออน่า ฉันมีคุณตำรวจไปเป็นเพื่อน เสร็จแล้วฉันค่อยนั่งรถกลับมาคอนโดเอง นายไม่ต้องห่วง”

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของดราก้อน ลี่หงจึงไม่ปฏิเสธอีก เขาหันไปหาคุณตำรวจพร้อมกับกำชับเป็นครั้งสุดท้าย 

“ผมฝากดูแลดราก้อนด้วยนะครับ หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ เพราะดราก้อนมีพยานยืนยันที่อยู่ตลอดเวลา”

“ไม่มีแน่นอนครับ คุณดราก้อนแค่ไปเป็นพยาน หลังจากเรียบร้อยแล้วผมจะให้ตำรวจขับรถไปส่งที่คอนโดเอง คุณผู้จัดการไม่ต้องเป็นห่วง”

 

นักร้องหนุ่มเดินออกจากอาคารของสถาบันนิติเวชด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป หนึ่งคือความโล่งอกผสานกับความประหลาดใจ เขาบอกไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนเมื่อรู้ว่านั่นไม่ใช่เฉินห่าว 

สภาพของศพดูคล้ายมากแต่รอยสักด้านหลังหูทำให้มั่นใจว่าไม่ใช่อาจารย์ แต่ปัญหาก็คือใครกันที่จัดฉากนำเสื้อผ้าเฉินห่าวมาใส่ให้ศพ และตัวจริงเฉินห่าวอยู่ที่ไหนกันแน่ ในเมื่อโทรศัพท์ประจำตัวอยู่ในมือตำรวจแสดงว่าอาจารย์ต้องการกลบเกลื่อนหลักฐานและหนีไปกบดานที่ไหนสักแห่ง ผู้หญิงที่อยู่เมืองไทยคือใครกันแน่ 

ดราก้อนมืดแปดด้าน คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวว่าใครกันต้องการปองร้ายเฉินห่าว ทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับการไปช่วยไทกะที่เมืองไทยหรือเปล่า รวมถึงทัมบ์ไดรฟ์ที่อาจารย์ฝากนำกลับมาที่ฮ่องกงเขายังไม่ได้เปิดดูว่าภายในมีข้อมูลอะไร ดราก้อนจำสิ่งที่เฉินห่าวพูดได้ดี 

‘เอาไว้ถึงบ้านค่อยเปิดดู จำเอาไว้ ห้ามเปิดในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อวายฟายเด็ดขาด ข้อมูลด้านในเป็นความลับ’

เพราะที่ผ่านมาเขากำลังยุ่ง แต่ปัญหาเร่งด่วนคือหาตัวอาจารย์ให้พบโดยเร็วที่สุด ตัวช่วยเดียวที่ชายหนุ่มนึกออกตอนนี้ มีเพียงรุ่นพี่ที่เป็นนายตำรวจ เขารู้จักกับคริสมานานแล้ว เพราะเรียนมัธยมต้นโรงเรียนเดียว ทั้งคู่เคยพบกันที่ยิมหลายครั้งจึงแลกไลน์กัน เมื่อส่งข้อความไปหาเพียงไม่นานคริสก็ตอบกลับมาพร้อมกับส่งโลเกชันมาให้ 

ดราก้อนสวมหมวกปิดบังใบหน้า เดินเข้าไปในตลาดของกินในย่านดังของมาเก๊า พื้นที่แห่งนี้ไม่เคยร้างผู้คน นอกจากนักท่องเที่ยวแล้วชาวบ้านยังออกมาเดินเล่น หาของกินยามดึกจึงจัดเป็นพื้นที่พลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่ง กลิ่นอาหารหอมฉุย รวมถึงเสียงพูดคุยทำให้พื้นที่ตรงนี้ครึกครื้น ดราก้อนเพิ่งจัดการบะหมี่หมดชามตอนที่ ชายอีกคนก็ลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นักร้องหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพียงครู่เดียวพอเห็นว่าเป็นใครก็รีบก้มหน้าทำเหมือนไม่รู้จักกัน

“อย่าทำตัวมีพิรุธ กินให้เสร็จแล้วไปเจอฉันที่ร้านสะดวกซื้อตรงปากซอย” เสียงพึมพำพอให้ได้ยินกันสองคน

ดราก้อนทำตามที่สั่ง เขาจัดการกับบะหมี่ชามที่สองก่อนลุกขึ้นจ่ายเงินและเดินไปยังจุดนัดหมาย มองเผินๆ ทั้งสองจะเหมือนคนแปลกหน้าบังเอิญมานั่งโต๊ะเดียวกัน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกลับบ้าน ชายหนุ่มเตร่รออยู่ไม่นานคริสก็ตามมาสมทบ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามกันเข้าไปในซอย คริสเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปโดยมีดราก้อนขึ้นตาม รถเคลื่อนตัวออกไป เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังคริสก็เอ่ยขึ้น

“นายอยากพบฉันเรื่องอะไร”

“วันนี้ผมถูกตำรวจเชิญตัวไปดูศพ”

คริสยิ้มมุมปาก เอ่ยต่อ “นายก็เลยมาถามเพราะว่าศพนั่นไม่ใช่คนที่ชื่อเฉินห่าวใช่ไหม”

“นี่พี่รู้จักเฉินห่าวงั้นหรือ แล้วพี่รู้เรื่องอะไรของเขาบ้าง”

ดราก้อนโพล่งขึ้น เขาไว้ใจคริสที่สุด คริสทำงานเป็นสายสืบสังกัดกรมตำรวจ นอกจากเป็นคนนิสัยดีแล้วยังมีฝีมือการต่อสู้ดีเยี่ยมอีกด้วย 

“ฉันรู้ว่าศพนั่นไม่ใช่เขา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสื้อผ้าและของใช้ของเขาถึงไปอยู่บนศพนั่นได้”

“แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”

“ใช่ และถ้าให้เดา เขาคงกบดานอยู่ จนกว่าคนที่ปองร้ายจะรามือ”

“หรือว่าเขาจะหนีกลับบ้าน?”

“ไม่ใช่แน่ เพราะบ้านเขาที่ถนน กลายเป็นตอตะโกไปแล้ว” คริสพูดชื่อถนนซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยในฮ่องกง ดราก้อนอ้าปากค้าง 

“อะไรนะ” ดราก้อนตาโต เขาคิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงไม่กี่วันกลับมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ “เมื่อไหร่ ตอนไหน ทำไมผมไม่รู้”

“ข่าวเพิ่งออกโทรทัศน์เมื่อตอนเย็นนี่เอง บ้านอื่นในละแวกใกล้เคียงก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการวางเพลิง คนทำก็คือศัตรูของเฉินห่าว”

“เฉินห่าวเป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงโดนตามล่า”

“นี่อย่าบอกนะว่านายรู้จักกับเขามานานขนาดนี้แต่ไม่รู้ว่าเฉินห่าวทำงานอะไร”

ดราก้อนนิ่ง เรื่องระหว่างเขากับเฉินห่าวเป็นความลับแม้แต่มารดาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาแอบเรียนศิลปะป้องกันตัว แต่ทำไมคริสถึงพูดเหมือนรู้ทุกอย่าง ร่างสูงซึ่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัยบุ้ยใบ้ไปยังลิ้นชักหน้าคอนโซล ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดมันออก แฟ้มเอกสารซึ่งมีรูปภาพ ส่วนใหญ่คือรูปของเฉินห่าวกับเขาในสถานที่ต่างๆ และที่ทำให้ดราก้อนประหลาดใจนั่นก็เพราะมีรูปของเขาตอนอยู่เมืองไทยอีกด้วย 

“พี่รู้ว่าผมกับเฉินห่าวไปช่วยคน”

“รู้สิ เพราะทางตำรวจคอยจับตาเฉินห่าวมานานแล้ว แต่นายนั่นละที่ประมาท ปากบอกว่าสนิทแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินห่าวเป็นศัตรูกับใคร”

ชายหนุ่มดึงเอกสารฉบับถัดไปขึ้นมา ข้อมูลที่เขียนอยู่ทำให้เขามือเย็นเฉียบ รูปการ์ดนกฟีนิกซ์สีแดงเพลิงนอนเด่นหราอยู่ในนั้น 

“นี่อะไร”

“ก็องค์กรที่นายกับอาจารย์ของนายกำลังต่อกรด้วยอยู่ไงล่ะ”

เรื่องราวจากปากของคริสสร้างความประหลาดใจไม่น้อย ดราก้อนไม่เคยคิดว่าคนร้ายที่จ้องจะเอาชีวิตของไทกะและเพื่อนจะเป็นถึงสมาชิกองค์กรไฟร์ฟีนิกซ์ที่ทางการฮ่องกงต้องการตัวมานานแล้ว เรื่องราวขององค์กรลับระดับโลกถูกกล่าวถึงมาหลายครั้ง ไม่มีใครรู้แน่ว่าองค์กรตั้งอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าสมาชิกมีจำนวนหลายพันคนด้วยกัน สมาชิกระดับหัวหน้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพล คนที่พยายามตีตัวออกห่างมักจะถูกสั่งเก็บ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นแค่ทฤษฎี แต่ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าบอกให้รู้ว่าคงไม่ใช่เสียแล้ว 

“พี่หมายความว่าคนร้ายที่กำลังตามล่าตัวอาจารย์ของผม เป็นคนขององค์กรไฟร์ฟีนิกซ์”

“ใช่และฉันมั่นใจว่าพวกมันไม่มีทางรามือ นายต้องระวังตัว เพราะนายกับเฉินห่าวไปแย่งเหยื่อออกจากปากของพวกมัน”

ไทกะกับเพื่อนคือคนที่องค์กรต้องการตัว แม้ว่าตอนนี้ไทกะจะถูกเพื่อนสาวพากลับไปกรุงเทพฯ แต่ข่าวการหายตัวไปอีกครั้งของดีไซเนอร์หนุ่มทำให้ไม่แน่ใจว่าเขายังปลอดภัยดีหรือไม่ ตราบใดที่ยังไม่พบศพ ดราก้อนได้แต่หวังว่าชายหนุ่มจะรอดชีวิต 

“พี่คิดว่าอาจารย์ของผมตอนนี้หลบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”

“ฉันไม่รู้ ฉันว่าคนที่น่าจะเดาได้มากที่สุด น่าจะเป็นนายนะ เขาสนิทกับนายและถ่ายทอดวิชาให้”

ภาพของบ้านพักตากอากาศบนเขาแห่งหนึ่งผุดขึ้นในความคิด ดราก้อนจำได้ว่าเขานั่งรถไปกับเฉินห่าวในคืนวันหนึ่ง แต่เนื่องจากระหว่างทางขากลับ เขาเผลอหลับไป จึงจำได้เลาๆ แค่ถนนสายหลัก

“ผมไม่แน่ใจ ปกติอาจารย์ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เขาไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังสักเท่าไหร่”

“ยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวเอง ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะเก็บมือเก็บไม้จากเรื่องนี้ คนขององค์กรกำลังตามล่าเฉินห่าว ขนาดฉันยังรู้ว่านายกับเขาสนิทกันแล้วคิดว่าคนขององค์กรจะไม่รู้เลยเชียวหรือ”

“พี่หมายความว่า”

“นายอยู่ในที่แจ้ง เป็นคนของสังคม ไปไหนมาไหนก็มีคนรู้ตารางงานก่อนหน้าเป็นอาทิตย์ ถ้าไม่จำเป็นควรอยู่ในห่างเรื่องนี้ไว้”

“พี่คิดว่าพวกมันจะหันมาเล่นงานผมด้วยงั้นหรือ”

“ใช่ ดังนั้นต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจอย่างฉัน นายกลับไปนั่งสบายๆ อยู่ที่คอนโด อย่ายุ่งกับเรื่องนี้ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น