0

บทนำ

บทนำ

 

“เสร็จแล้ว” 

เสียงของเด็กชายวัยสิบสองปีดังขึ้นด้วยความดีใจ หลังจากประกอบเครื่องบินจำลองเสร็จ เขาถือมันกระโดดโลดเต้นอยู่บนโซฟาด้วยความดีใจ

“น่านลงมาลูก เดี๋ยวก็ตกลงไปแข้งขาหักหรอก” เกวลินผู้เป็นแม่ร้องบอกด้วยความห่วงใยทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากซีรีส์เกาหลีเรื่องโปรดทางโทรทัศน์ 

“ผมเอาไปให้พ่อดูนะครับ”

“อือ” มารดาเพียงพยักหน้าแล้วดึงทิชชูไปซับน้ำตาที่เสียให้แก่พระเอกหน้าใสราวกระเบื้องเคลือบ

น่านตะวันวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นไปตามโถงด้วยความลิงโลด เขาอยากให้บิดาภูมิใจผลงานของตัวเอง เพราะนี่เป็นเครื่องบินจำลองลำแรกที่เขาประกอบมันขึ้นมาเองโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากท่านหรือคมชาญ ลูกน้องคนสนิทของท่านที่มักจะมาเล่นกับเขาเป็นประจำ

เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงาน เขาคิดว่าจะย่องเข้าไปแล้วเอาเครื่องบินลำนี้ไปเซอร์ไพรส์บิดา จึงค่อยๆ แง้มประตูเบาๆ แล้วทำท่าว่าจะก้าวเข้าไป ทว่า...

“เราต้องฆ่าไอ้โชติซะ!”

เท้าของน่านตะวันชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความอำมหิตนั้น เขาจำได้ดีว่านั่นเป็นเสียงของภาสพงษ์ผู้เป็นบิดา และมันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

พ่อโกรธใครกัน ทำไมถึงได้ส่งเสียงคำรามอย่างดุดันถึงกับจะเข่นฆ่าออกมาอย่างเลือดเย็นอย่างนั้น

เด็กชายมองลอดช่องประตูที่แง้มอยู่เล็กน้อยเข้าไปก็เห็นบิดากำลังยืนกอดอกพิงขอบโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าถมึงทึงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะในความทรงจำของเขา พ่อมักจะมีใบหน้าเปื้อนยิ้มและดูอบอุ่นตลอดเวลา แม้แต่น้ำเสียงดุดันก็ไม่เคยเอ่ยให้เขาได้ยินเลยสักครั้ง

ไม่ห่างออกไปนักคือคมชาญที่กำลังยืนกุมมืออยู่อย่างสงบเสงี่ยม เขาเป็นมือขวาคนสนิทของภาสพงษ์ เป็นชายหนุ่มฉกรรจ์วัยสามสิบเจ็ดปีที่มีใบหน้าคมสันและไว้หนวดเคราตามสมัยนิยม ตั้งแต่น่านตะวันจำความได้ก็เห็นเขาอยู่ในบ้านแล้ว และชอบแวะเวียนมาเล่นกับเขาบ่อยๆ จึงกลายเป็นคนที่เด็กชายสนิทที่สุดในบรรดาลูกน้องใบหน้าถมึงทึงของบิดาทั้งหมดอ่อนกว่าผู้เป็นนายสองปี

ส่วนที่โซฟาตรงข้ามกับภาสพงษ์มีชายอีกคนหนึ่งที่น่านตะวันไม่รู้จักนั่งอยู่ เขาคนนั้นเป็นคนรูปร่างสันทัดใบหน้าเหลี่ยมและมีดวงตากลมโต ท่าทางเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างสมบุกสมบันทีเดียว

“ใจเย็นๆ ก่อนไม่ดีหรือครับท่าน” คมชาญเอ่ยอย่างสุขุม 

“ไม่ต้องยงต้องเย็นมันแล้วคมชาญ” ชายที่เขาไม่รู้จักขัดขึ้น ก่อนจะหันไปหาบิดาของเขา “ถ้าขืนไม่จัดการคืนนี้แล้วรอให้คุณโชติเอาหลักฐานทุกอย่างเข้าที่ประชุมบอร์ดพรุ่งนี้ คุณพงษ์กับผมอาจเดือดร้อนได้นะครับ”

คำพูดของชายคนนั้นยิ่งทำให้สีหน้าของภาสพงษ์เครียดจัดขึ้น ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหันหลังให้ทุกคนแล้วกำหมัดทุบเปรี้ยงลงบนโต๊ะ 

“คมชาญ ไปจัดการฆ่าทุกคนในบ้านนั่นซะ ทำให้ทุกอย่างเหมือนการปล้น”

“แล้วหนูน้ำล่ะครับ” คมชาญเอ่ยถาม

น่านตะวันเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น เพราะน้ำหรือชลาลัยคือเด็กหญิงวัยหกปีที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่มีอาณาบริเวณติดกับคฤหาสน์หลังนี้ บิดาของเธอคือธนโชติ ผู้เป็นประธานกรรมการบริหารพีทีจิวเอลรี และเป็นเพื่อนสนิทกับภาสพงษ์ ทั้งคู่ร่วมหุ้นกันเปิดบริษัทจิวเอลรีและฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานามาด้วยกันจนกระทั่งบัดนี้มันได้กลายเป็นบริษัทอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยไปแล้ว

ที่แท้ ‘ไอ้โชติ’ ที่บิดาของเขากล่าวถึงก็คือ ธนโชติ ผู้เป็นบิดาของเด็กหญิงชลาลัยนั่นเอง

นี่บิดาของเขาจะฆ่าเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยหรือ

หัวใจของน่านตะวันเต้นรัว เพราะความที่บ้านติดกันและผู้นำทั้งสองครอบครัวเป็นเพื่อนกัน เด็กทั้งสองจึงมักจะเล่นด้วยกันเสมอจนสนิทชิดเชื้อ เด็กหญิงเองก็ติดเด็กชายเป็นตังเม ส่วนเด็กชายเองที่อยากมีน้องสาวอยู่แล้วก็ยิ่งรักเด็กหญิงเสมือนดวงใจ

“นายไม่เข้าใจคำว่า ‘ฆ่าให้หมด’ ตรงไหนหือคมชาญ” 

ชายที่เขาไม่รู้จักเอ่ยเสียงเข้ม นั่นทำให้เด็กชายเบิกตากว้างขึ้นอีกอย่างแทบไม่เชื่อหูเลยว่าจะมีคนที่เหี้ยมโหดถึงเพียงนี้มาอยู่ในบ้าน เพราะเพียงสั่งฆ่าคนก็เลวร้ายพออยู่แล้ว นี่ถึงกับสั่งฆ่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย

เขาต้องทำอะไรสักอย่าง

“ทำตามที่ฉันสั่ง” ภาสพงษ์กัดฟันเอ่ย

“ครับท่าน” คมชาญก้มศีรษะรับคำสั่ง ผู้ชายคนนี้ไม่เคยขัดคำสั่งของภาสพงษ์ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม แถมยังทำได้ดีทุกอย่างเสียด้วย 

นั่นเป็นการการันตีเลยว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ชลาลัยกับทุกๆ คนในบ้านหลังนั้นจะต้องจบชีวิตลงตามคำบัญชาของบิดาของเขาอย่างแน่นอน

สมองของเด็กชายปั่นป่วนไปหมด เขาจะยอมปล่อยให้บิดาทำบาปใหญ่หลวงแบบนี้ไม่ได้ คิดได้ดังนั้นจึงผละจากประตูห้องทำงานไปก่อนที่คมชาญจะออกมา จากนั้นวิ่งสุดชีวิตตัดห้องนั่งเล่นที่มารดายังคงนั่งดูซีรีส์เกาหลีอยู่อย่างไม่สนใจโลกแห่งความเป็นจริง ผ่านห้องโถงหน้าบ้านที่มีโคมระย้าช่อใหญ่เรืองแสงระยิบระยับ และฝ่าสวนกว้างที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากสปริงเกอร์ไปจนกระทั่งถึงรั้ว

เด็กหนุ่มหยุดวิ่ง แล้วก้มลงจับเข่าหอบแฮกๆ ชายกางเกงนอนขายาวของเขาเลอะไปด้วยดินเปียกๆ และหญ้า ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่เมื่อหันไปเห็นคมชาญออกมาจากบ้านแล้วขึ้นรถยนต์ขับออกไป เขาก็รู้ทันทีว่าไม่มีเวลาจะมารีรออะไรอยู่อีกแล้ว

น่านตะวันปีนข้ามรั้วไปยังสวนกว้างของคฤหาสน์ข้างเคียง ด้วยความร้อนรนจึงทำให้ขาลงตกจากรั้ว ดีที่มันไม่สูงมากจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไรนัก มีเพียงแผลถลอกเล็กน้อยที่ข้อศอกและเสื้อที่เปื้อนโคลนเลอะเทอะ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้ววิ่งตัดสนามหญ้าไปที่ประตูใหญ่ซึ่งยังคงเปิดอ้าอยู่

“อ้าว...น่าน มาได้ยังไงคะ”

ปรียาผู้เป็นมารดาของชลาลัยเอ่ยทักเมื่อเห็นเขา สีหน้าของเธอดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเด็กชายที่คุ้นเคยอยู่ในสภาพมอมแมมเช่นนี้

“มะ...มีคน...จะมา...” น่านตะวันพูดไปหอบไปเพราะวิ่งมาไกล เลยฟังดูไม่เป็นประโยคนัก

“ใจเย็นๆ จ้ะ นั่งพักก่อนดีไหม เดี๋ยวอาเอาน้ำเย็นๆ มาให้”

เขารีบโบกมือ “ไม่มี...เวลา...แล้วครับ”

“เวลาอะไรกันจ๊ะ หรือจะมาหาหนูน้ำ กลัวหนูน้ำจะนอนก่อนละสิ”

“เปล่าครับ ผมจะบอกว่า...”

“อ้าว น่าน” เสียงของธนโชติดังขัดขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “มาซะดึกเชียวนะวันนี้ คิดถึงหนูน้ำหรือไง”

“ไม่ใช่ครับ” น่านตะวันโบกมือพลางหอบฮัก

“ไม่ต้องแก้ตัวเลย” ปรียาหัวเราะ “แต่ตอนนี้น้าว่ามันดึกแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ดีกว่า”

“ฟังผมก่อนครับคุณอา”

ธนโชติหันไปยิ้มกับภรรยา ก่อนยื่นมือมายีผมเขา “เอา...อยากจะพูดอะไรล่ะหือ”

“มีคน...จะ...มาฆ่าคุณอาครับ”

สองสามีภรรยาเลิกคิ้วแล้วมองกันอย่างงงงวย ชั่ววินาทีหนึ่งเขาเห็นแววตาของธนโชติทอประกายแห่งความกังวลก่อนที่จะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ

“อะไรกัน ดูหนังแอกชันมาหรือไง”

“ผมพูดจริงๆ นะครับอา มีคนจะมาฆ่าคุณอาทั้งสองกับหนูน้ำจริงๆ นะครับ”

ธนโชติจ้องมองเขาอย่างพินิจ เมื่อเห็นสีหน้าเครียดของเขาจึงคุกเข่าลงแล้ววางมือบนไหล่เขา

“แล้วน่านรู้มาได้ยังไง”

“เอ่อ...คือ...” น่านตะวันอึกอักเหมือนน้ำท่วมปาก เพราะจะบอกว่าบิดาของเขาเป็นคนสั่งคมชาญให้มาสังหารทุกคนในบ้านนี้ก็ทำไม่ได้ แต่จะไม่บอกก็อาจทำให้ธนโชติไม่เชื่อ

“ว่าไงจ๊ะน่าน รู้มาได้ยังไง” ปรียาเอ่ยถามอีกคน

“ไม่มีเวลาแล้วครับ ผมว่าคุณอารีบพาหนูน้ำหนีไปก่อนดีกว่าครับ”

ทั้งสองคนดูเหมือนจะยังลังเลว่าจะเชื่อคำของเด็กอายุสิบสองปีดีหรือไม่ นั่นยิ่งทำให้น่านตะวันอึดอัดและร้อนใจเป็นอย่างมาก

“เชื่อผมสักครั้งนะครับ”

“เอาละๆ อาจะเชื่อเธอ” ธนโชติเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเครียด “งั้นเธอรีบกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวจะโดนลูกหลง”

“คุณอาเชื่อผมใช่ไหมครับ” น่านตะวันถามย้ำอย่างไม่แน่ใจนัก

“เชื่อสิ” บิดาของชลาลัยยีผมเขาอีกครั้ง “รีบกลับไปเถอะ”

น่านตะวันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากมาอย่างรู้สึกหวั่นใจ เพราะดูเหมือนผู้เป็นอาทั้งสองจะไม่กระตือรือร้นอะไรเลย ยังคงยืนตระกองกอดกันอยู่หน้าบ้านและมองเขาเดินจากมาอย่างใจเย็น

เมื่อเด็กชายเดินไปถึงรั้วและกำลังจะปีนข้ามกลับไปที่บ้านของตัวเอง เขาก็กลับต้องชะงักเสียก่อน เพราะได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ที่ประตูรั้วบ้านของธนโชติ

น่านตะวันหันไปมองตามเสียงแล้วก็ถึงกับช็อกเมื่อเห็นลุงยามที่ประตูรั้วถูกยิงโดยปืนเก็บเสียงของชายในชุดเครื่องแบบลายพราง ก่อนที่ชายคนนั้นจะกระโดดลงมาจากกระบะรถแล้วเปิดประตูรั้วเพื่อให้รถคันนั้นแล่นเข้ามาได้ บนกระบะรถยังมีชายแต่งชุดเครื่องแบบลายพรางอีกหกคน

ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างเมื่อหันไปเห็นว่าคุณอาทั้งสองยังคงยืนอยู่หน้าบ้านและมองเหตุการณ์นั้นอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“แย่แล้ว!”

น่านตะวันรีบวิ่งไปหาคุณอาทั้งสอง แต่เขาวิ่งได้ไม่เร็วเท่ารถ ชายในชุดลายพรางกระโดดลงจากรถแล้วพากันยกปืนขึ้น ธนโชติเห็นดังนั้นจึงคว้าตัวภรรยาวิ่งเข้าบ้านแล้วปิดประตู เด็กชายเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งอ้อมไปหลังบ้าน ซึ่งเป็นส่วนของครัวที่ชลาลัยมักจะพาเขามานั่งเล่นทำอาหารกับป้าชมัยผู้เป็นแม่บ้านบ่อยๆ 

เสียงปืนทำให้ป้าชมัยออกมาจากห้องพร้อมกับคนรับใช้อื่นๆ ด้วยความตื่นตระหนก

“คุณน่าน มาได้ไงคะ”

“หนูน้ำอยู่ไหนครับ” เขาถามอย่างไม่สนใจจะตอบคำถามของแม่บ้านสูงวัย

“ยะ...อยู่ข้างบนมั้งคะ”

ได้ยินดังนั้นน่านตะวันก็รีบถลันออกจากครัว ทว่าก่อนจะพ้นมาก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่น เสียงป้าชมัยกับคนรับใช้กรีดร้องดังระงมก่อนจะเงียบไป

เด็กชายรู้สึกกลัว แข้งขาสั่นไปหมด แต่ก็ตระหนักว่ายังมีคนที่กำลังรู้สึกกลัวยิ่งกว่าเขาแน่ จึงรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสองอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อมาถึงหัวบันไดเขาก็เห็นธนโชติถือปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากห้องนอน

“น่าน ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ”

“หนูน้ำล่ะครับ” น่านตะวันเอ่ยถามโดยไม่สนใจจะตอบคำถาม

“อยู่ในห้องกับอาปรียา น่านเข้าไปอยู่กับอากับน้องดีกว่านะ ตรงนี้อันตรายมาก”

“ครับ” เด็กชายรับคำ ใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นเหล่าคนงานและคนสวนของธนโชติกรูกันเข้ามา ก็นึกภาวนาให้คนของคมชาญพ่ายแพ้กลับไปโดยไม่สร้างความเสียหายให้ที่นี่ไปมากกว่านี้

น่านตะวันวิ่งตรงไปยังห้องของชลาลัย เด็กหญิงร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ เขาถลันเข้าไปนั่งคุกเข่าต่อหน้า

“หนูน้ำไม่เป็นไรนะ”

“พี่น่าน” เด็กน้อยร้องเรียกเขา ใบหน้าน่ารักราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบนองไปด้วยน้ำตาและความหวาดกลัว “หนูน้ำกลัว”

“ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว” เด็กชายปลอบ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าหากพวกมือปืนสามารถเข้ามาในห้องนี้ได้ เขาเองคงไม่มีปัญญาจะปกป้องใครได้แน่

เสียงปืนยังคงดังสนั่นไปทั่วบ้าน น่านตะวันรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน ยิ่งชลาลัยร้องไห้จ้ามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาเองก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบสองที่ไม่มีอาวุธอะไรติดมือเลย นอกจากเครื่องบินจำลองที่ไม่สามารถพาเขากับสองแม่ลูกบินออกไปได้เท่านั้น

น่านตะวันมองเครื่องบินจำลองในมืออย่างคับแค้นใจ ก่อนจะโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดี เพราะคนที่ซื้อมันให้เขาคือบิดาที่หลอกเขาว่าเป็นคนใจดี แต่เบื้องหลังกลับสั่งฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นเพื่อนรักของท่าน รวมถึงเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย

เครื่องบินจำลองที่เพิ่งต่อเสร็จแตกกระจายเหมือนหัวใจของเด็กชาย เขากำลังเสียน้ำตาให้แก่ความกลัว ความผิดหวัง และความคับแค้น และหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าตัวเองกับทุกคนจะสามารถผ่านค่ำคืนอันเลวร้ายนี้ไปได้ เขาภาวนาเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาคุ้มครอง 

แต่กลับไม่เป็นผล...

เสียงปืนดังใกล้เข้ามาทุกที ปรียาจึงเรียกน่านตะวันและอุ้มชลาลัยเข้าไปในห้องน้ำ เธอบอกเด็กชายให้ลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วส่งลูกสาวให้

“อาฝากหนูน้ำด้วยนะน่าน”

เขาพยักหน้าอย่างหวาดกลัว แต่ก็กอดเด็กหญิงเอาไว้แน่น หลังจากนั้นปรียาก็รูดม่านปิด ก่อนจะออกไปจากห้องน้ำพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้

“ไม่ต้องกลัวนะหนูน้ำ” น่านตะวันปลอบ ทั้งที่ตัวเองกลัวแทบเป็นแทบตาย สองแขนกอดเด็กหญิงเอาไว้แน่น

ปัง!

เสียงปืนทำให้ทั้งเขาและชลาลัยสะดุ้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ครู่หนึ่งก็มีคนพยายามจะเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำ

“พังเข้าไป”

เสียงคมชาญดังขึ้นที่ด้านนอก หัวใจของน่านตะวันเต้นระทึกเพราะจำเสียงได้ นั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกสับสน เพราะไม่เพียงบิดาที่เปลี่ยนไป คนที่เขาคิดว่าใจดีมากที่สุดอย่างคมชาญก็พลันมาเปลี่ยนเป็นปีศาจไปด้วยอีกคน 

ชลาลัยร้องสะอึกสะอื้น

“เงียบก่อนหนูน้ำ เดี๋ยวพวกมันได้ยิน” เขากระซิบแล้วกอดเธอไว้แน่น

เด็กหญิงพยายามอย่างเต็มที่ แต่ความกลัวและความตกใจก็ทำให้เธอไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นได้

“เงียบซะๆ” เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ ด้วยมือสั่นเทาของเขา

“หาให้ทั่ว อย่าให้ใครรอดไปได้”

เสียงของคมชาญดังขึ้นอีก ตามมาด้วยเสียงรื้อค้นกระจุยกระจาย เสียงปิดเปิดตู้ดังปึงปังลอดเข้ามา น่านตะวันรู้ดีว่าอีกไม่นานประตูห้องน้ำก็จะต้องถูกเปิดออก แล้วมัจจุราชก็จะเข้ามาพรากวิญญาณของเขากับชลาลัยออกจากร่าง เขาผิดเองที่วิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ แต่เด็กอายุสิบสองจะคิดอะไรได้ในสถานการณ์คับขันแบบนี้กันเล่า

ในที่สุดวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็มาถึง ใครบางคนพังประตูห้องน้ำเดินเข้ามา น่านตะวันจ้องมองเงาที่ทาบอยู่บนผ้าม่านด้วยหัวใจเต้นระทึก พร้อมกับกดหน้าชลาลัยแนบอกเขา

เสียงสะอึกสะอื้นของชลาลัยยังดังอยู่ แม้เธอจะพยายามเงียบที่สุดแล้วก็ตาม นั่นทำให้เงามัจจุราชนั้นหยุดชะงักนิ่งไปครู่ใหญ่

แล้วม่านก็ถูกกระชากเปิดออก น่านตะวันกับชลาลัยหันไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายร่างใหญ่ในชุดลายพรางและหมวกไหมพรมปิดหน้ายืนอยู่พร้อมปืนพกสั้นในมือก็ถึงกับตัวชาด้วยความหวาดกลัว

“คุณน่าน!”

เสียงนั้นทำให้น่านตะวันแน่ใจว่าคนคนนี้คือคมชาญ ยิ่งเห็นรอยสักรูปหัวเสือบนหลังมือซ้ายที่ถือปืนด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจ ทำให้ใบหน้าเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความกลัว รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่นองอยู่เต็มกางเกง

“อย่าทำอะไรเราเลยนะ” น่านตะวันบอกเสียงสั่นเทา ใช้ตัวบังชลาลัยไว้มิด

“ลูกพี่ครับ หาทั่วแล้วไม่เจอเลยครับ” เสียงดังมาจากด้านนอก

คมชาญจ้องน่านตะวันเขม็ง ก่อนจะหันไปตะโกนโดยไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่ม 

“ไปหาห้องอื่นให้ทั่ว”

“ครับ” เสียงดังตอบมา ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าและเสียงประตูเปิดปิดปึงปัง

คมชาญหันหน้ามามองเด็กทั้งสองเต็มตา ริมฝีปากเม้มแน่น

“หนูน้ำเป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ”

ไม่มีเสียงสะท้อนมาจากบุรุษภายใต้หมวกไหมพรมนั้น ดวงตาคมเข้มค่อยๆ หรี่ลง ก่อนจะเลื่อนกระสุนเข้ารังเพลิงช้าๆ เสียงแก๊กของมันดังราวกับเสียงหัวเราะของผีร้ายจากอเวจี

“ลูกพี่ครับ...” ชายฉกรรจ์ในชุดลายพรางคนหนึ่งพรวดเข้ามายืนข้างหลังคมชาญ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กสองคน

“มึงเห็นแล้วใช่ไหม”

“ครับ” มือปืนพยักหน้า “ยิงมันเลยสิครับพี่ จะได้รีบเผ่น เดี๋ยวตำรวจมา”

คมชาญพยักหน้า ดวงตาของเขาฉายแววเหี้ยมเกรียม ก่อนจะเหยียดแขนจ่อปากกระบอกปืนมาทางเด็กทั้งสองคน

น่านตะวันกลัวจนแทบขาดใจ ก่อนจะหลับตาปี๋แล้วกอดชลาลัยเอาไว้แน่น

“เร็วสิพี่” ผู้เป็นลูกน้องร้องเร่ง

ปัง!

ในที่สุดเสียงปืนก็แผดลั่น น่านตะวันสะดุ้งเฮือก คิดว่าตัวเองคงถูกสังหารไปพร้อมๆ กับชลาลัยแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเดียว 

ความตายมันช่างรวดเร็วเสียจนไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ

“แง!”

เสียงร้องไห้ของชลาลัยทำให้น่านตะวันอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมองก็พบว่ากระสุนนัดสุดท้ายของค่ำคืนอันหฤโหดนี้ไม่ได้พุ่งมาหาเขา แต่มันพุ่งเข้าไปเจาะตรงหว่างคิ้วของชายฉกรรจ์อีกคน ร่างใหญ่ที่ไร้วิญญาณนอนหงายอยู่บนพื้นพร้อมเลือดไหลนองเต็มห้องน้ำ

น่านตะวันเบิกตากว้างมองคมชาญอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หันหลังให้แล้วลากร่างไร้วิญญาณเดินออกจากห้องน้ำไปโดยไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ

คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบจนวังเวงหลังจากนั้น น่านตะวันขนลุกซู่หลังจากผ่านวิกฤติเลวร้าย ชลาลัยเองก็กลัวจนตัวสั่น เขาจึงตัดสินใจปิดม่านแล้วนั่งกอดเธอเอาไว้อย่างนั้น เพราะจะให้ออกไปตอนนี้ก็คงไม่ได้ จึงได้แต่กอดกันร้องไห้กระซิกๆ อยู่อย่างนั้น

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวชั่วกัปชั่วกัลป์ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดและทรมานใจเหลือเกิน จนกระทั่งน่านตะวันได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจดังแว่วมา ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้น เขาไม่เคยได้ยินเสียงอะไรไพเราะขนาดนี้มาก่อน แม้แต่เสียงเปียโนจากปลายนิ้วของมารดาก็ไม่อาจเทียบได้

ครู่ใหญ่ก็เกิดเสียงอึกทึกอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนหลายคนเดินไปเดินมา ก่อนจะมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องน้ำ พวกเขาร้องเรียกกันเมื่อเจอรอยเลือด แม้เด็กชายจะแน่ใจว่าคนเหล่านั้นเป็นตำรวจ แต่ก็กลับไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่กอดชลาลัยเอาไว้อย่างนั้น จนกระทั่ง...

“เฮ้ย...มีเด็กอยู่ในอ่างอาบน้ำ” นายตำรวจในเครื่องแบบคนหนึ่งหันไปตะโกนบอกเพื่อน

ชลาลัยแผดเสียงลั่นร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว น่านตะวันกอดเธอแน่น จ้องมองนายตำรวจคนนั้นโดยไม่พูดอะไร

“ไม่ต้องร้องๆ ฉันเป็นตำรวจ มาช่วยพวกหนู”

เด็กหญิงยังคงร้องไห้จ้า น่านตะวันกอดเธอไว้แน่นอย่างปลอบประโลม

“ไป ไอ้หนู...พาน้องออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”

เด็กชายประคองร่างเล็กๆ ขึ้นแล้วก้าวข้ามขอบอ่างอาบน้ำไปหาตำรวจ เด็กหญิงร้องไห้จ้าเมื่อเห็นเลือดเต็มไปหมด และยิ่งร้องหนักขึ้นเมื่อเห็นศพของมารดาตัวเองนอนอยู่บนพื้นห้องนอนของเธอ น่านตะวันรีบดึงหน้าของเธอมาแนบอกเพื่อไม่ให้เห็นภาพอันสยดสยองนั้น

พอเดินออกมาที่โถงทางเดิน น่านตะวันก็เห็นธนโชตินอนจมกองเลือดอยู่ตรงที่เขาพบเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงกอดเด็กหญิงไว้แน่น ให้หน้าของเธอซบอยู่กับอกของเขา

เมื่อออกมาถึงหน้าบ้าน น่านตะวันเห็นผู้คนมากมาย มีรถตำรวจและรถพยาบาลเปิดไฟฉุกเฉินวิบวับไปหมด ทุกอย่างดูวุ่นวาย แต่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าช่วงที่ผ่านมา จนกระทั่ง...

“น่าน!” เสียงของพ่อ

น่านตะวันหันขวับไปมองก็เห็นบิดากับมารดาวิ่งปราดเข้ามา พวกท่านมองมาด้วยสายตาแปลกใจที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ ต่อเมื่อบิดาเหลือบเห็นชลาลัย ดวงตาของท่านก็ยิ่งฉายแววพิศวงมากยิ่งขึ้น

“หนูน้ำ!” ภาสพงษ์ร้องเรียกด้วยความตกใจ

เด็กหญิงไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หันไปมองตามเสียงเรียก ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอีก “คุณอา หนูกลัว”

ภาสพงษ์ชะงัก ก่อนจะปรับเสียงนุ่ม “ไม่ต้องกลัวนะ หนูปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวอาจะดูแลหนูเอง”

บิดาของน่านตะวันยื่นสองมือมาใกล้ เด็กชายมองท่านด้วยความสับสน ก่อนจะดันร่างชลาลัยไปด้านหลังตนเอง

“อะไรกันลูก” ผู้เป็นบิดาร้องถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน

“อย่าแตะต้องหนูน้ำ”

ภาสพงษ์ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าของท่านเครียดเข้ม แต่ไม่นานรอยยิ้มอันอบอุ่นก็ฉาบฉายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่เขาเห็นมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ทุกครั้งเขาจะรู้สึกได้เลยว่าท่านเป็นคนที่อบอุ่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ถึงวินาทีนี้ เขากลับไม่แน่ใจเสียแล้ว 

“คุณเป็นคนที่โทร. แจ้งตำรวจใช่ไหมครับ” นายตำรวจที่พาเด็กสองคนออกมาเอ่ยถาม 

“ครับ ผมเอง” ภาสพงษ์รับ “ผมได้ยินเสียงปืน ก็เลยโทร. แจ้งครับ”

“แล้วคุณเป็นพ่อของเด็กผู้ชายคนนี้ด้วยหรือครับ”

“ครับ ผมเป็นพ่อของเด็กคนนี้ครับ ส่วนเด็กผู้หญิงก็เป็นลูกสาวของเพื่อนผม”

น่านตะวันรู้สึกสับสนกับท่าทางของบิดาไม่น้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบิดาถึงมีท่าทีกลับไปกลับมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

“ถ้างั้นผมฝากเด็กสองคนนี้ไว้ได้ไหมครับ จะให้อยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้ จะพาไปโรงพักก็คงไม่เหมาะ”

“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา หนูน้ำก็เหมือนลูกสาวผมเหมือนกัน” ภาสพงษ์เอ่ย แต่มันเป็นคำพูดที่คล้ายกับจะตอกย้ำหัวใจของน่านตะวันให้เจ็บปวดมากขึ้น

เหมือนลูกสาว...แต่กลับสั่งฆ่าได้อย่างเลือดเย็นงั้นหรือ นี่พ่อของเขาเป็นอะไรไปแล้ว ปีศาจหรือซาตานตนไหนเข้าสิงท่านกัน

“เอาไว้ผมเคลียร์ที่นี่แล้ว จะขอเชิญเด็กสองคนนี้ไปสอบปากคำพร้อมสหวิชาชีพหน่อยนะครับ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”

“ได้สิครับ” ภาสพงษ์เอ่ยด้วยความยินดี 

นายตำรวจตะเบ๊ะแล้วเดินจากไป ภาสพงษ์จึงหันมายิ้มให้ลูกชายกับลูกสาวของเพื่อน

“ให้อาอุ้มไหม”

“ไม่ต้องหรอกครับ” น่านตะวันรีบขัดและยังคงบังร่างเล็กๆ เอาไว้อย่างปกป้อง “หนูน้ำจะขี่หลังผมไปครับ”

ภาสพงษ์มองลูกชายด้วยความแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ถอนใจออกมาแล้วพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินนำไปยังประตูรั้วที่เปิดกว้างอยู่

“ขี่หลังพี่ไปนะ” น่านตะวันหันไปบอกเด็กน้อย เธอพยักหน้า เขาจึงทรุดตัวลงนั่งยองๆ

ชลาลัยขึ้นเกาะหลังเขาแล้วกอดไว้แน่น เด็กชายจึงลุกขึ้นยืนด้วยสองขาเรียวเล็กแต่มั่นคง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปช้าๆ ตามผู้ชายที่ตอนนี้เขาไม่รู้อีกแล้วว่าเป็นใครกลับบ้าน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น