2

ตอนที่ 2


 

 “งั้นคุณก็พยายามประคองความรักของคุณให้ตลอดรอดฝั่งเถอะ หากเมื่อไหร่ที่ยายมิ้นได้เห็นธาตุแท้ของคุณ วันนั้นจะเป็นทีของฉันบ้าง!”

รชยายังคงอ่านหนังสือจนดึกดื่น นานครั้งจึงเอี้ยวคอกลับไปข้างหลัง เพราะวันนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว แต่มีใครอีกคนยึดเตียงครึ่งหนึ่งไว้ด้วย

“นี่สามวันแล้วนะ เมื่อไหร่แกจะกลับบ้าน ป่านนี้คุณลุงกับคุณป้าเป็นห่วงแย่แล้ว” รชยาเอ่ยกับเพื่อนอย่างอ่อนใจ และยิ่งอ่อนใจมากขึ้นเมื่อคนที่นอนอ่านนิตยสารอยู่บนเตียงพลิกตัวหนี ไม่ยอมรับฟัง

เนื่องจากเป็นเด็กต่างจังหวัดต้องเข้ามาเรียนในเมืองใหญ่ รชยาจึงเช่าหอพักอยู่ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดปัญหา มินตราก็มักจะมาใช้ห้องของเธอเป็นแหล่งกบดานวางแผนชั่วร้าย...หรือไม่ก็หลบเลียแผลใจ

“ถามจริง นี่แกบอกเรื่อง...เอ่อ เรื่องนั้นกับคุณป้าจริงๆ เหรอ”

มินตราผ่อนลมหายใจยืดยาวก่อนลุกขึ้นนั่งกอดเข่า

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น มินตราก็พูดคุยกับพ่ออีกครั้ง...ก่อนจะหนีเตลิดมาที่นี่แหละ แรกๆ พ่อก็โทร.มาตามให้กลับอยู่หรอก แต่เมื่อเธอยืนยันแน่วแน่แถมขู่ว่าหากยังตามตื๊ออีกจะหนีไปที่อื่นแทน นั่นแหละพ่อถึงยอม

ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อคือผู้นำ คือแบบอย่าง เป็นธรรมดาที่หญิงสาวจะทำใจไม่ได้เมื่อสุดท้ายพ่อก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีรัก โลภ หลง และเห็นแก่ตัว แถมความเห็นแก่ตัวของพ่อกำลังกัดกร่อนรากฐานที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ อยู่ ความรู้สึกผิดหวังของมินตราที่มีต่อพ่อเวลานี้จึงยิ่งเลวร้าย

พ่ออ้อนวอนขอร้องไม่ให้บอกเรื่องที่แอบคบหากับโฉมฉายแก่แม่ ยกเหตุผลสารพัด แต่ฟังแล้วก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างของผู้ชายที่กำลังมัวเมา แม้มินตราจะเป็นหญิงสาวยุคใหม่ ยุคที่สภาพสังคมบังคับให้เห็นว่าการที่ผู้ชายออกไปหา ‘ความสุขเล็กๆ น้อยๆ’ เป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังดูแลลูกเมียอย่างดีก็ยังได้รับการยกย่องในสังคม เมื่อก่อนเพราะเห็นเป็นเรื่องไกลตัวเธอจึงเฉยชา แต่บัดนี้มินตรารังเกียจเหลือเกิน โลกนี้จะเป็นอย่างไรหากคนเป็นพ่ออ้างว่าทำงานเพื่อครอบครัว เลยขอไปนอนกับหญิงอื่นเป็นการตอบแทน และจะเป็นอย่างไรถ้าคนเป็นแม่จะอ้างด้วยเหตุผลเดียวกัน แค่คิดมินตราก็อยากอาเจียนแล้ว แต่พอเธอดื้อดึง พ่อก็เริ่มเอาแม่มาอ้าง ถ้าแม่รู้เรื่องนอกจากจะทำให้ทั้งคู่มีปัญหากันแล้ว อาจรุนแรงถึงขั้นหย่า

หย่า...

คำสั้นๆ แต่กลับมีน้ำหนักดุจหินก้อนใหญ่ ทำให้มินตราอยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก โกรธเคืองพ่อและเจ็บใจแทนแม่หากก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งพ่อบอกว่าจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้น ‘แบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป’ เท่านั้นมินตราก็หมดสิ้นความอดทน เธอร้องกรี๊ดๆ ใส่หน้าพ่อแล้วเปิดหนีมาอยู่กับรชยาที่นี่

“ฉันยอมรับว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ยิ่งถูกหลอกยิ่งแค้นหนัก แต่จะให้เดินเข้าไปบอกแม่หน้าตาเฉยว่าแม่จ๋า พ่อมีเมียน้อยจ้ะ มิ้นเห็นมากับตา” หล่อนดัดเสียงเก๋ไก๋ก่อนสรุปอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันทำไม่ได้หรอก”

“นี่ถามจริงๆ นะ แกห่วงแม่ หรือว่าห่วงพ่อ”

“ทั้งสองคนนั่นแหละ” มินตราตอบ “ตั้งแต่เด็กจนโต พ่อกับแม่ฉันไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันเลยนะ และฉันแน่ใจว่าพ่อไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้เสเพล แต่แกดูสิ จู่ๆ อีนังเมียน้อยนั่นงอกขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นแก แกทำใจได้ไหม”

“อืม” รชยาใช้ปากกาเคาะปลายคางอย่างใช้ความคิด “แกว่าเป็นไปได้ไหม บางทีคุณลุงกับคุณป้าอาจมีปัญหากันมานานแล้ว แต่ปิดบังไม่ให้แกรู้” 

“นั่นพ่อแม่ฉันนะยะ อยู่บ้านหลังเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ถ้ามีปัญหาจริงฉันก็ต้องสังเกตเห็นสิ”

รชยาทำเสียงเฮอะในคอ ถ้าคนอื่นพูดเธอคงเชื่อ แต่สำหรับมินตราคงต้องยกไว้อีกกรณี ถึงเธอจะรักใคร่ในความตรงไปตรงมาของเพื่อนสาว รักก็รัก เกลียดก็เกลียด ใครแรงมาก็แรงกลับ และด้วยข้อดี (อันน้อยนิด) นี้เอง ที่ทำให้หญิงสาวมีทั้งคนรักและคนเกลียด ส่วนหนึ่งก็เพราะอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างตามใจ สิ่งที่หญิงสาวให้ความสำคัญจึงเป็นสิ่งที่ตัวเองพอใจเท่านั้น คนอย่างมินตราไม่เสียเวลามานั่งเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร พอๆ กับที่ต่อให้ได้รับความรักจากใครสักคนมากแค่ไหน หญิงสาวก็ไม่เคยปลาบปลื้มหรือให้ความสำคัญได้นาน สาเหตุก็เพราะ...‘ความรัก’ เป็นของตายสำหรับเธออยู่แล้วน่ะสิ

เช่นเดียวกับความรักที่ได้รับจากพ่อแม่ สิ่งที่มินตราอ้าแขนรับมีแค่ความสุข ความพอใจที่ถูกตามใจ ดังนั้นหญิงสาวไม่สนหรอกว่าพ่อแม่ของตนเองมีปัญหาอะไร มีเรื่องทุกข์อะไรซ่อนอยู่

“แล้วแกมาอยู่กับฉันแบบนี้ คุณป้าไม่สงสัยเหรอ”

“ก็แค่บอกว่ามานอนค้างอ่านหนังสือ แม่ก็ไม่เห็นว่าอะไร”

นั่นสินะ เธอไม่น่าถามเลย รชยาถอนใจกับตัวเอง

“สรุปว่าแกไม่บอกแม่ ปล่อยให้เรื่องเงียบๆ ไปสินะ ฉันว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ป๊าฉันเองเมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องกุ๊กกิ๊กกับคนงานในบ้าน พอม้าจับได้ขู่ว่าจะหอบฉันกับอาเฮียหนี ป๊าก็เลิกเด็ดขาด ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วยังไงลูกเมียก็ต้องมาก่อน ฉันว่าเดี๋ยวคุณลุงคงคิดได้ คนเราต้องเคยทำอะไรผิดพลาดกันบ้างแหละน่า”

“นี่พูดอะไรของเธอจ๊ะ” มินตราจุ๊ปากใส่เพื่อนแล้วส่ายนิ้วไปมา “คิดว่าฉันเป็นใคร คนอย่างฉันเนี่ยนะจะยอมให้ยายโฉมสะพรึงนั่นลอยหน้าลอยตาไปได้ง่ายๆ ตราบใดที่พ่อยังไม่ยอมตัดขาดกับแม่นั่น ฉันก็จะไม่ยอมรามือเหมือนกัน ยิ่งทำงานบริษัทเดียวกันแบบนี้ไว้ใจได้ซะที่ไหน”

“แล้วแกจะทำยังไง จะตามคุมความประพฤติคุณลุงทุกฝีก้าวเหรอ”

“โอ๊ย ฉันไม่ว่างมากขนาดนั้นหรอกจ้ะเธอจ๋า แต่รู้ไหม กำแพงมีหูประตูมีตา ยิ่งที่ไหนมีเรื่องชาวบ้านให้เมาท์น่ะ ไม่ต้องออกแรงไล่หา เดี๋ยวข่าวก็ลอยมาถึงหู” หญิงสาวยิ้มอย่างมั่นใจ

“อ๋อ” รชยาลากเสียงอย่างอ่อนใจ “สายสืบของแกอีกละสิ”

‘สายข่าว’ ของมินตราไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ผ่านไปไม่กี่วันเธอก็ได้รับทราบประวัติของโฉมฉายอย่างละเอียด หญิงสาวทำงานอยู่ฝ่ายบัญชี เพิ่งทำงานได้ประมาณปีเศษในบริษัท ไม่ใช่ผู้หญิงสวยหรือมีความโดดเด่นอะไรนัก เพื่อนสนิทก็มีน้อย ครอบครัวเห็นว่ามีแค่แม่ ต้องทำงานพึ่งตัวเองมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ฟังแล้วก็คล้ายๆ อนงค์อร

แม่ของมินตราหลังสิ้นตายายตั้งแต่แม่ยังอายุไม่ถึงสิบห้า ป้าก็จำใจรับไปเลี้ยงดู แต่เพราะครอบครัวป้าเองก็เป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานหลายคน แม่จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระ...แต่อย่างน้อยแม่ก็รักดี ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง ร่ำเรียนจนจบ มีหน้าที่งานการมั่นคง อาจเพราะต้องพึ่งตัวเองมาตลอด อนงค์อรเลยไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะยอมอ่อนข้อหรือร้องขอความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ ต่อให้คนคนนั้นเป็นสามีก็ตาม

มินตราคิดว่าบางทีทั้งพ่อและยายโฉมนี่คงตกลงกันไว้ว่าจะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ให้คนอื่นรู้ เพราะแม่เองก็เป็นที่รู้จักและนับถือของรุ่นน้องพ่อหลายคน เกิดอะไรลอยไปถึงหูแม่คงเป็นเรื่องแน่

“ป้าคิดไม่ถึงจริงๆ นะคะ แม่นั่นออกหงิมๆ ใครจะคิดว่าจะหยิบชิ้นปลามันไปซะได้ แต่ก็อย่างว่าละคนมันมีอดีต” คุณป้าแจ่มจรัสคล้ายอยากตบเข่าตัวเองสักฉาด ระหว่างที่คุยโทรศัพท์รายงานข่าว

“อดีตหรือคะ”

“หนูมิ้นรู้แล้วเหยียบไว้เลยนะคะ เรื่องนี้รู้กันแค่ไม่กี่คน ขนาดคุณรุจก็ไม่แน่ว่ารู้เบื้องหลังแม่นี่หรือเปล่า” ถึงจะบอกแบบนั้น แต่สุ้มเสียงคนเล่าฟังภูมิอกภูมิใจที่เป็น ‘แค่ไม่กี่คน’ นั่นเหลือเกิน “ตอนที่แม่นี่เข้ามาทำงานใหม่ๆ ป้าบังเอิญไปเจอแม่โฉมเขาทะเลาะกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้หลังเลิกงาน อู๊ย ลงไม้ลงมือตบตีเลือดตกยางออกเลยค่า ป้างี้ต้องตะโกนเรียกยามให้มาช่วย มันถึงได้หนีไป”

“เขามีเรื่องอะไรกันหรือคะ” หญิงสาวยืดตัวขึ้นด้วยความสนใจ

“ตาบรรยง คนที่เป็นยามน่ะค่ะ ตานี่เขาเป็นคนบ้านเดียวกันกับแม่โฉม เป็นคนแนะนำให้มาสมัครงานที่นี่เอง ตายงเล่าว่าผู้ชายนั่นเป็นผัวเก่า แต่จะเรียกว่าผัวได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่ได้ตบแต่งแต่หนีตามกันมา ผู้ชายมันติดเหล้า ติดยา งานการไม่ทำ สุดท้ายก็ไปไม่รอด พอผู้หญิงตีตัวออกหากก็...” ป้าแจ่มจรัสถอนใจ “ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ จะว่าชีวิตแม่โฉมน่าสงสารก็น่าสงสารอยู่นะคะ ผิดพลาดตั้งแต่อายุน้อยเพราะไม่มีคนดีๆ ชี้นำ พอเริ่มจะตั้งหลักได้ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าไปคว้าแมงดามาทำผัว”

“ความน่าสงสารไม่ใช่ข้ออ้างที่กลับผิดให้เป็นชอบหรอกค่ะป้า” มินตราอดประชดไม่ได้ “มีผู้ชายบนโลกเป็นล้านๆ คน ถึงจำนวนจะน้อยกว่าผู้หญิง มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะมาแย่งสามีคนอื่นหรือทำลายครอบครัวคนอื่นได้”

“แหม ป้าไม่ได้เข้าข้างแม่โฉมหรอกนะคะ” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “ยังไงป้าก็เชียร์หนูกับคุณอรอยู่แล้ว ว่าแต่จะให้ป้าช่วยอะไรอีกไหมจ๊ะ”

“ป้าช่วยดูพฤติกรรมสองคนนั่นให้มิ้นไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันค่ะ พ่อสัญญากับมิ้นแล้วว่าจะเลิกกับแม่นั่น มิ้นอยากแน่ใจว่าพ่อทำตามที่พูดจริงๆ อ้อ ไม่ต้องห่วงนะคะ มิ้นไม่ให้ป้าเหนื่อยเปล่าแน่ หรือถ้าป้าสืบได้อะไรดีๆ ก็ให้รีบบอกมิ้น มิ้นจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้”

นั่นแหละที่สายข่าวของเธอรีบรับคำอย่างกระตือรือร้นก่อนที่จะวางสายไป  

มินตราเริ่มมาดักรอพ่อที่บริษัทแทบทุกวัน เนื่องจากมหาวิทยาลัยกับที่ทำงานของพ่อใกล้กัน จึงไม่ลำบากที่จะเดินทางมา แม้ช่วงแรกๆ อดิรุจจะไม่ได้ออกปากอะไร แต่พอนานเข้าก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ บางทีก็บอกปัด ไม่สะดวกต้องไปธุระ ให้เธอกลับไปก่อน พอเธอถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

“พ่อจะไปกับแม่นั่นละสิ”

เท่านั้นคนเป็นพ่อก็เอะอะโวยวาย หาว่าเธอจับผิด ไม่เชื่อใจพ่อตัวเอง ขนาดอนงค์อรยังไม่เห็นตามจิกทุกฝีก้าว มินตราเลยสวนกลับไปนิ่มๆ ว่า

“เพราะมิ้นรู้ว่าแม่จะไม่ทำ แม่รู้หน้าที่และขอบเขตของตัวเอง วางตัวเป็นเมียที่เชื่อใจสามี พ่อคิดดูก็แล้วกันจนป่านนี้แม่ก็ยังเชื่อใจไม่เคยสงสัยพ่อสักนิด แล้วพ่อล่ะ รู้ไหมว่าหน้าที่คนเป็นสามีที่ดีควรทำอะไรบ้าง”

“มิ้น” อดิรุจทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ไหนเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือลูก มิ้นอยากเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้น่ะเหรอ”

“เล็กๆ!” หญิงสาวแหว “นี่พ่อคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กตรงไหนกันคะ”

“พ่อแค่อยากขอเวลา” แม้จะไม่พอใจ แต่อดิรุจก็ยังรักลูกสาวเกินกว่าจะไม่แยแสได้ เขาเคยเป็นพ่อที่ดีแสนดีในสายตาลูกเสมอ แต่ตอนนี้มินตรามองเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“เวลาๆ พ่อย้ำอยู่แบบนี้ จะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่ถึงจะพอ กับอีแค่ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว แค่นี้พ่อทำไม่ได้เหรอคะ ไม่ใช่ว่ามิ้นไม่เข้าใจพ่อ ไม่เข้าใจผู้ชายค่อนโลกที่อยากได้ผู้หญิงมาบำรุงบำเรอตัวเองหรอกนะคะ แต่มิ้นอยากให้คิดถึงหัวอกมิ้นกับแม่บ้าง ถ้าแม่มีผู้ชายอื่นบ้าง ถ้าลูกเขยของพ่อทำแบบนี้กับมิ้นบ้าง พ่อจะยอมไหม ทนได้ไหม หรือพ่อจะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ เขาก็ทำกันเหรอคะ” 

พอโดนถามเข้าแบบนี้ อดิรุจก็จนคำแก้ตัว

“พ่อรู้ทำให้มิ้นผิดหวัง แต่...” ผู้เป็นพ่ออ้ำอึ้ง “โฉมเขาน่าสงสารนะลูก”

“ตรงไหนคะที่น่าสงสาร” มินตราแทบจะร้องกรี๊ดให้ลั่นรถ “พ่อสงสารแม่นั่น แล้วสงสารมิ้นบ้างไหม ไม่รู้ละ พ่อต้องสัญญากับมิ้น ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ พ่อต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับแม่นั่นเด็ดขาด!”

อดิรุจถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ทราบ

“เอาละๆ พ่อจะพยายาม”

“ไม่ค่ะ ไม่จะพยายามแต่ ‘ต้องทำให้ได้’ พ่อสัญญาสิคะ สัญญาลูกผู้ชายกับมิ้นเดี๋ยวนี้”

เมื่อไม่อาจทนเสียงรบเร้าและอยากยุติบทสนทนาให้จบๆ ไปเสีย อดิรุจจึงต้องจำใจรับปากโดยเลี่ยงไม่ได้

“เอาละ พ่อสัญญา พ่อจะเลิกกับโฉมฉาย คราวนี้มิ้นพอใจแล้วใช่ไหม”

“หวังว่าพ่อจะไม่ทำให้มิ้นผิดหวังกับคำสัญญาวันนี้ เพราะมิ้นเกลียดคนหลอกลวง!”

หลังจากนั้นอดิรุจก็ยังทำงานหนักเช่นเดิม แต่มินตราแน่ใจว่าผู้เป็นพ่อเริ่มทำตามสัญญาจริง เพราะป้าแจ่มจรัสรายงานสถานการณ์เสียไม่ขาด เดิมทีเมื่ออยู่ในบริษัทอดิรุจก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจโฉมฉายอยู่แล้ว แต่มาระยะนี้โฉมฉายที่ปกติมักวางท่าสงบเสงี่ยมชักเริ่มเหวี่ยงวีนใส่คนไม่เลือกหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน เมื่อได้ฟังดังนั้นมินตราจึงค่อยวางใจ

อนงค์อรตื่นแต่เช้า แต่งชุดกระโปรงสีครีมกึ่งสูททะมัดทะแมง ผมเกล้าเก็บเรียบร้อย เตรียมออกไปทำงานแม้จะเป็นวันหยุดของคนทั่วไป เนื่องจากสามีต้องเดินทางไปติดต่อธุระของทางบริษัท ทำให้เช้านี้เธอไม่ได้เตรียมอาหารเช้าอะไรเป็นพิเศษ เพราะกว่าลูกสาวจะตื่นลงมากินข้าวก็คงรวมเป็นมื้อเที่ยงไปเลย เธอจึงเพียงทิ้งโน้ตไว้ว่าให้อุ่นอาหารที่เตรียมไว้ในตู้เย็นกินเอง หลังจากตรวจเช็กว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงออกมาจากบ้าน

ขณะที่ดันรั้วหน้าบ้านให้เปิดออก เตรียมถอยรถ กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็โชยมาจากที่ใดสักแห่ง หญิงวัยกลางคนนิ่วหน้ากับกลิ่นเหม็นเกินจะทน กวาดสายตามองถนนหน้าบ้านก็ไม่เห็นวี่แววใดๆ กระทั่งหันกลับมาที่รั้วบ้านอีกครั้ง หัวใจอนงค์อรแทบร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อเห็นว่าสิ่งใดวางอยู่หน้ารั้ว เธอก็กรีดร้องด้วยความตกใจ!

มินตราส่งยาดมให้ผู้เป็นแม่ ใช้นิตยสารพัดวีอยู่นานกระทั่งใบหน้าขาวซีดค่อยกลับมามีสีเลือด หน้าบ้านของเธอยังมีเสียงวุ่นวาย ส่วนพวกไทยมุงหรือเพื่อนบ้านมุงซากันไปแล้ว ครู่หนึ่งยามประจำหมู่บ้านจึงโผล่หน้าเข้ามา

“ผมให้คนเอาซากหมาเน่าไปทิ้งแล้วนะครับ อ้อ ไม่ต้องห่วง ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย พร้อมแจ้งความได้เลย ส่วนหน้าบ้านฉีดน้ำทำความสะอาดแล้ว ตอนนี้หน้าบ้านปิ๊งเหมือนเดิมเลยครับ”

“ปิ๊งบ้านพี่น่ะสิ” หล่อนแว้ดใส่ เพราะรู้จักกันมานานเลยด่าได้อย่างไม่เกรงใจ “แล้วนี่พี่ดูแลยังไง ปล่อยให้มีคนเข้ามาทำเรื่องแบบนี้ได้”

“โธ่ พี่เป็นยาม เข้างานเป็นกะ จะคอยนั่งดูหน้าบ้านทุกหลังว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่ไหว” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ

“อ๋อ งานคงหนักมากสินะ ถ้างั้นลาออกไปเลยไหม”

“เอาน่ามิ้น จะเอะอะอะไรนักหนา” อนงค์อรปราม ก่อนจะหันไปพูดขอบยามที่ช่วยเหลือจัดการให้

แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้เธอตกใจเสียจนแทบวูบ ซากสุนัขที่คงถูกรถชนมาหลายวันจนเน่าเฟะถูกทิ้งไว้หน้าบ้านด้วยสภาพน่าเวทนา แต่ที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าคือข้อความที่เขียนใส่กระดาษทิ้งไว้ใต้ซากสุนัข เป็นชื่อของเธอ ราวกับจะสาปแช่งให้สภาพเธอไม่ต่างกัน

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเจอเหตุการณ์คล้ายกัน การข่มขู่มีบ้างต่อให้เธอเป็นทนายความ คดีบางคดีก็มักจะนำปัญหาจุกจิกมาให้ ทว่าครั้งนี้อนงค์อรนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองไปก่อปัญหาอะไรให้ใคร

“แม่คะ มิ้นว่าแม่พักเถอะ เดี๋ยวมิ้นจะออกไปแจ้งความ ยังไงลงบันทึกไว้ก่อนแล้วเดี๋ยวมิ้นจะไปขอดูกล้องวงจรอยากเห็นหน้าคนที่มันทำนัก” หญิงสาวพูดอย่างเจ็บแค้น

“มิ้นจะไปแจ้งเอาความกับใครล่ะลูก” อนงค์อรส่ายหน้า “ก็แค่ข่มขู่ เราเองก็ไม่ได้เป็นอะไร”

“แม่คะ นี่มันไม่ใช่ข่มขู่ธรรมดานะคะ นี่มันคุกคาม หมายเอาชีวิต”

“ถึงจับคนร้ายได้จริงก็คงจบแค่นั่งไกล่เกลี่ย ไปไม่ถึงศาลท่านหรอก”

“ก็นั่นแหละค่ะ” มินตรายังฮึดฮัดไม่ยอมแพ้ “ถ้าทิ้งจดหมายเฉยๆ มิ้นอาจคิดได้ว่ามันขู่ผิดบ้าน แต่นี่มันเขียนชื่อแม่ แสดงว่ามันเจาะจง มันตั้งใจ ครั้งนี้มันขู่แล้วครั้งหน้าล่ะ มิ้นไม่ยอมหรอกนะ ยังไงก็จะแจ้งความ บ้านเราไม่เคยมีปัญหากับใคร...”

จู่ๆ คำพูดของหญิงสาวก็ชะงัก เช่นเดียวกับท่าทีของอนงค์อรที่คล้ายจะรู้ตัวเช่นกันว่าลูกสาวสงสัยอะไร

“แม่สายมากแล้ว วันนี้มีนัดไปบ้านลูกความรายหนึ่ง”

“แม่รู้ใช่ไหมคะว่าใครทำ”

อนงค์อรแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เธอหยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินตรงไปที่รถ

“ถ้ามิ้นไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว จะชวนหนูรชมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ แล้วแม่จะรีบกลับ” ผู้เป็นแม่ตัดปัญหาด้วยการเข้าไปนั่งในรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่พ้นออกมาจากเขตหมูบ้าน อนงค์อรจึงชะลอรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออก เพียงไม่นานอดิรุจก็รับสาย

“มีอะไรหรือคุณอร”

อนงค์อรสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้สามีฟัง และเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม

“ฉันไม่ถือนะคะ ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรข้างนอก ฉันเลิกถือสามานานแล้ว แต่คุณจำได้ไหมถ้าปัญหาที่คุณออกไปทำข้างนอกตามมาถึงบ้าน ฉันไม่ยอมแน่”

“เรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่าคุณ” อดิรุจแบ่งรับแบ่งสู้ ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจภรรยา อนงค์อรไม่ใช่แม่บ้านที่วันๆ จะหมกตัวอยู่แต่ก้นครัว หล่อนเป็นผู้หญิงเก่ง การศึกษาสูง ฉลาดและเยือกเย็นจนบางครั้งเขายังเกรงใจ ไม่มีทางที่เรื่องแค่นี้หล่อนจะคาดเดาไม่ได้ และความสัมพันธ์ง่อนแง่นของทั้งคู่ก็เป็นประเด็นเดียวที่ทำให้เกิดปัญหาเสมอ

“ค่ะ ฉันจะถือว่าครั้งนี้เป็นการเข้าใจผิด แต่ถ้ามีอีกครั้ง อีกแค่ครั้งเดียว...” หล่อนขู่เสียงเย็น “คุณจะได้รู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”

“คุณจะทำอะไร จะหย่ากับผมหรือ” อดิรุจย้อนภรรยาอย่างร้อนตัว

“ฉันยังไม่หย่ากับคุณหรอกค่ะ ยังไม่ถึงเวลา”

“อ๋อ งั้นคงรอเวลาอยู่สินะ คนอย่างคุณถ้าจะไปมันก็ต้องไปสง่าอย่างนางหงส์ ให้คนได้ลือตามว่าผัวมันโง่เองที่ดึงเมียดีแสนดีแบบนั้นไว้ไม่ได้ ยายมิ้นรู้เข้าแกคงภูมิใจในตัวแม่เหลือเกิน”  

แม้จะพูดไปเช่นนั้น แต่อดิรุจไม่เคยคิดอยากหย่ากับอนงค์อร เธอเป็นคู่ชีวิตที่เขาภูมิใจ เมื่อไหร่ที่เอ่ยถึงภรรยาผู้มีความสามารถทุกคนก็จะพากันทึ่ง สำหรับอดิรุจ อนงค์อรมีค่าเท่ากับเพชรแท้ที่ทั้งสวยทั้งมีราคา เมื่อได้ครอบครองก็ต่างเป็นที่อิจฉาของผู้พบเห็น แม้ชีวิตรักของทั้งสองจะลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ด้วยกันอย่างจืดชืด เย็นชาราวกับไม่ใช่ผัวเมียกัน นี่ถ้าเขาไปเล่าให้ใครฟังคงถูกหัวร่อ ว่าเขาไม่เคยหลับนอนกับอนงค์อรมาจะร่วมสิบปีแล้ว

จุดเริ่มต้นของรอยร้าวระหว่างทั้งคู่ เริ่มตั้งแต่อนงค์อรตั้งครรภ์มินตรา เขาเองก็เป็นผู้ชายที่มีความต้องการ ยิ่งทำงานหนัก สะสมความเครียดมากมาย เขาก็อยากระบายออกไป สมัยหนุ่มๆ ก็ทำแบบที่ผู้ชายอื่นๆ ทำ ออกไปเที่ยวตามประสา แม้แรกๆ อนงค์อรจะไม่พอใจ แต่เธอก็ยอมรับถึงความไม่พร้อมของตนจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ เพียงแต่ต้องไม่มีการผูกพัน จบแล้วก็จบไป

กระทั่งคลอดลูกสาว ไม่กี่ปีต่อมา อนงค์อรก็ต้องผ่าตัดตัดปีกมดลูก แม้ยังมีโอกาสที่ทั้งคู่จะสามารถมีลูกด้วยกันได้อีก แต่ชีวิตคู่ก็ยังสะดุดเป็นพักๆ หน้าที่การงานของเขาเวลานั้นยังไม่มั่นคงนัก อดิรุจต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว รับผิดชอบหลายทางอย่างหนัก และเขาเริ่มรู้สึกว่าความสุขที่อนงค์อรอนุญาตยังไม่เพียงพอ ยิ่งเมื่อหน้าที่การงานเริ่มเดินหน้ามั่นคง สาวน้อยสาวใหญ่หมุนเวียนเข้ามาในชีวิตไม่ขาด แน่นอนว่าในด้านคุณสมบัติไม่มีใครสู้อนงค์อรได้ แต่ในเรื่องของการเอาอกเอาใจ อนงค์อรก็สู้ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อภรรยาเริ่มระแคะระคายว่าเขาจะไม่อยู่ในกฎที่หล่อนกำหนด ผู้หญิงเก่งอย่างอนงค์อรจะแคร์เขาไปทำไม หล่อนมีทางไปและอาจไปได้ดีกว่าเขา เพราะเธอเองก็สาว ต่อให้เป็นแม่ม่ายก็คงมีคนอยากเริ่มต้นชีวิตด้วย ซึ่งอดิรุจยอมไม่ได้ นั่นเมียเขา ลูกเขา เรื่องอะไรจะยกให้คนอื่น เขาไม่อยากเสียเธอไป แต่ขณะเดียวกันก็กลัวที่จะเสียความสุขส่วนตัวไปด้วย ดังนั้นจึงต้องหาทางสร้างข้อแม้ด้วยการเอาอกเอาใจลูกสาวเพียงคนเดียว ด้วยหวังว่าหากลูกรักเขามากๆ หากวันหน้าอนงค์อรคิดหย่าร้าง แม้เธอจะมีสิทธิ์ในตัวลูกมากกว่า แต่ตราบใดที่มินตรายังรักเทิดทูนบูชาเขา ลูกจะกลายเป็นโซ่ที่ล่ามอนงค์อรให้อยู่กับเขาตลอดไป

“อย่าคิดว่าเอายายมิ้นมาอ้างแล้วฉันจะไม่กล้า” อนงค์อรเอ่ยเสียงเย็น

“ผมยังไม่ได้พูด” อีกฝ่ายเฉไฉ

“แต่คุณก็คิด คิดอยู่ตลอดเวลา คุณบอกว่าลูกนิสัยเสีย ค่ะ ฉันรู้ว่าแกนิสัยเสียเหมือนใคร”

“นี่คุณอร ถ้าจะโทร.มาเหน็บแนมว่าผมเลี้ยงลูกไม่ดี งั้นก็จบแค่นี้เถอะ และไม่ว่าผมจะเลี้ยงลูกยังไง คุณรู้แค่ยายมิ้นรักผม และผมมีปัญญาหาเลี้ยงลูกให้อยู่อย่างสุขสบายได้ ต่อให้ไม่มีคุณก็ตาม!”

มือที่กำโทรศัพท์ของอนงค์อรกำแน่นขึ้น ลมหายใจของหญิงสาวติดขัด ร่างกายสั่นเทิ้ม เธอเสียใจจริงๆ ผู้ชายที่เธอรัก คนที่เธอมอบความเชื่อมั่นศรัทธาให้ เห็นเขามีค่าเสียมากมาย แต่สำหรับเขาแล้ว เธอมันไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากเครื่องประดับที่เขาอยากเก็บไว้โอ้อวดให้คนเห็นว่าตัวเองมีดีกว่าคนอื่น กลายเป็นของตายที่เขาเก็บไว้ ขณะที่ออกไประเริงรื่นกับหญิงมากหน้าหลายตานอกบ้าน
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น