วันต่อมา สุดท้ายมินตราก็ถูกลากมานั่งหน้าสลอนอยู่ที่สถานีตำรวจจนได้ ตอนแรกรชยาตั้งใจติดสอยห้อยตามมาด้วย เพราะไม่วางใจให้เพื่อนสาวไปกับผู้ชายแปลกหน้า ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนช่วยเธอก็ตาม แต่กลางดึกคืนนั้นมีโทรศัพท์ด่วนจากครอบครัวของรชยา ว่าญาติคนหนึ่งเสียชีวิตกะทันหัน ทำให้หญิงสาวต้องเดินทางกลับบ้านอย่างเร่งด่วน แต่ก่อนไปก็ยังไม่ลืมย้ำแล้วย้ำอีก
‘เดี๋ยวฉันจะโทร. มาเช็กเป็นระยะ แกเองก็ระวังตัวด้วย ผู้ชายสมัยนี้มันไว้ใจไม่ได้’
หลังจากให้รายละเอียดรูปพรรณสัณฐานคนร้าย มินตรายืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใคร เรื่องถูกคู่อริตามมาดักตีหัวหรือหวังอุ้มฆ่าตัดออกไปได้เลย เหตุผลที่พอจะเข้าท่าที่สุดเวลานี้จึงไม่พ้นเธอดันซวยพาตัวเองไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเอง
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเพื่อลงบันทึกประจำวัน ทั้งคู่ก็ออกมาจากสถานีตำรวจ ยิ่งออกมาปะทะกับแดดจ้าของเวลาใกล้เที่ยง อารมณ์ของมินตราก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นทวีคูณ
“เห็นไหมล่ะ หนูบอกแล้วแจ้งตำรวจไปเท่านั้นแหละ คดีชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกายมันก็แค่คดีขี้หมูขี้หมาไว้ลงบันทึกให้เปลืองกระดาษเฉยๆ” หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูกไปทางคนตัวใหญ่ที่เดินตรงแน่วไปยังรถ ราวกับว่าแสงแดดร้อนระอุแค่ไหนก็ไม่ระคายผิวหนาๆ ของเขา
“หน้าที่ของพลเมืองดีไม่ใช่เห็นคนทำผิดแล้วคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างเราเป็นผู้เสียหาย ไหนเมื่อวานยังร้องหาสิทธิ์สิทธิสตรีเหยงๆ แต่พอเป็นสิทธิ์เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ทำไมอิดออดนัก”
คนร้องหาสิทธิสตรีหน้าบูด ก็ใช่ว่าไม่อยากจะทำหรอก แต่หนึ่งเธออาย สองใครอยากจะแบกหน้าช้ำๆ แบบนี้ออกไปให้คนข้างนอกเห็น นี่ขนาดก่อนออกมาโบกหน้าหลายชั้น รอยช้ำก็ยังเด่นหราอยู่เลย ที่สำคัญเธอไม่คิดว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้หรอก เสียเวลาแท้ๆ แต่ไหนๆ ก็หมดธุระแล้วรีบกลับดีกว่า โฉบไปโฉบมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ ไปจ๊ะเอ๋คนรู้จักเข้าจะยุ่ง
“จะไปไหน” คนที่เพิ่งไขกุญแจรถร้องถามเมื่อเห็นร่างบอบบางเดินเชิดผ่านไป
“ก็กลับน่ะสิถามได้” มินตราชักสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก โดยเฉพาะเวลาที่ตาดำๆ นั่นมองเธอด้วยรอยขบขัน
“เดี๋ยวไปส่ง พามาก็ต้องพากลับสิ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูนั่งแท็กซี่กลับเองได้”
คนตาดำหน้าเข้มเชิดหน้ากวนๆ ขึ้น แล้วถามสั้นๆ
“กลัว?”
เท่านั้นคนอย่างมินตราก็แทบเต้นผ่าง คนอย่างเธอฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้เด็ดขาด!
“ไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากไป อีกอย่างพ่อแม่สอนว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนกับคนหน้าแปลก!”
รอยยิ้มของเขาขยายกว้างขึ้นอย่างไม่ปกปิด กว้างจนเห็นฟันขาวเรียบด้านหน้า และน่าประหลาดแท้ที่ยิ้มแค่นั้นทำให้หน้ามหาโจรดูเป็นหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมาเชียว
“ถ้าไม่กลัวก็ขึ้นรถ ใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวเลี้ยงข้าวด้วยก็ได้ เมื่อเช้ารีบออกมายังไม่ได้กินอะไรเลย”
มินตรามองรถที่ชายหนุ่มเปิดประตูรอ สุดท้ายก็ยอมขึ้นไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี พอคนขับขึ้นมานั่งข้างๆ ก็ยังถามอย่างใจดี
“อยากกินอะไร ให้เลือกตามใจเลย”
“แน่ใจเหรอคะ”
“ก็บอกว่าตามใจไง”
“เนื่องในโอกาสอะไร หนูกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเสียหน่อย”
“นั่นสิ งั้นเอาเป็นเนื่องในโอกาสที่ชะตาเราต้องกัน โดนโจรอัดเหมือนกัน”
มินตราหน้าหงิกหน้างอเข้าไปอีก แต่พอมองเสี้ยวหน้าคมสันอย่างพิจารณา ประสบการณ์ที่ผ่านมากำลังส่งสัญญาณให้ทราบว่านายนี่กำลังหยอดเธออยู่ หากเป็นปกติมินตราคงไม่คิดสนใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ใกล้เคียงสเปกเธอเลยสักนิด ตัวใหญ่เกินไป หน้าเหี้ยมเกินไป มือไม้ก็ใหญ่โตเก้งก้าง มินตราไม่ชอบผู้ชายท่าทางป่าเถื่อน เธอเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว...พวกที่ใช้กำลังกับผู้หญิง ดังนั้นเธอเลยคิดง่ายๆ ว่าจะไม่ยุ่งกับผู้ชายที่มีแนวโน้มว่าหากฉะกันเมื่อไหร่เธอคงแพ้หลุดลุ่ย!
เมื่อถามว่าชายหนุ่มหน้าตาขี้เหร่หรือไม่ ก็ไม่ถึงขนาดเข้าวัดตอนกลางวันแล้วหมาหอนหรอก จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป และตาดำคมทรงอำนาจ แต่พอเอารวมกันแล้วก็ได้แค่ผู้ชายหน้าตาพื้นๆ คนหนึ่ง...แถมแก่ด้วย
“ยิ้มอะไรอยู่ได้” มินตราถามหงุดหงิด
“กำลังคิดว่าจะพาไปโรงแรมหรือม่านรูดดี”
นิสัยทุเรศด้วย!
แต่คนทุเรศก็ไม่ได้ทุเรศไปเสียทีเดียว เขาพามินตราไปเลี้ยงข้าวตามที่พูด ถึงเธอจะแกล้งบอกอยากกินร้านหรูเขาก็ไม่ขัด พาเธอเข้าร้าน สั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว และนอกจากปากหาเรื่องกับตาวาวๆ นั่นแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดหรือหาเศษหาเลยกับเธอแม้แต่น้อย ไม่ทำตัวเอาอกเอาใจ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย พออาหารที่สั่งมาครบ ระหว่างที่มินตราส่งเกี๊ยวชิ้นหนึ่งใส่ปาก โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้น เจ้าตัวมองเบอร์โทรศัพท์แล้วชักสีหน้าเบื่อๆ
“ว่าไงพิม” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ปลายสายพูดจ้อต่อไป “เสียดายจัง แต่ผมคงไปไม่ได้ พอดีตอนนี้ผมกำลังกินข้าวกับ...เพื่อนอยู่ เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน”
ทางนั้นยังไม่ละความพยายาม เพราะชายหนุ่มยังต้องถือสายโทรศัพท์ อืมๆ รับคำไปอีกหลายนาทีกว่าจะวางสาย
“อ๋อ” มินตราแสร้งลากเสียงอย่างรู้เท่าทัน “ลืมไปว่าคนสมัยนี้เขาชอบเรียกเมียว่าแฟน”
พอเห็นคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน มินตราจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
“สำหรับพี่เมียก็เมีย แฟนก็แฟน คนอื่นก็คนอื่น ไม่เอามาปนกัน”
“อือฮึ นี่จะบอกว่าตัวเองมีดี พวกผู้หญิงเลยตามตื๊อเองว่างั้น นี่ไม่ได้จะดูถูกนะ ขอเดาว่าอย่างพี่ถ้าไม่เพราะคารมเป็นต่อก็คงกระเป๋าหนัก เพราะทั้งรูปทั้งปากแบบเนี้ยะ ผู้หญิงปกติเขาไม่แลหรอก”
“ดูถูก รู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงเขาไม่ได้หลงรูปหรือคารมพี่”
“ประสบการณ์ตรงมั้ง” หญิงสาวเอ่ยโดยไม่คิดถนอมน้ำใจ ว่าแล้วก็เริ่มพิจารณาชายหนุ่มอีกครั้ง ผู้ชายถ้าแต่งตัวปอนๆ ผิวกร้าน รูปร่างอย่างกับกรรมกรแบกหามแบบนี้น่ะเร้อจะมีกะตังค์ นี่ไม่รู้พาเธอมากินร้านหรูเพราะอยากอวดหรือเปล่าก็ไม่รู้ “พี่ทำงานที่กรุงเทพฯ เหรอ”
“เข้าสู่ช่วงสัมภาษณ์เหรอ” เขาล้อ
“แค่ชวนคุยต่างหาก”
ชายหนุ่มตักอาหารตรงหน้ากินคำโต ท่าเคี้ยวกร้วมๆ นั่นแลดูเอร็ดอร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อ “เข้ามาทำธุระเรื่องงาน บ้านพี่อยู่ต่างจังหวัด อีกวันสองวันก็กลับแล้ว”
“ที่บ้านทำอะไรคะ”
“ก็ทำไร่ ทำสวน ปลูกนั่น เลี้ยงนี่ไปตามเรื่อง”
เท่านั้นมินตราก็ตาวาวถามต่อด้วยความสนใจ “โหย คงเป็นไร่ที่ใหญ่มากเลยนะคะ”
เมื่อปักใจเชื่อไปแล้วว่านายนี่น่าจะรวย ภาพนายเหนือหัวจอมเถื่อน เจ้าของไร่เมืองเหนือสุดโรแมนติกก็แวบเข้ามาในหัว ทว่าฝ่ายนั้นคงอ่านความคิดเธอออก เพราะรอยยิ้มขันผุดขึ้นมาบนใบหน้าคล้ามเข้มทันที
“ถ้ากำลังจินตนาการว่าพี่เป็นเจ้าของไร่ไฮโซแบบพระเอกในละคร มันไม่ใกล้เคียงกันหรอกนะ” พอหญิงสาวทำท่าเหมือนหล่นลงมาจากวิมานบ้านไร่ เขาก็เสริมต่ออย่างไร้ปรานีว่า “ปู่ย่ามาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่พี่เขาเป็นชาวไร่สืบทอดกันมา พี่ก็แค่สืบทอดต่อ สมัยก่อนเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว ทำสวนผลไม้แบบผสม ที่ดินส่วนใหญ่ก็ปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือไม่ก็ข้าวฟ่างสลับกันไปตามฤดูกาล”
“เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ยี้” ไม่พูดเปล่า แต่เธอยังเอนตัวถอยหลัง ราวกับได้กลิ่นตุๆ จากตัวชายหนุ่มด้วย
“แต่พอมาถึงรุ่นพี่ หมูกับวัวก็เลิกเลี้ยงไปแล้ว พี่หันมาทำฟาร์มไก่ไข่แทน”
“ไม่เห็นจะดีกว่ากันเท่าไหร่ แน่ใจนะคะว่าจะเลี้ยงข้าวจริงๆ ไม่ใช่กินเสร็จแล้วต้องไปล้างจานหลังร้านนะ”
“บ๊ะ! รู้สึกว่าภาษีพี่ในสายตาเรานี่มันน้อยเสียจริงนะ ทำไมหือ ท่าทางคนมีตังค์นี่มันต้องเป็นไอ้หนุ่มหน้าใส ผิวขาวอมชมพู แต่งตัวโก้ๆ เท่านั้นหรือ”
“ไม่รู้ แต่บอกเลยว่าราศีพี่ไม่ให้”
“เออๆ ไอ้เรามันขวานฟ้าหน้าดำ แต่รับรองไม่ให้ไปล้างจานหลังร้านแน่ แล้วนี่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องเมื่อคืนหรือยัง” พอถูกถาม หญิงสาวก็แสร้งไม่สนใจ ยอมปิดปากง่ายๆ “ดื้อไม่เข้าเรื่อง”
“ไม่ได้ดื้อ แต่หนูเป็นคนมีอุดมการณ์ อีกอย่างตอนนี้หนูอยู่ในช่วงทำตัวมีปัญหา หนีออกจากบ้าน”
“เด็กเมืองกรุงนี่เขาหนีปัญหาด้วยการหนีออกจากบ้านกันเหรอเนี่ย ดูฉลาดน้อยจัง”
“อ๋อ แล้วทำไมคนฉลาดๆ อย่างพี่ กับอีแค่ผู้หญิงขี้ตื๊อคนเดียวยังปัดให้พ้นทางไม่ได้คะ อิโธ่ ไม่ใช่ว่าไปได้เขาแล้ว ก็คิดจะชิ่งหนี ผู้หญิงเลยกัดไม่ปล่อยละสิ รวยจริงก็จ่ายๆ เงินค่าทำขวัญให้เขาสักก้อนก็สิ้นเรื่อง”
“ปากเรานี่นะ พูดออกมาแต่ละอย่างอย่างกับพวกผู้หญิงเจนโลกนักหนา เรารู้จักผู้ชายสักกี่ประเภทกันหือ”
“ก็ผ่านมามาก พอที่จะพูดได้ว่าแค่อ้าปากก็เห็นลึกลงไปถึงไส้ติ่ง” มินตราเอ่ยอย่างมั่นใจ พวกที่เข้ามาจีบเธอแรกๆ ก็พูดดีอย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายก็หวังเรื่องเดียวกันหมด ดีแต่ว่าเธอปลีกตัวหลบออกมาทันก่อนจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปกว่านี้ ดังนั้นกับแค่ผู้ชายคนเดียวดูไม่ออกก็เกินไปละ
ทว่าคำตอบรวดเร็วและมั่นใจของมินตรากลับทำให้ชายหนุ่มชะงัก ภูมิกำลังสงสัยคำว่า ‘ผ่านมามาก’ ของหญิงสาวหมายถึงอะไร หมายถึงร่างกายของเธอผ่านผู้ชายมามากจนเชื่อมั่นในตัวเองและตัดสินผู้ชายสักคนได้ทันทีเลยน่ะหรือ เขาประเมินหญิงสาวอ่อนวัยดูมีอนาคตตรงหน้าอีกครั้งด้วยความผิดหวัง แต่นึกๆ แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันกระทั่งครั้งล่าสุด คงสรุปได้แค่ว่าเธอไม่ใช่สาวน้อยบริสุทธิ์ใสซื่อ แต่ภูมิก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ผู้หญิงที่ผ่านอะไรมามาก ทำไมถึงมองสิ่งต่างๆ ผิวเผินเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินคนเพียงแค่ภายนอก
“รีบๆ กินซะ พี่จะได้ไปส่ง”
พอหญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมอง ภูมิก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขากำลังหลงหน้าใสๆ นี่อยู่ นึกอยากตบตัวเองสักที ทำอย่างกับเกิดมาไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยไปได้
“นี่ๆ พี่ชาย” มินตราลากเสียง “สารภาพมาเหอะน่า คิดจะจีบหนูใช่ไหมล่ะ เสียใจด้วยนะหนูไม่ยุ่งกับคนแก่”
‘คนแก่’ แทบสำลัก ตาคมเขม่นจ้องหน้าสวยๆ ที่รู้สึกว่าชักกวนโอ๊ยขึ้นเรื่อยๆ
“รู้สึกว่าจะมั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะ ว่าผู้ชายทุกคนจะต้องหลงตัวเองแน่”
“ก็อาจจะไม่ทุกคน แต่หนูไม่ได้ใสซื่อขนาดอ่านสายตาคนไม่ออก โดยเฉพาะสายตาพี่ตอนนี้!”
“แล้วเขาก็ยอมถอยดีๆ เหรอ” รชยาถามซ้ำ หลังจากมินตราโทร. มาเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด “ไม่ใช่ว่าจะกลับมาวอแวแกอีกนะ เขารู้จักที่อยู่ห้องพักฉันแล้วนี่”
“ต่อให้โผล่มาแต่ฉันไม่เชื้อเชิญก็ทำอะไรไม่ได้หรอกน่า และเท่าที่ดูๆ เขาอาจจะติดใจฉันอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่เล่นด้วยก็ไม่เสียเวลาตื๊อหรอก ท่าทางหยิ่ง เชื่อมั่นในตัวเองขนาดนั้น” มินตราที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง
“ใครจะรู้ เขาอาจคิดว่าเธอท้าทายก็ได้”
“โถ่ รช อย่าคิดอะไรเป็นตุเป็นตะไปหน่อยเลย ฉันกับเขาเจอหน้ากันแค่สองครั้ง คนแปลกหน้าดีๆ นี่เอง ตานั่นคงแค่ออกท่าหมาหยอกไก่เผื่อฟลุกเท่านั้นแหละ หรือต่อให้เขาเอาจริงฉันคงไม่เล่นด้วย นี่เห็นว่าอีกวันสองวันก็จะกลับบ้านไร่ ไปปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพดต่อแล้ว” หญิงสาวยังพูดแจ๋วๆ
“คนต่างจังหวัดเหรอ เอาเถอะ ยังไงก็ระวังหน่อย แล้วนี่แกคิดจะสิงอยู่ห้องฉันอีกนานแค่ไหน ฉันว่าคุณลุงคุณป้าคงเป็นห่วงแย่แล้ว ทางฉันกว่าจะได้กลับคงอีกสองสามวัน แกอยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ได้สิ เห็นฉันเป็นเด็กสามขวบไปได้ อีกอย่างพ่อกับแม่ก็รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน เขาไม่ห่วงหรอก โดยเฉพาะพ่อ ป่านนี้คงตีปีกดีใจ แจ้นไปหานังโฉมสะพรึงแล้ว กลับบ้านไปฉันก็ต้องนั่งดูหน้าอมทุกข์ของแม่ จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้นะรช แต่ฉันเบื่อ เบื่อพ่อ เบื่อแม่ที่ไม่สู้ เป็นฉันนะป่านนี้ได้แหลกกันไปข้างแล้ว”
“อย่าเพิ่งสรุปอะไรไปเลยแม่คุณ” รชยาเตือน “คนที่เขาอยู่นิ่งๆ ไม่ใช่ว่าเขาขี้แพ้หรืออ่อนแอหรอกนะ แต่ฉันว่าคนแบบนี้เข้มแข็งมากเลยต่างหาก เพราะเขาไม่ปล่อยความโกรธจูงให้เขาทำเรื่องที่มีแต่จะดึงให้ตัวเองตกต่ำ สักวันหนึ่งนะมิ้นแกอาจอยากเป็นให้ได้แบบแม่แกก็ได้”
มินตราฟังแล้วก็แบะปาก... ไม่มีทาง!
ทันทีที่ภูมิกลับมาถึงไร่ ยังไม่ทันเดินไปถึงหัวกระไดบ้าน บัวเงินก็กระวีกระวาดเข้ามาหาราวกับดักรออยู่แล้ว พอมาถึงก็เอะอะโวยวายด้วยปัญหาที่น้องชายเขาไปก่อไว้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาอยู่ในฐานะนายจ้าง แม่คุณคงอยากพูดไปจิกหัวเขาไปด้วย
“ฉันว่าเธอควรไปตกลงกับตะวันมันเองดีกว่านะ”
“แต่นายภูมิใหญ่ที่สุดที่นี่ ถ้าออกปากยังไงคุณตะวันก็ต้องทำตามแน่ นี่อะไรกัน ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย ใช่ซี้ คนอย่างนังบัวเงินมันต่ำต้อย ไม่คู่ควรจะเป็นสะใภ้บ้านนี้ใช่ไหม ถึงไม่มีใครเห็นหัวสักคน”
“เฮ้ บัวเงิน ทำไมพูดแบบนั้น” บัวทองผู้เป็นพี่สาวปรามหน้าเสีย “เกรงใจนายภูมิบ้าง”
“ต้องพูดสิพี่ หรือมันไม่จริง ถ้าไม่จริงป่านนี้คุณตะวันก็ควรมาสู่ขอรับผิดชอบฉันแล้ว แต่นี่อะไรกัน เรื่องมาถึงขนาดนี้ยังตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำเหมือนบัวเงินไม่มีค่าไม่มีราคา ถ้าไม่เพราะคนบ้านนี้เขาดูถูกว่าเราไม่คู่ควรยังมีเหตุผลอะไรอีก พ่อจ๋าบัวเงินไม่ยอมนะ บัวเงินเป็นเมียคุณตะวันแล้ว คุณตะวันต้องรับผิดชอบ”
เจตน์หน้าเหลือสองนิ้ว ได้แต่ห้ามอ้อมๆ แอ้มๆ เพราะตามใจลูกสาวคนโปรดเสียจนเคยตัว จะให้ด่าให้ว่าคงทำไม่ได้ เป็นสไบทิพย์ที่ฟังด้วยสีหน้าเอือมระอา พูดขึ้นตรงๆ ว่า
“ให้มันน้อยๆ นังบัวเงิน ฉันไม่เห็นว่าใครตรงนี้จะดูถูกดูแคลนแก อีกอย่างปัญหาในมุ้งของแกกับคุณตะวันก็ควรไปตกลงกันเอง ไม่ใช่ปัญหาที่นายภูมิจะรับผิดชอบ ตอนแกอ่อยคุณตะวัน นายภูมิเขาขอให้แกทำเหรอ ก็เห็นแกนั่นแหละระรี้ระริกไปเสนอให้ พอเสียแล้วดันมาเอะอะว่าไม่มีคนเห็นค่าไม่เห็นราคา ตัวเองน่ะทำตัวไม่มีค่าตั้งแต่แรกเองแท้ๆ”
“เอ๊ะ! ป้าสไบ นี่ป้าด่าฉันเหรอ!”
พอเด็กสาวทำท่าจะปรี่เข้าใส่ผู้สูงวัย เจตน์กับบัวทองเลยต้องเข้ามาห้าม ขอโทษขอโพยก่อนจะพาตัวบัวเงินกลับไปในที่สุด สไบทิพย์มองตามแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเวทนา
“นังบัวเงินเอ๊ย เสียแรงเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ทำไมโตมานิสัยมันถึงได้ผิดจากนังบัวทองนัก แล้วคิดยังไง้ไปยุ่งกับคุณตะวัน อย่าหาว่าสไบหยาบคายเลยนะคะนายภูมิ แต่รายนี้เป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ พ่อพวงมาลัย ลื่นเป็นปลาไหลใส่สเกต”
ภูมิได้แต่ยิ้มอ่อน ไม่นึกตำหนิคนเก่าคนแก่ที่ดูแลเขามานับสิบปี อีกอย่างที่สไบทิพย์พูดมาก็ล้วนแต่มีส่วนถูก บัวเงินนับว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาดี จึงไม่น่าแปลกใจที่พอเข้าสู่วัยสาวก็เป็นที่ต้องตาของตะวัน แต่จะว่าน้องชายหลงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เพราะผู้หญิงก็ทั้งหลงรูปน้องชายเขา ทั้งหวังจะเลื่อนฐานะตัวเอง ถึงได้เปิดทางให้
ในบรรดาพี่น้องสี่คน ตะวันต่างกับพี่ๆ คนอื่นโดยเฉพาะด้านหน้าตา ชายหนุ่มผิวขาวเกลี้ยงเกลา ขณะที่พี่ๆ ผิวเข้ม แม้แต่พรพระพรายที่เป็นผู้หญิงยังเทียบไม่ได้ หน้าตาตั้งแต่เด็กๆ ของตะวันก็น่ารักน่าชังเป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ยิ่งนัก เขาจำได้ว่าญาติๆ แวะมาเยี่ยมพ่อแม่ทีไรก็จะมีขนม เสื้อผ้า หรือของเล่นพิเศษสำหรับ ‘หลานรัก’ โดยเฉพาะ เขาและภูริไม่เคยน้อยใจกับความรักที่ไม่เท่าเทียม หากจะมีก็แต่น้องสาวที่ค่อนแคะตามหลัง
‘พวงลุงๆ ป้าๆ เอาใจแต่ตะวันก็เพราะอยากได้หน้าทั้งนั้น รู้ว่าตะวันน่ะลูกรักพ่อ พวกเราเลยเป็นหมาหัวเน่ากันหมด นี่เปรี้ยวยังแอบได้ยินลุงนิคมกับป้าน้อยเสี้ยมตะวัน บอกว่าป้ากับลุงใจดีแค่ไหน อยากให้มาเยี่ยมอีกบ่อยๆ นี่คงหวังจะมาขอเงินพ่อกับแม่อีกแน่’
ซึ่งก็เป็นดังที่พรพระพรายว่า ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนพ่อแม่ ล้วนแต่มาเพราะหวังผลทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ก็เรื่อง ‘ขอยืมเงินไปลงทุน’ อ้างว่าสมบัติของปู่ย่า ตัวเองก็ควรมีสิทธิ์ ทั้งๆ ที่สิทธิ์เหล่านั้นตัวเองใช้หมดไปนานแล้ว
บ้าน หรือ ‘เรือน’ ของภูมิเป็นเรือนไม้สองชั้นค่อนข้างใหญ่ ตัวเรือนดั้งเดิมปลูกสร้างมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า สาเหตุที่ตัวเรือนค่อนข้างใหญ่และกว้าง เพราะสมัยก่อนมีผู้อาศัยหลายคน ปู่เลี้ยงลูกๆ ทั้งแปดคนที่นี่ หัดให้ทำไร่ทำสวนทุกคน กระทั่งลูกๆ เติบโต แต่งงานมีครอบครัว มีอาสะใภ้และลุงเขยเข้ามาอยู่ด้วย และมีหลานๆ อีกโขยงหนึ่ง สมัยก่อนยังไม่ได้สร้างเรือนคนงาน ชั้นล่างก็ใช้เป็นที่พักชั่วคราว แต่พอเวลาผ่านไป ลูกๆ ก็เริ่มย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง บ้างก็ขอทุนออกไปทำธุรกิจของตัวเองเพราะไม่อยากเป็นแค่ลูกจ้างให้ปู่ในไร่ ไปๆ มาๆ เรือนใหญ่ก็เงียบเหงาลงเรื่อยๆ คนที่อยู่ดูแลไร่เหลือแค่หยิบมือ มีหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือพ่อของเขา ปู่จึงได้ฝากฝังทุกอย่างให้พ่อดูแลต่อ ท่ามกลางความไม่พอใจของพี่น้องคนอื่นๆ
หลายปีผ่านไป ‘เรือน’ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำได้รับการปรับปรุงหลายครั้ง เพราะพ่อไม่อยากรื้อถอน และไม้เกือบทั้งหลังเป็นไม้สักแบบที่ยากจะมีในสมัยนี้ พอมาถึงรุ่นของภูมิเขาก็ปรับปรุงเพิ่มเติมเสียจนเรือนทั้งหลังใหม่เอี่ยม ด้านล่างเปลี่ยนให้เป็นกึ่งๆ ออฟฟิศ ส่วนชั้นบนก็ใช้อยู่อาศัยและห้องทำงานส่วนตัว เพียงแต่ห้องหับหลายห้องถูกลงกลอนเรียบร้อย เพราะไม่มีคนพัก เมื่อก่อนคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มีแค่สี่พี่น้อง ภูริแต่งงานและย้ายออกไปเป็นคนแรก จากนั้นไม่นานพอจบมหาวิทยาลัย พรพระพรายก็ตัดสินใจทำตามความฝันที่อยากจะเป็นนักข่าว เดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ นานครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ที่นี่เลยยิ่งเงียบเหงาอักโข เหลือแค่เขากับตะวัน คนอื่นๆ ก็มีแค่สไบทิพย์ หลานสาวของสไบทิพย์ หรือเด็กหญิงกฐิน บัวเงินและบัวทองที่เวียนเข้ามาช่วยดูแลเรือน
ที่พักคนงานในไร่สร้างแยกเป็นสัดส่วน แต่ก็อยู่ไม่ไกลนัก ดังนั้นถึงเรือนใหญ่จะมีคนอาศัยอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ในอาณาบริเวณที่ใช้พักอาศัยก็ไม่ถึงกับร้างไร้เงาผู้คน
“นายภูมิกลับมาแล้วเหรอคะ ข้าวเพิ่งหุงเสร็จได้สักพักนี่เอง จะให้กฐินตั้งสำรับเลยไหมคะ” กฐินที่วิ่งมารีบถามเจื้อยแจ้ว เด็กหญิงวัยสิบสอง ไว้ผมสั้นแค่ติ่งหู ขายาวเก้งก้างไปหน่อย แต่เจ้าตัวคล่องแคล่ว ช่วยเหลือผู้เป็นยายทำงานอย่างดี ลูกสาวของป้าสไบทิพย์หลังคลอดลูกสาวไม่นานก็แยกทางกับสามีจึงส่งหลานมาให้แม่เลี้ยงดู เขาเองก็เอ็นดูเด็กหญิงเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก จึงยินดีสนับสนุนทุนการศึกษาช่วยอีกแรง
ภูมิส่งเฉพาะถุงใส่ของฝากให้ ก่อนกวาดมองรอบๆ “ตะวันล่ะ”
“ตั้งแต่นายภูมิไม่อยู่ คุณตะวันเขาก็ไม่อยู่เหมือนกันค่ะ ออกไปตั้งกะเช้าทุกวัน ไม่รู้ไปไหน นู่น...” เด็กหญิงทำปากจู๋ “ดึกๆ หรือไม่ก็ตีสองตีสามนู่นแหละค่ะถึงจะกลับ”
ภูมิฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “เอาของไปเก็บในครัวเถอะไป พวกอาหารแห้งให้สไบเก็บใส่กล่องดีๆ เดี๋ยวจะขึ้นรา ส่วนถุงใหญ่นั่นเดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปให้พวกพี่ที่โรงครัว ฉันไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมากินข้าว”
กฐินรับคำแข็งขันก่อนวิ่งปรู๊ดหายไปในส่วนของครัว แต่หลังจากภูมิอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตรวจงานที่ส่งเข้ามาระหว่างไม่อยู่ไปได้นิดเดียว เด็กหญิงก็มาเคาะประตูเรียก บอกว่า ‘คุณตะวันกลับมาแล้ว’ เขาออกจากห้องตรงมาถึงชานเรือน ก็พอดีกับที่น้องชายตัวดีเพิ่งมาถึง
ภูมิมองการแต่งตัวแม้จะเป็นแค่กางเกงยีน เสื้อเชิ้ตสีเข้มสวมทับด้วยแจ็กเกต และรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ทว่าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าของน้องชายเขาล้วนแต่เป็นของดีมียี่ห้อ ประกอบกับรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวผ่อง และหน้าตาหล่อเหลา จึงสะดุดตาผู้พบเห็นเสมอ
“ไง วันนี้นึกยังไงถึงได้กลับเร็วนัก”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่ดวงตาปรือเล็กน้อยเหลือบขึ้นมอง จากนั้นก็เบือนหนีโดยไม่ปกปิดความเบื่อหน่าย
“รู้ว่าจะมีพ่อมาดักรอมั้งครับ เอาเหอะ จะด่าจะว่าอะไร ขอผมไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยคุยกันตอนกินข้าวก็แล้วกัน”
พอน้องชายทำท่าจะเดินผ่านไป ภูมิก็เอ่ยไล่หลัง
“นายไปคุยกับฉันทางโน้น แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ชอบระบบของพ่อ ฉันไม่ชอบตำหนิหรือคุ้ยความผิดของใครมาสั่งสอนเวลากินข้าว และยิ่งไม่ชอบให้ใครกระแทกช้อนใส่หน้าแล้วเดินปึงๆ ออกไปด้วย”
ส่วนที่ใช้เป็นทั้งห้องพักผ่อนและรับรองแขกบนเรือนเป็นห้องเชื่อมกับเฉลียงกว้าง เวลาปกติถ้าไม่ลงไปดูแลไร่ ภูมิก็มักจะใช้ตรงนี้เป็นทั้งที่ทำงาน พักผ่อน หรือกินข้าว ดังนั้นจึงมีชุดเก้าอี้รับแขก รวมทั้งเก้าอี้เอนพร้อม และถ้ายืนมองจากตรงนี้จะเห็นอาณาบริเวณเกือบทั้งหมดของบ้านด้วย รอบตัวบ้านนอกจากลานด้านหน้าสำหรับรถเข้าออกแล้ว ยังจัดแต่งเป็นสวนเพื่อความร่มรื่น ถึงจะไม่มีต้นไม้ใหญ่มากมาย เพราะสมัยก่อนที่นี่เป็นที่เก็บทั้งรถยนต์ รถบรรทุก รถไถ เครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตร ยุ้งฉางก็ปลูกไว้ใกล้ๆ เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบดูแล พอตอนนี้จัดสรรพื้นที่เรียบร้อย ภูมิก็เลยเปลี่ยนให้พื้นที่โล่งแห่งนี้ให้ดูสบายตาขึ้น
ตะวันทรุดตัวลงนั่งเหยียดแข้งเหยียดขากับเก้าอี้เอน ขณะที่คนเป็นพี่ยังกอดอกหน้าขรึม เข้าเรื่องรวบรัด
“สรุปว่าแกกับบัวเงินจะเอายังไง”
ตะวันกลอกตารับ บิดปากด้วยความรำคาญ “ปล่อยไปงั้นแหละพี่ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“ฉันควรต้องสนใจในเมื่อน้องชายฉันไปเจาะไข่แดงลูกสาวชาวบ้าน และฉันก็ดันเป็นนายจ้างพ่อของเธอด้วย”
“โอ๊ย ไข่ดงไข่แดงอะไรล่ะพี่ หรือถ้ามีก็โดนคนอื่นเจาะจนพรุนไปก่อนผมแล้วละ นี่ ผมไม่โง่นะพี่ภูมิ แม่นั่นไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็นหรอก จะให้ผมไปเรียกพวกคนงาน เอาแค่สักสองสามคนมาสัมภาษณ์ก็ยังได้ ไอ้ที่โอดครวญจะเป็นจะตายอยู่ตอนนี้ก็เพราะผมดันมีภาษีดีกว่าไอ้พวกคนงานนั่นต่างหาก หน็อย ทำเป็นหัวสูงอยากเป็นคุณนาย ผมไม่เอาด้วยหรอก”
“งั้นแกก็ควรตกลงกับเขาให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ให้เขามาเอะอะโวยวายอยู่แบบนี้ คนอื่นเขาจะคิดยังไง ฉันไม่ชอบให้มีเรื่องไม่ดีไม่งามแบบนี้ในไร่ของฉัน”
ตะวันแบะปากเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร่ของฉัน’ เออ อะไรๆ ก็เป็นของนายภูมิไปเสียหมด ไอ้เขามันก็แค่ผู้อาศัยทั้งๆ ที่ก็เป็นลูกของพ่อ มีสิทธิ์มีอำนาจในไร่นี้เหมือนกัน แต่ดูเถอะ ตั้งแต่สิ้นพ่อแม่ไป พี่ๆ คนไหนก็กดหัวเขาทั้งนั้น
“งั้นพี่จ่ายเงินค่าทำขวัญให้เขาไปซักก้อนเดี๋ยวก็เงียบเอง”
“ทำไมฉันต้องเป็นคนจ่าย ในเมื่อแกเป็นคนหาเรื่องเอง นี่ตะวัน แกจะไปเกกมะเหรกที่ไหนฉันไม่ว่า แต่ฉันขอทีเถอะเรื่องคนใน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันจะต้องมาตามล้างตามเช็ดเรื่องคาวๆ ให้แก”
“ก็พี่ภูมิเป็นพี่แล้วก็พ่อคนที่สองของผมไม่ใช่เหรอครับ” ชายหนุ่มแสร้งยิ้มหน้าเป็น “เรื่องแค่นี้จะช่วยน้องชายหน่อยไม่ได้หรือไง หรือว่าไอ้ความช่วยเหลือนี่มันมีไว้สำหรับน้องรักอย่างพี่ดินคนเดียว น้องหลงอย่างผมก็ช่างแม่ง”
แบบนี้ทุกที ภูมิคิดอย่างอ่อนใจ เมื่อไหร่ที่โดนตำหนิ ตะวันเป็นต้องยกภูริขึ้นมาอ้างเสมอ
“ฉันไม่เคยลำเอียงและยินดีช่วยเหลือน้องทุกคน แต่แก...ตะวัน แกมันชักจะเริ่มเหลือทนขึ้นทุกที ถ้าแกยังไม่ปรับตัวอีกฉันคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด”
พอโดนขู่ คนถูกหมายหัวก็อดที่จะหวั่นไม่ได้ แต่ก็ยังเชิดหน้าเชื่อมั่นว่าข้าถูก อีกอย่างตะวันมั่นใจว่าภูมิไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเขาอยู่แล้ว
“ทำไม คิดจะจับผมแต่งงานเหรอ”
“ฉันไม่ให้ลูกสาวบ้านไหนต้องมาจมอยู่กับคนไม่เอาถ่านอย่างแกหรอก”
“พี่ภูมิ!”
“ทำไม ที่ฉันพูดนี่มันผิด? อายุเท่าแกมันควรจะเริ่มมีหลักมีฐานได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่ลอยไปลอยมา แกหัดตั้งใจทำอะไรให้มันจริงๆ จังๆ แล้วก็เชื่อฟังที่ฉันสอนบ้าง ฉันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะตะวัน จะได้มานั่งเลี้ยงแกอยู่แบบนี้ ถ้าไม่มีฉันต่อไปคนที่จะดูแลที่นี่ก็เป็นแก”
“อย่ามาพูดดีไปหน่อยเลย!” ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นประจันหน้ากับพี่ชาย “ต่อให้ไม่มีพี่ ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่นี่หรอก เพราะเดี๋ยวมันก็ต้องเป็นของพี่ดิน หรือต่อให้ไม่มีพี่ดินก็เป็นของพี่เปรี้ยวอยู่ดี ไม่มีอะไรหล่นมาถึงมือผมหรอก ผมมันลูกนอกคอก ไม่เก่งไม่ฉลาด เทียบพวกพี่ไม่ได้สักอย่าง ถึงได้แต่นั่งรอเศษทานจากพี่ๆ อยู่แบบนี้ ถ้าพี่ภูมิหวังดีกับผมจริงๆ ก็ให้เงินผมไปลงทุนสิ ทีพี่ดินยังให้ได้เป็นสิบๆ ล้าน นี่อะไร เอาแต่ขี้เหนียวฮุบทุกอย่างไว้กับตัวหมด”
“นี่ฉันไปพูดกับไก่ในฟาร์มน่าจะมีประโยชน์กว่าพูดกับแกสินะ” ภูมิส่ายหัวอ่อนใจ “จะคิดจะเชื่อยังไงก็ช่างแกเถอะตะวัน เพราะฉันแน่ใจว่าแกรู้ตัวดี แต่ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าแกก่อปัญหาอะไรอีก อีกแค่ครั้งเดียว ฉันจะส่งแกไปอยู่กับดิน ในเมื่อฉันสอนแกไม่ได้ ทำให้แกดีกว่านี้ไม่ได้ ฉันก็จะให้แกไปอยู่กับคนที่สั่งสอนแกได้”
เท่านั้นคนที่วางท่าอวดดีถึงกับหน้าถอดสี ราวกับได้ยินว่าพี่ชายจะส่งตัวเองไปให้เสือให้จระเข้กิน
“พี่ภูมิ พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ดินเขาไม่ชอบผม พี่ก็รู้อยู่ ให้ผมไปอยู่ด้วยมีหวังพี่ดินเหยียบผมไว้ใต้ฝ่าเท้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่”
“งั้นจากนี้ไปแกก็หัดทำตัวดีๆ อย่าให้ฉันต้องทำในสิ่งที่แกไม่อยากให้ทำก็แล้วกัน!”
ความคิดเห็น |
---|