4

ตอนที่4


 

 “พ่อ” 

เมื่อกลับเข้าบ้านอดิรุจก็รู้แน่ว่าอะไรรออยู่ ตอนแรกเขาตั้งใจแค่พาโฉมฉายไปโรงพยาบาล ตรวจเช็กบาดแผลเสร็จจึงพาไปส่งบ้านที่เขาเป็นคนเช่าให้ แต่เพราะหญิงสาวเอาแต่ร้องไห้ ตัดพ้อน้อยใจเขาต่างๆ นานา สุดท้ายอดิรุจจึงจำต้องอยู่เป็นเพื่อน กว่าหญิงสาวจะยอมปล่อยเขากลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พอเข้ามาในบ้านคนแรกที่พบก็คือลูกสาวนั่งกอดอกหน้าตาบึ้งตึงรออยู่ ส่วนอนงค์อรคงเข้านอนไปแล้ว

“เอ่อ...แม่ล่ะลูก”

ลูกสาวแสร้งตะไบเล็บไม่สนใจคำถาม

“มิ้น นี่พ่อพูดด้วยนะ”

“พ่ออยากรู้ก็หาเองสิคะ เมียตัวเองยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จะมาถามมิ้นทำไม อ้อ สงสัยเมียที่บ้านมันของตาย ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยจะอยู่จะกินยังไงก็ได้กระมัง”

“ทำไมพูดกับพ่อแบบนี้ ไม่น่ารักเลย มีอะไรคุยกันดีๆ ทำไมต้องประชด”

“แล้วพ่อทำตัวดีๆ ให้น่าคุยด้วยไหมล่ะคะ แทนที่จะห่วงเมียตัวเองบ้าง พ่อกลับไปปกป้องนังนั่น ไหนพ่อบอกจะเลิกติดต่อกันมัน แต่นี่ถึงขนาดกล้ามาหาเรื่องแม่ถึงที่ทำงาน แสดงว่าต้องมีคนให้ท้ายแน่ มิ้นผิดหวังจริงๆ คิดว่าคุณพ่อจะดีกว่าผู้ชายอื่น สุดท้ายก็ไม่ต่างกันเลย พอได้ของใหม่สาวกว่าสดกว่า ก็ลืมคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา มิ้นอยากจะรู้นัก ถ้าพ่อไม่มีอะไรเลย แม่นั่นยังอยากจะได้อีกหรือเปล่า”

อดิรุจถึงกับพูดไม่ออก ทั้งอายทั้งเสียหน้า และนึกโทษไปถึงภรรยาด้วย มินตรากล่าวหาเขาให้ท้ายโฉมฉาย แต่ดูสิ อนงค์อรก็คงให้ท้ายลูกไว้มาก ไม่งั้นคงไม่กล้าพูดกับเขาแบบนี้เช่นกัน

“มิ้นไม่มีเหตุผลเลย ไม่ฟังพ่อก็เอะอะมะเทิ่งใส่” เขาเอ่ยอย่างน้อยใจ “แม่คงพูดอะไรกรอกหูเข้าสิท่า รู้ๆ อยู่ว่าแม่เขากำลังโกรธ คำพูดคนที่กำลังโมโหมิ้นควรฟังหูไว้หูบ้าง”

มินตรากระแทกตะไบเล็บลงกับโต๊ะก่อนผุดลุกขึ้น จ้องมองบิดาด้วยความผิดหวัง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำขอโทษหรือท่าทีใดที่ว่าสำนักผิดสักนิด

ก่อนหน้านี้มินตราขอให้แม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด เอาให้หลาบจำ เป็นคดีตัวอย่างไปเลยสำหรับพวกใฝ่ต่ำอยากเป็นน้อยผัวชาวบ้าน ทั้งพยาน หลักฐาน ทุกอย่างมีพร้อมทั้งหมด แต่แทนที่อนงค์อรจะสนใจกลับบอกให้เธอเลิกพูด ทำให้มินตราเดือดยิ่งนัก ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ดั่งใจสักคน!

‘นี่แม่จะยอมให้มันมาหยามแม่สักกี่ครั้งกันคะ แล้วครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่หยาม มันยังทำร้ายแม่ด้วย ยังไงๆ ก็ยอมไม่ได้’

‘จะไปโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนี่ลูก เพราะคนของเราเองที่ไปยุ่งกับเขาก่อน’

‘ถ้าแม่จะบอกว่าแม่นั่นแค่หลงผิดไป งั้นมิ้นบอกเลยว่าฟังไม่ขึ้น นังนั่นรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อมีครอบครัว แต่ก็ยังเข้ามายุ่ง ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ระริกระรี้อยากได้ผัวคนอื่นหรอกค่ะแม่’

‘แล้วมิ้นจะให้แม่ทำยังไง ฟ้องหย่ากับพ่อไปเลยดีไหม’

เท่านั้นมินตราก็เป็นฝ่ายพูดอะไรไม่ออกบ้าง ได้แต่อึกอักขัดใจ

‘ฟ้องแค่นังนั่นก็ได้นี่คะแม่’

‘มิ้นไม่เห็นหรือ พ่อเขาให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนั้นแค่ไหน ยิ่งเราไปทำร้ายเขา คิดหรือว่าพ่อจะนิ่งดูดาย หากพ่อทนไม่ไหว มิ้นคิดเอาเองว่ามีโอกาสที่พ่อจะเลือกเราเท่าไหร่ เลือกทางนั้นเท่าไหร่’

ดังนั้นเมื่อพูดกับแม่ไม่ได้ผล สุดท้ายมินตราเลยมารอสะสางกับพ่ออยู่นี่แหละ!

“แม่ได้พูดอะไรกับมิ้นเลย แต่มิ้นมีตา รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะมาหลอกได้ นังนั่นมันมีอะไรเหรอคะพ่อถึงได้ติดใจมันนัก แค่เซ็กส์เท่านั้นน่ะเหรอ ถามจริงๆ เถอะ ผู้ชายถ้าไม่มีเซ็กส์คือจะตายให้ได้ใช่ไหม”

“มิ้น!” อดิรุจหน้าแดงก่ำ “พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า!”

“ทำไมคะ” หญิงสาวเชิดหน้าไม่สน “มิ้นอายุยี่สิบแล้ว สุขศึกษากับเพศศึกษามิ้นเรียนมาค่ะ นอกจากสัตว์แล้วมนุษย์สืบพันธุ์กันยังไงมิ้นรู้ค่ะ ทำไมคะ เวลาทำไม่อายแต่เวลาพูดอายงั้นหรือ”

“มิ้นพูดจาไม่รู้เรื่อง” ผู้เป็นพ่อตัดบท “วันนี้พ่อเหนื่อย เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันเถอะ”

“แหม ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ” สุ้มเสียงหล่อนยิ่งเผ็ดร้อน “คงมีแต่พ่อนั่นแหละที่เหนื่อย คนอื่นเขาคงไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยที่ต้องมาเช็ดมาล้างเรื่องคาวๆ ของพ่อหรอก”

“ยายมิ้น!” คราวนี้ความอดทนของอดิรุจหมดสิ้น แม้จะรักลูกสาวเพียงใด แต่ศักดิ์ศรีในฐานะหัวหน้าครอบครัวก็ยังอยู่เหนือกว่า “ถ้าไม่รู้อะไร หนูก็ควรสงบปากสงบคำเสีย หน้าที่ของตัวเองมีแค่ร่ำเรียนหนังสือ ไม่ใช่ยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”

“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อพ่อเป็นพ่อของมิ้น แม่ก็เป็นแม่ของมิ้น ตรงไหนคะที่ไม่ควรยุ่ง”

“งั้นหนูรู้ไหม ตั้งแต่ก่อนหนูจะเกิดพ่อผ่านอะไรมาบ้าง พยายามแค่ไหนเพื่อให้แม่กับหนูมีชีวิตสุขสบาย พ่อเคยบ่นไหม เคยอ้างบุญคุณไหม สิ่งที่พ่อต้องการไม่มีอะไรเลยนอกจากเห็นหนูกับแม่มีความสุข เรื่องของโฉมฉาย พ่อยอมรับว่าพ่อผิด ถ้าการเป็นพ่อที่ดีคือการต้องทนแบกรับทุกอย่าง ไม่มีโอกาสแม้แต่จะออกไปหาความสุขความสบายใจให้ตัวเองบ้างหรือ”

“แล้วความสุขความสบายใจของพ่อ ก็คือตัณหาราคะที่ไม่รู้จักพอ” ยิ่งได้ยินข้อแก้ตัว มินตราก็ยิ่งเดือดจัด ในฐานะผู้หญิงไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยอมรับเหตุผลนั่นไม่ได้ เพราะเหนื่อย เพราะอยากมีความสุข เลยออกไปมีเซ็กส์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตาน่ะเหรอ บ้าไปกันใหญ่แล้ว! “ดีนี่คะ ไว้ถ้าแม่เบื่อพ่อมากๆ อยากมีผู้ชายคนอื่นบ้าง บ้านเราคงมีความสุขน่าดู มิ้นเองก็เบื่อเต็มทีที่ต้องดูพ่อแม่มึนตึงใส่กันทุกวี่ทุกวัน ถ้ามิ้นอยากหาความสบายใจด้วยการออกไปหลับนอนกับผู้ชายข้างนอกบ้าง ก็ไม่ผิดสินะคะ ในเมื่อมีพ่อทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแบบนี้”

“มินตรา!” อดิรุจตวาดปัง! “หน้าที่ของหนูคือเรียนหนังสือ ทำอนาคตตัวเองให้ดี อย่าริทำตัวเหลวไหลเพียงแค่อยากประชดพ่อกับแม่ แล้วพ่อขอเตือนอีกครั้ง อย่ามาพูดจาระรานประชดประชันใส่พ่อแบบนี้ พ่ออาจไม่ใช่พ่อที่ดี แต่ก็พ่อเลี้ยงหนูมาจนโต ให้ทุกอย่างที่หนูต้องการ ไว้หนูอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่ วันนั้นหนูอาจเข้าใจว่าพ่อกับแม่ลำบากแค่ไหน”

“อ๋อ แค่นั้นสินะคะ เพราะยังหาเลี้ยงปากท้องตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพ่อจะทำตัวเหลวแหลกยังไงก็ห้ามวิจารณ์ ก็ได้ค่ะ มิ้นผิดเอง หลงคิดว่าขนาดแมวมันยังแยกออกว่าอันไหนกลิ่นขยะอันไหนกลิ่นปลาย่าง ถ้าคนดีๆ กลับแยกไม่ได้ อยากคว้าขยะเน่าๆ มากินก็ตามใจ ยังไงสันดอนก็แก้ง่ายกว่าสันดาน!” 

ฉับพลันฝ่ามือของอดิรุจก็ตบลงมาที่แก้มซ้ายของมินตราอย่างจัง อาจไม่ได้แรงมากเพราะเหมือนเขาพลั้งมือเพียงอารมณ์ชั่ววูบที่ถูกเหยียดหยามเท่านั้น หลังจากสติกลับคืนมาใบหน้าของอดิรุจก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ มินตราเองไม่คาดคิดมาก่อน ตั้งแต่เกิดมาพ่อไม่เคยตบตีเธอแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำยังคอยปกป้องเธอด้วยซ้ำ หญิงสาวยกมือแตะแก้มตัวเอง หยดน้ำตาไหลเอ่อออกมาโดยไม่รู้ตัว

“พ่อขอโทษลูก พ่อไม่ได้ตั้งใจ” อดิรุจลนลานรีบยื่นมือเข้าไปหา “คนดี พ่อขอโทษลูก พ่อขอโทษ”

มินตราไม่ฟัง หญิงสาวผละถอยหนี แล้ววิ่งขึ้นชั้นสองพอดีกับที่อนงค์อรกำลังลงมาจากบันไดและคงทันเห็นเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มินตราไม่สน เธอวิ่งผ่านแม่ไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลเอ่อไม่ขาดสาย แม้จะคล้อยหลังไปแล้วแต่เสียงโต้เถียงของพ่อกับแม่ก็ยังลอยตามมา

“นี่มันอะไรกันคุณรุจ!”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปคุยกับยายมิ้นเอง”

“ไม่ ถ้าคุณจะพูดกับแกวันนี้ คุณก็เลือกเอา จะออกจากบ้านไปหานางบำเรอของคุณ หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

อดิรุจรู้ว่าตนไม่มีทางเลือก ไม่ใช่แค่เขาที่มีมินตราเป็นจุดอ่อน อนงค์อรเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เธอไม่ได้แสดงความรักต่อลูกในรูปแบบของการเอาอกเอาใจ แต่หากมีอะไรที่กระทบใจลูกสาว อนงค์อรก็พร้อมจะกางปีกปกป้องทันที

“ผมคุยกับโฉมแล้ว เธอฝากของโทษคุณ บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ผมเองก็เสียใจ ผมไม่คิดว่าโฉมจะกล้า ผมสัญญานะคุณอร ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกซ้ำสอง” อดิรุจยังคงพยายามประนีประนอม แต่เมื่อภรรยายังเอาแต่เงียบ ยกเว้นแววตาที่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกสะเทือนใจได้เขาก็ยิ่งร้อนใจ “คุณอร คุณอย่าเอาแต่เงียบสิ”

“รู้ไหมคุณรุจ สิ่งที่ฉันอยากได้ยินที่สุด ไม่ใช่คำขอโทษ คุณจะขอโทษฉันทำไม สัญญากับฉันไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายคุณไม่คิดจะเลิกรากับผู้หญิงคนนั้น เอาคำขอโทษกับสัญญาของคุณคืนไปเถอะ แล้วยืนยันต่อหน้าฉันคำเดียว... คุณจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีกใช่ไหม”

คนเป็นสามีนิ่งอึ้งพูดไม่ออก อดิรุจยอมรับว่าหลงใหลโฉมฉาย หล่อนคือความสดใหม่ที่เติมเต็มชีวิตแห้งเหี่ยวของเขา ไม่ใช่แค่ความใคร่ที่พร้อมจะสนองให้ แต่โฉมฉายนั้นเชิดชู นับถือเขา ช่างเอาอกเอาใจ ซึ่งต่างกับเวลาที่อยู่กับอนงค์อร เขามักรู้สึกเป็นรองเสมอ และบัดนี้ความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกันไม่ใช่จะมาตัดขาดได้ในวันสองวัน

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะคุณอร อีกอย่างเรื่องของโฉม คุณไม่เห็นต้องใส่ใจ อย่างไรเสียผมก็ยกย่องคุณเป็นหนึ่งเสมอ และคุณจะอยู่ในฐานะเมียที่ถูกต้องตลอดไป ส่วนโฉมก็อยู่ในที่ของเธอ จะไม่มาระรานคุณอีก...” คำพูดของเขาขาดหายไปเมื่อเห็นน้ำตาหยดแรกไหลหยดผ่านแก้มของภรรยา เป็นอีกครั้งที่อดิรุจเจ็บปวดจนในอกมันชาไปหมด วันนี้ช่างเป็นวันที่เลวร้ายสำหรับเขาเหลือเกิน นอกจากน้ำตาของลูกสาวแล้ว เขายังต้องมาเห็นน้ำตาของคนเป็นเมียอีก สิบกว่าปีแล้วแม้จะมีปัญหากันบ่อยครั้ง แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่อนงค์อรจะร้องไห้ “โธ่ อย่าร้องไห้สิคุณอร เดี๋ยวยายมิ้นมาเห็นก็หาว่าผมรังแกคุณอีก”

พอสามีคิดจะอ้าแขนปลอบ อนงค์อรกลับถอยห่าง เธอทนให้อ้อมแขนที่เผื่อแผ่ให้ผู้หญิงอื่นมาแตะต้องไม่ได้

“สรุปว่าไม่ว่าอย่างไรคุณก็ยังเก็บแม่นั่นไว้”

“ผมก็บอกแล้วจากนี้ไปก็แค่ต่างคนต่างอยู่ แต่ก่อนคุณก็รับได้ไม่เห็นว่าอะไร ทำไมจู่ๆ ต้องมาบังคับให้ผมตัดใจ”

“นั่นเพราะแต่ก่อนฉันรู้ว่าตัวเองบกพร่อง ไม่พร้อมที่จะให้ความสุขกับคุณ” ยิ่งพูดแรงสะอื้นที่หลุดออกมาก็ยิ่งหนักหน่วง เมื่อนึกย้อนกลับไปก็สมน้ำหน้าตัวเองนัก ไม่ใช่เธอหรอกหรือที่เปิดโอกาสให้เขาไปมีคนอื่น... “เพราะฉันบอกให้ตัวเองเข้าใจคุณ เข้าใจว่าผู้ชายต้องการอะไร เมื่อคุณขอฉันจึงต้องให้ แต่คุณรู้ไหม มันไม่ใช่ว่าในใจฉันจะไม่เจ็บไม่ปวด แต่เพราะเชื่อว่าเมื่อคุณพอ คุณก็จะกลับมา แต่มันไม่ใช่เลย คุณทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีตัวตน และแม่นนั่นเพิ่งเข้ามาทวงถามฐานะตัวเองจากฉัน ขอให้ฉันเป็นฝ่ายหย่าขาดกับคุณ เพราะที่คุณทนอยู่กับฉันก็เพราะลูก ทั้งๆ ที่หมดรักฉันไปนานแล้ว”

“เหลวไหลทั้งเพ ผมไม่เคยพูดแบบนั้น”

“แล้วการกระทำของคุณตอนนี้ มันยังไม่ชัดเจนหรือ”

“พอเถอะคุณอร สุดท้ายมันก็วนอยู่แค่นี้ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน ตอนนี้ให้ผมไปดูลูกก่อน”

อดิรุจเดินผ่านภรรยาที่มองตามเขาด้วยแววตาตัดพ้อ ทว่ายังไม่ทันก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เห็นว่าลูกสาวเดินย้อนกลับลงมาอีกครั้งและยิ่งทำให้งุนงงเมื่อเห็นลูกสาวถือกระเป๋าเสื้อผ้าที่เหมือนจับยัดทุกอย่างใส่ลวกๆ

“มิ้นนั่นลูกจะไปไหน” เขารีบถาม แต่ลูกสาวกลับแทรกตัวผ่านหน้าไม่ไยดี ทำให้อนงค์อรต้องรีบเข้าไปคว้าแขนเรียวบางไว้แทน

“มิ้น ดึกดื่นแล้วจะไปไหน”

“มิ้นจะไปค้างกับรชสักพัก” หญิงสาวตอบห้วน น้ำตายังไม่แห้งจากแก้มนวล เมื่อก้มลงหยิบรองเท้าผ้าใบจากชั้น

“แล้วทำไมต้องไปดึกๆ แบบนี้ ไว้พรุ่งนี้เช้าถ้าอยากไปแม่จะไปส่ง” เพราะรู้นิสัยลูกสาวช่างประชดประชัดแค่ไหน อนงค์อรจึงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “กลับขึ้นไปนอนเถอะ แม่ขอ”

“ใครมันจะไปข่มตาหลับได้ค่ะ ในเมื่อที่นี่มันร้อนเป็นไฟเสียแบบนี้ มิ้นไม่อยากอยู่ แม่อยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ และไม่ต้องห่วง มิ้นไม่แตะรถของพ่อกับแม่หรอก มิ้นจะนั่งแท็กซี่ไป เงินเก็บพอมี คงพออยู่ได้ไม่ลำบากหรอกค่ะ”

“ยายมิ้น ทำไมพูดกับแม่แบบนั้น วันนี้เราทำตัวไร้เหตุผลและพาลเกินไปแล้วนะ” อดิรุจรีบคว้ากระเป๋าจากมือลูกสาว แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ยอมปล่อยก็ตาม จากที่ตอนแรกตั้งใจจะปรับความเข้าใจ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังใครเสียแล้ว “กลับเข้าห้องไปซะ ถ้าไม่อยากเห็นหน้าพ่อ เดี๋ยวพ่อจะไปเอง”

“มิ้นไม่บังอาจไล่พ่อหรอกค่ะ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อนี่ ปล่อยค่ะ”

“ไม่ เห็นที่พ่อต้องอบรมเราเสียบ้าง ไม่งั้นนับวันจะยิ่งเกเรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พ่อบอกให้กลับขึ้นไปบนห้อง”

เท่านั้นมินตราก็ปล่อยมือจากกระเป๋า กระทืบเท้า ร้องกรี๊ดๆ ราวกับคนเสียสติ ไม่สนสีหน้าตกตะลึงของพ่อกับแม่ที่ได้แต่ตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก

“อยากทำอะไรก็ตามใจ เพราะจากนี้ไปมิ้นจะทำตามใจตัวเองเหมือนกัน!”

มินตราวิ่งออกจากบ้าน ไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกร้อนรนตามหลัง ทันทีออกมาถึงถนนหน้าหมู่บ้านก็พอดีกับที่แท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมาจอด หญิงสาวไม่รอถามคำถาม รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งแล้วบอกให้ออกรถไปทันที จากกระจกมองหลังมินตราเห็นพ่อกับแม่ตามออกมาทัน แต่ทำได้เพียงมองตามโดยไม่สามารถทำอะไรได้

“เอ๊า แค่นี้คงพอนะ” โฉมฉายส่งเงินจำนวนหนึ่งให้กับชายตรงหน้า อีกฝ่ายรับไปนับดูแล้วยิ้มกริ่มพอใจ หากก็ไม่วายทักรอยช้ำที่เริ่มจะดีได้แค่เล็กน้อย

“ไหนได้ยินว่าไอ้เสี่ยนี่มันเลี้ยงดูดีนักหนา แล้วทำไมหน้าเหมือนเพิ่งไปรองบาทาใครมาแบบนั้นล่ะจ๊ะโฉม” คำพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่นัยน์ดูแคลน ยิ่งทำให้หญิงสาวฉุนกึกมองกลับอย่างเอาเรื่อง

“หุบปากเถอะพี่คม และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ฉันให้พี่มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ฉันเองก็ลำบากเหมือนกัน ไม่งั้นฉันไม่บากหน้ามาหาพี่ถึงที่นี่หรอก”

“อย่าบอกนะว่าพอผัวใหม่มันไม่สนใจ ก็คิดถึงผัวเก่าน่ะหือ”

โฉมฉายปัดมือที่ยืนเข้ามาทันที แม้จะทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ปกปิดความรังเกียจเดียดฉันท์เช่นกัน อาคมกับเธอคบหากันตั้งแต่วัยรุ่น จะว่าแล้วชีวิตของเธอมันก็ตกต่ำมาตั้งแต่จำความได้ ช่วงเวลาแห่งความสุขความสดใสที่เคยใช้เหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันก็แค่ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แม้บ้านไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็มีความสุข จุดพลิกผันเกิดขึ้นหลังจากพ่อล้มป่วยและจากไป ผู้เป็นแม่ที่ยังสาวก็แต่งงานใหม่ทันที นับจากนั้นมาชีวิตของเธอก็ราวกับตกนรกทั้งเป็น กลายเป็นเครื่องสนองอารมณ์ให้ไอ้พ่อเลี้ยง โดยมีแม่รู้เห็นแต่ไม่ทำอะไร 

‘ฉันกับแกอยู่ได้เพราะเงินใคร หรือแกอยากไปเป็นขอทานอยู่ข้างถนน นอนกับมัน แกยังได้เงิน ไม่ได้เสียตัวฟรี ดีกว่าไปเป็นเมียไอ้พวกขี้ยาข้างนอก มันได้แกฟรีไม่พอ มันยังจะเอาแกไปแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงมันด้วย!’ นั่นคือคำพูดของแม่บังเกิดเกล้าที่ยังอยู่ในความทรงจำ ยิ่งผลักดันให้เธอเตลิดเปิดเปิง เรียนหนังสือหนังหาเกือบไม่จบ 

เมื่อได้รู้จักอาคม ถึงจะเป็นนักเลงหัวไม้ ขี้ยา สันดานอันธพาล แต่คนคนอย่างมันนี่แหละ ที่ช่วยให้เธอหลุดพ้นนรกที่เรียกว่าครอบครัวมาจนได้ ข่าวสุดท้ายที่โฉมฉายทราบเกี่ยวกับพ่อเลี้ยง หลังจากที่อาคมพาพวกไปดักทำร้ายและชิงทรัพย์ตามคำขอของเธอ เห็นว่าไอ้แก่ชั่วนั่นถูกตีศีรษะจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่วนแม่ก็กวาดสมบัติแล้วหนีไปหลังจากนั้นก็ไม่กี่สัปดาห์

ดังนั้นเธอถึงได้แค้นนักในตอนที่นังเมียทนายอ้างให้เธอสำนึกถึงพ่อแม่ มันไม่รู้หรอกว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง มันไม่รู้หรอกว่าความเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้แค่ทำให้ลูกเกิดมา แต่ไม่เคยสนใจไยดี ซ้ำยังสร้างตราบาปที่ไม่อาจลบเลือนให้ลูกอีก ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเทียบกันแล้วคนที่ทำร้ายเธอเจ็บปวดที่สุดก็คือคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่นี่แหละ

เมื่อแม่หนีไป หญิงสาวก็ย้ายเข้ามาสู่เมืองหลวง ไร้ที่พึ่ง ปากกัดตีนถีบทั้งทำงานและร่ำเรียน ตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ถึงจะเลิกรากับอาคมไป แต่ไอ้แมงดานี่พอรู้ว่าเธอมีหน้าที่การงานก็กลับมาไถเงินเธอ ข่มขู่จะไปแจ้งความบ้าง จะแฉบ้าง โฉมฉายจึงจำใจยอมให้มันสูบเลือดสูบเนื้ออยู่แบบนี้ แต่อีกไม่นานหรอก... ตัวมารอย่างมันจะต้องถูกกำจัด เช่นเดียวกับนังสองแม่ลูกนั่น

“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้พี่ช่วยหน่อย” โฉมฉายเข้าเรื่อง

“จะให้พี่ไปจัดการเมียไอ้เสี่ยนั่นใช่ไหม พี่บอกแล้วขู่แค่นั่นมันไม่กลัวหรอก ถ้าจะเอาให้จำจริงๆ เดี๋ยวพี่พาพวกไปยกเค้าแม่งให้เหี้ยน”

“ไม่ได้!” หญิงสาวรีบปฏิเสธ “นังแม่มันไม่ได้ร้ายกาจอะไรหรอก หรือต่อให้คุณรุจหย่า มันก็คงไม่สน”

ที่โฉมฉายมั่นใจก็เพราะตั้งแต่บุกไปหาอนงค์อร แม้จะถูกอดิรุจตำหนิในความหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ยังติดต่อกับเธอสม่ำเสมอ ไม่มีทีท่าจะตีตัวออกหากเหมือนก่อน ชายหนุ่มค้างที่ห้องของเธอ บ่นถึงปัญหาระหว่างภรรยา และลูกสาวที่คอยแต่จ้องจับผิด แค่อ้าปากก็มีแต่คำพูดเหน็บแนมทิ่มแทง ราวกับว่าเขาไม่ใช่พ่อ ทำให้อดิรุจยิ่งอยู่ไม่ติดบ้าน ดูๆ แล้วคงรอแค่ว่าเมื่อไหร่ปัญหาที่สะสมไว้จะปะทุเท่านั้นเอง

อันที่จริงโฉมฉายจะนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ความหึงหวง หวาดระแวงทำลายนังสองแม่ลูกนั่นก็ได้ แต่มันง่ายเกินไป อีกอย่างเธอแน่ใจแล้วว่าศัตรูแท้จริงไม่ใช่อนงค์อร หากแต่เป็นนังลูกสาวตัวแสบนั่นต่างหาก ถึงวันหน้าอดิรุจยอมหย่าร้างกับเมียจริง แต่ถ้ายังกระเตงเอานังเด็กตัวแสบนี่ไว้ด้วย ชีวิตของเธอคงไม่มีวันสงบสุขแน่ ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้มันเป็นตัวมาร ก็สู้จัดการหักเขี้ยวเล็บมันเสียไม่ดีหรือ

“คนที่ฉันอยากให้พี่จัดการเป็นอีกคน” โฉมฉายเอ่ย

“ใคร” อาคมเลิกคิ้วด้วยความสนใจ

“ลูกสาวคุณรุจ นังนี่มันเป็นมารหัวใจฉันเหลือเกิน อีกอย่างมันทำฉันไว้เจ็บแสบนัก หากไม่เอาคืนไม่เห็นมันพินาศไปต่อหน้า ฉันคงตายตาไม่หลับแน่”

คนฟังขบคิดครู่หนึ่งก่อนที่รอยยิ้มชั่วร้ายจะขยายกว้าง แน่นอนว่าเขาจำได้ เพราะตอนที่โฉมฉายสั่งให้เขาข่มขู่นังเมียทนาย เข้าแอบเข้าไปดูลาดเลาบริเวณบ้าน เห็นว่ามีลูกสาวคนหนึ่งอยู่ด้วย ท่าทางคุณหนู ทั้งขาว ทั้งสวย รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ตรงข้ามกับบางสัดส่วนนั้นเอิบอิ่มยวนตา เป็นผู้หญิงประเภทที่หมาข้างถนนอย่างเขาคงได้แต่มอง พออดีตคนรักเกริ่นมาแบบนี้ อาคมก็รู้ทันทีว่าเรื่องไหว้วานคราวนี้คงสนุกถึงอกถึงใจไม่น้อย

“แหม จะให้พี่ฆ่ามันทิ้ง ก็น่าเสียดาย”

“ใครบอกให้ฆ่ามันกัน” โฉมฉายเอ่ยอย่างอาฆาต “ฆ่ามันนะง่ายเกินไป โฉมอยากให้มันยังมีชีวิตอยู่ อยู่กับความอัปยศอดสูเหมือนตายทั้งเป็นแบบนั้นสะใจกว่า!”

มินตรามาอยู่กับรชยาที่หอพักเกือบสองสัปดาห์แล้ว แรกๆ เธอไปมหาวิทยาลัยตามปกติ แต่พอเห็นว่าพ่อมารอดักพบ และพยายามโทร. มาเพื่อขอให้เธอกลับบ้าน หญิงสาวก็เริ่มไม่ใส่ใจจะไปเรียน ใจหนึ่งก็ดีใจที่พ่อยังเห็นตนสำคัญ ทั้งสาแก่ใจที่เห็นความร้อนใจของพ่อ แต่...นั่นยังไม่มากพอที่จะทำให้เธอยอมกลับไปหรอก ตราบใดที่พ่อยังไม่ตัดขาดกับโฉมฉาย มินตราก็ไม่คิดจะกลับ หลายครั้งที่พ่อโทร. มาหา ขอร้องให้เธอกลับ พอมินตรายืนคำขาดออกไป พ่อก็มักจะอึกอักไม่ยอมตอบตกลง สุดท้ายหญิงสาวจึงตั้งหน้าตั้งตาประชดประชันต่อไป

“นี่แกคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนเนี่ย” นานๆ ทีรชยาก็ยังต้องเตือนสติเพื่อนบ้าง “มีอะไรฉันว่าค่อยๆ คุยกันดีกว่า แกน่ะมันดีแต่ใช้อารมณ์ คิดแต่ว่าตัวเองถูก แต่เรื่องครั้งนี้ฉันขอไม่เข้าข้างเด็ดขาด”

“อะไรกัน นี่รชจะหักหลังฉันใช่ไหม” หญิงสาวตะบึงตะบอนใส่

“ฉันว่าที่คุณลุงพูดก็ถูกนะ บางอย่างให้ผู้ใหญ่เขาตกลงกันเถอะ ที่เขาไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง ก็เพราะผู้ใหญ่กับเด็กน่ะวิธีคิด วุฒิภาวะไม่เหมือนกัน บางอย่างที่เรายอมไม่ได้เด็ดขาด แต่ผู้ใหญ่คุยกันแล้วเขาอาจไม่ติดใจ ยอมๆ กันได้”

“ไม่เอาไม่อยากฟัง! อ๋อ เบื่อฉันเลยคิดจะไล่ใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ได้ไล่ แกอยากอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็อยู่ไป แต่ทำแบบนี้มันหนีปัญหา แล้วดูแกสิ มหา’ลัยก็ไม่ไป ยายมิ้นเอ๊ย ชีวิตมันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรหรอกนะ แต่ละคนก็มีหน้าที่มีปัญหาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ดูแกตอนนี้สิ แกไม่เอาอะไรเลยนอกจากเรียกให้คนอื่นมาสนองความพอใจของแก ฉันว่าพอเถอะ กลับบ้านกลับช่องไปปรับความเข้าใจกับคุณลุงคุณป้าซะ ถ้าสุดท้ายแล้วอะไรที่มันยื้อไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยๆ มันไปเหอะ”

ถึงจะยอมรับว่าที่รชยาพูดมาก็มีส่วนถูก แต่คนที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ อยากให้เป็นอย่างไรแค่ชี้นิ้วก็ต้องเป็นแบบนั้นสมใจทันทีมีหรือจะยอม เมื่ออดิรุจเริ่มอ่อนใจที่จะตามตัวลูกสาวกลับบ้าน การติดต่อจึงห่างหายไป มีแต่อนงค์อรที่ติดต่อมาบ้าง นำกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นมาให้ แต่ไม่มีใครรบเร้าให้เธอกลับบ้านอีก มินตราก็ยิ่งขุ่นเคือง หญิงสาวเริ่มออกเที่ยวเตร่ แต่ก่อนกันต์ธรชักชวนไปไหนเธอมักจะบ่ายเบี่ยง แต่ตอนนี้ไม่ว่าชายหนุ่มจะชักชวนไปที่ใด มินตราก็พร้อมเสมอ อย่างน้อยการได้อยู่กับคนที่ให้ความสนใจ และเฝ้าเอาอกเอาใจก็ดีกว่ากลับไปอยู่กับคนที่ไม่สนใจไยดีตัวเอง

“ป๋าซื้อคอนโดฯ ให้พี่สาวพี่ แต่ตอนนี้เจ้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่นั่นเลยไม่มีคนอยู่ ถ้าอยู่กับเพื่อนแล้วไม่สะดวก ยังไงไปพักที่คอนโดฯ พี่สาวพี่ก่อนก็ได้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยแทรกเสียงเพลงภายในคลับที่ชวนมินตรามานั่งดื่ม เก้าอี้นวมตัวใหญ่สำหรับบริเวณที่จัดให้แขกวีไอพีบนชั้นสอง แม้จะกว้างขวางแต่ร่างแกร่งกลับจงใจขยับเข้าหาร่างบอบบางจนแนบชิด ท่อนแขนอีกข้างพาดอยู่เหนือพนักโซฟา คอยลูบไล้ไหล่นวลเนียน หากเป็นเมื่อก่อนมินตราคงไม่ยอมให้เขาใกล้ชิดหรือฉวยโอกาส แต่ตอนนี้ในหัวของเธอมีอะไรให้คิดมากมายเกินกว่าจะสนใจอย่างอื่น

“อันที่จริงมิ้นก็กำลังมองๆ หอพักอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่รบกวนพี่กันต์”

“รบกงรบกวนอะไรกัน” หนุ่มหล่อยังเอ่ยอย่างใจป้ำ “ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย หรือถ้าคิดว่าไกลไป บ้านพี่ก็ยังมีรถหลายคันว่างๆ มิ้นจะเอาไปขับก็ได้ ป๋าพี่ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”

มินตราเหยียดยิ้มมุมปาก แบบนี้เองสินะที่ทำให้ผู้หญิงบางคนทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้ผู้ชายรวยๆ มาเลี้ยงดู เพราะไม่ว่าจะเอ่ยปากอะไร ก็ได้มาง่ายๆ ไม่ต้องลำบากลำบน ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรให้ยุ่งยาก ก็แค่เอาอกเอาใจ ออเซาะฉอเลาะ ใช้ร่างกายเข้าแลก ไม่ว่าจะเงินทอง ความสุขความสบายก็เรียงหน้าเข้ามาให้กอบโกย แต่ตัวผู้ชายเองก็ไม่ได้โง่ หนุ่มๆ ที่เข้ามาจีบเธอส่วนใหญ่ เมื่อลงทุนก็มักจะหวังกำไรกันทั้งนั้น กันต์ธรเองก็ไม่ต่างกัน

“พี่กันต์ไม่กลัวว่าลงทุนกับมิ้นมากๆ แล้วมิ้นจะชิ่งหนีหรือ”

“น้องมิ้นพูดอะไรแบบนั้น”

“พนันกันไหมล่ะคะ” นัยน์ตาคู่สวยปรายมอง “ที่พี่กันต์ตามใจมิ้น ก็เพราะอยากสร้างข้อแม้ที่จะเรียกร้องอะไรตอบแทนเหมือนกัน แล้วถ้าพี่รู้ว่าพี่จะไม่ได้อะไรจากมิ้นเลย พี่ยังจะคบกับมิ้นอีกไหม” มินตรายิ้มขณะที่ชายหนุ่มใบหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งขึง ริมฝีปากเม้มแน่น พอเขาไม่พูดอะไรเธอก็เอ่ยต่อไปอย่างไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร “ผู้ชายก็เหมือนๆ กันหมด ผู้หญิงที่เอาไว้สนองตัณหากับผู้หญิงที่เอาไว้เป็นแม่ของลูก ยังไงก็ไม่มีทางเป็นคนเดียวกัน ตัวเองออกไปมั่วข้างนอก แต่ถึงเวลากลับมาร้องหาสาวบริสุทธิ์ ตัวเองนอนกับใครมากี่คนเอามาอวดอ้างเห็นเป็นเรื่องน่าภูมิใจ แต่พอรู้ว่าผู้หญิงผ่านอะไรมาไม่ต่างกัน กลับประณามว่าเป็นหญิงแพศยา เฮ้อ โลกนี้มันไม่ยุติธรรมจริงๆ”

“วันนี้มิ้นพูดอะไรแปลกๆ ก็ไม่รู้ ไม่น่าฟังเลย” พอชายหนุ่มชักเริ่มไม่สบอารมณ์ มินตราก็รีบยิ้มหวานเอาใจ

“มิ้นก็พูดไปแบบนั้นแหละค่ะ อย่าหงุดหงิดนะคะ” พอเธอเริ่มเอาอกเอาใจด้วยการยกแก้วเครื่องดื่มจดริมฝีปากชายหนุ่ม คลอเคลียไม่ต่างกับลูกแมว ขยับเข้าหาจนเรียวขาทั้งสองแทบเกยอยู่บนต้นขาแกร่ง กันต์ธรจึงค่อยกลับมายิ้มแย้มปราศรัยกับเธอดังเดิม...เฮ้อ พวกผู้ชาย เหมือนกันหมดจริงจริ๊ง

กันต์ธรกระดิกนิ้วสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม มินตราเองก็ปล่อยให้ตัวเองดื่มมากกว่าที่เคยเช่นกัน ระหว่างที่พนักงานถือถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ มินตรามองผ่านไปยังโต๊ะที่อยู่ถัดไป เห็นมีแขกเพียงคนเดียวนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ออกจะเป็นภาพแปลกประหลาดสำหรับที่นี่จนทำให้เธอต้องมองนานกว่าปกติ มินตรามองอีกฝ่ายไม่ถนัด แต่เห็นว่าเขาเป็นชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ ไหลกว้าง แขนเสื้อที่ถูกถลกขึ้นสูงเผยให้เห็นลำแขนใหญ่กำยำแบบคนใช้แรงงาน

ที่นี่ถือว่าเป็นคลับมีระดับแห่งหนึ่ง ค่าบริการต่างๆ จึงสูงตามไปด้วย และคนที่สามารถเข้าไปยึดครองโต๊ะวีไอพีได้คงไม่ใช่คนระดับใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำแน่ๆ จังหวะที่ท่อนแขนของเขายกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ มินตราเห็นดวงตาเป็นประกายคมปลาบมองมาและสบตากับเธอเข้าพอดี อะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้ขนอ่อนหลังท้ายทอยของเธอลุกชัน แทบไม่ได้ฟังว่ากันต์ธรพูดอะไร กระทั่งมีเสียงผู้ชายจากที่ไหนไม่รู้เรียกตะโกนชื่อเธอดังลั่น

“มิ้น!”

หญิงสาวสะดุ้งโหยง ถอนสายตาจากชายคนนั้น พอหันกลับมาเลือดในตัวของเธอก็ราวกับถูกแช่แข็ง เมื่อเห็นชายวัยกลางคนกำลังเดินขึ้นบันไดที่เชื่อมสู่ชั้นสอง ใบหน้าของเขาบูดบึ้งเครียดคล้ำเมื่อตรงเข้ามาหา มินตราก็ถึงกับละล่ำละลักไม่เป็นคำ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น