๕
ความจริงที่โหดร้าย
“หมอเป็นอะไร ทำไมถึงปล่อยมือจากเชือก รู้ไหมว่ามันอันตราย!”
นาทีที่รู้สึกเหมือนโพรงอกถูกทิ่มแทง ลมหายใจใกล้จะขาด เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิต สองมือไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า มือเย็นเฉียบคู่หนึ่งกลับเอื้อมเข้ามา เขาเกี่ยวเอวบางแล้วรวบร่างเล็กที่แน่นิ่งเพราะความเจ็บปวดไว้ กระซิบข้างหูปลูกจิตวิญญาที่กำลังล่องลอยสู่ความว่างเปล่าของเธอให้กลับคืนมา
“ฉัน...ยังไม่ตาย” ญามีอาเปล่งเสียงเบาหวิว สองมือคว้าความเย็นนั้นไว้ราวกับเป็นความหวังสุดท้าย
“ก็...”
ความร้อนจากร่างเล็กทำให้คำตำหนิจุกอยู่ตรงลำคอ เขาไม่ควรลืมว่าอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง
“คนเจ็บรอหมออยู่ หมอไหวหรือเปล่า” น้ำเสียงเข้มอ่อนลง เขาไม่ได้ขยับมือที่ถูกมือเล็กๆ ดึงไว้ออกอย่างที่ควรกระทำ
“ฉัน...”
ญามีอาเงยหน้ามองฝ่าความสลัวราง เธอเห็นใบหน้าคมเข้มของใครคนหนึ่ง เห็นดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความแน่วแน่ไม่หวาดหวั่นคู่หนึ่ง เห็นความเคร่งเครียดตรงหว่างคิ้วของบุรุษผู้หนึ่งชัดเจน
ตอนมองจากด้านบน ข้างล่างนี้มืดมิด แต่พอมองจากตรงนี้กลับยังพอมีแสงสว่างรำไร
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เธอยังไม่ตาย!
“หมอยังไม่ตาย แต่คนเจ็บตรงนั้นใกล้จะตายแล้ว ถ้าหมอยังไม่รีบตั้งสติ” เวลาไม่คอยท่า ลมหายใจของคนเจ็บไม่รอเวลา ขณะที่เธออยู่ตรงนี้ คนตรงนั้นอาจตายไปแล้ว
เขาควรใช้เสียงให้ดังอีกนิดเพื่อเรียกสติเธอให้เร็วอีกหน่อย ทว่าวาจาที่เอ่ยต่อกลับอ่อนโยน
“มีผมอยู่ หมอไม่ต้องกลัว” เขาจะไม่ปล่อยให้คนภายใต้การดูแลเป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด
แววตาหนักแน่นและอ่อนโยนทำให้ญามีอาตั้งสติได้โดยพลัน ชั่วขณะที่เธอถูกฝันร้ายนั้นครอบงำ มันเทียบไม่ได้กับความจริงอันโหดร้ายตรงหน้า เธอกลัวเพียงชั่วขณะ แต่คนเจ็บกำลังจะลาจากชั่วนิรันดร์
ไม่มีอะไรต้องกลัว ตรงนี้เธอมีเขา มีทหารที่จะไม่ปล่อยให้เธอเผชิญเหตุการณ์ยากลำบากเพียงคนเดียวอยู่ด้วย ที่สำคัญยังมีคนเจ็บที่ใกล้จะอดทนไม่ไหวให้ต้องต่อชีวิต!
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ฉันไหว เรารีบไปดูคนเจ็บเถอะ”
ญามีอาผละออกจากอกแกร่ง บังคับมือไม่ให้สั่น ก่อนจะปลดล็อกเชือกออกจากตัว
แต่มันไม่ง่ายเลย
“อยู่นิ่งๆ”
ชายหนุ่มคว้ามือทั้งคู่ออก แล้วช่วยหญิงสาวปลดเชือกจากตัว ขืนให้เธอทำเองในภาวะที่สติยังไม่คงที่ร้อยเปอร์เซ็นต์แบบนี้จะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ขณะเดียวกันก็แจกแจงรายละเอียดให้ฟัง
“จุดที่รถตกลงมาไม่สะดวกจะเข้าถึงในทีเดียว ตรงนั้นชันเกินไป การรับ-ส่งทำได้ลำบาก เราเลยต้องเดินเข้าไปหน่อย ตอนนี้คนเจ็บมีเลือดออกที่ศีรษะจำนวนมาก แขนขวากับขาซ้ายหัก ตรงอกซ้ายโดนกระแทก หมอกิจคาดว่ามีเลือดออกภายใน ยังวัดชีพจรได้ แต่การหายใจติดขัด” การช่วยเหลือต้องเล็งเห็นความปลอดภัยเป็นหลัก จุดที่พวกเขาโรยเชือกลงมาจึงห่างจากจุดเกิดเหตุอยู่หลายเมตร
“น่าจะมีเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด ต้องระบายเลือดออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นปอดจะทำงานไม่ได้” ภาวะเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด เป็นภาวะที่จะทำให้คนเจ็บหายใจลำบากเพราะปอดจะไม่สามารถขยายได้ จากปริมาณเลือดที่ออกมาจำนวนมาก และหากไม่ช่วยเหลือให้ทันเวลา คนเจ็บก็จะเสียชีวิต
ญามีอาวินิจฉัยจากข้อมูลที่เขาให้มา และไม่รอช้าที่จะไปหาคนเจ็บทันทีที่เป็นอิสระ
“ระวังหน่อยคุณหมอ” ทหารหนุ่มคว้าแขนเธอไว้ มือเขาใหญ่พอจะกำแขนสองข้างของเธอได้ด้วยมือเดียว “แถวนี้เป็นป่าดิบชื้น สัตว์เลื้อยคลานเต็มไปหมด หมอค่อยๆ เดินตามผมมา”
ญามีอาชะงัก เธอจับใจความได้ว่า ‘เดินตามผม อันตรายใดๆ เข้ามา ผมจะรับมันก่อนคุณ’
ไม่เพียงความอบอุ่นจากประโยคนั้น มืออุ่นร้อนของเขาที่เลื่อนลงมาจับมือเธอ ยังจู่โจมก้อนน้ำแข็งที่ก่อขึ้นมาในใจเพราะความหวาดกลัวตอนหลุดเข้าไปในฝันร้ายก่อนหน้านี้
หัวใจถึงกับสั่นคลอนเบาๆ
ไม่ใช่เวลามาใจเต้น!
“ระวังด้วยนะคะ”
ญามีอาควบคุมตัวเองได้ดีกว่าที่คิด เธอเตือนสติตัวเองและเตือนให้เขาระวังด้วยพร้อมกัน ก่อนจะก้าวตามแผ่นหลังกว้างช้าๆ บริเวณนี้เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ พื้นดินชื้นแฉะทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน ไม่ใช่เวลาค่ำมืดหรือเช้าตรู่ที่น้ำค้างลง ลักษณะดินแทบจะใกล้เคียงโคลนในสระบัวที่เพิ่งถูกสูบน้ำออก
“เราจะเอาตัวคนเจ็บออกมาได้ยังไงคะ” ได้เห็นสภาพผู้บาดเจ็บใกล้ๆ ญามีอาถึงกับกังวลใจ สภาพตัวรถที่ตกลงมากระแทกพื้น หน้ารถยุบเข้ามาในห้องโดยสารเกือบครึ่ง ทับร่างกายผู้บาดเจ็บไว้ถึงครึ่งตัว
“คุณแค่ช่วยให้เขารอดก็พอ ที่เหลือผมจะจัดการเอง” ขอเพียงผู้บาดเจ็บรอดชีวิต เขามีวิธีจัดการเศษซากเหล่านี้และนำตัวผู้บาดเจ็บออกมา
“เขาจะรอดหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามคำถามที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
ญามีอาสูดหายใจช้าๆ เงยหน้ามองคนถาม รอดหรือไม่รอด แพทย์ไม่อาจชี้เป็นชี้ตายหรือตัดสินได้ด้วยตาเปล่า ต้องประเมินร่วมกับสภาพร่างกาย รวมถึงบาดแผลของคนเจ็บด้วย
“ขอเวลาสิบนาทีได้ไหมคะ”
“ทำตามที่หมอเห็นสมควรได้เลย”
ไม่มีคำพูดกดดัน แพทย์สาวได้ยินเพียงว่า 'ผมจะฟังความคิดเห็นคุณ' แม้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยประโยคนั้นด้วยซ้ำ
ญามีอาอยากขอบคุณที่เขาเคารพการตัดสินใจ อยากขอบคุณที่เขาให้เวลาเธอได้คิด เพราะเธอเป็นเพียงหมอ หาใช่เทวดาไม่ ทำได้เพียงรักษา ไม่ใช่ชุบชีวิต เธอไม่อาจช่วยได้ทุกคน นี่คือความจริง
“มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
“ช่วยหาความสว่างให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ ฉันต้องการแสง” เขาบอกว่าขอได้ เธอก็ถือโอกาสไม่เกรงใจ เธอเองก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ แม้ว่าคงจะไม่สว่างเท่าด้านบนที่มีเครื่องปั่นไฟก็ตาม
เหวนี้ลึกเกินกว่าที่สายไฟสำรองจะลงมาถึง อีกทั้งการนำไฟมาใกล้ตัวรถที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรั่วไหล ก็อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้
“สักครู่” ชายหนุ่มรับคำ มันคือหน้าที่ที่เขาต้องทำอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ช่วยนายแพทย์กิจจาด้วยเรื่องนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายเกิดอุบัติเหตุ เขาจึงวางไฟฉายเอาไว้และลืมว่าวางไว้จุดใด “หมออย่าขยับจนกว่าผมจะกลับมา มันอันตราย”
ขยับแค่ก้าวเดียว คนร่างสูงก็นึกได้ว่าต้องกำชับหญิงสาวอย่างไร นอกจากความปลอดภัยของคนเจ็บ ความปลอดภัยของเธอก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
“ค่ะ ฉันทราบ” ญามีอารู้ว่าไม่ควรเพิ่มภาระ เขาคงจัดการจุดที่เธอยืนจนปลอดภัยแล้ว หากเธอไม่ขยับไปไหน ย่อมไม่ได้รับอันตราย
แต่ถึงเขาไม่กำกับ เธอก็ไม่กล้าขยับอยู่ดี ซ้ายก็มืด ขวาก็แฉะ ยืนอยู่ตรงนี้รอเขากลับมาดีที่สุดแล้ว
ระหว่างรอ ญามีอาก็ไม่อยู่เฉยๆ คนเจ็บอาการหนัก เธอควรเตรียมสิ่งจำเป็นเท่าที่จะทำได้ไว้ล่วงหน้า ตอนที่มีแสงสว่างมากเพียงพอจะได้ไม่เสียเวลา
หญิงสาวดึงเป้สนามของกิจจาขึ้นมา ภายในบรรจุอุปกรณ์พื้นฐานไม่ต่างกัน สิ่งที่เป้เธอมี เป้ของรุ่นพี่ก็มีด้วย แถมด้วยประสบการณ์เขายังเตรียมอุปกรณ์มามากกว่าที่เธอจะนึกถึงอีกหลายอย่าง
ญามีอาพึงพอใจกับอุปกรณ์ที่มี ตอนที่ทหารหนุ่มกลับมาพร้อมไฟฉาย สารน้ำที่เตรียมไว้จึงถูกเปิดเส้นให้คนเจ็บในทันที
“ฉันจะเจาะหน้าอกเขาเพื่อระบายเลือดและอากาศออกจากปอด คุณช่วยจับคนเจ็บไว้หน่อยนะคะ” คนเจ็บยังมีสติ แม้ไม่มาก แต่หากเธอเพิ่มความเจ็บปวดให้เขา เขาอาจจะดิ้นจนเป็นอุปสรรคในการรักษา
“ทำหน้าที่ของคุณได้เลย”
คนไม่เคยรู้จัก แต่กลับเชื่อใจซึ่งกันและกันได้อย่างมากในระยะเวลาสั้นๆ ญามีอาพยักหน้า พร้อมกับที่เขาขยับเข้ามาทำตามที่เธอบอก จับคนเจ็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง
ผู้บาดเจ็บเหงื่อโซมกาย อากาศและเลือดสีคล้ำถูกระบายออกทางสายยางที่แพทย์สาวสอดเข้าไปตรงอก
“ภายในสามสิบนาทีนี้ คนเจ็บจะยังมีชีวิตค่ะ”
“เกินพอ” ทหารหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่มีความลังเล
หากเป็นคนอื่นอาจจะส่ายศีรษะกับความมั่นใจนั้น ทว่าญามีอาวางใจที่ได้ยินสองพยางค์ที่ฟังดูโอ้อวดจากปากเขา
เกินพอ แสดงว่าเขาทำได้!
“ว. สอง ว. สอง คนเจ็บพร้อม เจ้าหน้าที่ทีมกู้ชีพปฏิบัติภารกิจ!”
ภารกิจของญามีอาเสร็จสิ้นแล้ว แต่ภารกิจของเขากำลังเริ่มต้นอีกครั้ง เธอมองเขาหันหลังไปสั่งการผ่านวิทยุสื่อสาร ท่าทีแบบนั้น วาจาแบบนั้น การกระทำแบบนั้น...ทหารหนุ่มช่างเหมาะกับตำแหน่งผู้นำโดยไร้ข้อกังขา
เธอคิดว่ายศเขาคงสูงน่าดู
รอยยิ้มแต้มบนมุมปาก ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์อันกดดันหนักหน่วง เธอจะยังมีรอยยิ้มขึ้นมาได้ หญิงสาวเบนสายตาออกจากนายทหาร ก้มลงเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ใส่เป้ ไม่ลืมแยกอุปกรณ์ที่ใช้แล้วและยังไม่ใช้ให้เป็นสัดส่วน
“ทีมกำลังลงมา อีกเดี๋ยวผมจะพาคุณกลับขึ้นไป” เขาหันมาบอกตอนที่หญิงสาวรูดซิปเป้สนาม
ญามีอาเงยหน้า ดวงตากลมโตประสานกับดวงตาคมกล้า ใบหน้าต่างปรากฏในแววตากันและกัน น่าเสียดายที่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันชัดๆ ครั้งแรก แต่กลับเปื้อนจนมอมแมมแทบหาเค้าโครงเดิมไม่ได้กันทั้งคู่
“คุณหมอยังไหวใช่ไหม”
เขาคงเห็นสภาพเธอดูไม่ได้สุดๆ แล้วละ ญามีอายิ้มมุมปาก “ขอบคุณค่ะ ฉันยังไหว”
“ส่งเป้มาให้ผม”
“ฉันสะพายเอง...”
“อีกเดี๋ยวคุณหมอยังต้องใช้แรงอีก” หน้าที่เธอยังไม่จบ หลังเอาคนเจ็บออกมาได้ยังเหลืองานอีกหลายอย่างให้ทำ ชายหนุ่มฉวยเป้สนามในมือหญิงสาวมาสะพายไว้ด้านหลังอย่างชิลล์ๆ “ส่งมือมาให้ผมด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เดี๋ยวล้ม”
ความอบอุ่นที่มาพร้อมกับประโยคสั้นๆ ทำให้ญามีอาปิดปากและก้าวตามไปเงียบๆ
จวบจนคนเจ็บถูกนำตัวขึ้นมาจากหุบเหวและนำขึ้นรถกลับไปที่ค่าย บนไหล่จึงมีเสื้อแขนยาวตัวหนึ่งทาบลงมา
“ขอบคุณมาก คุณหมอ”
ตลอดชีวิตญามีอาได้รับคำขอบคุณมาก็มาก น่าแปลกที่คำขอบคุณสั้นๆ นี้ อุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ หวานล้ำกว่าคำขอบคุณใดๆ ที่เคยฟังมา
“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วแล้ว หมอกิจก็ปลอดภัย หมอกลับไปพักเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ผ่านไปค่อนคืนแล้วญามีอาจึงรับคำง่ายๆ ไม่อิดออดอีก หลังกลับมาถึงค่ายและมีคนมารับช่วงต่อ เธอก็ได้รับคำสั่งให้กลับไปพัก แต่เพราะความหนักในใจที่วางไม่ลง จึงยังนั่งอยู่ตรงนี้กระทั่งพวกเขาปลอดภัย
หญิงสาวก้าวออกมาจากเต็นท์พยาบาล ก่อนจะห่อตัวเข้าหากัน อากาศที่นี่เลวร้ายกว่าภาคเหนือของไทยอยู่มาก ดีที่มีเสื้อแขนยาวของทหารหนุ่มคนนั้นคลุมตัว เมื่อเธอกอดตัวเองเช่นนี้ ความอุ่นน้อยๆ ที่ยังค้างอยู่บนเสื้อกับกลิ่นกายเฉพาะบุคคลของเขาก็ช่วยให้อบอุ่นขึ้น ทำให้เดินฝ่าสายลมที่ค่อนข้างแรงไปถึงกระโจมพักได้ไม่ลำบากนัก
“คุณหมอ” หน้ากระโจมมีทหารนายหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในความมืด พอเห็นเธอก็โผล่ออกมา ญามีอาถึงกับผงะ ดีที่เขาบอกเจตนาเสียก่อน “หัวหน้าให้ผมยกน้ำร้อนมาให้ เผื่อคุณหมออยากล้างเนื้อล้างตัวน่ะครับ”
“หัวหน้า?”
ใครคือหัวหน้าของเขา...ทำไมถึงคิดจะเอาน้ำร้อนมาให้เธอล้างตัว
ความตกใจชั่วขณะทำสมองเธอตื้อไปหมด
“หัวหน้าบอกว่าคุณหมอเพิ่งกลับมาจากการไปช่วยรถตกเหว เลยให้ผมช่วยจัดเตรียมให้ คุณหมอจะให้ผมยกเข้าไปเลยไหมครับ” ปกติที่ค่ายจะมีน้ำร้อนให้บริการ แต่ต้องบริการตัวเองโดยเอาถังไปตักน้ำได้ที่โรงซักล้างหลังครัว คืนนี้มีคำสั่งให้เขายกมาที่กระโจมแพทย์หลังนี้สองถัง แต่เขานำเข้าไปข้างในไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับอนุญาต
เขาทราบอยู่ก่อนแล้วว่ากระโจมหลังนี้มีแพทย์หญิงมาใหม่สองคน หนึ่งในนั้นคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่กลับมาเพราะยังอยู่ที่เต็นท์อำนวยการ ส่วนอีกสองคนอยู่ข้างในและดับไฟกระโจมหมดแล้ว เขาไม่อยากรบกวนทั้งยังไม่กล้าถือวิสาสะเปิดเข้าไป จึงได้ยืนรอตรงนี้จนกว่าเธอจะกลับมา
ญามีอาคลายคิ้วที่ขมวด หัวใจที่เต้นดั่งกลองรัวค่อยๆ สงบลง
คงเป็นเขา...ใบหน้ามอมแมมของทหารคนนั้นวนเข้ามาในหัว
“แล้วทำไมคุณไม่ยืนในที่สว่างๆ ฉันตกใจหมด”
“ต้องขอโทษด้วยครับ เวลากลางคืนผมอยู่ในที่มืดจนชิน ลืมไปว่าคุณหมอไม่ได้ชินกับผมด้วย” รอยยิ้มแหยแต้มบนใบหน้าเก้อๆ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำเธอตกใจ ญามีอาจึงไม่กล้าเอาความอีก
“แล้วหัวหน้าคุณล่ะคะ เขาไปไหน” เขาสั่งให้ลูกน้องนำน้ำร้อนมาให้เธอ แสดงว่าเขาอาจยังไม่กลับไปที่พัก ตั้งแต่กลับมาเธอก็ไม่เห็นเขาอีก คิดว่าจะถามหาก็ไม่รู้จะถามอย่างไร ชื่อเขาเธอก็ไม่รู้จัก
“หัวหน้ากลับกระโจมพักแล้วครับ สั่งผมเสร็จก็กลับเลย”
“แล้ว...” เธออยากถามต่ออีกนิด แต่ก็ยั้งตัวเองได้ทันว่าไม่สมควร จึงหยุดและมองกระโจมพักที่มืดสนิท “รอสักครู่นะ ฉันขอดูข้างในแป๊บนึง ว่าจะเอาน้ำไปไว้ไหนดี”
ญามีอาก็ไม่รู้ว่าภายในกระโจมเป็นอย่างไร สะดวกให้อีกฝ่ายที่เป็นผู้ชายเข้าไปได้ไหม และควรจะวางน้ำร้อนทั้งสองถังไว้ไหน เพราะเมื่อตอนบ่ายที่มาถึง เธอยังไม่ทันสังเกตภายในกระโจมให้ชัดเจน
“ครับคุณหมอ” เสียงตอบรับหนักแน่น ไม่มีความรำคาญใจ
ญามีอายิ้มให้นายทหารร่างใหญ่ไม่ต่างจากนายอื่นในค่ายก่อนเข้าไปสำรวจข้างใน เธออยู่ในนั้นแค่ชั่วครู่ก็กลับออกมา บอกให้เขายกน้ำเข้าไปได้ ไม่กี่อึดใจทหารนายนั้นก็ยกน้ำทั้งสองถังเข้าไปวางในห้องน้ำเรียบร้อย เขาค้อมตัวให้เธอเล็กน้อย แล้วก้าวยาวๆ ออกไปจากกระโจม
ญามีอามองตามแผ่นหลังนายทหารคนนั้นกระทั่งเขาดันปากกระโจมปิดให้จนมิด จึงเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังไม่นำอะไรออกมาสักอย่าง เธอเลือกเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวออกมาอย่างละตัว ผ้าขนหนูผืนนุ่ม ผ้าเช็ดหน้าเช็ดผมและของใช้สำหรับอาบน้ำชำระล้างร่างกายซึ่งเตรียมใส่ในกระเป๋าเซตไว้เรียบร้อย เพียงแค่หยิบออกมาก็ไม่ต้องจัดหาอะไรเพิ่มเติมอีก
ห้องน้ำของกระโจมทำจากสังกะสีล้อมกับเสาไม้ไผ่ท่อนใหญ่ มันไม่ได้ดูแข็งแรงมาก ทว่าก็ไม่ถึงกับน่ากลัวเพราะทุกส่วนมิดชิด ไม่มีช่องโหว่หรือแม้แต่รูรั่วเล็กๆ เลยสักแห่ง รอบๆ ห้องมีแสงสว่างจากตะเกียงชนิดจุดด้วยไฟแช็กตั้งอยู่สองจุด ดวงหนึ่งเข้ามุมด้านซ้ายห่างจากประตูครึ่งเมตร อีกดวงเข้ามุมด้านเดียวกันถัดไปสุดมุมห้องน้ำ แสงสว่างเพียงพอจนห้องน้ำไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เห็นได้ชัดว่าที่ค่ายแห่งนี้ใส่ใจห้องน้ำสตรี ทั้งๆ ที่เป็นเพียงห้องน้ำชั่วคราว
ญามีอาค่อยๆ ปิดประตูไม้ไผ่ ผูกเชือกกับตะปูที่ทำหน้าที่แทนกลอนและตัวล็อกอย่างเบามือ เนื่องจากดึกมากแล้ว เพื่อนร่วมกระโจมก็พักผ่อนกันไปนานแล้ว เธอไม่อยากส่งเสียงรบกวน หลังจากวางกระเป๋าเครื่องใช้ลงบนโต๊ะไม้ระดับเอวที่ข้างถังน้ำสีดำใบใหญ่ ก็นำเสื้อผ้าชุดใหม่พาดไว้บนราวไม้ไผ่เหนือศีรษะฝั่งขวามือ กะระยะว่ามันจะไม่เปียกจากน้ำที่กระเด็นใส่ตอนอาบน้ำ แล้วถอดเสื้อแขนยาวของทหารนายนั้นพาดตาม ต่อด้วยเสื้อผ้าตัวอื่นๆ เธอไม่ได้วางเสื้อผ้าที่สวมแล้วทับเสื้อแขนยาวตัวนั้น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นผ้าใช้แล้วเหมือนกัน
จู่ๆ เธอก็เกิดไม่อยากซักเสื้อตัวนี้ขึ้นมาซะดื้อๆ ใจหนึ่งบอกว่ามันอุ่นดี คืนนี้อากาศหนาว เก็บไว้ช่วยให้ผ่านคืนนี้ไปก่อนท่าจะดี แต่ทันใดนั้นอีกใจก็สวนกลับมา...ได้อย่างไรเล่า เขาอุตส่าห์เสียสละเสื้อตัวนี้ให้เธอคลายหนาว เธอควรตอบแทนเขาด้วยการรีบซักตากให้แห้งแล้วนำไปคืน
แต่ถ้าซัก กลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อก็จะหายไปด้วยนะ
ชั่งใจสักพัก ญามีอาก็ยิ้มกับความคิดบ้าบอ...ช่างเถอะ ค่อยคืนเขาวันหลังก็แล้วกัน
ญามีอาพาดเสื้อตัวนั้นไว้บนราว หลังอาบน้ำเสร็จก็ไม่ลืมคว้าเสื้อแขนยาวตัวนั้นมาสวมทับ ซ้ำยังรู้สึกว่ามันอุ่นกว่าเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ที่สวมมาตลอดชีวิต
วันนี้เธอกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ!
ตอนออกมาแต้มครีมบำรุงผิวตรงโต๊ะไม้สูงแค่เอว ลงออยล์ที่แขนขากันผิวแตกและแห้งเพราะอากาศหนาวก่อนเข้านอน ญามีอาไม่คิดจะพาตัวเองกลับมาอีก ปล่อยให้ความคิดนำพาไปตามที่มันอยากจะทำ ล่องลอยไปให้สุด เพราะคืนนี้เธอเหนื่อยจนร่างกายล้าไปหมดแล้ว คาดว่าคงเป็นอีกคืนที่ไม่ฝันแน่ๆ
แต่เพียงแค่หลับตา...คลื่นสมองก็พาเธอดิ่งเข้าสู่ห้วงความฝันอีกครั้ง
ความคิดเห็น |
---|