5

ตอนที่ 5

 [1] ยามซวี เท่ากับเวลา 19.00 ถึง 20.59 น.

อากาศนอกจวนเย็นยะเยียบ ท้องฟ้าดำสนิทดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้ากลับไม่สนใจดินฟ้าอากาศพาขาตนเองวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน ระหว่างทางไปจวนหมอหลี่จำต้องผ่านจวนสกุลจวี๋ ซึ่งเวลานี้มีบ่าวรับใช้สองคนที่เคยพยายามจับตัวข้าไว้เฝ้ายามอยู่

ข้าสะดุดเท้ามองพวกมันอยู่ครู่ ก่อนทำใจเย็นยกเสื้อคลุมขึ้นปิดบังใบหน้าจนมิดชิด เร่งฝีเท้าเดินเร็วแต่ไม่แสดงท่าทีพิรุธออกมา พอเหลือบมองหน้าเจ้าสองคนนั้นก็ดูเหมือนพวกมันจะมัวแต่สนทนากันเอง จนไม่ทันสังเกตเห็นหนูตัวจ้อยเช่นข้าผ่านหน้าไป

“เฮ้อ...คิดว่าจะโดนจับได้เสียแล้ว” ข้าถอนหายใจโล่ง เบนสายตากลับเพื่อเดินต่อ แต่กลับมีคนมาคว้าข้อมือไม่ให้ขยับทำเอาดวงตาข้าเบิกโพลงด้วยตกใจ

จวี๋จวินฉี! เจ้าบ้านี่มาขวางทางข้าตั้งแต่เมื่อไร? หรือเพิ่งกลับเข้าจวนเอาเวลานี้! อะไรจะซวยซ้ำซ้อน นานๆ ครั้งเจ้าบ้านี่จะกลับจวนก่อนยามซวี[1]

ข้ากัดฟันกรอดๆ พยายามยื้อข้อมือกลับให้เป็นอิสระ

แต่เจ้าคนกวนโทสะกลับรั้งข้อมือข้าชูขึ้นตรงหน้า ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันแสนกวนประสาทมาให้ ข้าได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้นชิงชัง ไอ้บ้าลามกนี่จงใจยั่วโมโหกันชัดๆ กำลังบอกสินะว่าข้ามันแค่หญิงไร้ทางสู้ มิได้มีกำลังเหนือกว่าบุรุษ ต่อให้อยากยื้อมือกลับไปก็ใช่ว่าทำได้โดยง่าย

ข้าเองแม้เกิดเป็นสตรีแต่กลับมีความกล้าเฉกเช่นบุรุษเพศ สมัยยังเล็กมักชอบเล่นอันตราย ทั้งยังปีนป่ายต้นไม้จนเผลอตกลงมาเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ จึงเป็นผู้นำกลุ่มเด็กเล็กทั้งชายหญิงวิ่งซนไปทั่ว หลายครั้งข้าจึงลืมไปว่าตนยังด้อยกำลังนัก ท่านพ่อจึงมักปรามข้าอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นหญิงอย่าได้ใจกล้าเกินบุรุษ ข้าไม่เคยเชื่อฟังท่านพ่อ กระทั่งเจ้าจวี๋จวินฉีได้สอนคำนั้นเป็นอย่างดีอีกรอบ แล้วจะไม่ให้ข้าวังผิงเฟยรู้สึกแย่ได้อย่างไร?

ช่างน่าโมโหนัก!

“ดูเหมือนชะตาของพวกเราจะเข้ากันได้ดีนักแม่นางวัง” 

จวี๋จวินฉียกมืออีกข้างมาช้อนคางข้าไว้อย่างรวดเร็ว ข้าตอบรับการกระทำนั้นด้วยการตบหน้าเขา ก่อนถอยเท้าทันทีด้วยความตกใจ

“ชะตาข้าไม่เคยเข้ากันกับเจ้า! จำไว้!” ข้ายกนิ้วชี้หน้าเจ้าบ้านั่น แต่จวี๋จวินฉีกลับยิ้มออกมา ยื่นปากมากัดนิ้วข้าอย่างหยอกล้อ “เจ้าทำบ้าอะไร!”

อีกฝ่ายยิ้มกวนโทสะ ยอมคลายปากออกไปอย่างว่าง่าย วันนี้จวี๋จวินฉีคงเข้าวังหลวงไปทำธุระ มิได้นอนขลุกในหอคณิกาเช่นทุกวัน ชุดที่เคยสวมลวกๆ จึงแทนที่ด้วยผ้าตัวเรียบดูหรูหรา ผมที่เคยปล่อยยาวดุจสตรีถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยรับกับกวานตามยศตำแหน่ง หากตัดนิสัยลามกเลวทรามที่เป็นอยู่ได้จวี๋จวินฉีถือเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง อีกทั้งชุดที่สวมยังเพิ่มบารมีเกินคนธรรมดา ดังนั้นต่อให้ข้าชังขี้หน้าก็ยังเผลอจ้องเขาอยู่นานสองนานมิได้

“เจ้ามองข้าทำไม? หรือว่าเกิดหลงเสน่ห์ข้าขึ้นมา” จวี๋จวินฉีหรี่ดวงตาคู่คมลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มแสนทะนงตัวออกมา ทำเอามุมปากข้ากระตุกด้วยโทสะไม่หยุดหย่อน

ใครชอบเจ้ากันฮ้า!

ข้านึกสบถในใจ แม้หน้าตาหล่อเหลาทว่านิสัยเสียเช่นนี้ผู้ใดจะชมชอบ ใจนึกพ่นคำด่าอย่างโมโห พลางยกมือที่ถูกจับสะบัดออกสุดแรงทำให้ข้อมือตนกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง

จวี๋จวินฉีค้างมือข้างที่ถูกสะบัดกลางอากาศ มองประหนึ่งเห็นหนูตัวจ้อยคิดท้าทายราชสีห์ แม้เอ็นดูมันแต่ใช่ว่าจะยอมปล่อยเจ้าหนูอวดดีให้วิ่งหนีไปโดยง่าย ดังนั้นพอข้าออกวิ่งบ่าวรับใช้สองคนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูจึงมองหน้ากันอย่างรู้งาน ตั้งท่าจะวิ่งตามมาจับ แต่จวี๋จวินฉีกลับยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน

“คราวนี้ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าหนีไปง่ายๆ อีกแล้ววังผิงเฟย” น้ำเสียงนุ่มลึกอ่อนโยนผิดวิสัยดังผ่านสายลมมา จวี๋จวินฉีเดินไม่รีบร้อนเข้ามาหา แต่เพียงแค่เดินช้าๆ ทำไมถึงตามข้าที่หอบแฮกแบบนี้ทันเล่า?

หรือว่าอ๋องน้อยผู้ไม่ได้เรื่องจะมีวรยุทธ์!

ข้าคล้ายคนเจอตอไม้เข้าอย่างจัง ไม่นานมือที่เคยถูกรวบไว้ก็ถูกยึดแน่นอีกครั้ง เจ้าบ้าจวี๋จวินฉีตามถึงตัวข้าจนได้ ทั้งยังแบกข้าขึ้นง่ายดายราวพาดผ้าผืนหนึ่งไว้บนบ่า

“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า!...ข้าจะไปตามหมอ ท่านแม่ข้ากำลังแย่!” ข้าทุบหลังเขาสุดแรงระบายความอดสูครั้งนี้ ท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง นางจะเป็นอย่างไรบ้าง? ดูเหมือนวันนี้ฟ้าดินกลั่นแกล้งข้าหนักเกินไปแล้ว! ความถือดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง หยดน้ำตาเริ่มหลั่งออกมาช้าๆ จนมือที่ทุบเขาอยู่เริ่มหยุดนิ่ง

ข้าท้อแล้วจริงๆ ไม่มีแรงจะสู้ใครได้อีก

จวี๋จวินฉีหยุดเท้าอยู่หน้าจวน คว้าหยกประจำตัวโยนให้บ่าวรับใช้พลางออกคำสั่ง “มอบหยกของข้าให้ท่านหมอหลี่ฉี นำทางเขาไปเรือนสกุลวังเร็วที่สุด” 

ข้ายันมือลงไหล่กว้าง หันมองจวี๋จวินฉีอย่างสับสน แววตาขี้เล่นของเขาหายไปแล้วกลายเป็นแววตาจริงจังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งน้ำเสียงยังสุขุมฟังดูมีอำนาจคล้ายเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เขาพยักพเยิดให้บ่าวรับใช้นำม้าตนไปรับหมอหลี่ฉี บ่าวรับใช้จึงรีบควบม้าของเขาที่เพิ่งกลับเข้ามาออกไปอย่างรวดเร็ว

หมอหลี่ฉีนับว่าเป็นหมอเก่งกาจอีกทั้งค่าตัวยังสูงลิ่ว แม้จะรักษาโรคเรื้อรังให้หายขาดได้แต่เขากลับเลือกคนรักษา แล้วสกุลวังหรือจะขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหลี่ฉีได้?

จวี๋จวินฉีหาวหวอดขณะมองแววตาสับสนปนกังวลของข้า

“เจ้าอย่าได้กังวลนัก มีผู้ใดเห็นตราของข้าแล้วปฏิเสธบ้าง?”

สมองข้าสับสนไปหมด จวี๋จวินฉีคิดช่วยข้าจริงหรือหลอกให้ตายใจเล่นกันแน่? แต่หยกประจำตัวใช่ว่าเป็นของหยิบยื่นให้ใครโดยง่าย ซ้ำตลอดเวลาเขายังพกติดตัวไว้ไม่ห่าง อย่างไรท่านหมอหากเห็นตราสกุลจวี๋เข้า แม้ไม่อยากรักษาท่านแม่แต่คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบเร่งเดินทางไปจวนสกุลวังอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายมิใช่คุณชายจากสกุลไร้ชื่อ แต่คือสกุลจวี๋ผู้รับใช้ฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ

“ทีนี้เจ้าคงสบายใจได้ เรื่องค่ารักษาทั้งหมดข้าเต็มใจจ่ายให้ทุกตำลึง ขอเพียงแต่เจ้าย้ายมาอยู่ที่จวนข้าสักระยะ” ริมฝีปากบางพลันโค้งยิ้มเจ้าเล่ห์

ข้าหยุดความคิดดีเลวในตัวเขา อย่างไรคนชั่วช้าย่อมชั่วช้าอยู่วันยังค่ำ! จึงสบโอกาสด่าชายตรงหน้า อย่างไรเสียตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านั้น

“ข้าจะเชื่อใจท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านมันจอมหลอกลวงเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนและไม่น่าเชื่อถือแม้เพียงนิดเดียว!” 

“ถึงข้าจวี๋จวินฉีจะเป็นจอมหลอกลวงเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน และไม่น่าเชื่อถือแม้เพียงเสี้ยวเดียวอย่างที่เจ้ากล่าว แต่ข้าก็มิได้ใจจืดดำขนาดทนเห็นแม่ยายล้มตายลงต่อหน้า”

จวี๋จวินฉียิ้มหวานหยดย้อย ทำเอาข้าเบ้ปากจนหน้าเบี้ยว

ข้ารีบสวนคำขึ้นทันที “ใครจะเป็นแม่ยายของเจ้ากันฮะ! เจ้าคนลวงโลก!” 

“ข้ากำลังจะได้เป็นแล้ว เมื่อเจ้ากลายเป็นของข้าวันนี้”

คำกล่าวนี้ทำเอาเนื้อตัวข้าสั่นสะท้าน “ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า!” ข้าทั้งทุบทั้งถีบจวี๋จวินฉีสุดกำลัง แต่ดูคนจะไม่ระคายเท่าไร ราวความเจ็บครั้งนี้สะกิดผิวอีกฝ่ายให้แสบคันเล่นเท่านั้น

จวี๋จวินฉีเดินเอื่อยอารมณ์ดีเข้าจวน เสมือนนายพรานที่จับกระต่ายป่าได้และกำลังหิ้วเข้าครัวเพื่อจะกินมัน ข้าได้แต่ภาวนาให้คำพูดที่ดูเชื่อถือไม่ได้ของเขาเป็นจริง ถึงต้องกลายเป็นหญิงไร้ค่า แต่หากท่านแม่ปลอดภัยและมีหมอรักษา ข้าก็คงได้แต่ทำใจยอมรับชะตาเท่านั้น

 

แต่แล้วฉับพลันกลับมีแสงเงินวาบผ่านมาจ่อตรงคอเรียวขาวของจวี๋จวินฉี ในราตรีมืดสงัดปรากฏร่างสะโอดสะองของสตรีนางหนึ่งสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำปกปิดมิดชิด คล้ายบุรุษแปลกหน้าที่ข้าเจอวันนี้ไม่มีผิด ใบหน้าเรียวได้รูปพันผ้าคลุมปิดครึ่งหน้า ดวงตาคมกริบไม่ยอมละสายตาจากเขาแม้แต่น้อย

“ท่านผู้มีพระคุณ!” ข้าตะโกนเรียกอย่างมีความหวัง แต่กลับไม่เห็นเงาของบุรุษแปลกหน้าเดินมาหา ดูจากการแต่งตัวอย่างไรพี่สาวผู้นี้ย่อมเป็นพวกเดียวกับท่านผู้มีพระคุณของข้าอย่างแน่นอน

จวี๋จวินฉีเปลี่ยนสายตาขี้เล่นมาเป็นมุ่งร้ายคนตรงหน้า ดวงตาเรียวจ้องประเมินสถานการณ์อย่างจริงจัง

“เจ้าคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่” จวี๋จวินฉีกล่าวอย่างมิได้เกรงกลัว ทั้งยังเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของกระบี่เล่มเรียว ชายชุดดำอีกสามจึงโผล่เข้าประชิดตัวเขา ไม่ยอมให้จวี๋จวินฉีขยับกายเข้าใกล้นางมากกว่านี้

พี่สาวแปลกหน้าเพียงล้วงมือหยิบตราหยกแล้วโยนให้จวี๋จวินฉีรับไว้ เขาเลื่อนสายตาอ่านอยู่ครู่ถึงยอมปล่อยตัวข้าลงแต่โดยดี แต่กลับไม่ยอมให้ข้าจากไปไหน

หญิงแปลกหน้ามองมาทางข้าพลางกล่าว “ข้าต้องการตัวนาง” แล้วหันกลับไปมองจวี๋จวินฉี นัยน้ำเสียงมิได้กำลังร้องขอ แต่กลับดูข่มขู่เสียมากกว่า

“ข้าเข้าใจแล้ว” จวี๋จวินฉีโยนตราคืนนาง ยอมปล่อยตัวข้าอย่างว่าง่าย

ไม่นึกว่าตรานั้นจะทำให้จวี๋จวินฉีรามือ ท่านผู้มีพระคุณแท้จริงเป็นใครกันหนอ? ยังมีผู้ใดหรือที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าได้ยิ่งกว่าขุนนางสกุลจวี๋และอ๋องน้อยผู้นี้

“อ๊ะ!”

ขณะกำลังขบคิด ข้ากลับถูกชายชุดดำผู้หนึ่งห่อผ้าพันตัวเป็นเกี๊ยว เจตนาคงมิให้มือของตนสัมผัสโดนผิวกายข้า ทั้งยังอุ้มข้าอย่างเบามือและพาเข้าไปนั่งในรถม้าที่ชาตินี้ข้าไม่อาจมีวาสนาได้เหยียบขึ้น ถึงข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อยแต่กลับมีนิสัยช่างสังเกต ดูจากลายสลักโดยรอบตัวไม้แล้วอย่างไรย่อมเป็นนายช่างฝีมือดี หากมิได้เกี่ยวข้องกับสกุลใหญ่ย่อมเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์คนใดในวังหลวงแน่ ข้าอดหัวใจเต้นระรัวมิได้ ก่อนสงบใจเลิกม่านแอบมองจวี๋จวินฉี 

ก่อเรื่องจนคนในวังยื่นมือมาเกี่ยวข้อง เตรียมตัวรับโทษทัณฑ์ได้เลยเจ้าคนเลว!

“เมื่อเสร็จธุระแล้ว จวี๋จวินฉีหวังว่าแม่นางจะพาตัวนางกลับมาคืนให้” 

จวี๋จวินฉีเดินฝ่าวงล้อมชายชุดดำเข้าจวนไป เจ้าคนประสาทเสียยังพูดจาอวดดีได้ในสถานการณ์ที่ตนเองเป็นรองได้อีกหรือ? ฮึ! คนเช่นข้าต่อให้ฟ้าดินถล่มลงมาย่อมไม่ขอเจอเจ้าเป็นครั้งที่สามสี่ห้าแน่ๆ

หญิงแปลกหน้าทำหน้าตาน่ากลัว กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันตามหลังจวี๋จวินฉีอย่างคับแค้น

“เจ้าไม่มีวันได้แตะต้องตัวนางอีกอ๋องน้อยจวี๋จวินฉี!” 

คำพูดนั้นดูห้าวหาญเป็นอย่างมาก หญิงแปลกหน้ามองจวี๋จวินฉีกระทั่งตัวคนลับสายตา ก่อนก้าวขึ้นรถม้าตามมา เบื้องหลังนางมีชายอีกสามคนยืนจ่อกระบี่คุมเชิง จนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงเก็บกระบี่เข้าที่

เสียงรถม้าเคลื่อนตัวห่างจวนสกุลจวี๋ หญิงแปลกหน้าปลดม่านลงอำพรางสายตาคนภายนอก ก่อนดึงผ้าคลุมออกเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนหวานผิดกับท่าทางเมื่อครู่

หรือนางคิดถามทางกลับจวนข้ากัน?

ข้ากำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่นางกลับยกมือถวายบังคมข้าอย่างนอบน้อมเฉกเช่นองค์หญิงองค์ชายในวังต่างเคยได้รับ แต่ไม่ควรเป็นข้า หญิงสาวธรรมดาเช่นนี้!

“องค์หญิงเพคะ ครั้งนี้ทรงทำฮองเฮากริ้วมากนักเพคะ...”

“อะไรนะ!” ข้าตะโกนขัด

นางเรียกข้าว่าอย่างไรนะ ฟังไม่ผิดใช่ไหม? องค์หญิงอะไรกัน? ข้าน่ะหรือ? ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดมหันต์แน่!

“หม่อมฉันขอทูลว่าฮองเฮากริ้วมากเพคะ องค์หญิงทรงเตรียมแก้ไขสถานการณ์นี้ระหว่างทางกลับวังหลวงด้วยเถิดเพคะ” 

ไปกันใหญ่แล้ว นี่นางกำลังจะไปไหน? วังหลวงน่ะหรือ? ข้าอยากกลับบ้านมิใช่เข้าวัง และที่สำคัญข้าไม่ใช่องค์หญิงด้วย!

“ข้าไม่ใช่องค์หญิง” ข้าพูดเสียงเรียบ แต่นางกลับหรี่ตามอง

“ทรงกล่าวเช่นนี้ไปครั้งที่แล้ว หม่อมฉันไม่หลงกลเป็นครั้งที่สองหรอกนะเพคะ”

“ไม่! เจ้าจับผิดคนแล้วจริงๆ” ข้าทำหน้าตาขึงขัง วางมาดพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมจริงจัง แต่นางกลับยกมือปิดปากและเริ่มหัวเราะร่วนราวกับข้ากำลังหลอกนางอยู่

“ขออภัยเพคะองค์หญิง ทรงล้อเล่นได้เหมือนคราวก่อนไม่มีผิดเพี้ยนเลยเพคะ” นางหัวเราะต่อ ปิดปากไอสองสามทีก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “อย่างไรทรงเตรียมคำแก้ไขสถานการณ์ไว้เถิด เวลานี้ใกล้ถึงวังหลวงแล้ว” นางพูดย้ำพลางเลิกม่านมอง

ข้านั่งนิ่งในรถม้า ต่อให้พูดไปสิบประโยคนางก็ไม่เชื่อจึงขี้คร้านจะแก้ต่าง ได้แต่ข่มใจเลิกม่านขึ้นมองสำรวจดูบ้าง เห็นประตูวังที่เคยได้แค่มองอยู่ไกลๆ เริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ รถม้าหยุดสนิทอยู่ใกล้ประตู มีทหารยามตะโกนไหวๆ มาว่า “หยุดก่อน!”

หญิงแปลกหน้าจึงรีบเปิดประตูนำตราหยกให้ทหารยามตรวจ

ตราถูกคว้าไป ทหารยามเห็นตราหยกเข้าก็พากันกุมมือคำนับพยักหน้าอย่างเคารพ “แม่นางฟู่”

นางยกมือกล่าวไม่ถือสา “รบกวนพวกท่านด้วย” แล้วกลับมานั่งนิ่งในรถม้า

ทหารยามต่างรีบร้อนเปิดประตู ข้าถึงรู้ว่าพี่สาวผู้นี้มีอำนาจในวังใหญ่โตเหมือนกัน พวกเขาหลีกทางให้พวกเราผ่านเข้าไป รถม้าจึงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีกครั้ง

หัวใจข้าเต้นแรงรัว หากได้เข้าวังหลวงเพราะตามท่านพ่อไปหอสมุดหลวง มิใช่ถูกจับมาเป็นองค์หญิงที่ทำผิดกฎจนฮองเฮากริ้วหนัก ข้าคงยินดีใจไปนานแล้ว ทว่าเวลานี้ได้แต่เลิกม่านมองหาทางหนีพลางใช้สมองขบคิดหาคำแก้ต่างไปด้วย

มีผู้ใดใบหน้าคล้ายข้าถึงขนาดตบตาคนในวังเช่นพี่สาวผู้นี้ได้เชียวหรือ? แล้วนางก่อเรื่องใดไว้บ้าง?

ทว่าฮองเฮากริ้วได้ถึงเพียงนี้...เกรงว่ามิใช่เรื่องดีแน่





รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น