7

ตอนที่ 7


กิ่งหลิวโอนเอน ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าเขาเฉกเช่นนั้น

สุขุมนุ่มเย็น ไร้ซึ่งอารมณ์ นับว่ายากจะคาดเดา

 

เป็นเวลาห้าวันที่ข้าโดนกักบริเวณอยู่ในตำหนักเหมยฮวา พระตำหนักขององค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง ฮองเฮาทรงให้บรรดาราชครูมาสอนข้าเช่นที่องค์หญิงทรงได้รับ โชคดีที่ข้ารู้หนังสืออยู่บ้างเลยไม่มีเรื่องใดติดขัดพานให้ใครสงสัย ทว่าแม้ตำราบางส่วนเคยผ่านตา ข้ากลับไม่อาจตอบคำถามของบรรดาราชครูได้ทั้งหมด องค์หญิงเองทรงเป็นคนไม่สนใจเรียนรู้หนังสือ เรื่องที่ข้าตอบไม่ได้จึงไม่น่าสงสัยมากเท่าใดนัก

ช่วงเวลานอกเหนือจากร่ำเรียนข้าจำต้องเรียนรู้สิ่งที่ควรจดจำกับฟู่ซิ่นจง นางสอนให้ข้ารู้จักสถานที่สำคัญภายในวังหลวง ตำหนักห้าในสิบส่วนของวังจึงถูกข้าจดจำไว้อย่างรวดเร็ว ฟู่ซิ่นจงสอนอบรมมารยาทให้ข้า ทั้งยังคอยหาของบำรุงความงาม ทำให้ผิวพรรณของข้ามีแววเป็นหญิงในรั้วในวังกับเขาบ้าง อันที่จริงข้าเป็นคนผิวเนียนละเอียดอยู่แล้ว เพียงแค่มีรอยแผลที่นิ้วมือและแขนซึ่งเกิดจากการโดนเข็มและน้ำในหน้าหนาวทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ข้าแทบมิได้จับต้องงานใด ผิวพรรณจึงกลับคืนสภาพเช่นที่มันควรเป็น

ทว่าเวลาว่างมักทำให้คนเราฟุ้งซ่าน พอไม่มีสิ่งใดทำข้าก็เอาแต่คิดกังวลเรื่องท่านแม่ ตัวข้าแม้ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง แต่กลับสุขสบายอยู่ในวัง มีนางกำนัลร่วมสิบคอยรับใช้ กินอยู่มิได้ขาด ทำให้อดคิดถึงครอบครัวขึ้นมาไม่ได้ เนื้อชั้นดีเตียงเนื้อนุ่ม หากท่านพ่อท่านแม่ได้นอนสบายข้าคงวางใจได้มากกว่านี้

ข้าพยายามหาสิ่งใดทำ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมากลับถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง อีกทั้งโทษกักบริเวณยังมีกฎยิบย่อยนับไม่ถ้วน เรื่องไม่ควรทำล้วนเต็มไปหมด คนอยู่ไม่สุขเช่นข้าจึงได้แต่อ่านหนังสือจนหมดชั้น ตำรายุทธศาสตร์ที่สตรีไม่จำเป็นต้องทราบข้าก็ได้ทราบ ซึ่งนับเป็นความรู้แปลกใหม่สำหรับข้าเป็นอย่างมาก แต่แล้วความเบื่อหน่ายของข้าได้กลับมาอีก ข้าจึงทำได้เพียงวางถ้วยชาซ้อนกันให้สูงที่สุด กระทั่งอีกไม่กี่เค่อพวกมันกลับร่วงแตกกระจัดกระจายบนพื้น ทำเอาฟู่ซิ่นจงส่ายหน้า เรียกนางกำนัลมาเช็ดทำความสะอาดและสั่งห้ามมิให้ข้าเล่นพิเรนทร์ใดอีก

“เฮ้อ...”

ข้าถอนหายใจ นางกำนัลส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุยเล่นภายใต้สายตาของฟู่ซิ่นจง พวกนางยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ แต่ละคนก้มหน้าในระดับเดียวกัน ทำให้ข้ารู้ว่าพี่สาวอยู่เหนือบรรดานางกำนัลอื่นมากขนาดไหน อีกทั้งทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนกันเลยสักครั้ง ทำให้ตำหนักกว้างขวางหลังนี้ยิ่งเงียบเหงาเข้าไปใหญ่ ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นรับสั่งกักบริเวณของฮองเฮา ทั้งยังทรงห้ามมิให้ใครก้าวล่วงเข้ามาในตำหนักเหมยฮวา ยกเว้นนางในคนสนิทขององค์หญิงที่ชื่อเพ่ยเพ่ยเท่านั้น

เพ่ยเพ่ยทำหน้ากังวลทุกครั้งที่มาส่งข้าวหรือปรนนิบัติข้า แน่ละ...วันแรกนางเห็นข้ากลับมาในสภาพมอมแมมเช่นนั้นก็แทบจะปรี่เข้ามาอุ้ม สีหน้านางเหมือนเด็กถูกทิ้งไม่มีผิด เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ราวกับข้ากำลังจะตายลงตรงหน้า ปากก็พร่ำเรียกชื่อองค์หญิงไม่หยุด ดูแล้วนางคงรักองค์หญิงจากใจจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกแบบที่แม่คนหนึ่งจะให้ลูกได้

“เพ่ยเพ่ย วันนี้ท้องฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ข้ากล่าวเสียงเอื่อย

เพ่ยเพ่ยรู้ดีว่าข้าเบื่อหน่ายขนาดไหน นางยืนอยู่ข้างตัวด้วยกิริยาสงบเสงี่ยม เหลือบมองข้าสลับกับฟู่ซิ่นจงเป็นพักๆ ทั้งยังดูเคารพยำเกรงพี่สาวเป็นพิเศษ คงเพราะฐานะฟู่ซินจงถือได้ว่าเป็นคนสนิทของฮองเฮา จึงมิกล้าทำเรื่องเสียมารยาทพูดตอบออกมา อีกประการคือ ใบหน้าเรียบเย็นของฟู่ซิ่นจงยังไม่อาจคาดเดาอารมณ์ดีร้าย ทั้งหลายวันมานี้ยังเคร่งครึมผิดปกติ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าลองดีทำผิดกฎ

“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ!” ข้าค้อนตาใส่เพ่ยเพ่ย แล้วทอดสายตามองหน้าประตู

ที่ฟู่ซิ่นจงอารมณ์ไม่สู้ดีคงเพราะเงาหน้าประตูบานนั้นแน่ วันแรกที่มาถึงข้าไม่เห็นพวกเขา ส่วนวันที่สองหน้าห้องที่เป็นนางกำนัลยืนเฝ้าอยู่กลับกลายเป็นเงาบุรุษสองคนแทน คนหนึ่งรวบผมมัดไว้ อีกคนปล่อยผมยาว แม้มิได้เห็นหน้า แต่ก็สามารถคาดเดาลักษณะจากเงาที่ส่องผ่านมาได้ ฟู่ซิ่นจงกล่าวว่าพวกเขาคือเหล่าองครักษ์ของข้าซึ่งฮ่องเต้เป็นผู้ประทานให้ หน้าที่รองคือคุ้มกัน ส่วนหน้าที่หลักคือเพื่อไม่ให้ข้าหนีออกไปไหน ฮองเฮาเองไม่กล้าขัด ทั้งยังกลัวว่าหากขับไล่พวกเขาไปฝ่าบาทอาจทรงระแคะระคายแผนการนี้ได้ ฟู่ซิ่นจงจึงได้แต่สั่งห้ามไม่ให้คนทั้งสองเข้ามาในห้อง ทั้งยังไม่ยอมพูดคุยกันสักประโยค แน่นอนว่าคนเป็นวรยุทธ์ด้วยกันย่อมต้องระวังกันเองเสมอ 

ข้าลุกขึ้นบิดตัวคลายอาการเมื่อยล้า เดินไปมาอยู่นาน ในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหวรู้สึกอึดอัดกับห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้จนแทบคลั่ง “ข้าอยากออกไปสูดอากาศเสียหน่อย ห้าวันมานี้ยังไม่เคยได้เห็นแสงตะวันเลย”

ข้าหันไปร้องขอ แต่ฟู่ซิ่นจงกลับส่ายหน้าห้ามปราม

“องค์หญิงทรงโดนโทษกักบริเวณอยู่ หากรั้งจะขัดพระทัยฮองเฮาเกรงว่าโทษครั้งหน้ามิได้เล็กน้อยเช่นครั้งนี้แล้ว ทรงทนอีกสักสองสามวันจะเป็นเรื่องดีมากกว่าเพคะ” นางเอ่ยเตือนอย่างนอบน้อม เริ่มปฏิบัติกับข้าเช่นนี้นับตั้งแต่พวกเราก้าวพ้นจากตำหนักฮองเฮาคืนนั้น

“แค่ชมท้องฟ้าริมระเบียงก็มิได้เลยหรือ” ข้าถาม

นางส่ายหน้าอย่างจนใจ ส่งสายตาห้ามปรามข้าอย่างหนัก ข้าจึงได้แต่ทำตัวลีบคอตก หันหลังเดินกลับไปนั่งบนตั่งเพื่อเด็ดดอกไม้ต่อ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มลงมือข้างนอกพลันมีเสียงเอะอะดังขึ้นหน้าประตู พี่สาวจึงรีบหลุบไปดูสถานการณ์

“ถอยไป” ใครบางคนยืนขวางอยู่หน้าประตูตำหนัก พยายามจะเข้ามาข้างในเสียให้ได้ทั้งยังออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้อย่างมิได้เกรงกลัว เช่นนั้นคงเป็นราชนิกุลคนใดคนหนึ่งแน่

ข้ายืนแอบมองอยู่หลังม่าน พลางคิดว่านั่นใครมากันหนอ? แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“ถวายบังคมองค์รัชทายาท กระหม่อมขออภัย...ฮองเฮามีรับสั่งห้ามมิให้ใครเข้าออกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”

ชายปล่อยผมทางด้านซ้ายพูดขึ้น แต่แขกผู้มาเยือนคล้ายกับไม่ใส่ใจจะทำตาม ทั้งยังเปิดประตูเดินนำเข้ามาอีกหลายก้าว

ฟู่ซิ่นจงเห็นข้ามาแอบมองก็รีบหันมาปรายตาดุ รีบร้อนเดินมากำชับ “รัชทายาทเสด็จมาหา เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมด้วย” นางกระซิบเสียงเบา ก่อนเดินออกไปรับหน้าแทน

“รัชทายาทหมิงหยางเฟิ่ง...?”

 

ข้าหลุบตัวแอบดูเหตุการณ์ตรงมุมชั้นหนังสือ รัชทายาทหรอกหรือ? หากจำไม่ผิดทรงเป็นถึงพระเชษฐาขององค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง พี่น้องร่วมสายโลหิตซึ่งเกิดจากฮองเฮา พระนามคือหมิงหยางเฟิ่ง ผู้ที่จะได้ครองราชบัลลังก์พระองค์ถัดไป

“รัชทายาทเสด็จกลับไปเถิดเพคะ อย่าให้บ่าวพลอยลำบากด้วยเลยเพคะ” ฟู่ซิ่นจงขอร้องทั้งเสียงสั่น แต่ข้ากลับเชื่อว่านางกำลังเล่นละครฉากหนึ่ง ไม่มีทางที่สตรีผู้จับกระบี่ด้วยสายตาคมกริบดุจมีดจะแสดงความอ่อนแอให้แก่เรื่องเล็กน้อยตรงหน้าเพียงเท่านี้ได้

“หลีกไป” เสียงทุ้มนุ่มลึกทว่าเฉียบขาดดังขึ้นสองพยางค์ คล้ายไม่นานคงไม่อาจมีผู้ใดรั้งตัวเขาอยู่

“เสด็จกลับไปเถิดเพคะ” ฟู่ซิ่นจงขอร้องอย่างจนใจ แต่ไม่ว่าทำอย่างไรรัชทายาทกลับไม่คิดถอยหลัง ทั้งยังกลับก้าวเท้าเข้ามาอีกหลายก้าวจนใกล้ห้องนอนของข้ามากขึ้น

เพ่ยเพ่ยที่หลบอยู่หลังม่านเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบร้อนเดินมาให้ข้าช่วยเหลือ “องค์หญิงเพคะ! องค์หญิงเพคะ!” นางกลัวจนตัวสั่น ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นนางก็ได้แต่ยกมือกุมประสาน ปากพร่ำเรียกองค์หญิงไม่หยุด

ข้ายิ้ม...เดินนำขึ้นอีกหลายก้าว หากยิ่งหลบยิ่งดูน่าสงสัย ในเมื่อองค์รัชทายาททรงอยากเจอ ข้าก็จะให้เขาเจอ มิใช่ว่าในใจไม่กลัวความแตก แต่ทำศึกใดล้วนต้องดูสถานการณ์ หากอยากชนะย่อมต้องอ่านใจศัตรู องค์หญิงก่อเรื่องใหญ่ อีกทั้งครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก แต่ฮองเฮายังลงโทษนางเพียงให้อยู่ในห้อง ดูก็รู้ได้ว่าทรงตามใจนางมากขนาดไหน ดังนั้นหากองค์หญิงทรงคิดจะออกไปจากห้องอย่างไรใครก็ขวางนางไว้มิได้ รัชทายาทผู้นี้ย่อมมองเห็นจุดบกพร่อง ที่เสด็จมาเพียงเพื่อพิสูจน์บางอย่างในตัวข้าเท่านั้น

ดังนั้นหากต้องการข่มขวัญศัตรู อย่างไรต้องออกไปเผชิญหน้ากับเขาก่อนเท่านั้น

“ทรงกลับเข้าห้องเถิดเพคะ ท่านฟู่ต้องไม่พอใจบ่าวเป็นแน่!” เพ่ยเพ่ยเหลือบตามองฟู่ซินจงอย่างหวาดๆ เกรงว่าตัวนางจะถูกตำหนิเข้าอีกคน

ข้าไม่ยินยอมชักเท้าจากไปไหน เอาแต่ยืนรอรับคนอยู่กลางห้อง ทั้งยังวางมาดไม่รู้สึกพร้อมสายตาสงบนิ่งดุจสายน้ำเช่นที่ฟู่ซินจงพร่ำสอนมาตลอดห้าวัน เพราะองค์หญิงเหม่ยหลิงไม่เคยหวั่นเกรงผู้ใด

รออยู่ครู่ถึงมีเสียงประตูไม้เปิดดังเข้ามา ชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดผู้หนึ่งสวมชุดแดงเพลิงปรากฏกายอยู่ไม่ไกล รูปร่างสูงสง่าเดินเข้ามาในตำหนักไม่ช้าไม่เร็ว ท่วงท่าบุคลิกสุขุมโดดเด่นแฝงแววราชันย์ คิ้วไม่เข้มไม่บางกำลังเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังมองหาผู้ใดอยู่ แววตาดูนิ่งเรียบให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก

“สูงศักดิ์เหนือสูงส่ง คงไว้ผู้เดียวดาย” ข้าเผลอท่องบทกลอนออกมา สบสายตาคู่นั้นอย่างค้นหา เป็นพระองค์หรือที่ข้าได้เจอในคืนนั้น...

รัชทายาทมองข้าอย่างอ่อนโยน แต่เพียงชั่วครู่แววตาได้กลับไปเรียบเย็นเช่นเดิม คล้ายโทสะในใจที่มีต่อองค์หญิงยังมิอาจเจือจางเบาลง ข้าถึงพลันได้สติปรับแววตามาสุขุมเช่นเดิม

อีกสองบุรุษรีบร้อนเดินตามมาติดๆ คาดเดาว่าเป็นองครักษ์ทั้งสองของข้าแน่

คนรวบผมบุคลิกดูเยือกเย็นราวกับมีลมในฤดูหนาวพัดผ่านอยู่รอบตัว แววตาประกายคมกริบไม่ไว้วางใจผู้ใดมองมาทางข้าราวกับเห็นตัวปัญหายืนอยู่ ทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ คนที่ปล่อยผมใบหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร แม้ดูลึกลับยากเข้าใจแต่ขณะเดียวกันกลับแฝงแววอบอุ่นแผ่ออกมาไม่ขาด

ข้าพยายามจดจำลักษณะพวกเขาให้ขึ้นใจ ก่อนรีบหันกายย่อตัวถวายบังคมองค์รัชทายาท

“ถวายบังคมเสด็จพี่...” ข้ายอบตัวลงอย่างมีมารยาท ปรายตากลมโตขึ้นมองพระองค์ เห็นเพียงมุมปากโค้งรอยยิ้มไร้อารมณ์ของคนตรงหน้า

“เจ้ายังคงถือตัวไม่รู้จักผิดอย่างเคย” ทรงมองข้าตรงๆ น้ำเสียงไม่ได้โกรธแต่ก็ไม่ได้ยินดีกับการกระทำครั้งนี้ “นั่งลงสิ” รับสั่งจบแล้วถึงนั่งลงตรงข้าม

ข้านั่งลงเบี่ยงหน้าเก็บอาการตื่นตระหนก ถึงจะทำใจไว้บ้างแต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนในวังเข้าจริงๆ อย่างไรก็กลัวแสดงพิรุธออกมามิได้ ฟู่ซิ่นจงกล่าวว่าองค์หญิงทรงนิสัยอย่างไร พูดจาอย่างไร แต่ใช่ว่าข้าจะทำได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งกับพี่น้องร่วมสายโลหิตเช่นรัชทายาท เขาย่อมจับพิรุธได้ง่ายกว่าผู้อื่น ข้าจึงได้แต่ซ่อนความกลัวไว้ใต้หน้าตาอันขุ่นมัว ทำให้สีหน้าข้าดูดื้อรั้นเพิ่มอีกหลายส่วน

ยามนี้ต่อให้ไล่ก็ไม่อาจไล่ ยิ่งเขาอยู่นานข้ายิ่งลำบาก ข้าเหลือบตามองฟู่ซิ่นจง นางก็ได้แต่ส่ายหน้ามองไปทางประตู จะให้ข้าขับไล่รัชทายาทหรือ? ไล่อันธพาลเช่นเจ้าบ้าจวี๋จวินฉียังง่ายเสียกว่า!

“ทรงขัดคำสั่งเสด็จแม่ หรือไม่กลัวว่าจะโดนกักบริเวณด้วยอีกคน” ข้ากล่าวแกมข่มขู่ คิดหาวิธีได้ดีที่สุดก็เท่านี้ พลางรับถ้วยชาจากฟู่ซิ่นจงมาดื่มแก้กระหายอย่างไม่ติดขัด

รัชทายาทวางถ้วยชาลงโต๊ะ ไม่ยอมยกขึ้นจิบสักอึก “ความผิดของข้าถือว่าเล็กน้อยกว่าเจ้านัก”

ข้าลืมนึกไปเสียสนิท รัชทายาทอย่างไรย่อมเป็นรัชทายาท มีอำนาจรองเพียงฮ่องเต้แล้วไยต้องกลัวฮองเฮากัน? จึงแสร้งลุกพรวดทำสีหน้าไม่พอใจ เดินหุนหันพลางหันมาถามเขา

“หากมาตำหนิต่อว่าก็ขอให้ทรงกลับไปเถิดเพคะ คนเช่นข้าผิดไม่กลัว ตายไม่กลัว ทำสิ่งใดล้วนไม่มานั่งเสียใจภายหลัง ต่อให้เสด็จแม่สั่งลงโทษหนักกว่านี้ ข้าก็ได้แต่จำใจยอมรับ โดนกักบริเวณมาห้าวัน อย่าทรงมาซ้ำเติมเทศนาอีกนักเลย”

รัชทายาทกล่าวเสียงเรียบ “ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะถามเจ้า” ทรงกล่าวสั้นๆ แล้วหันไปรับสั่งบ่าวคนอื่น “พวกเจ้าออกไปก่อน ห้ามใครรบกวนพวกเรา” 

ใจข้าไม่อาจเป็นสุข ฟู่ซิ่นจงไม่อยู่ หากทรงถามในเรื่องที่ไม่รู้แล้วข้าจะตอบไปอย่างไร?

บ่าวคนอื่นทยอยจากไปจนหมด มีเพียงพี่สาวที่ไม่ยอมชักเท้าจากไปไหน นางมองข้าด้วยสายตาคมกริบ ข้ามองถามนางว่าแก้สถานการณ์นี้อย่างไร? แต่กลับไม่ได้รับคำใดตอบกลับมา

“ฟู่ซิ่นจง เจ้ารีบกลับไปปรนนิบัติเสด็จแม่เถิด มองข้ามสายตาไปมาเช่นนี้ข้ารู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก”  

ข้ามองเขาอย่างตกตะลึง มองพี่สาวขมวดหัวคิ้วจนยุ่งเหยิงแล้วยอบตัวกล่าวทูลลาร่นถอยไปอย่างพ่ายแพ้ นางคงคาบข่าวร้ายนี้ไปทูลฟ้องฮองเฮาเป็นแน่ ทิ้งให้ข้านั่งปั้นหน้าอยู่กับรัชทายาทหนุ่มผู้นี้

ข้าแสร้งทำหน้าตึง ทูลถามไปอย่างไม่ชอบใจ “ทรงมีเรื่องใดหรือเพคะ?” แล้วนั่งลงกับโต๊ะ

ดวงตาคู่คมมองพิจารณาข้า ไล่จากเท้าจดหัวและหัวจดเท้าอีกรอบ เสมือนข้าเป็นแจกันโบราณและเขาเป็นผู้ตรวจว่ามันเป็นของจริงหรือเทียมกันแน่

“ครั้งนี้เจ้าคิดหนีไปที่ใดหรือ”

คำถามนี้คือองค์หญิงคิดจะไปที่ใด? แม้กระทั่งฟู่ซิ่นจงยังไม่อาจรู้แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าทวนคิดอยู่หลายรอบ เห็นเขาจ้องมองหาพิรุธถึงพลันรู้สึกตัวขึ้นมาได้ หากทรงถามคำถามนี้มิใช่ว่าองค์หญิงทรงบอกไว้กับเขาหรือ?

เช่นนั้นหากตอบถูกข้าคือองค์หญิง ตอบผิดข้าเป็นคนอื่น อย่างไรย่อมไม่อาจตอบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ชีวิตสกุลวังขึ้นอยู่เพียงวาจาไร้อักษรของข้าเพียงเท่านั้น อีกทั้งคำตอบใดก็ไม่แน่ว่าอาจผิดทั้งหมด

ยามนี้ดวงตาแน่วแน่ของข้ามองตรงไปที่เขา แม้ไม่เกรงกลัวแต่กลับเคารพนอบน้อม เอ่ยตัดพ้อเบาบางอยู่ในน้ำเสียง “เสด็จพี่ทรงถามทำไมกันเพคะ อย่างไรก็ทรงรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่มีวันบอกท่าน”

“ข้าเพียงห่วงเจ้า” รัชทายาททรงมองข้าเงียบๆ อยู่นาน แต่แล้วในสถานการณ์ตึงเครียดกลับหัวเราะร่วนออกมาราวถูกอกถูกใจสิ่งใดเป็นอย่างมาก

หรือข้าจะพลาดท่าทำสิ่งใดผิดกัน!

ยังไม่ทันได้คิด มือใหญ่ได้คว้าเอวข้าไม่ให้ทันได้หวีดร้อง ทำเอาร่างข้าล้มคะมำลงบนตักเขารวดเร็ว

“อากาศต่างแคว้นอาจทำให้เจ้าล้มป่วยได้ ดูนี่สิ หน้าเจ้าแดงไปหมดแล้ว” เขายักยิ้มแล้วจดหน้าผากเขาลงหน้าผากข้า

ข้าเบิกตากว้างตกใจ รีบผลักเขาออกตามสัญชาตญาณทันที “ทรงทำอะไรน่ะเพคะ!” กล่าวจบก็ทำท่าจะลุกหนี

แต่เขากลับหยุดการเคลื่อนไหวไว้ง่ายดาย ฉุดข้านั่งบนตักพลางหรี่ตาถาม “หนีทำไมหรือ? พี่เพียงวัดไข้ให้เจ้าเท่านั้น” น้ำเสียงเรียบเย็นล้วนขัดการกระทำแสนน่าอาย ใบหน้ายามนี้คงแสดงให้อีกฝ่ายเห็นจนหมดสิ้นว่าข้าไม่ประสาขนาดไหน

แต่น้องสาวไยต้องหน้าแดงหากถูกพี่ชายตนประคองกอดในอ้อมแขน?

ข้าจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ขณะกล่าวออกไปว่า “ข้าโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องวัดไข้ด้วยวิธีที่เด็กเช่นนี้” 

แม้พยายามเกร็งใบหน้าเท่าใด ทว่าพวงแก้มแต้มสีแดงระเรื่อไม่ยอมหาย เขาเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ทำท่าจะวัดความร้อนบนหน้าผากข้าอีกรอบ ขณะสถานการณ์กำลังคับขันข้าพลันชี้มือไปที่ประตูกล่าว

“สู้ให้เพ่ยเพ่ยไปตามหมอหลวงมาจะมิดีกว่าหรือ?”

รัชทายาทคล้ายได้สติมองไปทางประตูแล้วหันมาตอบ “เจ้าคงลืมไปว่าพวกเรามักตรวจไข้กันด้วยวิธีนี้เสมอ” เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย จ้องมองข้าราวทำสิ่งใดผิดวิสัยเดิม

“ไม่จำเป็น ทรงให้หมอหลวงมาตรวจดูเถิดเพคะ” ข้ากล่าวอย่างไร้น้ำใจ เบนหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย แต่เขากลับเชยคางข้าขึ้นอย่างแผ่วเบากระทั่งสายตาเราประสานกัน

ครั้นมองสบตาประกายคมคู่นั้น หัวใจข้าพลันเต้นโครมขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

ท่าทางนั้นเหมาะสมเป็นคู่รักมากกว่าพี่น้อง ข้าไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่องปกติ หรือข้าเพียงถูกอีกฝ่ายทดสอบเท่านั้น เพราะฟู่ซิ่นจงมิได้กล่าวเตือนสิ่งใดเกี่ยวกับองค์รัชทายาทผู้นี้เลยสักครั้ง และหากนี่คือการทดสอบ...ข้าคงแพ้เขาไปแล้วครึ่งแต้ม!

“เกรงว่าคงไม่ได้...พี่เคยสัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด หมอหลวงหรือจะตรวจอาการเจ้าดีกว่าพี่ได้?” เขายิ้มแล้วหยุดเป็นจังหวะ จากนั้นถึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหนีไปครั้งนี้นับเป็นความผิดพี่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พี่จะมาค้างตำหนักเจ้าเพื่อรับโทษกักบริเวณด้วยกัน”

คำกล่าวนี้นับเป็นอุปนิสัยของผู้เปี่ยมคุณธรรมรักพี่น้อง...ใจข้าชื่นชมเขา แต่กลับมิอยากได้คุณธรรมข้อนี้เท่าไร

“ค้างตำหนักข้า?” ข้าถามเสียงสูง

“ใช่...หรือเจ้าลืมไปว่าพวกเรานอนเตียงเดียวกันทุกคืน” เขาขมวดคิ้วมองถาม

“หา!” คราวนี้ข้าตะโกนลั่นห้อง

“ตกใจเรื่องใดหรือ” เขาทำสีหน้าเรียบราวไม่ได้กล่าวผิดประโยค คล้ายเป็นกฎธรรมชาติข้อหนึ่งที่พึงปฏิบัติ

ใช่ ข้าตกใจมากจริงๆ บุรุษผู้นี้เป็นถึงรัชทายาทแคว้นฉี แม้ไม่ทรงรู้ว่าข้าเป็นใครแต่มีอีกสองที่รู้ว่าข้าคือวังผิงเฟย เพียงคิดถึงรุ่งเช้าที่ฮองเฮาเสด็จมาเห็นเราหนุ่มสาวค้างคืนด้วยกันเข้า ใบหน้าเยียบเย็นพลันลอยเข้ามาในม่านตา พระพักตร์ย่อมดูน่ากลัวเป็นพิเศษกว่าครั้งไหน ทำเอาข้ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งที่หิมะแรกยังไม่ทันตก ครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรกับพี่ชายผู้แสนประเสริฐเกินธรรมดาผู้นี้ดี!

“เหม่ยหลิง”

“เพคะ” ข้าสะดุ้งตัวเล็กน้อย มองเขาโน้มตัวลงมาใกล้จนริมฝีปากกระทบใกล้ริมหู

นี่มันใกล้เกินไปแล้ว! ใกล้เกินไปแล้ว!

“วานเจ้าบอกเพ่ยเพ่ยให้เตรียมสำรับเพิ่ม นางรู้ดีว่าพี่ชอบอะไร”

มุมปากโค้งรอยยิ้มดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมา รัชทายาทหนุ่มไม่รีรอให้ข้าพูดหรือตอบรับ คลายอ้อมแขนปล่อยตัวข้าให้เป็นอิสระ แล้วสะบัดชุดแดงปักเหลือบสวยงามตัวนั้นออกไปจากตำหนัก

ข้ากุมมือแนบอกซ้ายที่ยังเต้นผิดปกติ...หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินเสียงในอกนี้หรอกนะ...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น