บทที่ ๒

บทที่ ๒

วิฬาร์กลับขึ้นห้องมาแล้ว หิ้วตะกร้าใส่ที่รักวางไว้บนที่นอน เย็นตาแยกออกไปข้างล่างยามเจ้าของห้องประสงค์จะอยู่คนเดียว เจ้าลูกแมวน้อยกระโดดแผล็วออกจากตะกร้ามากองบนตักคนที่ทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน เจ้าของก้มมองมันแล้วก็มันเขี้ยว ตีหัวเบาๆ เข้าให้เสียหนึ่งทีพร้อมเอ็ด

“เรานะเรา ดื้อไม่เข้าเรื่อง เกือบจะเดือดร้อนหมดเลยเห็นไหม กระโดดไปไหนไม่กระโดด ไปกระโดดใส่ท่านชายอะไรนั่น” 

ฝ่ายผิดเหมือนจะรู้ตัวเพราะส่งเสียงครางหง่าวๆ เอาคอพาดตักถูไถไปมา 

“ทีอ้อนละเก่งนักนะที่รัก คราวนี้ละ ถ้าเจ้าคุณพ่อจับได้คงได้ไปนอนหง่าวที่วัดแน่”

วิมาลาไม่ชอบแมว ความจริงน่าจะหมายรวมถึงสัตว์หน้าขนทุกชนิดมากกว่า บ้านทั้งหลังเลยไม่มีหมาหรือแมวสักตัว ขณะที่บ้านอีกหลัง...บ้านของแม่เห็นสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกเหมือนหลาน เมื่อเลี้ยงเขาเอาไว้ทำคุณก็ควรจะสนองคุณเขาเสียด้วย แม่มีหมดทั้งหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย หรือกระทั่งบ่อปลา เพราะฉะนั้นที่นั่นแม่จึงเป็นเศรษฐินี แม่มีเงินพอจะส่งวิฬาร์เรียนปริญญาซึ่งนิยมให้เรียนเฉพาะลูกชาย เจ้าคุณพ่อก็เถอะ...ดูอย่างวิมาลาเป็นอย่างไร เรียนจบแค่พออ่านออกเขียนได้เท่านั้นพอ 

วิชาที่คนเป็นพ่อพึงใจให้ลูกสาวเรียนคือการบ้านการเรือน ขณะที่คุณจันทร์เล็งเห็นว่าต่อไปการศึกษาจะมีบทบาทมากทางสังคม การศึกษาที่ว่านี้จะต้องมากกว่าการอ่านออกเขียนได้ วิฬาร์มีหัวด้านนี้ และเมื่ออยากเรียน แม้แต่เจ้าคุณพ่อที่คุณแม่เคยเคารพนักหนายังทักท้วงมิได้ ประการหนึ่งเพราะเงินค่าเล่าเรียนทั้งหมดหล่อนอาสาเป็นคนจ่าย ขอเพียงที่พักพิงเท่านั้น อีกประการคือคุณจันทร์เคยบอกสามีผ่านทางจดหมายฉบับน้อยที่วิฬาร์ถือติดตัวมา

ตามที่คุณพี่เคยบอกน้องว่าผู้หญิงที่ฉลาดและรู้มากเกินไปจะหาคู่ครองยาก น้องอยากเรียนให้คุณพี่สบายใจว่า ตัวน้องไม่เคยคิดจะรับคนที่ฉลาดน้อยและรู้น้อยกว่าลูกของเราเป็นเขย/

จดหมายกินใจความทั้งหมดเท่านั้นจริงๆ เจ้าคุณวิเศษนิ่งอึ้ง ตะลึงค้างไปกับความคิดของภรรยารอง แล้วก็มิอาจทัดทานความต้องการได้อีก เหลือแต่ภาวนาเท่านั้นว่าบุตรสาวคนเล็กจะไม่อุตริอยากไปเรียนเมืองฝรั่งอย่างพวกผู้ชายให้ยิ่งขึ้นไปอีก คราวนี้ก็คงมีหวังต้องเลี้ยงลูกสาวไปจนแก่ตาย เพราะไม่มีผู้ชายที่ไหนเขามาขอ

วิฬาร์จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ตามความต้องการ บ้านที่หล่อนมิค่อยได้เหยียบย่างบ่อยครั้งนัก บ้านใหญ่ของเจ้าคุณวิเศษและคุณหญิงแสนผู้เป็นภรรยาหลวง กับบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างวิมาลา ขณะที่ภรรยารองของท่านประสงค์จะอยู่ที่ต่างจังหวัดมากกว่าเข้ามาในเมือง นั่นส่งผลให้เจ้าคุณห่างไกลกับบุตรสาวคนเล็กออกไปอีก วิฬาร์จึงมาบ้านนี้ในฐานะคนแปลกหน้า หิ้วบ่าวติดตัวมาได้คนเดียวเท่านั้นเอง ที่รักจึงเป็นที่พักพิงทางใจอีกทางหนึ่งของคนแปลกหน้าต่างถิ่น

มันรู้ตัวดีเสียด้วย เพราะลุกขึ้นเอาหน้าไปซุกมือบางที่วางซ้อนอยู่บนตัก คนมองลูบหัวมันเบาๆ แล้วผ่อนลมหายใจ กว่าจะเรียนจบอีกตั้งหลายปี จบไปก็ใช่ว่าจะหางานได้ เพราะไม่ค่อยมีที่ไหนรับงาน ท้ายที่สุดคือกลับไปตายรังอยู่กับแม่อย่างเก่า ทว่าอย่างน้อยยังภูมิใจว่าหล่อนก็พอจะมีวิชาความรู้ติดตัวไปกับเขาบ้าง

สายลมพัดหวิวแว่วผ่านหน้าต่าง หลังจากเดินทางมาถึงเมื่อวาน หล่อนยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่ในบ้าน ร่างบางอุ้มเจ้าที่รักไว้แล้วเดินมาถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่าง ห้องนี้หันหน้าเข้าสู่ถนน แลออกไปเห็นประตูรั้วไม้ชัดเจน ดูเอาเถอะ รั้วก็ออกจะสูงปานนั้น หล่อนก็ยังอุตส่าห์ตะกายตัวข้ามไปเจอเขาจนได้ ความทรงจำในวินาทีแรกยังติดตา คนอะไรจะสวยปานนั้น เขาว่าอะไรนะ...สวยเหมือนพระลอ แม่เคยร้องให้ฟัง

รอยรูปอินทรหยาดฟ้า         มาอ่าองค์ในหล้า

แหล่งให้คนชม แลฤา ฯ

พระองค์กลมกล้องแกล้ง      เอวอ่อนอรอรรแถ้ง

ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี ฯ

โฉมผจญสามแผ่นแพ้          งามเลิศงามล้วนแล้
 
รูปต้องติดใจ บารนีฯ

ตอนเด็กๆ ยังเคยสงสัยว่าผู้ชายที่จะถูกชมว่าสวยนั้นเป็นอย่างไร วันนี้ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เขาสวย อ้อ...พระองค์ทรงพระสิริโฉม โฉมงามในสามโลกสยบพ่ายทีเดียว คิ้วคางปากตาต้องตำราไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีก็แต่พระเนตรที่อาจจะดุกว่านิด เคร่งขรึมกว่าน้อย และวรกายนั้นก็มิใช่ว่าจะอ้อนแอ้นอรชร แต่แข็งแกร่งขนาดรับร่างหล่อนที่ร่วงลงไปได้

ที่รักยังครางหง่าวอยู่ในคอ มันซุกหน้ากับฝ่ามือ เอาหัวถูไถไปมา คนนึกที่ว่านึกอะไรเพลินๆ เลยก้มลงทอดตามอง แล้วบังเอิญไปสบเข้ากับพระเนตรคมที่มองช้อนขึ้นมาพอดิบพอดี กำลังจะเสด็จกลับหลังจากเสวนากับวิมาลาอยู่นานสองนาน ทรงยืนตรง เงยพักตร์ขึ้นมาน่าจะโดยไม่ได้ตั้งพระทัย คนข้างบนก็มองลงไปโดยไม่ตั้งใจ ทว่าเมื่อสายตาสอดเข้ามาสบกัน เหมือนโลกจะหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดำเนินต่อไปด้วยการที่เจ้าของแมวสีสวาดหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปทันที

ทอดพระเนตรอะไรอยู่เพคะ” ร่างบางอ้อนแอ้นที่เดินตามหลังร้องถาม

เจ้าของวรกายหนาแกร่งทรงหลุดยิ้มยามร่างนั้นสะบัดหน้ากลับเข้าไปในห้อง ไม่ได้ตั้งพระทัยว่าจะทอดพระเนตรเลยสักนิด เพียงแต่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแมวร้องเท่านั้นถึงได้ช้อนพระเนตรขึ้นไป แล้วก็สบเข้ากับตาที่ฉายแววซุกซนแสนจะแง่งอน คนที่ยืนนิ่งทอดตามองออกมานอกหน้าต่างตกใจแล้วก็สะบัดกายกลับเข้าไป เด็กหนอเด็ก...

“ไม่มีอะไร” 

รับสั่งสั้นๆ เป็นปกติแล้วทรงเลื่อนสายพระเนตรลงมา วิมาลายืนยิ้มสวยอยู่ข้างกาย พระองค์เองก็รู้ว่าเจ้าหล่อนคิดอย่างไร วิมาลามีความเพียบพร้อมเป็นกุลสตรีทุกอย่าง ทั้งความสวยและสมบัติความรู้การเรือน ขาดเพียงอย่างเดียวคือหล่อนยังไม่ทำให้พระองค์ปรารถนาจะร่วมชีวิตด้วยต่อไปได้ ถึงอย่างนั้นก็มิได้ทรงตัดไมตรี รอก่อน...อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้

“หม่อมฉันจะให้คนเอาขนมไปถวายที่วังนะเพคะ”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวให้มหาดเล็กมาเอาดีกว่า จะกินของเธอก็ยังต้องให้คนของเธอลำบาก”

“หม่อมฉันเต็มใจทำถวาย”

ไม่รับสั่งว่าอะไรนอกจากทรงยิ้ม แต่แค่ยิ้มเท่านั้นก็ทำให้คนมองแทบจะลืมโลก ลืมหายใจ วิมาลาเกือบละลายไปทีเดียว ทรงยืดวรกายเต็มความสูง สูงเสียจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง แต่หล่อนก็ชอบ ชอบเงยหน้าขึ้นมองอย่างนี้

เสด็จกลับไปแล้ว เสด็จมาแล้วก็เสด็จจากไป แม้จะได้เห็นอยู่ทุกวัน แม้จะได้พบพักตร์บ่อยครั้ง แต่หล่อนไม่เคยรู้สึกว่าพอ ไม่เคยพอใจกับสิ่งเหล่านี้เลย อาจจะน่าอับอาย แต่วิมาลาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหล่อนปรารถนาจะเป็นมากกว่าเพื่อนบ้านกันอย่างนี้ หล่อนเรียนรู้ทุกเรื่อง เรียนรู้ทุกอย่างที่พึงจะรู้ 

‘จะทอดพระเนตรเห็นบ้างไหมว่าวิทำเพื่อพระองค์ขนาดไหน วิให้ได้...ให้ได้ทุกอย่างจากหัวใจจริงๆ’

วิมาลาหมุนกายเดินกลับเข้าบ้านด้วยความหวังเปี่ยมล้น วันหนึ่งจะทอดพระเนตรแลหาแต่หล่อน วันหนึ่งจะได้ครองพระทัยผู้ทรงพระสิริโฉม ไม่นานเกินรอหรอก ไม่นาน อายุหล่อนควรแก่การออกเรือนได้แล้ว พระองค์เองก็มิใช่หนุ่มรุ่นอีกต่อไป ไม่นานจะต้องสรรหาหม่อมประดับวัง ไม่นานวิมาลาจะได้ใช้นามสกุลดิเรกวัฒนาภา

หล่อนวาดฝัน ทว่าไม่รู้ว่าเจ้าของวรกายสูงหนาที่เสด็จกลับวังมีภาพใครบางคนติดอยู่ในพระทัย 

ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนแปลกเท่าคนนี้ ซนเหลือจะซน มีอย่างหรือ สวมกระโปรงปีนรั้ว ขนาดผู้หญิงฝรั่งที่เคยรู้จักยังไม่ค่อยจะมีใครกล้าเท่านี้ ดวงตาสีนิลลึกล้ำทอประกายแกร่งกล้าซุกซนนั่นอีก ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณวิเศษคนนี้ท่าจะไม่ธรรมดา ไม่เหมือนพี่สาวตัวเองเลยจนนิดเดียว วิมาลาก็ทางหนึ่ง วิฬาร์...แม่ลูกแมวนี่ก็อีกทางหนึ่ง

แต่คนที่เสด็จมาจนถึงหน้าประตูวังกลับชะงักพระบาทไว้ครู่หนึ่งเพราะเห็นรถคุ้นตาจอดรออยู่ด้านใน ทรงถอนปัสสาสะยาว รู้...รถใคร และต้องพระประสงค์ใดถึงได้เสด็จมาหาถึงที่ เรื่องเดิมเรื่องเดียวนี่แหละ คุยกันไม่รู้จักจบสิ้น ไม่นานเจ้าของรถก็เสด็จออกมาจากวัง

“ไปไหนมาชายภา พี่รอตั้งนาน” 

เจ้าของสุรเสียงหวานเกือบแหลมเป็นสตรีวรกายอวบทว่าสูงระหง เกศาตัดสั้นแค่ศออย่างสมัยนิยม ทรงฉลองพระองค์ด้วยกระโปรงยาวแค่เข่าสีสด โอษฐ์แดงก่ำแย้มอยู่เกือบตลอดเวลา ทว่าฝ่ายที่เป็นพระอนุชาทำสีพักตร์เกือบบึ้ง 

“เธอจะทำหน้าบึ้งไปทำไมชายภา พี่อุตส่าห์มาเยี่ยม”

“อากาศร้อนเท่านั้นค่ะ พี่หญิงเด็จข้างในจะดีกว่า” 

แล้วก็เสด็จนำเข้าไปข้างใน ประทับบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามองค์ละตัว หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภาทอดพระเนตรน้องชายต่างสายโลหิตแล้วทรงผ่อนปัสสาสะ

“พี่ไปเยี่ยมยายเนตรมา ชายจำได้ไหม เนตรงามคนที่เป็นเพื่อนพี่คนนั้น วันนี้เขาเพิ่งจะได้ลูกชายคนที่สี่ หน้าจิ้มลิ้มน่ารักทีเดียว ลูกๆ คนอื่นก็น่ารัก ตาคนโตนั่นเข้าเรียนชั้นประถมปลายไปแล้วกำลังน่ารัก ซนนิดหน่อยตามประสาเด็ก พี่ละอยากอุ้มกลับวังใจจะขาด” รับสั่งถึงสหาย ทว่าพระเนตรคมชายมองฝ่ายที่ประทับเอนวรกาย ยิ้มสบายอารมณ์

“พี่หญิงรับสั่งตามตรงกับชายเลยก็ได้นี่คะ ประสงค์อะไร”

“เอ๊ะ ชายภา อะไรของเรา”

เมื่อนั้นเจ้าของวรกายสูงหนาถึงได้ขยับ แล้วก็ทรงพระสรวล “ก็จะรับสั่งเรื่องอะไรก็เรื่องนั้นนั่นแหละค่ะ รับสั่งกับชายมาตามตรงจะดีกว่า ชายว่าเราอาจจะกำลังอ้อมค้อมกันมากเกินไป”

เมื่อนั้นหัตถ์เล็กอวบจึงโบกไหวๆ ในอากาศ นายมหาดเล็กยกน้ำมาถวายแล้วถอยออกไป ก่อนจะทรงถอนปัสสาสะ 

“เอาสิ เอาเลย พี่จะพูดตามตรง เรารู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยเสด็จอาทั้งสองยังมีพระชนม์ชีพ ชายภาก็รู้ว่าทรงฝากฝังชายเอาไว้กับพี่ ทีนี้ชายนึกดู อายุชายปีนี้ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนา เกือบจะขึ้นเลขสามอยู่แล้ว พี่ยังไม่เห็นชายจะถูกตาต้องใจคนไหนเสียที เรื่องสืบสกุลนี่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเราเป็นราชสกุล”

“ทรงอยากให้ชายแต่งงาน?”

“อ้าว ก็ต้องอยากสิ จะให้พี่เที่ยวไปขอลูกคนนู้นเล่นที คนนี้เล่นทีได้ยังไง”

“แล้วทำไมไม่ทรงเสกเอง”

พักตร์อวบขาวผุดผ่องแต้มสีแดงก่ำ ทรงเอื้อมหัตถ์มาตีพระเพลาพระอนุชา 

“บ้า ชายพูดบ้าๆ พี่อายุจนปูนนี้ ไม่ต่งไม่แต่งแล้ว ชายต่างหากยังหนุ่มยังแน่น เราเป็นหมอก็น่าจะรู้ว่ามีลูกตอนแก่มันไม่ดี ทำไมไม่รีบมี ถ้าหาใครไม่เจอพี่ก็มีแนะนำ หญิงพิศลูกหม่อมรัตน์ไหม เอ...หรือจะชอบอย่างแม่สุรีย์ลูกนายธำรงค์ พี่เคยเห็นแม่คนนี้เขามองๆ ชายอยู่เหมือนกันนะ”

“ชายไม่ชอบ เขาก็ดีแต่...นั่นแหละค่ะ ชายไม่ชอบ ชายไม่ชอบคนที่ชายไม่รัก เพราะไม่อยากเที่ยวมีหม่อมเล็กหม่อมน้อยให้วุ่นวาย ชายมีหม่อมคนเดียวพอแล้ว”

“อ้าว...แล้วจะเอายังไง คนนั้นก็ไม่ชอบ คนนี้ก็ไม่ชอบ เอ๊ะ! หรือจะไปติดใจแม่วิมาลาลูกสาวเจ้าคุณวิเศษข้างวังนั่นกัน เขาลือว่าสวยแล้วก็ยังเรียบร้อย แม่คนนั้นหรือชาย ถ้าชอบก็ได้นะ พี่รู้จักเจ้าคุณวิเศษ จะไปขอให้” 

ตีเรื่องราวได้เป็นคุ้งเป็นแคว น้องชายยิ้มกว้าง

“ชายไม่ชอบเธอแบบนั้น เธอน่ารักก็จริง แต่ชายยังเอ็นดูเธออย่างน้องเท่านั้น”

หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภาทรงทำพักตร์มุ่ย 

“คนนั้นก็เพื่อน คนนี้ก็น้อง ตกลงชายจะไม่มองผู้หญิงเป็นอย่างอื่นเลยหรือยังไง มีผู้หญิงคนไหนบ้างไหมที่ชายจะไม่มองว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นน้อง ไอ้ที่จะมองให้มันแปลกกว่านี้”

พระทัยคนนึกกระตุกไปวูบหนึ่ง ก็...พอจะมีอยู่หรอกคนที่ไม่ได้มองว่าเป็นน้องเป็นเพื่อน แต่จะทูลอย่างไรว่าเคยมีความคิดมองคนเป็น ‘แมว’ มาแล้ว ลูกแมวน้อยแสนซนเสียด้วย ถ้าบอกละมีเรื่องยาวทีเดียว ฉะนั้นจึงทรงอุบโอษฐ์นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบประเด็นนี้ แต่เลี่ยงไปตอบอีกทาง

“ไม่น่ารีบนี่คะ ชายไม่รีบหรอกค่ะ”

“ชายนี่ยังไงกันนะ เป็นผู้ชายแท้ๆ ประการแรกต้องรักษาเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลเอาไว้เสียก่อนสิ จะให้ดิเรกวัฒนาภามาสิ้นเอาเสียรุ่นชายหรือยังไงกัน ไม่รู้ละ ถ้าอยากหาเองก็ให้รีบหาเสีย ถ้าหาช้าประเดี๋ยวพี่จะหาให้ คราวนี้อย่ามาเถียงทีเดียวเชียวนะว่าไม่รักไม่ชอบไม่เอา พี่ถือว่าพี่ให้เวลาชายนานแล้ว” รับสั่งเด็ดขาด คราวนี้ท่าจะทรงเอาจริงกว่าครั้งก่อนๆ

อาจเพราะหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงเป็นกำพร้าเสียตั้งแต่ทรงพระเยาว์ หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภามีพระชันษามากกว่า เลี้ยงดูเล่นกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เป็นทั้งพระเชษฐภคินีและกึ่งพระมารดากลายๆ ฝ่ายพระอนุชาเลยทรงปิดโอษฐ์เงียบ ไม่เถียงสักคำ เพราะอีกไม่นานจะทรงลืมไปเอง เหมือนเช่นทุกครั้งนั่นแหละ ที่ไม่ทรงรู้คือพระเชษฐภคินีพระองค์นี้ไม่เคยทรงลืมเลย และเรื่องนี้เองที่จะนำความเดือดร้อนมาสู่พระองค์เองเฉกเดียวกัน

“อย่าให้พี่รอนานนะชายภา”

“จะพยายามค่ะ”

พระเชษฐภคินีทรงชายพระเนตรค้อนควัก แล้วทรงยืดวรกายขึ้นเสด็จออกไป เจ้าของวังเลยทัก 

“จะเด็จกลับแล้วหรือคะ เหวยกับชายก่อนไหม ชายจะสั่งเขาจัดที่เพิ่ม ไม่ได้เหวยด้วยกันนานแล้ว”

“ไม่ละ พี่ว่าจะแวะไปซื้อของสักหน่อย อย่าลืมที่พี่พูดแล้วกัน เพราะเดี๋ยวพี่จะหางานพิเศษทำด้วยการหาน้องสะใภ้ให้ตัวเอง เล็งไว้แล้วหลายคน ถึงเวลาชายต้องเลือกนะ”

รับสั่งส่งท้ายตอกย้ำก่อนเสด็จกลับ ฝ่ายที่เสด็จออกมาส่งถึงหน้าประตูรถทรงผ่อนปัสสาสะยาว เรื่องแต่งงานเท่านี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ฝ่าบาทจะรับของว่างไหมกระหม่อม” นายมหาดเล็กร้องถาม

เจ้าของวังทรงส่ายพักตร์เคร่ง “ไม่ต้องหรอก ประเดี๋ยวคนบ้านนู้นจะเอาลูกตาลลอยแก้วมาให้ เตรียมรับแล้วเอาชมพู่ในสวนหลังวังจัดใส่จานคืนเขาไปด้วยแล้วกัน ฉันจะขึ้นห้องหนังสือ คงไม่ลงมาจนกว่าจะถึงเวลาอาหารกลางวัน ไม่ต้องกวน” 

รับสั่งแล้วเสด็จขึ้นไป ห้องทรงพระอักษรกว้างขวาง หนังสือทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเรียงรายเต็มห้อง คลังความรู้ที่มีแทบทุกอย่าง ต่อมาจะได้ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ใครคนหนึ่งมากมาย

วิฬาร์ออกจะโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่หลายวันมานี้ไม่ได้พบพักตร์ท่านชายองค์นั้นอีก ที่สำคัญคือความลับเรื่องที่รักก็ยังเก็บเงียบ เพราะขังไว้แต่ในห้อง เจ้าคุณวิเศษเองถึงจะไม่ชอบที่ลูกสาวดั้นด้นจะไปเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็จัดเครื่องอำนวยความสะดวกแก่บุตรสาวคนเล็กอย่างดี ด้วยการมอบรถคันที่เคยใช้ประจำให้รับ-ส่งระหว่างมหาวิทยาลัยกับบ้าน เพราะไม่วางใจพอจะให้บุตรสาวนอนค้างอ้างแรมที่หอตามที่ส่วนใหญ่นิยม

วิมาลาเองก็ออกจะติดน้องสาวอยู่ไม่น้อย เพราะคนในบ้านมีแต่บ่าวที่ถูกสั่งมาให้ฟังเจ้านาย ไม่ใช่ตีเสมอ จะหาคนคุยด้วยแต่ละทีก็ลำบากเหลือแสน ทว่าวิฬาร์เป็นน้องสาว สำคัญคือเรียนมาสูงและมีความรู้ ประเด็นสำคัญอีกประการคือวิฬาร์อ่านหนังสือแตกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วิฬาร์มีหนังสือติดมือมาจากบ้านสองสามเล่ม เป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งสิ้น

“มันอ่านยากไหม ภาษาฝรั่งแบบนี้” พี่สาวนั่งลงถามคนที่เอนกายอ่านหนังสือที่เก้าอี้ในศาลาหลังบ้าน

“ไม่ยากหรอกค่ะ ออกจะง่ายกว่าภาษาเราเสียด้วยซ้ำ แต่ยากตรงที่ต้องจำคำศัพท์เยอะ พูดก็ยากเพราะไม่คุ้นปาก ไม่ค่อยได้พูดกันในชีวิตประจำวันเสียด้วย แหม่มที่น้องรู้จักยังบอกว่าคนไทยลิ้นแข็ง” วิฬาร์ว่าไปตามจริง

แถวบ้านวิฬาร์เคยมีแหม่มต่างชาติมาอาศัยอยู่กับสามีที่เป็นวิศวกร สร้างอะไรกันก็ไม่รู้ รู้แต่แหม่มหาเพื่อนไม่ได้ มีวิฬาร์เรียนสูงพอพูดได้บ้าง แม่ก็เลยวานให้แหม่มมาช่วยสอนด้วยค่าจ้างตามสมควร เผอิญจริตคนเรียนกับคนสอนค่อนข้างตรงกัน นานไปวิฬาร์ก็ได้เรียนฟรี เมื่อถึงเวลาสามีเสร็จธุระจะย้ายกลับ ลูกศิษย์กับครูก็ล่ำลาอาลัย แหม่มเลยให้หนังสือภาษาอังกฤษมาหอบใหญ่

“อ่านให้พี่ฟังหน่อยสิ ไม่ค่อยจะได้ฟังภาษาฝรั่งกับเขาเท่าไหร่ เขาว่ามันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง อักขระวิธีการออกเสียงอะไรมันแปลกกว่าภาษาเรามาก” 

น้องสาวยินดีเสมอที่จะอ่านและแปลให้ฟัง เพราะทุกครั้งวิมาลาเป็นต้องกำนัลค่าจ้างอ่านกับแปลของน้องสาวด้วยขนมอร่อยๆ เรื่อยไป

เสียงอ่านเจื้อยแจ้ว สำเนียงเพี้ยนบ้างแต่ถือว่าชัดเจนตามสมควร และมากกว่าอีกหลายคนที่ไม่ได้เรียนจบเมืองนอกเมืองนามา เสียงหวานๆ เล็กๆ ดังจากศาลาบ้านตัวเองไปกระทบโสตเจ้าของวังข้างเคียงผู้ประทับอ่านหนังสืออยู่ริมระเบียงห้องบรรทม ฝ่ายที่ฟังลดหนังสือลง ฟังเรื่อยไป เพี้ยนตรงไหนก็ทรงแย้มยิ้มนึกตาม ตรงนี้อ่านเพี้ยน ตรงนี้น่าจะอ่านอย่างนี้ สำเนียงต้องออกลมให้มากกว่านี้ ตรงไหนที่อ่านดี แปลสละสลวยก็พึงพระทัย ชื่นชม...

หาผู้หญิงเก่งยาก แต่ก็น่าจะเจอแล้วคนหนึ่ง นี่ยังไม่ได้เริ่มเรียนในมหาวิทยาลัย ถ้าได้เรียนได้ขัดเกลาอีกนิดจะเก่งมาก นึกเลยไปถึงขั้นที่ว่าน่าจะช่วยแปลตำราภาษาอังกฤษได้ หรือจะจับฝึกเยอรมันเพิ่มเข้าไปดี แล้วก็ทรงพระสรวลกับองค์เอง นายมหาดเล็กกะพริบตามองปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจเจ้านายตัวเท่าไร

แม้จะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องพบกันอีก เพราะพระองค์เองก็ยุ่งพอสมควร ทรงเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลที่ต้องตรวจคนไข้วันหนึ่งไม่น้อยทีเดียว นานครั้งจะได้มีวันหยุดกับเขา เสด็จออกจากวังแต่เช้า กว่าจะกลับก็จวนค่ำ บางวันก็เลยไปเยี่ยมเพื่อนฝูง เข้าสมาคมกับเขาบ้าง แทบจะไม่ได้พบ ที่พบคือเสียงหวานเจื้อยแจ้วอังกฤษบ้างไทยบ้าง เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าศาลาบ้านตัวกับห้องบรรทมอยู่ตรงกัน ความจริงก็ไม่ประสงค์จะให้รู้ เพราะถ้ารู้คงไม่มาอ่าน

วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อวานทรงหงุดหงิดนิดหน่อยที่เสียงหวานๆ เจื้อยแจ้วนั้นหายไป เจ้าตัวคงติดธุระหรือเปลี่ยนใจไปนั่งอ่านหนังสือที่อื่นเสียแล้วก็ไม่รู้ เช้านี้เลยเสวยไม่ค่อยอร่อยเท่าไร เสร็จแล้วก็ทรงคว้าฉลองพระองค์นอกไปประทับในรถ ให้นายมหาดเล็กขับพาไปโรงพยาบาลตามปกติ ที่ไม่ปกติคือระหว่างทางพระทัยไม่ค่อยอยู่กับองค์เองเท่าไร ยังติดพระทัย...จะหายไปไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าทรงรอฟังเสียงนั้นไป

“เอ๊ะ!” 

นายคนขับรถร้องเบาๆ แต่ดึงสติให้กลับมาทอดพระเนตรมองตรงไป รถคันคุ้นตาจอดนิ่งอยู่ข้างทาง จำได้ว่าเป็นรถประจำของเจ้าคุณวิเศษ รับสั่งให้ชะลอเพราะดูคล้ายรถจะมีปัญหา นี่ก็เลยบ้านมามากแล้ว ดูท่าลำบาก เห็นจะต้องช่วยเหลือกัน

“ชะลอถามก่อน รถเจ้าคุณเป็นอะไร”

พอนายคนขับชะลอเทียบข้าง คราวนี้ทรงเลิกขนงนิดๆ เพราะนอกจากนายคนขับรถของบ้านนั้นแล้ว คนที่ยืนกอดหนังสือในอ้อมแขนก็มิใช่เจ้าคุณวิเศษสรลักษณ์ผู้เป็นเจ้าของรถ แต่เป็นสตรีร่างบางในชุดนิสิตาแลแปลกพระเนตรมากกว่า หน้ามุ่ยทีเดียว พอรถจอดเทียบ นายคนขับรถของพระองค์ก็วิ่งตื๋อลงไปถามนายคนขับรถอีกฝ่าย คุยกันสองสามประโยคอะไรบ้างมิได้สนพระทัย เพราะสนแต่คนที่เหลือบตาขึ้นมองแล้วก็หลุบต่ำเหมือนไม่อยากสบพระเนตร ยืนเลี่ยงเอารถบังกายเหมือนจะให้พ้นสายพระเนตรเสียอย่างนั้น ไม่นานคนของพระองค์ก็วิ่งกลับมารายงาน

“รถน่าจะตายกระหม่อม แก้ไม่ได้ เขากำลังจะไปส่งลูกสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณไปเรียนมหาวิทยาลัย ฝ่าบาทจะโปรดให้จัดการอย่างไร”

ใช้เวลาไม่นานก็ทรงยิ้มนิดๆ “ไปบอกเขาว่าฉันแวะไปส่งได้ ให้ลูกสาวเจ้าคุณวิเศษมาขึ้นรถฉัน บอกเขาว่าให้วางใจ ฉันจะส่งถึงหน้าตึกทีเดียว” 

รับสั่งอย่างนั้น นายคนขับรถก็วิ่งไปบอกแบบนั้น ร่างบางกอดหนังสือสองสามเล่มของตัวเองแน่น หน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม ก้มลงไปคุยกับคนขับรถของตัวเองอีกหลายประโยคคล้ายจะต่อรองกัน ทว่าท้ายที่สุดก็จำใจต้องเดินมาขึ้นรถจนได้

มือบางเอื้อมเปิดประตูรถด้านหน้าฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วหันมายกมือไหว้อ่อนน้อม 

“ทรงกรุณาที่รับหม่อมฉันขึ้นรถมาด้วย” 

ว่าเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าซาบซึ้งจริงใจหรือแค่หงุดหงิดใจที่ต้องมาขึ้นรถคันนี้ ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ทำให้อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านที่ติดอยู่ในพระทัยตั้งแต่เมื่อวานหายไปเกือบหมด

“ฉันจะใจดำปล่อยให้นิสิตาคนใหม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยสายได้อย่างไร”

“เป็นพระกรุณาเพคะ” 

เจ้าตัวบอกสั้นๆ เหมือนพยายามจะตัดบทสนทนาให้สั้นที่สุด แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับเริ่มสนุก รถเคลื่อนออกไปแล้ว มุ่งตรงไปสู่เป้าหมายซึ่งออกจะอ้อมไกลจากโรงพยาบาลอยู่สักหน่อย

“เป็นเฟรชแมนแล้วนี่ คณะอะไร”

“อักษรฯ เพคะ” เจ้าตัวมิได้ทักท้วง บ่งบอกว่ารู้ภาษาอังกฤษดีว่า ‘เฟรชแมน’ ในที่นี้หมายถึงอะไร

“จะเป็นครู?”

“ไม่ทราบเพคะ เรียนเพราะอยากเรียนเท่านั้นเอง” 

นั่นแหละ ตัดการสนทนาได้ดีที่สุด ทว่าอีกฝ่ายกลับทรงยิ้ม ทอดพระเนตรคนที่นั่งหลังตรงตัวเกร็งตรงที่นั่งตอนหน้าพลางคิดว่า ‘ก็เหมาะจะเรียน’ วันนี้ผมยาวๆ เส้นเล็กสวยของอีกฝ่ายมัดเก็บเรียบร้อย ดวงหน้าไร้เครื่องสำอางเกลี้ยงเกลา ไม่ต้องแต่งให้จัดจ้านอะไรนักหนาก็น่ารักสมวัยดี คนที่ถูกจ้องก็คล้ายจะรู้ตัว เพราะนั่งกระสับกระส่าย จึงรับสั่งอีก

“รถของฉันดูจะนั่งไม่สบายเท่ารถเจ้าคุณวิเศษ”

“มิได้เพคะ”

“งั้นก็ควรจะนั่งให้นิ่ง หรือสาวๆ สมัยนี้เวลานั่งรถต้องคอยขยับตลอดเวลา ระวังกระดูกจะเคลื่อนเอาเสียก่อนนะนิสิตา” ทรงเรียกว่านิสิตาจนคนฟังเริ่มรู้สึกแปลกๆ “วันนี้รถคงซ่อมเสร็จไม่ได้ง่ายๆ มหาวิทยาลัยเลิกเรียนเมื่อไหร่ล่ะ ไว้ฉันจะแวะมารับกลับไปส่งให้”

คนฟังอึกอัก เพราะไม่อยากนั่งร่วมรถกัน มันน่าอึดอัดน้อยเสียเมื่อไร 

“ทรงกรุณาเพคะ แต่หม่อมฉันหารถจ้างกลับเองก็ได้ ไม่อยากรบกวนให้ฝ่าบาทลำบาก” จะทำอะไรก็ได้ ขอให้พ้นออกจากตัวไว้ก่อน ไม่ชอบเลยต้องมานั่งรถอึดอัด โดนพระเนตรคมคู่นั้นทอดมองให้ยิ่งเสียวสันหลังวูบวาบ

“ฉันมาส่งเธอได้ กระไรฉันจะรับเธอกลับไม่ได้ จะต้องนั่งรถจ้างให้เสียสตางค์ทำไม”

“เกรงพระทัยเพคะ”

ทรงยิ้มนิดๆ แต่คนนั่งหน้ามองไม่เห็นหรอกถึงได้ยิ้มได้ รถคันนี้มีแต่คนอยากนั่ง ผู้หญิงทั้งหลายมองตามตาละห้อยหา แม้แต่นางพยาบาลยังคอยมาเมียงมองว่าคราวใดจะได้มีวาสนา ทรงรู้หมดนั่นแหละ แล้วดูแม่ลูกแมวน้อยนี่เถิด ได้นั่งรถราคาแพงมิใช่น้อย ซ้ำยังนั่งร่วมกับเจ้า มีอย่างหรือมาทำท่าอึดอัดกระฟัดกระเฟียด หรือไปทรงทำอะไรให้โกรธเอาเสียก็ไม่รู้

“ที่ฉันพูดเอง หมายความว่าฉันคิดแล้วว่าฉันทำได้ ไม่ได้ลำบากอะไรนักหนา อันเดอร์แสตนด์ เฟรชแมน” จบด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจน 

วิฬาร์พูดอะไรไม่ออก เพราะเหมือนโดนดักเอาไว้เสียทุกทาง จะให้ตอบตามตรงก็เสียมารยาท เกิดไปรับสั่งฟ้องเจ้าคุณพ่อว่าลูกสาวพูดจาไม่น่ารักเข้าให้อีกจะเป็นเรื่อง ท้ายที่สุดก็จำใจพยักหน้ารับ

“สี่โมงเย็นเพคะ”

“ตามนั้น” 

รับสั่งสั้น จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดอีกจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย นายคนขับรถที่นั่งฟังการสนทนาตลอดทางแต่ถูกฝึกให้นิ่งเอาไว้ ทำตามหน้าที่ของตนคือวิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้ร่างบางระหงก้าวลงมายืน หญิงสาวประนมมือไหว้นอบน้อมแล้วเดินออกไป

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงแย้มริมโอษฐ์อีกนิด แล้วก็ปรับให้ราบเรียบ เพราะเมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลจะต้องทำให้คนเขาเชื่อถือนั่นเอง ยามอยู่โรงพยาบาลจะเป็น ‘คุณหมอท่านชาย’ ที่ใครหลายคนเกรงใจนักหนา หลายครั้งทรงเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ในการผ่าตัดใหญ่ หลายครั้งต้องทรงสอนนักศึกษาแพทย์เอง งานวันนี้คนเยอะ แต่พระทัยรื่นเริง เพราะทรงรู้ว่าตอนเย็นจะได้เจอแม่ลูกแมวแสนงอนคนนั้นอีก

เกือบถึงเวลาที่นัดแนะก็เสด็จโดยรถยนต์ออกไป พยาบาลหลายคนแปลกใจที่ทรงออกงานก่อนเวลา แต่มิได้รับสั่งว่ากระไรก็ไม่มีใครกล้าทักท้วง พอมาถึงมหาวิทยาลัยก็พระทอดเนตรเห็นร่างบางระหงยืนคุยอยู่กับนิสิตาอีกสองสามคน นัยว่าคงจะเป็นเพื่อนกันนั่นเอง พอรถแล่นเข้ามาก็พากันสะกิดดู นั่นแหละวิฬาร์ถึงได้หันมามอง แล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวลาแล้วเดินมาเทียบที่รถ นายมหาดเล็กคนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้ ทว่าคราวนี้เป็นประตูที่นั่งข้างหลัง คนมองชะเง้อมองที่นั่งข้างคนขับ

“มีของขอรับ เชิญคุณนั่งหลังจะดีกว่า” คนขับออกตัวอย่างรู้งาน ของอะไรไม่รู้ แต่รับสั่งให้ขนมากองไว้ที่เบาะหน้า

“ฉันนั่งเบียดของได้” 

เห็นคนพูดทำราวกับเป็นของน่ากลัว หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์จึงทรงยื่นพักตร์ออกมา

“มานั่งเถอะ รับรองว่าฉันจะไม่กัดไม่ข่วนเธอ” 

รับสั่งอย่างนั้น คนฟังก็ทำอะไรไม่ได้อีกเช่นเคย ถึงจะซนแสนซนอย่างไร แม่ก็เคยสอนว่าควรจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวเวลาใด โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นเจ้า เป็นเจ้าที่สนิทกับเจ้าคุณพ่อเสียด้วย วิฬาร์รู้สึกตัวเองตัวเล็กลงเท่ามดยามขึ้นไปนั่งข้างๆ ฝ่ายที่ประทับอยู่ก่อน เอาตัวแนบชิดติดไปกับประตูรถทีเดียว ความจริงรถไม่กว้างมาก แต่คนตัวเล็กก็ทำให้รถดูกว้างเสียเหลือเกิน

“เรียนเป็นยังไง”

“ก็ดีเพคะ”

แล้วก็ทรงนิ่งไป จะหาอะไรมาพูดดี รถเงียบๆ อย่างนี้ไม่ดีเลยสักนิดเดียว เพราะอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน ไม่หาเรื่องพูดเสียหน่อยก็อึดอัดประหลาดละ แล้วคล้ายทรงนึกอะไรได้

“แมวของเธอ ตัวที่มันหลุดเข้ามาในวังคราวนั้น เธอจะเลี้ยงไว้ไม่ให้เจ้าคุณกับพี่สาวเธอรู้ใช่ไหม”

เมื่อเข้าเรื่องที่มีชนักติดหลัง คนฟังก็สะดุ้ง 

“หม่อมฉันอยู่ที่บ้านไม่ค่อยมีเพื่อนคุยเพคะ” หญิงสาวทูลอ้อมโลก ไม่ตอบตรงๆ “คุณพี่วิเธอก็อยู่แต่ในครัว เจ้าคุณพ่อก็ทำงาน จะเล่นกับบ่าวก็ไม่งาม เหลือแต่แมวอย่างเดียวที่พอจะเล่นด้วยได้ให้คลายเหงา”

ทรงแย้มยิ้มสวย “ฉันถามไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะฟ้องใคร แต่คิดว่าจะปิดไว้เป็นความลับได้นานเท่าใดกันเชียว แมวทั้งตัว” 

นั่นแหละเรื่องที่คนต้องมาเรียนกังวล แต่ทูลอะไรไม่ออก 

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทอดพระเนตรเห็นบรรยากาศอึดอัดพิกลก็ทรงคลายบรรยากาศนั้นเอง 

“แล้วแมวเธอ ชื่อว่าอะไรนะ”

“ที่รักเพคะ”

“อีกทีซิ ฉันฟังไม่ชัด”

“ที่รักเพคะ”

เพียงเท่านั้นหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ก็ทรงหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะไม่ได้อ้าปากตาค้างอะไร แค่ทรงพระสรวลเบาๆ ในศอเท่านั้น แต่คนฟังหน้ามุ่ย ชื่อแมวของหล่อนมันน่าขำตรงไหน ออกจะน่ารักจะตายไป ราชนิกุลหนุ่มเองก็ดูจะทรงรู้ เพราะทรงกลั้นหัวเราะไว้ ทรงยิ้มกว้างกว่าเก่าเพียงนิดเดียวก่อนจะรับสั่ง

“จำเอาไว้นะวิฬาร์ว่าอย่าไปเรียกชื่อแมวของเธอให้ผู้ชายที่ไหนฟังอย่างนี้อีก”

ทีแรกคนฟังไม่เข้าใจ สักครู่พอทบทวนแล้วแก้มก็แดงเป็นลูกตำลึงสุก ไม่นานก็ลามไปทั้งหน้า 

ฝ่ายที่ทอดพระเนตรทรงกลั้นหัวเราะ มองดวงหน้าหวานใสแดงซ่าน แกล้งง่ายดีเหลือเกิน เท่านี้ก็อายม้วนเสียแล้ว แววตาโกรธงอนที่ทอดมองมาก็ช่างกระไร มันยั่วยุให้อยากแกล้งเหลือเกิน นี่ไงผู้หญิงที่เห็นเป็นลูกแมว...อยากเอาหัตถ์ขยี้หัวเกาคาง แต่ถ้าทรงทำคงประหลาดพิลึก

การสนทนาในรถจบลงแต่เพียงเท่านั้น เพราะวิฬาร์ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ส่วนใดของรถ รับสั่งอะไรไม่เข้าท่า หลอกให้หล่อนเรียกว่า ‘ที่รักเพคะ’ เสียได้ตั้งสองครั้ง รู้สึกเหมือนโดนแกล้งอีกแล้วเลย ทำไมนะทำไม กับท่านชายองค์นี้จะต้องทำให้ได้อายอยู่ร่ำไป หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ รอเพียงเวลาถึงบ้านเท่านั้น

พอถึงบ้านวิฬาร์ก็ลงรถโดยไม่รอให้นายมหาดเล็กคนขับมาเปิด ทูลให้ส่งแค่หน้าบ้านเท่านั้น ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เข้าไปข้างใน อยากจะวิ่งขึ้นไประบายความอายบนห้อง แต่เป็นอันต้องชะงักฝีเท้า ข้างในวุ่นวายอะไรกันไม่ทราบ บ่าววิ่งไปมากันเต็มบ้าน เย็นตาสายตาไวกว่าใคร เห็นนายตัวเองกลับมาก็ตรงเข้ามาหาแล้วจับแขน จะพูดแต่พูดไม่ออก จนกระทั่งเจ้าคุณวิเศษสรลักษณ์เดินมาหา ชายสูงวัยแต่ร่างสูงหนายังกำยำแข็งแกร่ง โครงหน้าคมเข้มเกือบดุตอนนี้เคร่งเครียด

“กลับมาแล้วหรือวิฬาร์ ขอโทษทีที่พ่อไม่ทันได้ไปรับ พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย”

“อะไรคะ” วิฬาร์ถาม ก่อนจะหันไปเห็นวิมาลานั่งสะอื้นอยู่บนเก้าอี้ถัดออกไป ถึงจะไม่ได้สนิทอะไรนัก แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สาว วิฬาร์แทบจะทิ้งหนังสือวิ่งเข้ามาหา จับแขนแล้วเรียกเสียงแผ่ว

“คุณพี่วิขา มีอะไร ทำไมต้องร้องไห้”

วิมาลาเงยหน้า ตาแดงๆ “แมวจ้ะ แมวที่ไหนก็ไม่รู้หลุดเข้ามา อยู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมานั่งตักพี่ น่ากลัวเหลือเกินวิฬาร์” 

คนฟังใจหายวูบ หันไปสบตาบ่าวส่วนตัว เย็นตาเองก็ตาแดงๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ว่าเจ้าแมวตัวปัญหาไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากเจ้าที่รักของหล่อนนั่นเอง ทว่าที่ทำให้วิฬาร์เข่าอ่อนเกือบจะทรุด คือคำสั่งของคนเป็นพ่อที่ตะโกนสั่งบ่าวลั่นบ้าน

“รีบๆ หาให้เจอ แล้วจะเอาไปปล่อยหรือไปทำอะไรก็ตามใจ!”

หัวใจวิฬาร์คล้ายจะหยุดเต้นเอาเสียให้ได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น