บทที่ ๗

บทที่ ๗

 

รถสองคันแล่นเคียงกันไป คันหนึ่งมีนายมหาดเล็กเป็นผู้ขับ เจ้านายทั้งสองนั่งหลังคุยกันเรื่อยไปตามทาง วิมาลาสุขจนล้นจะสุข สุขจนแทบพูดอะไรไม่ออกทีเดียว ขณะที่คู่สนทนาของหล่อนกำลังเล่าเรื่องราวภายนอกมากมายที่ไม่เคยรับรู้ให้ฟัง ทว่าสายพระเนตรทอดผ่านกระจกมองหลังไปยังรถที่แล่นตามมา รถที่มีประจบเป็นคนขับและมีร่างบอบบางในชุดสีขาวที่เขาบรรจงเลือกอย่างดี วิฬาร์สวมชุดนั้นแล้วสวยเหมือนที่คิดไว้ ความจริงคือสวยกว่าที่คิดไว้มากเลยทีเดียว น่าอิจฉาประจบ...

“งานนี้คนเยอะไหมเพคะฝ่าบาท” 

คนถามถามเสียงหวานนุ่ม ฝ่ายที่ทรงฟังจึงทรงละสายพระเนตรกลับมายังคนถาม ทรงยิ้มหวานอ่อนโยน ก่อนจะทรงตอบด้วยสุรเสียงนุ่มทุ้ม

“เยอะ แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ขอแค่เธออยู่ข้างๆ ฉันตลอดเวลาเท่านั้นก็พอ” 

วิมาลาโต้เถียงอยู่ในใจ หล่อนจะหนีท่านชายไปไหนได้ อย่างหล่อนหรือจะอยากออกห่างจากท่านชาย ไม่หรอก ไม่มีทาง...หล่อนอยากจะอยู่ใกล้ร่างนี้ ฟังเสียงนี้ตราบนานเท่าที่จะนานได้

“เพคะ” หล่อนรับคำสั้นเหมือนรู้งาน เพราะยามนี้เจ้าของวรกายสูงหนาทรงขยับประทับหลังตรงเพราะใกล้ถึงสถานที่จัดงานเต็มที

งานจัดอยู่ในห้องของโรงแรมที่หรูที่สุดในยามนั้น รถมากมายที่ล้วนบ่งบอกฐานะเจ้าของจอดเรียงราย นายมหาดเล็กวิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้เจ้าของวรกายสูงหนาเสด็จลงมา ก่อนจะวิ่งไปเปิดให้ร่างบางก้าวลงมาบ้าง ตอนนั้นเองที่คนทั้งงานหยุดชะงักแล้วหันมารวมสายตาไว้ที่คู่มาใหม่ เสด็จใกล้ให้หล่อนควงแขนเดินผ่ากลางเข้างานไป แสงจากกล้องวูบวาบ เสียงพูดคุยเล่าลือตามมาอีกมากมาย

สำหรับวิมาลาในตอนนี้ หล่อนช่างภาคภูมิใจเหลือเกิน ภาคภูมิใจที่ได้อยู่ในร่างนี้ ได้เดินควงกับอีกฝ่ายเช่นนี้ นายแพทย์หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ไม่เคยทรงมีข่าวเรื่องผู้หญิง ไม่มีแม้กระทั่งจะทรงควงใครออกงานอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หล่อนมั่นใจ แม้กระทั่งคนที่จะเข้านอกออกในวังน้ำค้างได้ก็เห็นจะมีแต่หล่อนกับน้องสาวอย่างวิฬาร์เท่านั้น ความภาคภูมิใจยิ่งทบทวีเมื่อผู้หญิงทั้งงานอิจฉาหล่อน และได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนบ่นเสียดาย วิมาลารู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองที่เพิ่มขึ้นในราตรีนี้

รถอีกคันแล่นมาจอดไม่ห่างกันนัก ทิ้งช่วงเพียงไม่นาน เจ้าของร่างสูงที่ทำหน้าที่พลขับก็วิ่งอ้อมลงมาเปิดประตูให้ร่างบางในชุดสีขาวกระโปรงยาวเลยเข่านิดหน่อย ประจบยืดตัวขึ้นลงให้ลูกศิษย์สาวเกาะแขนเกี่ยวให้แน่นแล้วพาเดินเข้างาน ความสนใจจึงเทไปหาประจบบ้างในฐานะประธานของรุ่นกับสาวน้อยหน้าใหม่คนนี้ แสงวูบวาบจากกล้องสว่างเสียจนวิฬาร์ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบ อาจารย์เลยเอาตัวบังลูกศิษย์ไว้แล้วหลีกเร้นเข้าไปในงาน

“เกือบตายกระหม่อม” ประจบบ่นกับคนที่ยืนรอ 

วิฬาร์เองในเวลานั้นค่อยตั้งตัวได้บ้างแล้ว ก้มหน้าลงจับชายกระโปรงให้เข้าที่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรคมระยับที่ดูราวกับจะทอดพระเนตรหล่อนตั้งแต่หัวจดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะทรงหันพักตร์ไปหาคนข้างกาย รับสั่งสุรเสียงหวาน

“อย่างนั้นก็เข้างานเถอะ ฉันอยากอวดวิมาลาเต็มที” 

คนโดนอวดแก้มแดง หน้าแดง ประจบหัวเราะเยาะอยู่ในลำคอ เพราะรู้ดีว่าสนพระทัยคนไหนมากกว่ากัน ระหว่างอัปสรร่วงจากฟ้า กับวิฬาร์ แม่ลูกแมวน้อยคนที่เขาควงอยู่นี่ ด้วยอารมณ์หมั่นไส้เพื่อน เลยกระชับแขนรั้งร่างบางของลูกศิษย์เข้ามาใกล้อีกนิด

“ก็ดี กระหม่อมก็อยากจะอวดคู่ควงของกระหม่อมให้คนอื่นเห็นเหมือนกัน” แล้วหันมาพูดกับคนข้างกาย “วันนี้คุณสวยมากนะวิฬาร์ ผมคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ขอให้คุณมาเป็นคู่ในคืนนี้”

“อาจารย์...อ้อ...คุณประจบชมฉันเกินไปแล้วค่ะ”

“อย่ามัวแต่มาชมกันอยู่เลย เข้างานเถอะ เธอเป็นประธานรุ่นนะประจบ อย่าปล่อยให้คนอื่นเขารอเลย” คนฟังรับสั่งเสียงสะบัดแล้วจึงเสด็จนำ ขณะที่ประจบยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรไป 

ข้างในห้องจัดงานมีคนมาก หลากหลายทั้งชายและหญิง ส่วนมากเป็นศิษย์เก่าในสโมสรทั้งนั้น บางคนได้เป็นหลวง เป็นพระยา บางคนทำมาค้าขายร่ำรวย บางคนก็ทำงานในกรม กระทรวง บ้างก็เป็นผู้หญิง ส่วนมากมองหาท่านชายกันทั้งนั้น แล้วก็ทำสีหน้าผิดหวังเมื่อเห็นว่าเจ้าของวรกายสูงมิได้เสด็จมาคนเดียวเหมือนเคย แต่ทรงควงคู่มากับผู้หญิงที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าในวงสังคมนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าหล่อนอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนสวยงามจับตาอย่าบอกใคร 

วิมาลาค่อยได้เชิดลำคอระหงขึ้นอีกนิดจากสายตาเหล่านั้น

...หล่อนเหนือกว่าผู้หญิงเหล่านั้น...

ทว่าอีกคู่ที่เข้างานมาพร้อมกันก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร เพราะประจบเองก็ขึ้นชื่อในรุ่นว่าควงเพื่อนออกงานมากกว่าควงผู้หญิง จะไปไหนถ้าต้องมีคู่ประจบมักเรียกใช้งานเพื่อนของตัวเองมากกว่า นานเข้าจำนวนเพื่อนก็น้อยลงเพราะออกเหย้าออกเรือนกันไป วันนี้คนที่ควงมามิใช่เพื่อน แต่เป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก วันนี้เลยมีแต่เสียงฮือฮา เพราะสองหนุ่มระดับต้นๆ ของรุ่นควงใครที่ไหนมาก็ไม่รู้

“นึกว่าจะไม่เด็จ แล้วนี่เด็จมากับใคร”

คนทักมิใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากหลวงวัชรวิบูลย์ เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนที่จะนับว่าสนิทนั้นก็ใกล้กว่าคนอื่นอีกมาก อีกประการคือคุณหลวงท่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้มาตั้งแต่สมัยรุ่นๆ ผู้หญิงคนใดในรุ่นไม่เคยถูกชวนกินข้าวก็ให้ถือว่าตัวเป็นคนไม่สวยได้เลย แม้ในยามเข้ารับราชการแล้วชื่อเสียงเหล่านั้นก็มิได้ลดลง

“วิมาลา ลูกสาวคนโตของเจ้าคุณวิเศษ พันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์” ทรงแนะนำอย่างเสียไม่ได้ แม้จะสนิทแต่ก็ด้วยเรื่องเรียน เรื่องเล่นต่างๆ มิใช่ด้วยเรื่องนิสัยส่วนตัว คุณหลวงเป็นเพื่อนที่เที่ยวด้วยสนุกเพราะเข้าใจจะเที่ยว แต่ไม่ใช่เพื่อนที่จะมาคุยเรื่องผู้หญิงได้

“อ้อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ กระผมหลวงวัชรวิบูลย์” เขายื่นมือออกไปให้หล่อนจับตามธรรมเนียมฝรั่ง แต่วิมาลานิ่ง หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงแก้แทน

“วิมาลาเขาไม่คุ้นธรรมเนียมฝรั่ง แล้วนี่เธอมากับใคร ใช่โฉมฉายหรือเปล่า” เมื่อทรงทึกทักออกไป หน้าคนฟังก็คล้ายมีรอยเบื่อหน่าย

“เปล่ากระหม่อม แม่โฉมเขาอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปตามประสาเขา วันนี้กระหม่อมมากับแม่รุ่ง” แล้วก็เงียบแต่เพียงเท่านั้น เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทรงทราบดี โฉมฉายเป็นภรรยาตามกฎหมายของเขา ส่วนผู้หญิงที่ชื่อรุ่งนี้เป็นภรรยารองลำดับที่เท่าไรของเขาแล้วเขาเองก็คร้านจะนับ ถือเอาว่าเป็นคนกิริยามารยาทดีที่สุดในบรรดาคนที่เหลือก็แล้วกัน เต้นรำก็ใช้ได้ ไม่อายขายขี้หน้าใครเขา

“ถ้าอย่างนั้นฉันกับวิมาลาขอตัวไปทักทายคนอื่นบ้างก็แล้วกัน” 

รับสั่งแล้วก็ทรงดึงร่างบางออกไปจากตรงนั้น คุณหลวงมองตามหน้าง้ำ เพราะออกจะถูกใจสาวเจ้าอยู่ไม่น้อย ชาติตระกูลก็มี ความงามหรือก็งามกว่าพวกแม่รองแม่เอกทั้งหลายของเขาอย่างแทบจะเทียบกันไม่ติด น่าเสียดายที่โดนคนอื่นเห็นไปเสียก่อน แล้วก็หันกลับไปมองประจบซึ่งยืนคุยอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม สาวที่ประธานรุ่นควงมาก็น้อยหน้าใครที่ไหน

“เป็นอย่างไรบ้างประจบ” เขาทักทาย แต่สายตาจ้องมองวิฬาร์ตลอดทั้งตัวอย่างน่าเกลียด ประจบมองตามสายตาเพื่อนที่รู้เช่นเห็นชาติกันดีแล้วก็หัวเราะในลำคอ

“ก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรอกคุณหลวง ว่าแต่คุณหลวงเถอะ บรรดาเมียกับลูกๆ เป็นโขยงของคุณหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ที่บ้านคงจะสนุกสนานกันดีนะ” 

รอยเยาะหยันในน้ำเสียงนั่นเองที่ทำให้คนฟังหน้าชา เพราะโดนโจมตีเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดประเด็นอะไรเลยสักอย่าง

วิฬาร์กลั้นขำเสียแทบแย่ แล้วก็เงยหน้ามองอาจารย์ของตัวเองขณะที่เดินหลุดออกมาจากตรงนั้น “อา...อ้อ คุณประจบทำเขาเสียหน้ามากนะคะ”

“ก็มันน่าทำ มีลูกมีเมียอยู่เป็นโขยงแล้ว ยังจะมาทำสายตาเจ้าชู้ใส่ผู้หญิงคนอื่นอย่างนี้มันใช่เรื่องหรือ ไม่ได้การละ เห็นทีเราต้องไปรวมอยู่กับท่านชายและพี่สาวของคุณเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นจะโดนมองด้วยสายตาอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น” 

ว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินเลยออกไปหามุมสงบที่วิมาลานั่งจิบเครื่องดื่มอยู่กับเจ้าของวรกายสูงหนา วิฬาร์นั่งข้างพี่สาว มองแก้วน้ำสีเข้มขุ่นในมืออีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ

“คุณพี่วิดื่มเป็นด้วยหรือคะ”

“เปล่าจ้ะเปล่า พี่หยิบผิดน่ะ เขากำลังจะเอาน้ำผลไม้มาเปลี่ยนให้ ไอ้ของอย่างนี้พี่กินไม่เป็นหรอก” 

วิมาลาออกตัว ความจริงก็อยากลอง เพราะเห็นผู้หญิงในงานหลายคนยืนจิบกันโก้ๆ ราวกับเป็นของอร่อย เสียแต่ว่าคนที่หล่อนควงมาด้วยทรงห้ามไว้เสียก่อน เพราะหล่อนยังไม่เคยดื่ม จะเมาเอาได้ง่ายๆ วิฬาร์เองก็พลอยถอนหายใจไปด้วย 

อีกฝั่งหนึ่งประจบก็คุยอยู่กับคนที่ประทับวรกายยืดตรง

“เมื่อครู่ทรงเจอคุณหลวงวัชระไหม”

“อ้อ เจอเหมือนกันหรือประจบ”

“เจอสิกระหม่อม จ้องวิฬาร์เสียอย่างกับจะจับกระโจนหนีไปจากตรงนั้น” 

คำบอกเล่าทำให้ทรงหันมาทั้งองค์ สายพระเนตรคมกร้าวไม่พอพระทัย สุรเสียงทุ้มต่ำ

“แล้วได้ทำอะไรหรือเปล่า”

คนฟังหัวเราะในลำคอ “ยังฝ่าบาทยัง ดีว่ากระหม่อมพาออกมาได้ก่อน แค่ชื่อวิฬาร์คุณหลวงยังไม่รู้จักเลย อย่ากังวลพระทัยไป อย่าด่วนทรงรีบหึงหวงอย่างนั้น” 

คำบอกเล่าทำให้คนฟังสะดุ้งเตือนตัว ทรงสงบสติแล้วค่อยรับสั่งถามเรียบๆ ไม่ได้แสดงอาการโมโหเกินควรอย่างเมื่อครู่นี้อีก

“ใครเขาหึงหวงอะไร พูดจาไม่เข้าท่านะประจบ”

“อ้อ หรือกระหม่อม ก็ดี เพราะเดี๋ยวกระหม่อมจะพาวิฬาร์เขาออกไปเปิดฟลอร์เสียหน่อย งานวันนี้ไม่มีลูกศิษย์ไม่มีอาจารย์ กระหม่อมคงจะทำลืมๆ ไปได้ว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ของกระหม่อม” 

ว่าอย่างนั้นแล้วประจบก็ลุกออกไปนั่งคุยกับลูกศิษย์สาวของเขาแทน วิฬาร์เองก็ดูจะคุยกันถูกคอดีกับคนเป็นอาจารย์ พักตร์คมราบเรียบแต้มสีเข้มขึ้น แสดงอาการไม่พอพระทัยชัดเจนแต่ทรงเงียบเอาไว้...ประจบทำเกินหน้าที่

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเชื้อเชิญให้ประจบออกไปกล่าวอะไรสักเล็กน้อยเป็นการเปิดงาน เขาออกไปพูดอะไรอยู่สักอย่าง แต่หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์มิได้ทรงฟังที่เพื่อนกล่าว สายพระเนตรทอดจับแต่คนที่นั่งก้มหน้ากินขนมชิ้นเล็กๆ ในจาน จะทอดพระเนตรทางนั้นก็ต้องผ่านร่างวิมาลาไป เลยกลายเป็นว่าสายพระเนตรไปสบเข้ากับวิมาลาอย่างจัง คนมองก้มหน้า 

ไม่นานเสียงกล่าวก็จบลง เสียงเพลงแรกกำลังจะขึ้นบรรเลง ประจบเดินลงมารั้งร่างวิฬาร์ขึ้น เขายิ้มแย้มอ่อนโยนอย่างสุภาพบุรุษ

“ขอดูหน่อยเถอะว่าเต้นได้เก่งขนาดไหน”

ไม่รู้ทำไมยามเพื่อนเดินผ่านทรงรู้สึกราวกับถูกสายตาของเพื่อนทอดมองอย่างยั่วเย้า เยาะหยันอยู่ในที เพลงบรรเลงหวานดังขึ้น มือหนาสอดรับจับเอวบางแต่พองาม สองมือสอดประสานกันแน่น เท้าก้าวขยับไปตามเพลง ชายกระโปรงที่ยาวเลยเข่าไปเล็กน้อยพลิ้วสะบัดตามแรงขยับตัว

ทรงนิ่งตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าวิฬาร์จะเต้นได้เก่งขนาดนี้ ประจบเองก็เป็นนักเต้นมือหนึ่งเหมือนกัน ความไม่พอพระทัยในความเหมาะเจาะลงตัวก่อขึ้นอย่างเงียบเชียบแต่รวดเร็วและรุนแรง ทรงยืนขึ้น ยื่นหัตถ์ให้วิมาลาวางมือลงมา ก่อนจะเสด็จพาร่างนั้นออกมากลางฟลอร์ ทรงสอดพระหัตถ์รับเอวบาง ประสานมือแน่นแล้วพาเต้น สองคู่เด่นสง่า คู่หนึ่งสง่างามเหมาะสม อีกคู่ก็งดงามน่ารักไปอีกแบบ

ประจบรับรู้ยามที่คู่ของหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์เข้าใกล้มาว่าทรงประสงค์สิ่งใด จะพาวิฬาร์เดินหนีอยู่ร่ำไป ยิ่งนานจำนวนคู่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น การเข้าถึงยิ่งยากลำบาก เพลงบรรเลงช้าหวาน ทว่าพระทัยคนเต้นกลับร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทรงสอดพระเนตรมองหา แต่ทรงหาเท่าใดก็ดูคล้ายจะหลีกเร้นหายไปในผู้คน

“หม่อมฉันเต้นไม่ทันเพคะ” 

เสียงหวานแผ่วๆ นั่นเองที่ทำให้ทรงหันกลับมา วิมาลาเต้นตามจังหวะของพระองค์ไม่ทันจริงๆ เสียด้วย

“ขอโทษนะวิมาลา เอาเถอะ...ค่อยๆ เต้นไปตามจังหวะช้าๆ นั่นแหละ” ทรงทำให้วิมาลาเดือดร้อนด้วยความพระทัยไม่ได้ ในเมื่อทรงเชิญอีกฝ่ายมาก็ควรจะดูแลให้ดี เท่านี้แล้วก็หักพระทัย ประจบกับวิฬาร์จะไปเต้นกันอยู่ที่ใดก็เรื่องของเขาเถิด พระองค์จะต้องไปเดือดร้อนอะไรนักหนา จะต้องทรงเดือดร้อนวุ่นวายทำไม

คนที่พระทัยร้อนไม่ทรงรู้ว่าสองร่างอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่คู่เท่านั้น ประจบมองท่าทางร้อนรนอย่างนั้นแล้วก็หัวเราะเสียจนคู่เต้นอดถามไม่ได้

“หัวเราะอะไรหรือคะ หรือฉันเต้นตลก”

“เปล่าเลยวิฬาร์ คุณเต้นสวยจนใครบางคนเสียดายต่างหากเล่า ไหนบอกว่าเต้นไม่เก่งยังไง” นั่นเป็นคำชื่นชมจากใจจริง เพราะวิฬาร์เต้นได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้ หญิงสาวก้าวทันเขา ไม่ว่าจะพาร่างบางออกไปทางใด เร็วได้ช้าได้อย่างงดงาม แต่ก็นั่นแหละ ความเก่งกาจนี้เองที่ทำให้ใครบางคนร้อนพระทัย

“ใครคะ” คนถามทำหน้างง คนฟังก็หัวเราะ

“ผมชักไม่แน่ใจว่าคุณกับเขาใครไร้เดียงสามากกว่ากัน” เขาว่าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เต้นไปจนเกือบจบเพลงก็ว่าจะพัก แต่เพิ่งสังเกตว่าใครคนหนึ่งขยับคู่เข้ามาใกล้ คนที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลยด้วยซ้ำ

หลวงวัชรวิบูลย์จับคู่เต้นรำกับภรรยารองลำดับที่เท่าไรไม่ทราบขยับเข้ามายืนฉีกยิ้มอยู่ข้างๆ นี่เอง

ประจบขยับจะพาวิฬาร์หนี ทว่าคนเยอะๆ ที่ช่วยพาหนีจากท่านชายรูปงามได้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้หลีกไม่พ้นจากคู่นั้น โดนปิดหัวปิดท้ายไปเสียทุกทาง เพลงก็ใกล้จะจบแล้วเสียด้วย วิฬาร์เองยังไม่เข้าใจ เพราะเคยแต่หัดเรียนเต้นว่าจะต้องเต้นอย่างไร ครูแหม่มของหล่อนไม่เคยบอกว่าในงานเต้นรำจริงๆ นั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้

เพลงแรกจบ เพลงที่สองก็ขึ้นต่อ หลวงวัชระสะบัดภรรยารองตัวเองทิ้งแล้วคว้าร่างบางมาเป็นคู่เต้นแทนหน้าตาเฉย ประจบจำต้องรับมาเป็นคู่กับภรรยารองของเขาแทน หญิงสาวนิ่งตะลึงแต่ไม่อาจหยุดเต้นได้ท่ามกลางคนมากมาย และดูคล้ายทุกอย่างจะเป็นใจ เพราะร่างของประจบโดนเบียดออกห่างไปเรื่อยๆ

“ได้คุยกันเสียที” เสียงแหบกับสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้วิฬาร์อยากวิ่งหนีออกจากงาน “ไม่ต้องกลัว เพราะฉันเองก็เป็นมือหนึ่งด้านการเต้นรำไม่แพ้นายประจบเขาหรอก อาจจะเก่งกว่า เก่งกว่าในหลายๆ เรื่องเสียด้วย” 

เสียงหัวเราะที่เคยทำให้ผู้หญิงหลงใหลกลับทำให้วิฬาร์นึกขยะแขยง

“ฉันชื่อหลวงวัชรวิบูลย์ แล้วเธอล่ะแม่สาวน้อย พอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามให้ฉันฟังบ้างได้ไหม”

วิฬาร์อ้ำอึ้งไปไม่ถูก 

“วิฬาร์ค่ะ” 

บอกได้เท่านั้นแล้วก็เหมือนถูกแรงมหาศาลดึงออกไป ร่างบางเซปะทะแผงอกกว้างของใครสักคน หันกลับไปก็แลเห็นว่าคู่คนเดิมของคุณหลวงกลับมาแล้ว สายตาทอดมองมาไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนที่มาช่วยพาหล่อนเดินเต้นห่างออกไปเรื่อยๆ วิฬาร์ยิ้มแล้วถอนหายใจ

“ขอบคุณค่ะอาจารย์” หลุดเรียกอาจารย์ออกไป แต่คู่เต้นไม่ได้ต่อว่าเรื่องนั้น

“ฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอเสียหน่อย” 

สุรเสียงทุ้มนุ่มนวลคุ้นเคยยิ่งเสียจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองวิฬาร์ก็รับรู้ได้ว่าในยามนี้หล่อนกำลังเต้นคู่อยู่กับใคร หลักฐานยิ่งประจักษ์ต่อสายตาเมื่อพบว่าวิมาลาหันมองกลับมา คนเป็นพี่สาวเต้นคู่กับอาจารย์ของหล่อน เพราะฉะนั้นคนที่มาช่วยเอาไว้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกเสียจาก

“ท่านชาย...”

“ขอบใจที่ยังจำได้” 

สุรเสียงทุ้มไม่ได้บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด วิฬาร์เงยหน้าสบพักตร์คมหวาน พระเนตรมีประกายเรืองรอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทรงโน้มพักตร์ใกล้ เสียงกระซิบกระซาบดังอยู่ข้างหู 

“วันนี้เธอสวยเสียจนเกือบจะเกิดเรื่องแล้วเห็นไหม”

ไม่รู้ว่ารับสั่งชมหรือรับสั่งหยอกยั่วกันแน่ แต่คนฟังทั้งโกรธทั้งอาย ผิวแก้มแดงร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ จะหลีกหนีก็ไม่ได้เพราะหัตถ์หนาจับมือแน่น อีกข้างก็รั้งเอวหล่อนเข้าไปใกล้ เต้นในจังหวะเพลงช้าหวานต่อเนื่อง วิฬาร์หนีไม่ได้ เผชิญพักตร์โดยตรงก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกเสียจากก้มหน้างุด มองแต่กระดุมฉลองพระองค์เท่านั้น

ไม่นานเพลงนั้นก็จบลง คราวนี้ไม่ต้องรอให้เพลงที่สามขึ้น วิฬาร์ก็รีบผละเดินออกมาจากฟลอร์ มีเจ้าของวรกายสูงรวมถึงอาจารย์และพี่สาวตามออกมาด้วย วิมาลานั่งลงข้างน้องสาว สายตาห่วงใยแท้จริง เพราะตอนเห็นน้องสาวถูกดึงออกไปจากอาจารย์หนุ่ม หัวใจคนเป็นพี่ก็หวิวโหวงประหลาด ดีเสียแต่ว่าท่านชายเสด็จพาเข้าใกล้อาจารย์ประจบได้ แล้วก็ทรงขอร้องส่งหล่อนไปคู่กับอาจารย์แทน เอาภรรยารองของคุณหลวงอะไรนั่นออกมา ก่อนจะเสด็จไปพาวิฬาร์ออกมาจนได้

“เขาทำอะไรวิฬาร์หรือเปล่า”

คนฟังส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ค่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรวิฬาร์หรอกค่ะ เพราะท่านชายทรงไปพาออกมาเสียก่อน ทรงกรุณาหม่อมฉันเหลือเกินเพคะ” 

คำหลังไม่รู้ว่าพูดเพราะประชดหรือพูดเพราะสำนึกจริงๆ ถึงอย่างนั้นคนที่ไปพาออกมาก็เบาใจว่าช่วยออกมาได้ทันก่อนที่คุณหลวงวัชระจะทำอะไรลงไป

“เกือบแย่” ประจบเอ่ยเสียงแผ่วอย่างสำนึกผิด “ไม่ทันได้นึกว่าอีตาคุณหลวงจะเล่นไม้นี้”

“ทีหลังก็ต้องระวังให้มาก ประมาทคุณหลวงไม่ได้เลยทีเดียว” ทรงดุ “ระวังหน่อยนะประจบ ดีเท่าไหร่ที่ฉันไปพาวิฬาร์ออกมาทัน ลูกศิษย์ตัวแท้ๆ ปล่อยให้ไปเจอกับคนแบบนั้นได้อย่างไร”

คนเป็นอาจารย์ยิ้มเจื่อน สำนึกผิดแต่ปากยังไม่วายเอ่ย 

“ใครจะรู้เล่าฝ่าบาท ว่าแต่ฝ่าบาทห่วงลูกศิษย์เขามากกว่าคนเป็นอาจารย์ห่วงเสียอีก” 

รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก คนที่ทำท่าจะกริ้วเลยนิ่งไป หันไปหาคนที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันแทน ประจบมองตามแล้วอยากหัวเราะนัก พระทัยแข็งเหลือเกิน นอกจากคนตาบอดแล้วก็ยากละที่จะดูไม่ออก อ้อ...เว้นวิมาลาไว้เสียอีกคน

ประจบมองวิมาลาแล้วสงสาร ความจริงหล่อนไม่ได้ผิดอะไรเลย นอกเสียจากรักคนที่เขาไม่ได้รักเท่านั้นเอง ส่วนคนผิดนั้นยังไม่รู้ตัว โอษฐ์แย้มทักทายพี่สาว แต่สายพระเนตรทอดมองน้องสาวเขาไม่วางตา ท่าทางหวงใยนั่นอีก จะให้ตีความหมายอย่างอื่นก็ยากละ เหลือแต่จะรู้ตัวเองหรือต้องรอให้กระตุ้น ไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้เรื่องราวมันบานปลาย นั่นแหละคนเป็นเพื่อนถึงได้ฮึกเหิมขึ้นมา

“เป็นอย่างไรบ้างวิฬาร์” ประจบแทรกกลาง นั่งใกล้อย่างเอาใจ 

วิฬาร์หันมอง หัวเราะแล้วก็ส่ายหน้า

“แค่เปลี่ยนคู่เต้นรำ ไม่ได้บาดเจ็บอะไรสักหน่อยนี่คะอาจารย์ อ้อ...คุณประจบ” หล่อนหลุดเรียกคำนั้นอยู่ร่ำไป คนฟังเลยได้ทีใส่ลูกหยอด

“ทีหลังถ้าไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยหรือว่าเวลาเรียน ขอให้เรียกว่าคุณประจบนั่นแหละ อย่าให้ห่างเหินกันนักเลย” 

สายตาที่ทอดมองทำเอาคนถูกมองสะดุ้ง ไม่เท่านั้นยังทำให้คนที่คอยจับสายพระเนตรพลอยสะดุ้งไปด้วย ทรงหวังเพียงว่าจะให้เพื่อนพาหญิงสาวมาเปิดหูเปิดตา มาแกล้งเล่นเท่านั้น เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากมาแน่นอน แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปก็ไม่ทราบได้

วิมาลามองภาพน้องสาวกับอาจารย์หนุ่มแล้วยิ้ม ไม่ทันได้สังเกตสีพักตร์ขรึมเครียด 

“อาจารย์ประจบกับวิฬาร์ก็ดูสมกันดีนะเพคะ” คำพูดของหล่อนแทงใจใครอย่างจัง “วิฬาร์ชื่นชมอาจารย์ประจบอยู่ไม่น้อย อาจารย์เองก็ดูท่าจะพอใจวิฬาร์อยู่มาก”

“วิฬาร์พูดถึงประจบให้เธอฟังบ่อยอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเพคะ แต่วิฬาร์เคยชมว่าอาจารย์ประจบคนนี้เก่ง รูปงาม แล้วก็เป็นอาจารย์ที่ใจดีมากคนหนึ่ง อีกอย่างก็เจอกันที่มหาวิทยาลัยทุกวันคงจะคุ้นเคยกันดี หม่อมฉันยังไม่เคยเห็นวิฬาร์คุยผู้ชายคนไหนได้สนิทใจอย่างนี้” 

ยิ่งพูดคนฟังก็ยิ่งร้อนๆ หนาวๆ ได้ยินเสียงเพื่อนแว่วๆ

“ไปเต้นด้วยกันอีกสักเพลงเถอะคุณวิฬาร์ รับรองว่าคราวนี้จะไม่ยอมให้ใครมาดึงเอาคุณไปจากผมแน่นอน” 

แล้วก็จูงมือลูกศิษย์ตัวเองออกไป ท่าทางพูดคุยไปหัวเราะไปอย่างนั้นทำให้คนที่ทอดพระเนตรไม่พอพระทัยนัก แต่ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากหันมาหาคนข้างกาย

“เราก็ไปบ้างเถอะวิมาลา”

คืนนั้นกว่าจะกลับได้ก็ค่อนดึก ไฟที่ตึกยังเปิดสว่างเพราะเจ้าคุณวิเศษนั่งอ่านหนังสือรอบุตรสาวสองคน ประจบเดินเข้าไปส่งถึงข้างในแล้วไหว้ลา ท่าทางเจ้าคุณวิเศษเองก็ชอบอาจารย์คนนี้ไม่เบา หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงส่งวิมาลาแล้วก็ลากลับ มาทันเพื่อนจะขึ้นรถพอดิบพอดีเลยทรงดึงตัวไว้

“ขอคุยด้วยหน่อยประจบ”

“เอ...สำคัญไหมกระหม่อม กระหม่อมเต็มทีแล้วเพราะวันนี้สนุกเสียเต็มคราบ วิฬารเป็นเด็กคุยสนุก มีเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ มิน่านายเลิศเขาถึงได้ติดใจอย่างนั้น” ชมไปหัวเราะไป ในใจนึกยั่วเย้าคนปากแข็งเสียให้สาแก่ใจ แล้วก็น่าจะได้ผล เพราะพักตร์คมสวยตึงขึ้นมาทันที

“เธอชอบวิฬาร์อย่างนั้นหรือ”

“ก็...ชอบนะกระหม่อม อย่างที่ทูลคือเด็กคนนี้น่ารัก”

“แต่เธอเป็นอาจารย์ เป็นลูกศิษย์กันคงจะไม่เหมาะ วิฬาร์เพิ่งจะเรียนปีแรกเท่านั้นเอง” 

ข้ออ้างอย่างนั้นประจบหาคำตอบเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว จึงหัวเราะอารมณ์ดี แสร้งไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย

“ทรงกรุณากระหม่อมมากที่เตือน แต่กระหม่อมคิดเอาไว้แล้วว่าถึงจะเป็นอาจารย์เป็นลูกศิษย์กัน แต่กระหม่อมก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เราต่างเป็นคนนอกยามไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย บางทีที่ทรงเตือนก็น่าคิด วิฬาร์เพิ่งจะเรียนปีแรก อย่างนี้ต้องหมั้นเอาไว้ก่อนใช่ไหมกระหม่อม เดี๋ยวคนอื่นมาคว้าไปเสียดายแย่” พูดยั่วถูกจุดอีกเช่นเคย เพราะสุรเสียงที่เคยทุ้มบัดนี้เกรี้ยวกราด

“ประจบ! อย่ามาเห็นความรักเป็นของเล่นเชียวนะ”

“ฝ่าบาทพระทัยเย็น กระหม่อมยังไม่เคยทูลว่าเห็นความรักหรือวิฬาร์เป็นของเล่นเลยสักครั้ง ทูลลาก่อนดีกว่านะกระหม่อม” 

แล้วก็เดินหนีขึ้นรถไปเสียดื้อๆ ทิ้งเจ้าของวรกายสูงให้ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น เพราะถ้าประจบคิดจะทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ใครเลยจะห้ามได้ ไม่มี...ไม่มีใครห้ามเรื่องนี้ได้เลยทีเดียว

ประจบไม่ทันได้รู้ว่าคำยั่วเย้าทำเอาใครบางคนบรรทมไม่หลับเกือบทั้งคืน พอเช้าก็เสด็จลงมาข้างล่าง รับเครื่องเช้าเป็นกาแฟกับขนมปังแบบฝรั่งแผ่นหนึ่ง ไข่ดาวอีกฟองหนึ่ง ยังทรงสลัดเรื่องที่เพื่อนพูดเมื่อวานไม่ได้ เสียงรถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา

“ใครมาแต่เช้า ไปดูที” เช้าตรู่ป่านนี้ใครกันหนอจะมารบกวน 

ไม่นานนายมหาดเล็กก็วิ่งกลับเข้ามาทูลรายงาน “หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภากระหม่อม”

แค่ฟังพระนามคนฟังก็ชักจะร้อนๆ หนาวๆ ดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วก็ทรงลุกออกไปรับเสด็จให้เข้ามาประทับข้างใน น่าแปลกที่วันนี้พระเชษฐภคินีทรงมีพักตร์แจ่มใส ทรงยิ้มอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฝ่ายพระอนุชาเลยต้องถาม

“วันนี้เด็จมาแต่เช้า มีเรื่องอะไรให้ดีพระทัยหรือเปล่าคะ”

“มาเร็วสิ พอพี่ได้ข่าวชายภาพี่ก็รีบมาทันทีเลยนั่นแหละ ชายนะชาย มีอะไรไม่ยอมบอกพี่บ้าง จะต้องรอให้พี่ไปรู้จากปากคนอื่นตลอดเวลาเลยหรือยังไงนะ” เหมือนทรงดุ แต่สุรเสียงรื่นเริงยิ่ง คนฟังเลยยิ่งงง

“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว ชายยังไม่เข้าใจที่รับสั่งเลย เรื่องไหนคะที่ชายไม่ทูล”

ฝ่ายผู้มาเยือนขยับเข้าใกล้พระอนุชา ทรงยิ้มอย่างอิ่มสุขก่อนจะเฉลย 

“ก็เรื่องที่เมื่อคืนชายควงลูกสาวเจ้าคุณวิเศษไปงานสโมสรนั่นไง เขาพูดกันให้ทั่วว่าชายกับฝ่ายนั้นชอบกัน พี่เลยมาถามว่าชายจะเอาอย่างไร ถ้าชายตกลงปลงใจกับคนนี้ วิมาลาใช่ไหม นั่นแหละ...พี่จะขอเจ้าคุณวิเศษให้”

พระทัยดี แต่คนฟังนิ่งเย็นวาบไปทั้งวรกาย...กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียแล้ว!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น