บทที่ ๙

บทที่ ๙

วิฬาร์แทบไม่ได้ใส่ใจเสียด้วยซ้ำว่าการท่องเที่ยวหัวหินครั้งแรกของหล่อนจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน รู้แต่ว่าเย็นตาเตรียมข้าวของเอาไว้มากมาย ท่าทางดีใจของคนที่เป็นทั้งสาวใช้และพี่เลี้ยงทำให้พอได้ยิ้มบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่อาจสลัดเรื่องของเลิศพงษ์ออกไปจากหัวได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมมาเรียน ไม่ส่งข่าวคราวอะไรให้ทราบ ศจีได้แต่ปลอบคนเป็นเพื่อน แต่ตัวเองก็กังวล เพราะไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ยุให้วิฬาร์บอกความจริงชายหนุ่มไปอย่างนั้น

“อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิวิฬาร์” 

เสียงหวานใสของพี่สาวดังขึ้น วิฬาร์จึงค่อยเงยหน้าขึ้นสบตา เวลานี้หล่อนกับครอบครัวอันประกอบด้วยตัวหล่อน เจ้าคุณวิเศษผู้เป็นบิดา วิมาลา และสาวใช้อีกสองคนมานั่งอยู่ที่ชานชาลารถไฟแล้ว ส่วนคนที่นัดแนะให้มายังไม่เห็นหน้า

“พอดีมีเรื่องให้คิดน่ะค่ะ”

“เรื่องอะไรพอจะบอกพี่ได้ไหมวิฬาร์ เราเอาแต่เหม่ออย่างนี้ พี่กับเจ้าคุณพ่อไม่สบายใจเลย” 

ความห่วงใยเคลือบแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น วิฬาร์ถึงได้ยิ้ม หล่อนมีครอบครัวที่ดี แม้มารดาจะไม่ยอมมาอยู่ด้วย แต่ไม่ว่าจะครอบครัวฝั่งนี้หรือฝั่งมารดา หล่อนก็รับรู้ความรักได้อยู่เสมอ

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ แต่น้องไม่ได้เป็นอะไร อย่าให้ต้องมาหมดสนุกเพราะน้องเลย” หล่อนไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป เพราะคิดเอาว่าอย่างน้อยก็ขอให้มีเรื่องให้คลายอาการครุ่นคิดลงไปบ้าง 

วิมาลามองน้องสาวตัวเองแล้วส่ายหน้าจนปัญญา วิฬาร์เคยร่าเริงสมชื่อ ทว่าแม่ลูกแมวน้อยในยามนี้หงอยเหงาพลอยทำให้คนอื่นเศร้าไปด้วย

เจ้าของวรกายสูงเสด็จลงจากรถที่ใช้ให้นายมหาดเล็กขับมาส่ง สัมภาระส่วนพระองค์คือกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เล็กเสียจนไม่รู้ว่าทรงใส่เสื้อผ้าสำหรับพักตากอากาศมาได้อย่างไร อีกคนหนึ่งต่างหากที่ก้าวลงรับสัมภาระที่คนมองงุนงงสงสัย อาจารย์ประจบจะย้ายบ้านหรืออย่างไร ถึงได้มีกระเป๋ามากมายเสียยิ่งกว่าพวกผู้หญิง

“ขอโทษที่มาช้า” หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงออกตัวก่อน เพราะรู้ดีว่าทรงมาล่าช้าจริงๆ อย่างไม่น่าให้อภัยนัก ได้ยินสัญญาณส่งเสียงแล้วว่ารถไฟกำลังจะมา 

เจ้าคุณวิเศษยิ้มแล้วส่ายหน้า ถึงจะทรงศักดิ์สูงกว่า แต่ก็ทรงเยาว์กว่ามาก จึงยังมีท่าทางเกรงใจชายสูงวัยกว่าคนนี้อยู่บ้าง

“มิได้กระหม่อม ยังทัน” 

ยังทันเพราะว่ารถไฟเพิ่งจะจอดเทียบชานชาลาเท่านั้นเอง นายมหาดเล็กที่ทรงเรียกใช้ไว้ติดตามกับสาวใช้บ้านเจ้าคุณวิเศษช่วยกันขนของเจ้านายขึ้นรถไฟ จับจองที่นั่งอย่างแบ่งชั้น เจ้านายรวมกันอยู่ฝั่งหนึ่ง ลูกน้องก็ไปรวมกันอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ใกล้พอให้เจ้านายเรียกใช้ได้สะดวก

ที่นั่งหันหน้าเข้าหากันนั่งได้สี่คน ท้ายที่สุดจึงต้องแยกหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์กับประจบมานั่งอีกที่หนึ่ง ให้ครอบครัวเจ้าคุณนั่งอีกที่หนึ่ง วิฬาร์จับจองที่นั่งข้างหน้าต่างรถไฟ และอาจเพราะไม่ใช่ช่วงที่คนนิยมเที่ยว ตลอดทั้งขบวนจึงไม่ได้แน่นขนัดเช่นทุกครั้ง หน้าต่างแง้มพอให้ลมพัดผ่านกระทบผิวหน้า คนที่นั่งเท้าแขนคางวางพาดมองออกไปสุดสายตา

เจ้าคุณวิเศษมองลูกสาวคนเล็กแล้วอดถามมิได้ “วิฬาร์เป็นอะไร มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกพ่อ”

“มิได้ค่ะ ลูกไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องรบกวนให้เจ้าคุณพ่อเดือดร้อนใจ” 

ใกล้เพียงไหนก็ยังมีระยะห่างอันน้อยนิดของพ่อลูก วิฬาร์ยังทำตัวเป็นลูกในทางราชการ มิใช่ลูกที่พึงจะพูดคุยกับพ่ออย่างสนิทปาก คนเป็นพ่อเลยได้แต่ถอนหายใจ

“เดี๋ยวพอไปถึงที่นั่นเราลงไปเล่นน้ำกัน พี่เตรียมชุดว่ายน้ำมาแล้ว เสียดายแต่ว่ายไม่เป็น คงเล่นได้แต่น้ำตื้น” วิมาลาออกตัวหาเรื่องคุยกับน้องสาว นั่นแหละคนเหม่อถึงได้หันกลับมาสนใจ หล่อนได้ทีเห็นเข้าท่าก็พูดต่อ “ความจริงนี่เป็นการมาเที่ยวทะเลครั้งแรกของพี่ แล้วพี่ก็ไม่เคยว่ายน้ำเสียด้วย เสียดายที่มาทะเลแต่ว่ายน้ำไม่ได้”

“น้องสอนให้ก็ได้นะเจ้าคะ น้องเคยหัดว่ายเมื่อเด็กๆ เพราะเด็กแถวบ้านน้องทุกคนต้องอาบน้ำในคลอง น้อยคนที่จะมีคนตักน้ำในคลองมาใส่ตุ่มให้อาบบนบ้าน คุณแม่ก็เคยสั่งให้อาบบนบ้าน แต่น้องว่าไปเล่นกับพวกเด็กๆ ด้วยกันจะสนุกกว่า” พอมีเรื่องให้พูด วิฬาร์ก็ดูคล้ายจะลืมเรื่องกังวลใจไปชั่วขณะ

“แล้วแม่เขายอมหรือลูก” เจ้าคุณวิเศษยังไม่เข้าใจว่าภรรยารองปล่อยบุตรสาวให้ออกไปเล่นน้ำในที่อันตรายอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าเป็นท่านไม่มีทางยอมแน่นอน

“ห้ามสิคะ คุณแม่เคยจับลูกอาบน้ำเอง แล้วก็แต่งตัวขังไว้ในห้องจนกว่าพวกเด็กๆ จะอาบน้ำเสร็จ แล้วจึงค่อยไขห้องให้ เพราะถ้าไม่มีเด็ก ลูกก็จะไม่กล้าเล่น เรื่องนี้คุณแม่คิดถูกค่ะ ลูกไม่กล้าเล่นน้ำคนเดียว เวลาอยากเล่นเลยต้องแอบปีนออกทางหน้าต่าง เหนี่ยวกิ่งต้นมะม่วงลงมา” 

วิฬาร์เล่าเสียเป็นเรื่องสนุก วิมาลาหัวเราะอย่างตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่น้องสาวต่างมารดาทำ ขณะที่คนเป็นพ่อแทบลมจับ

“แล้วเคยตกลงมาบ้างไหม แม่จันทร์ปล่อยลูกให้ปีนต้นไม้อันตรายอย่างนี้ได้ยังไง”

“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะเจ้าคุณพ่อ ลูกว่าคุณน้าจันทร์เธอต้องทราบ” วิมาลาดักทาง นั่นแหละคนเล่าจึงค่อยเฉลย

“ทราบสิคะ ต้นมะม่วงต้นนั้นออกลูกดกทุกปี ลูกใหญ่หวานมันมาก แต่พอคุณแม่รู้ว่าลูกอาศัยมันปีนหนีลงมาเล่นน้ำ มะม่วงต้นนั้นก็มีอันต้องเหี้ยนเตียนไปเหมือนกัน เสียดายลูกของมันเหลือเกิน เพราะต่อมาจะหามะม่วงต้นไหนหวานอร่อยเท่าต้นนั้นไม่ได้อีกแล้ว” 

คนเล่าหัวเราะ คนฟังก็พลอยหัวเราะ เสียงหัวเราะใสวังวานของวิฬาร์สร้างโลกให้ลืมโศกลืมเศร้า กระทบไปถึงพระทัยใครอีกคน

นั่งถัดออกมาแค่ทางเดินกั้น ห่างกันแค่เอื้อมหัตถ์ถึง หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทอดพระเนตรใบหน้ากระจ่างใสที่กระทบแสงเช้าของวัน เสียงหัวเราะที่ขาดหายไปเสียนานแสนนาน วันนี้ได้กลับมา ถือว่าคุ้มค่ากับการลางานมาเที่ยว 

คนเป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างวรกายสูงมองตามแล้วยิ้ม

“กระหม่อมเห็นวิฬาร์หัวเราะได้ก็เบาใจ เป็นห่วงเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ” เป็นห่วงน่ะห่วงจริง แต่ไม่ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับหรอก พูดให้เกินจริงเข้าไว้ แน่นอนว่าคำทูลสะกิดพระทัย พระเนตรคมตวัดมอง คนถูกมองก็เมินเสีย จ้องผ่านไปหาลูกศิษย์ตัวเองที่วันนี้ค่อยยิ้มได้ขึ้นมาอีกนิด ดีกว่าเครียดตั้งมากมาย

“เธอเป็นห่วงลูกศิษย์ตัวเองขนาดนั้นเชียวหรือประจบ”

“โธ่ ฝ่าบาท เวลานี้อยู่นอกมหาวิทยาลัย ไม่มีอีกแล้วอาจารย์ลูกศิษย์อะไร มีแต่นายประจบคนไร้คู่กับวิฬาร์ แม่ลูกแมวน้อยน่ารักเท่านั้น” พูดไปยั่วไปสนุกในอารมณ์ อยากรู้นักว่าจะต้องให้ยั่วกันถึงขั้นไหนถึงจะรู้พระทัยองค์เอง ต้องใช้แรงกระตุ้นถึงขนาดไหนกันหนอ

“ไม่กลัวเจ้าคุณวิเศษหรือ”

“กลัวทำไม” คนพูดหัวเราะ “กระหม่อมจริงใจ หน้าที่การงานก็มีมั่นคง หน้าตาในสังคมก็พอสมควร ถึงเวลาจะเชิญเสด็จเป็นเถ้าแก่ให้ จะทรงกรุณากระหม่อมไหม” เขาถามหยั่งเชิง ฝ่ายต้องรับสั่งตอบเอาแต่นิ่งเพราะกำลังคิด จะทำอย่างไรดี เพื่อนรักหัวเราะในลำคอ

“หวังว่าจะทรงกรุณา”

ฝ่ายที่ควรจะทรงกรุณานิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายถามเอาอย่างนี้ ยามที่ทรงรู้ว่าความคิดของประจบนั้นเอนเอียงไปหางวิฬาร์ก็มาก แทนที่จะดีพระทัย พระทัยกลับร้อนจนรับสั่งไม่ถูก เสี้ยวหนึ่งในพระทัยไม่ได้อยากให้เป็นไปอย่างที่เพื่อนคาดหวัง ผิด...ทรงรู้ ประจบไม่ได้เสียหาย วิฬาร์ก็เหมาะสม คู่ที่ควรเหมาะสมทำไมถึงได้กลายเป็นคู่ไม่ควรจะสมก็ไม่แน่พระทัย

อีกครั้งที่ต้องทอดพระเนตรวิฬาร์ ทอดพระเนตรดวงหน้าหวานแสนซนและนัยน์ตาวับวาวของอีกฝ่าย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทรงลืมเลือนความรู้สึกแรกนั้น กี่เดือนผ่านมา จะนานเท่าใดก็คล้ายกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง หรือจะเป็นจริงอย่างที่ประจบเคยทัก

ทรงชอบ หรืออาจจะถึงขั้น ‘รัก’ ลูกศิษย์ของเพื่อนเข้าให้เสียแล้ว

จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าไม่แน่พระทัย แต่ถ้าใช่...ประจบก็ช่างเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเหลือเกิน ลำพังเจ้าตัวก็อยากหนีพระองค์จะแย่ นี่มีคนมาช่วยอย่างประจบเสียอีกก็คงกลายเป็นเรื่องง่าย อีกประการคือความใกล้ชิด แม้รั้วบ้านจะชิดติดกัน แม้วิฬาร์จะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่รักบ่อยครั้ง ก็น้อยกว่าน้อยที่ได้สบตาพูดคุยกันอย่างจริงจัง ขณะที่ประจบแม้ไม่ได้พบกันทุกวัน แต่ก็ต้องพูดคุยกันมากกว่าคนข้างบ้านแน่นอน พระทัยหวิววาบเกือบหลุดลอย 

ก็อย่าให้ทรงรัก อย่าให้เป็นอย่างที่ทรงกลัว ขอเถอะขอร้อง อย่าได้เป็นเลย

ประจบเหล่มองแววพระเนตรเคร่งเครียดแล้วก็เกือบจะหลุดหัวเราะ เครียดไปเถอะฝ่าบาท เครียดให้สมกับที่ทรงรู้ตัวช้า หมดเรื่องนายเลิศพงษ์ไปหนึ่ง เพราะได้ข่าวว่าปฏิเสธกันถึงขั้นฝ่ายชายต้องหลบรักพักใจ ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นที่มหาวิทยาลัยเลย อีกประการที่ต้องคิดถึงก็คือคนพี่ของทางฝ่ายหญิง

วิมาลารักน้องก็จริง แต่จะรักได้มากถึงขั้นยอมเสียหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ให้หรือเปล่าเขาไม่รู้ เจ้าของวรกายหนานี่ก็เถอะ ทรงทำราวกับว่ารัก ว่าชอบวิมาลา ให้ความหวังแล้วเกิดไม่สามารถให้ตามหวังได้ ใครจะเจ็บนอกจากตัวฝ่ายหญิง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มีปัญหา เพราะสรรหาหม่อมเล็กหม่อมน้อยไว้ข้างกายได้ แต่คนนี้ยึดมั่นจะมีหม่อมเดียว นั่นก็คือต้องเลือก ประจบค่อนข้างจะแน่ใจด้วยว่าจะทรงเลือกคนไหน

นานพอดูกว่าจะเดินทางมาถึงเป้าหมาย วังสองวังตั้งเรียงติดกัน มีสะพานเล็กๆ เชื่อมระหว่างตำหนัก หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์กับประจบอยู่ปีกฝั่งขวา ครอบครัวเจ้าคุณวิเศษอยู่ปีกฝั่งซ้าย ความจริงเป็นวังของหม่อมเจ้าหญิงรุจิรภาที่พระอนุชาไปออดอ้อนเอามา ทีแรกก็ทรงหวงอยู่หรอก แต่พอทราบว่าจะเสด็จกับใครก็เลยปล่อยให้เป็นทางสะดวก พร้อมด้วยคนคอยรับใช้อีกสองคน

วังสวยตั้งอยู่ชิดติดชายทะเล แค่ไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นไอเค็มทะเลโชยกรุ่น สายลมเอื่อยเรื่อยปะทะผิวแก้มเคล้าไอร้อน วิฬาร์เงยหน้ามอง สูดไอเค็มของทะเลจนช่ำปอด เพิ่งเคยได้เห็นทะเลกว้าง ท้องน้ำสีครามสุดสายตากับทรายเม็ดละเอียดสีขาวก็ในวันนี้นี่เอง แดดกลางวันสาดกระทบผิวน้ำเป็นประกายเรืองระยับ

คนใช้กับนายมหาดเล็กขนของขึ้นเรือน เจ้านายก็ทยอยขึ้นไปจับจองห้องพัก วิฬาร์นอนห้องเดียวกับวิมาลา เจ้าคุณอยู่อีกห้อง ห้องของสองสาวเป็นเตียงเดี่ยว มีแค่โต๊ะโคมไฟตัวหนึ่งวางคั่นกลาง แค่เปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นวิวทะเลชัดเจน

“ไม่นึกว่าทะเลจะสวยอย่างนี้ พี่เคยเห็นแต่ในหนังสือภาพ” 

คนรวยส่วนมากมาเที่ยวทะเลกัน แต่วิมาลาโชคร้าย เพราะเมื่อยังเล็ก เจ้าคุณวิเศษกับคุณหญิงแสนห่วงบุตรสาวจนไม่ยอมให้มาเล่นในที่อันตราย ครั้นพอโตพอจะดูแลตัวเองได้มารดาก็มาสิ้น เจ้าคุณเองก็ยุ่งงานราชการ จนท้ายที่สุดวิมาลาก็กลายเป็นนกน้อยที่ต้องอยู่แต่ในกรงทอง ทว่านับตั้งแต่วิฬาร์ก้าวเข้ามา ตั้งแต่มีน้องสาวคนนี้เหมือนโลกแคบๆ ของหล่อนถูกจับเปิดออกกว้างขึ้น ได้ไปทั้งงานเต้นรำ ได้มาเที่ยวทั้งทะเล

“น้องก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกค่ะ” คนเป็นน้องเดินมาเกาะขอบหน้าต่างดูบ้าง ถือว่าหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงคิดถูก เพราะยามนี้วิฬาร์แทบจะลืมเลือนเรื่องกลุ้มใจ ความตื่นตาแทรกเข้ามาแทนจนเกือบหมด เมื่อทุกอย่างกลายเป็นของแปลกใหม่ กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้พบมาก่อน

เสียงเคาะประตูทำให้สองพี่น้องละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้า คนที่เปิดเข้ามามิใช่ใครนอกจากเย็นตา นางยังนุ่งโจงกระเบนตามแบบของนาง มิได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอย่างสองสาวเบื้องหน้า วิฬาร์กับวิมาลาเลือกสวมกระโปรงยาวเลยเข่า ไม่ได้สอบเข้ารูปอย่างเคย แต่เป็นชายพลิ้วปล่อยให้สะบัดแม้ยามขยับตัว

“เจ้าคุณให้มาตามลงไปรับของว่างเจ้าค่ะ จะรับพร้อมกับคนปีกโน้นตรงศาลาริมหาดเจ้าค่ะ” นางรายงาน ดวงตาเป็นประกายระยับราวกับสาวแรกรุ่น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าทะเลอย่างในหนังสือภาพที่เจ้านายเคยเอามาให้ดูเป็นอย่างไร น้ำทะเลจะเค็มจริงอย่างที่เคยฟังหรือไม่ นางเคยอาบแต่น้ำจืดน้ำคลอง จะอาบน้ำทะเลสักครั้งให้เป็นบุญผิวกายสักหน่อย

“จ้ะ” วิมาลารับคำ แล้วลุกขึ้นจูงมือน้องสาวเดินออกจากห้องไป

ข้างล่างนั่นเอง ไม่ไกลออกไปนักคือศาลาทรงหกเหลี่ยมสีขาวสะอ้านขนาดใหญ่พอจุคนห้าคน หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ ประจบ และเจ้าคุณวิเศษรออยู่ก่อนแล้ว คุยกันด้วยเรื่องอะไรสักเรื่องแต่ท่าทางน่าสนุก พอเจ้าของร่างบางทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน บทสนทนาก็เงียบลง ประจบยังไม่วายเอ่ยชักชวนวิฬาร์

“มานั่งนี่เถอะวิฬาร์” 

คนฟังพยักหน้ารับคำแล้วเดินไปทิ้งกายลงนั่งข้างๆ ร่างสูงของคนเป็นอาจารย์ วิมาลานั่งถัดออกมาติดกับบิดา เลยเจ้าคุณวิเศษไปจึงเป็นราชนิกุลหนุ่ม พอครบองค์ประชุม ขนมหวานที่เตรียมไว้ก็ยกออกมาวาง เป็นลอดช่องน้ำกะทิแตงไทย ดับร้อนได้ดีนัก

คนเป็นอาจารย์ชวนลูกศิษย์คุยกันอยู่สองคน หัวเราะกันเรื่อยไป แต่เพราะคุยกันแค่พอได้ยิน คนที่ประทับถัดออกไปจะทรงเงี่ยกรรณฟังก็ไม่ใคร่จะได้ยินความอะไรนัก ในพระทัยทั้งร้อนรนทั้งหงุดหงิดเป็นกำลัง ต่อให้วิมาลาชวนคุยก็ไม่มีสมาธิจะคุยเสียแล้ว แม้จะพยายามบังคับองค์เองให้นิ่งแล้วก็ตามที

กรรณแว่วแต่เสียงหัวเราะใสกังวาน แว่วแต่เสียงทุ้มนุ่มถามเบาๆ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน่ายินดีนักหนา เมื่อไม่ทรงรู้อะไรพระทัยก็เตลิดไปไกล ได้แต่ทรงทบทวนองค์เองอยู่เงียบๆ ว่าในพระทัยยามนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ทรงคิดอย่างไร คำตอบหาไม่ยาก แต่ยากจะยอมรับเหลือเกิน

พระทัยหรือไขว้เขว พระทัยหรือที่เริ่มแปรเปลี่ยนไป วิฬาร์ยังเด็ก ข้อนี้ชัดเจนเหลือเกิน วิฬาร์ยังเด็กนัก แต่ก็นั่นแหละ จะให้ทรงทำอย่างไร ทรงถอนปัสสาสะเงียบๆ ไม่รู้ว่าจะรับสั่งกับใครได้

“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ” วิมาลาถาม กระแสเสียงห่วงใยชัดเจน

“อากาศร้อน” รับสั่งตอบไม่ค่อยตรงคำถาม ความจริงคือทรงหาทางหลีกเลี่ยงการตอบอยู่ต่างหาก

ประจบนั่งฟังอยู่ก็แทรกขึ้นมา ยิ้มจนปากจะฉีก “ประการแรกต้องทำให้พระทัยเย็นก่อนนะกระหม่อม ถ้าพระทัยร้อยหรือร้อนพระทัยมาก กายจะร้อนตาม พระท่านว่า” 

พูดแล้วก็ยิ้ม หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงรู้ว่าเพื่อนยิ้มเยาะ ประจบรู้...รู้ก่อนพระองค์เสียอีกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็เร่งทำคะแนนนำหน้าไปไกล

“เธอก็ควรจะใจเย็นนะประจบ”

“มิได้กระหม่อม บางเรื่องต้องร้อน มัวแต่เย็นก็พอดีไม่ทันคนอื่นเขา อย่างว่ากระหม่อม บางทีเห็นอยู่ตรงหน้าแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้แล้ว มัวแต่ใจเย็น กว่าจะรู้ตัวมันก็หายไปเสียแล้ว หายไปอย่างที่ไม่อาจจะทวงคืนไงฝ่าบาท” ยั่วเย้า หยอกแกมเตือน เตือนให้ทรงระวัง มิฉะนั้นจะเสียทั้งที่อยู่ใกล้มือ

ฝ่ายทรงฟังนิ่งอึ้ง ทอดพระเนตรเลยไปยังเค้าหน้าสวยของใครบางคน ใครบางคนที่แค่แลพระเนตรหาก็หลบตาเสียแล้ว ใครบางคนที่แค่เสด็จเข้าใกล้ก็ถอยห่างออกไปไกลเหลือเกิน ใครบางคนที่ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่ายาก พระทัยจึงไหวแกว่ง

“ก็จริงของคุณประจบ” เจ้าคุณวิเศษแทรกขึ้นเสียนานๆ ครั้ง “บางเรื่องต้องตีกันตอนร้อนๆ ต้องใจเร็ว บางเรื่องต้องใจเย็นและรอบคอบ เพราะฉะนั้นต้องดูให้ถูกสถานการณ์” 

เสียงทุ้มทรงอำนาจประหลาด ความจริงวันนี้หากวิฬาร์ไม่ทำท่าราวกับจะเป็นจะตาย เจ้าคุณวิเศษก็ไม่อยากให้มานัก ความจริงคือไม่อยากให้เข้าใกล้เกินความจำเป็น ในเมื่อมีหลายคนคอยจับตาดูอยู่อย่างเงียบเชียบ เหมือนเสือซุ่มรอวันขย้ำเหยื่อ

“เธอล่ะวิฬาร์ ว่าอย่างไร” ทรงหันไปถามคนที่นั่งเงียบไม่พูดกับใครนอกจากอาจารย์ตัวเอง 

วิฬาร์สะดุ้งนิดๆ สบพระเนตรคมแล้วก็หลบวูบ

“หม่อมฉันเห็นด้วยกับคุณประจบเพคะ” หล่อนตอบเท่านั้น แต่ทำเอาขนงกระตุก หันมารับสั่งถามคนใกล้ตัวอีกคน

“เธอล่ะวิมาลา”

“หม่อมฉันเห็นด้วยกับพ่อเพคะ บางเรื่องต้องทำอย่างใจเย็น บางเรื่องก็ต้องรีบทำตอนร้อน” 

ไม่รู้ว่าหัวข้อสนทนาหันเหเข้าสู่เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ไม่นานตัวประจบเองนั่นแหละที่เริ่มเปลี่ยนหัวข้อใหม่อีกครั้ง เพราะแลดูออกจะเครียดไปสักหน่อย

“เราอย่าคุยกันเรื่องนี้เลยครับ ไหนๆ ก็มาทะเลกันทั้งที เดี๋ยวรอแดดร่มสักหน่อยไปลงทะเลกัน” เขาชักชวน สาวๆ ก็พลอยพยักหน้า เหลือแต่เจ้าคุณวิเศษที่นั่งนิ่งยิ้มๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ

“อ้าว ไม่ลงด้วยกันหรือเจ้าคุณ”

“อย่าเลยฝ่าบาท กระหม่อมปล่อยให้หนุ่มๆ สาวๆ เล่นกันจะดีกว่า กระหม่อมเล่นเองเกรงจะไม่เหมาะ” แล้วการสนนาก็หยุดลงแค่นั้น

รอจนกระทั่งแดดเริ่มร่ม ทิ้งเงาทอดจนวังบังแดดร้อนระอุจ้า พวกคนใช้สาวๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกระวีกระวาดลงไปเล่นน้ำ เหลือแต่สาวใช้มีอายุคนสองสามคนที่หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภาทรงเลือกให้เท่านั้นที่เล่นกันมานานตั้งแต่สาวยันแก่จนคร้านจะเล่นอยู่คอยทำงานให้เจ้านาย

ฝั่งเจ้านายเองก็ไม่ได้รีบร้อน เพราะแดดยังแรงพอควร รอให้หลบเข้าเงาเมฆอีกสักนิดค่อยออกไปให้แดดอาบผิวขาวนวลละเอียด วิมาลารออยู่ในบ้าน ส่วนวิฬาร์เลือกจะลงมาเดินเตร่แถวหาดมากกว่า มือคว้าร่มมากาง มองสาวใช้ร้องวี้ดว้ายกับไอน้ำเค็มๆ ไอแดดร้อนๆ

สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปตามหาดทรายสีขาวสะอาด สองเท้าระเม็ดทรายละเอียดเรื่อยไป ไม่นานก็มีเพื่อนร่วมทางโดยไม่รู้ตัว เพื่อนร่วมทางที่โผล่มาจากทิศทางใดก็ยากจะทราบได้ มารู้เอาก็เมื่อสุรเสียงทุ้มหวานกังวานแว่วอยู่ข้างหู

“ร่าเริงขึ้นแล้วนี่”

คนได้ยินที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้ง ก่อนจะหันมองแล้วถอยออกไปสองสามก้าว ก็ทรงเล่นเสด็จมาเสียใกล้ 

“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่เพคะ” ปากแข็ง รู้อยู่หรอกว่าตัวเองผิดปกติจนคนรอบข้างเป็นห่วง แต่คนเป็นห่วงหรือคนสังเกตนี่หมายรวมถึงคนตรงหน้าหล่อนด้วยหรือ

“ทำเก่งไป ให้คนอื่นเขาต้องพลอยเป็นห่วง”

รับสั่งพลางยิ้ม วิฬาร์อยากตะโกนบอกเหลือเกินว่าอย่างทรงยิ้มให้ใครแบบนี้เรื่อยไป ยิ้มที่กระชากหัวใจคนมองได้ กับหล่อนคงยาก แต่กับผู้หญิงคนอื่นไม่น่าจะใช่ ขอได้ไหม ทรงเก็บยิ้มนี้ไว้ให้พี่สาวหล่อนก็พอ 

ท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดนี่เองที่ทำให้ทรงสงสัย

“ทำไม หรือหน้าฉันมีอะไรติด” ทรงยกหัตถ์หนาขึ้นคลำพักตร์ ก่อนออกมาจำได้ว่าไม่พบสิ่งแปลกปลอมอะไร 

วิฬาร์ส่ายหน้าปฏิเสธ เงียบอยู่นานก่อนจะพูด

“ทรงรู้ไหมว่าทรงยิ้มสวย” 

หล่อนชมออกไปตามตรง คนฟังก็พลอยแปลกใจว่าเหตุใดถึงถูกชม ทรงยิ้มอย่างที่หล่อนว่าสวยนั่นแหละ แล้วรับสั่งถาม

“ขอบใจที่ชม ก็แล้วมันยังไง”

“ก็...” มันติดอยู่ที่คอ ไม่กล้าพูด อยากเตือนเสียจนอดทนไม่ไหว ผิวแก้มสองข้างจึงแดงยิ่งกว่าแดง ร้อนผะผ่าวไปทั้งหน้านั่นเอง คนรอฟังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จะฟังเอาให้ได้ใจความ คนต้องตอบก็ถอยหลังเรื่อยไป “ก็...เวลาทรงยิ้ม คนที่ไม่รู้ว่าทรงคิดอะไรจะคิดไปไกล”

“ยังไง” รับสั่งถามสั้น พระเนตรคมวาวระยับ

“หม่อมฉันหมายถึงอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้” 

โอ้ละหนอวิฬาร์ หล่อนจะมาหาเรื่องใส่ตัวเองทำไม ทำหึงแทนพี่สาวจนกลายเป็นเรื่อง ให้อีกฝ่ายหาเรื่องมาถามมาแกล้งเอาอย่างนี้ คนนึกรู้ว่าตัวเองพลาดเข้าเต็มแรงจึงกำร่มแน่น ถอยหลังเรื่อยไปเมื่อทรงรุกไล่เรื่อยมา

“เขาจะเข้าใจผิดว่าอะไรล่ะ”

“ก็ทรงรู้” บอกได้แค่นั้น ขืนไปชมว่าเวลายิ้ม ผู้หญิงที่ไม่รู้จักพระองค์ดีจะเข้าใจผิดไปไกล ไกลว่าทรงชอบ ไกลว่ามีพระทัยให้ ขืนชม...คราวนี้จะจบยาก เพราะรู้ก็เลยเลี่ยง แต่มาไกลเกินไปเลยไม่ยอมทรงจบ ทรงขยับวรกายเข้าใกล้ จะมองหาให้ใครช่วยก็ลำบาก พวกบ่าวเล่นน้ำเสียงดัง หาดหน้าวังใครหนอใครจะกล้ามายุ่มย่าม นั่นแหละถึงได้แต่หนี

“ก็แล้วเธอล่ะ ชอบหนีฉันเพราะยิ้มแบบนี้หรือเปล่า”

“มิได้เพคะ” ตอบทันควัน แค่ยิ้มเท่านั้นจะหนีทำไม ที่หนีเรื่อยไปเพราะทรงชอบแกล้ง เพราะไม่ได้เกรงแค่ริมโอษฐ์แย้ม แต่เกรงกระทั่งพระเนตรคมวาวทอระยับนั่นด้วย พักตร์คมสวยๆ นั่นอีก สุรเสียงทุ้มกังวานเรียกแว่วๆ ที่หลายครั้งรื่นเริง ยั่วเยาะ ทุกอย่างที่เป็นพระองค์เองนั่นแหละทำให้หล่อนต้องหนีเรื่อยไป

“อ้าว ก็อย่างนั้นทำไมชอบหนี”

“ก็...” อีกครั้งที่เงียบ “ทรงชอบแกล้ง”

“ก็แล้วฉันไปแกล้งอะไรเธอ” 

คนฟังจะโมโหก็โมโห มาถามเอาอะไรกับหล่อนนักหนา จะขำตัวเองก็ขำที่หาเรื่องซวยแท้ๆ ทีเดียว เลือกอารมณ์ไม่ถูก รู้แต่ว่าตอนนี้อยากให้ทรงหยุดถามก่อน อยากหนีไปให้พ้นก่อนเท่านั้นเอง คิดได้แค่ว่าอยากจะหนี 

“หม่อมฉันทูลลาก่อนดีกว่าเพคะ”

คนพูดหมุนตัว หัตถ์หนาใหญ่ก็ฉวยข้อมือเล็กๆ ดึงให้กลับมา “ยังพูดกันไม่ทันจบ”

ร่างบางเซไปปะทะอุระกว้าง ร่มร่วงลงจากมือ แดดยามบ่ายคล้อยร้อนระอุ กระทบผิวแก้มแดงให้ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ทรงยื่นพักตร์เข้ามาใกล้ เพราะรู้ว่าแถวนี้ไม่มีใคร แดดยังร้อนเกินกว่าวิมาลาจะลงมาเล่นน้ำ และร้อนเกินกว่าจะทำให้ประจบละจากกองหนังสือลุกขึ้นมาเดินเล่นได้ มีแต่แม่ลูกแมวน้อยเท่านั้นที่แอบลงมายุรยาตรยั่วให้ทรงอยากแกล้ง

“หม่อมฉันไม่มีอะไรจะทูลแล้ว”

“มี มีอีกมากแต่ไม่พูดต่างหาก หรือถึงเธอไม่มีเรื่องจะพูดฉันก็มีเรื่องจะถาม” รับสั่งไปอย่างนั้นแล้วทรงขยับพักตร์เฉียดเข้าไปใกล้ 

วิฬาร์ทั้งอายทั้งโกรธ เวรกรรมอะไรของหล่อนหนอ จะต้องเอาตัวมาให้เขาแกล้งถึงที่ ไม่พูดด้วยเสียเรื่องก็จะไม่ยืดยาวอย่างนี้ กรรม...กรรมของหล่อนจริง!

“หม่อมฉันไม่ทราบว่าควรจะทูลอะไรจริงๆ ก็...ไม่มีเรื่องจะทูล ทรงลืมไม่ได้หรือว่าเราคุยอะไรกัน” 

ไม้สุดท้ายทำให้ทรงพระสรวลก้องกว่าเคย

“อ้าว ฉันยังไม่ทันแก่ จะลืมอะไรรวดเร็วอย่างนั้นได้อย่างไร มันมีอะไรที่น่าลืมหรือวิฬาร์ บอกฉันที”

“หม่อมฉัน...” 

หญิงสาวนิ่ง แก้มแดง หัวใจเต้นแรง เดินถอยออกมาไกลจนเท้าเหยียบน้ำทะเลไปแล้ว จะถอยอีกคราวนี้ได้ลงทะเลแน่นอน มองหาใครก็ไม่เห็น อยากหัวเราะตัวเองเหลือเกิน เมื่อท้ายที่สุดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรก็บิดข้อมือจะเดินหนี แต่หัตถ์หนาก็คว้าเอาไว้ได้อีก คราวนี้มิใช่เพียงเซปะทะอุระกว้าง แต่หล่อนสะบัดมือตอบจนกลายเป็นดึงวรกายใหญ่ให้เซมาทับร่างตัวเอง

ไม่ทันได้ร้อง ร่างสองร่างก็ร่วงไปนอนคลุกน้ำทะเลเค็มๆ อยู่ที่พื้น สองกรแกร่งโอบร่างบางเอาไว้ตามสัญชาตญาณ สองมือบางก็โอบวรกายหนาตามความกลัวเช่นเดียวกัน ใครมาเห็นจะมองเป็นอย่างอื่นมิได้เลยนอกจากวิฬาร์กับหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์กอดกันกลมกลางหาดทราย

“วิฬาร์!” 

เสียงเรียกเหมือนตวาดดังขึ้น วิฬาร์ลืมตา ผละออกแล้วหันกลับไปมอง นิ่งไปชั่วขณะ

“เลิศ...”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น