บทที่ ๓

ศญายังจำความรู้สึกของเสียงกลองกลางอกกระหน่ำสั่น ผีเสื้อล่องหนสะบัดบินกระจัดกระจาย และห้วงขณะยามสีสันโลกเปลี่ยนไปวินาทีที่รู้ว่ารักแรกพบมีจริงได้ดี

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นยามบ่ายอากาศปลอดโปร่งวันนั้น หน้าบันไดขึ้นหอสมุดของสัปดาห์แรกในการเรียนมหาวิทยาลัย ชั่วขณะละอองฝุ่นลอยตามลมปลิวมากลิ้งกลมอยู่ในดวงตาเธอ ทั้งขลุกขลักเคืองขัด แล้วทุกอย่างพลันดับดำตามปฏิกิริยาหลับตาโดยอัตโนมัติ ศญายืนค้าง มุ่นคิ้วต่อสู้กับอาการเหมือนอยากร้องไห้ตลอดเวลา จะยกมือขยี้ก็ติดสารพัดหนังสือกองพะเนินเต็มสองแขน งุนงงจนโงนเงน นึกได้ว่ากำลังก้าวขาขึ้นบันไดอีกขั้นก็ตอนเผลอทิ้งน้ำหนักไว้ข้างหลังมากไป ก่อน...ฟึ่บ             ! มือมั่นคงคู่หนึ่งพลันประคองไว้ ไม่ใช่การโอบรับ แค่จับให้มั่น กลิ่นหอมอบอุ่นที่ไม่รู้จักฟุ้งรอบกาย และติดตรึงตั้งแต่วินาทีนั้น โดยไม่คาดคิดเลยว่าจะหวนมากรุ่นใกล้อีกครั้งในเวลาเจ็ดปีให้หลัง รวมถึงประกายคมปลาบราวอัญมณีสีดำทั้งสองข้างที่จ้องมองยามศญาลืมตาขึ้นประสานด้วย

มีกระบวนการมากมายในการจดจำใบหน้าใครสักคน ส่วนมากบันทึกด้วยจุดเด่นจำเพาะก่อน เช่นตำแหน่งไฝหรือทรงผม แต่สำหรับคนตรงหน้า เพียงห้วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ในช่องว่างระหว่างเปลี่ยนเลขเวลา เด็กสาวกลับจำเขาได้ทันที เพิ่งพบกันและจดจำทุกอย่างได้ตอนนั้น ทั้งเรือนผมสีไม้มะเกลือสะท้อนเงาแดดคล้ายรอยรางส่องสว่างรอบกาย เส้นจมูกโด่งคมกริบราวจิตรกรตวัดพู่กันวาดอย่างแม่นยำ รับริมฝีปากและคางเรียว เพราะความสูงห่างกันราวยี่สิบเซนติเมตร อีกฝ่ายจึงให้ความรู้สึกมั่นคง เผลอวางใจทิ้งน้ำหนักลงจนลืมควบคุม

ศญาร่วงหล่นทั้งที่ยังถูกฉุดรั้ง แต่เธอหล่นลงไปในพริบตานั้น ด้วยความรู้สึกเบาหวิวและหนักอึ้งในคราวเดียว...สู่หลุมล่องหนอันไร้สัญญาณเตือน

ไม่มีมูลเหตุอัศจรรย์ เสียงนกร้อง ระฆังแกว่งไกว หรือพร่างพราวดั่งดาวระยับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากสายลมแผ่วพลิ้วกับเสียงใบไม้ที่ไหนสักแห่ง แล้วเด็กสาวผู้เพิ่งก้าวสู่วัยมหาวิทยาลัยก็ยืนเก้กัง โค้งกายเล็กน้อย งุนงง กระดากอาย และแก้มร้อนฉ่า

‘ขอบคุณค่ะ’ เธอกล่าว

และ

‘ไม่เป็นไรครับ’ เขาตอบรับ

ราวกับฉากเรียบง่ายในหนังรักโรแมนติกซ้ำซากที่เคยดูกับน้องสาว ทั้งเคยเปรยอย่างขบขันว่า ‘น้ำเน่าชะมัด ชีวิตจริงไม่มีอะไรแบบนี้หรอก’ โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งจะเกิดกับตัวเองเข้าอย่างจัง ในความพร่าเลือนของภาพที่มองผ่านดวงตาเคืองขัด ในเงาแดดย้อนแสงจนกระทบกรอบร่างอย่างเรืองรอง ในกลิ่นเย็นแฝงอุ่น เหมือนไม้กฤษณาฤดูหนาว แม้ย้อนครุ่นคิดหลายครั้งในภายหลัง ศญายังตอบไม่ได้ว่าเธอตกหลุมรักเขาตอนไหนมากกว่ากัน ระหว่างเสี้ยววินาทียามเห็นใบหน้าไร้ที่ติกระจ่างชัด หรือชั่วขณะที่เขารีบปล่อยมือจากเธออย่างแสนสุภาพ หรือบรรยากาศอันมั่นคงชวนวางใจ...หรือ หรือ หรือทั้งหมดนั้น

ประกอบกลายเป็นรักครั้งแรกในชีวิต เด่นชัดในที่ทางของมันนับแต่นั้น

แล้วบ่ายวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ ศญาจะเจอเขาอีกครั้งที่หอสมุดเดิม บนโต๊ะอ่านหนังสือตัวเดิม ชั้นเดิมๆ และอีกสักพักหลังจากนั้น เพื่อนร่วมคณะของเขาก็เดินผ่านมาทักทาย ‘ว่าไงเอก’ อ้อ เขาชื่อเอก บางคราวเอ่ยแซว ‘ปีสุดท้ายแล้วยังขยันไม่หยุดเลยนะ’ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายใกล้จะเรียนจบ แต่นั่นไม่อาจหยุดเด็กสาวผู้เพิ่งมีรักให้ลอบมองเขาจากที่นั่งประจำห่างกันด้วยโต๊ะสองตัวคั่นกลาง ไม่มีเสียงพลิกกระดาษใดทำให้เธออบอุ่นใจเท่ายามนิ้วเขาเปิดผ่านหนังสือ และยังมีกลิ่นนั้นอีก กลิ่นหอมละมุนที่กลายเป็นคุ้นชิน มิหนำซ้ำยังทำให้ศญาร้อนผะผ่าว ก้มหน้างุดทุกครั้งที่ชายหนุ่มบังเอิญเดินผ่าน รสหวานในปากตกค้างจากการเผลอยิ้มเพียงคิดถึงเขา

ขณะเดียวกัน ทั้งเขินอาย ไร้ความมั่นใจ และไม่มีความกล้ามากพอ ศญาพร่ำว่าเธอรู้ขอบเขตของตัวเองดี ไม่เคยล้ำเส้นหรือเข้าไปยุ่มย่ามชีวิตอีกฝ่าย วิธีรักของศญาเป็นอย่างนั้น เธอเคารพชีวิตส่วนตัวของเอกภพ ด้วยการวางตัวเองอยู่ในกล่องโปร่งแสงแล้วปิดล็อกแน่นหนา เฝ้ามองเขาจากที่ไกลๆ เหมือนคนชื่นชมความงามของงานศิลปะโดยไม่ยื่นมือแตะต้อง การสานสัมพันธ์เป็นเรื่องเกินตัวสำหรับเธอ

ทว่าบางคราว ระหว่างคืนเหงากลางเมืองแปลกหน้าและช่วงเวลาที่น้ำตาบังคับตัวให้ไหลรินโดยไร้สาเหตุ ความโดดเดี่ยวทำให้เธอเขียนจดหมายถึงเขา อ่อนไหวด้วยอารมณ์ท่วมท้นราวกวีรันทด พรรณนาถ้อยคำพร่ำเพ้อ ก่อนจะคืนสติเมื่อถึงทางตัน ว่าฉันทำบ้าอะไรอยู่ กระนั้น ศญายังสรรค์สร้างจดหมายที่วรรคคำสมบูรณ์พร้อมถึงสองฉบับ แต่ไม่เคยส่งสักฉบับเดียว เธอบื้อใบ้เสียอย่างนั้นหากเป็นเรื่องของเอกภพ แค่อีกฝ่ายเดินผ่านโลกทั้งใบก็สะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงหัวใจระรัวเสียแล้ว

รักข้างเดียวของศญาดำเนินไปในระยะเวลาหนึ่งปี และจบลงอย่างเงียบงันโดยไม่มีใครรู้ เมื่อขึ้นปีสองเธอก็ไม่ได้เจอเขาอีก จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก้าวผ่านความเศร้าเหล่านั้นได้อย่างไร หรือความจริงเธออาจไม่เศร้าเลย ศญารู้ดีว่าทุกอย่างคงจบลงในรูปรอยนี้ตั้งแต่ตระหนักครั้งแรกว่าหลงรักเขา ห้วงขณะหวานละไมของชีวิตเหมือนปรากฏให้จดจำเพียงประสบการณ์หวามไหวมากกว่าเกิดขึ้นจริง

เธอยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เก็บเอกภพไว้ในใจเพียงเท่านั้น โดยไม่เคยเฝ้าฝันเกินเหตุ แล้วร่ำเรียน ทำงาน เติบโต ใช้ชีวิต ผ่านความสมหวังและทุกข์ท้อ เกือบลืมชายผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของบ่ายวันศุกร์ตลอดหนึ่งปีในบางครั้ง กระทั่งคว้างานที่ดึงดูดความสนใจ แล้วรู้ทีหลังว่าผู้ว่าจ้างไม่ใช่ใครที่ไหน

...นอกจากรักครั้งแรกในชีวิตของเธอนี่เอง

เพราะบังเอิญเห็นคุณปรงผ่านหน้าต่างห้องหนังสือตอนยืนส่งเอกภพ ศญาจึงคิดว่าคงเจออีกฝ่ายเมื่อขึ้นไปชั้นสอง และชายชรารอเธออยู่ตรงหัวบันไดจริงๆ ความเงียบงันกับเงาทึบทึมของบ้านทั้งหลังคลุมขยาย ลากยาวสุดทางเดินราวกับเป็นบริวารอันหนึ่งอันเดียวกัน ดวงตาซึ่งป่านนี้ยังอ่านไม่ออกว่าเก็บงำเรื่องราวใดไว้ในใจจ้องตรงมา แวบหนึ่งคล้ายพินิจพิเคราะห์ ทำให้ประหวั่นว่าตนเผลอทำความผิดใดมากกว่าจะรู้สึกว่าถูกคุกคาม

“ได้ยินว่าเธอไปเก็บบัวที่บึงหลังบ้าน”

อีกฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน คำถามนั้นชวนงงงวยมากพอจะทำให้ศญาช้อนตาขึ้นสบพร้อมความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าชายชราจะพูดเรื่องนี้ หากบอกว่าเขาสงสัยว่าตนเกี่ยวข้องกับการงัดแงะเมื่อคืนยังดูมีเค้ามากกว่า

แต่ก็นั่นละ เธอคาดเดาความคิดคุณปรงไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากสมมติฐานว่าด้วยการถูกเกลียดขี้หน้าเข้าให้ ไหนจะเรื่องลุงปั่นบอกว่าอีกฝ่ายหวงบึงบัวนักหนานั่นอีก

“ใช่ค่ะ” คนพูดระบายยิ้มจาง พยายามอย่างยิ่งต่อการสร้างบรรยากาศเป็นมิตร “พอดีเมื่อเช้าคุณบุรีให้ซินไปเก็บดอกบัวมาเปลี่ยนในแจกันค่ะ”

“ถ้าเป็นไปได้อย่าไปแถวนั้นอีก” คู่สนทนาเอ่ยเสียงเด็ดขาด

“แล้วถ้าคุณบุรีบอกให้ซินลงเก็บดอกบัวอีกล่ะคะ”

“ก็ใช้คนอื่นไปแทน”

ถึงตอนนี้คุณปรงก็ไม่มองเธอด้วยสายตาประเมินอีกต่อไป พูดให้ถูกคือไม่จับจ้องมายังศญาแม้สักเสี้ยว ชายชราผละจากเมื่อจบสิ้นธุระแล้ว และไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมบทสนทนาใด หญิงสาวคงกลับไปทำงานของตนต่อ หากเสี้ยวขณะที่เหลือเพียงภาพแผ่นหลังชายสูงวัยในเงาหม่น คุณปรงจะไม่หยุดเดินเพื่อเอ่ยย้ำโดยไม่หันกลับมา

“อีกเรื่องที่เธอต้องจำให้ขึ้นใจ บึงบัวไม่ใช่ที่ที่ใครจะไปเดินเล่นตามอำเภอใจได้”

ด้วยภายในบ้านค่อนข้างเย็น วูบหนึ่งท่ามกลางความเงียบของโถงทางศญาคล้ายขนลุกชัน พร้อมภาพเงาโงนเงนลวงตากลางสายฝนผุดขึ้นในห้วงความคิดโดยไร้สาเหตุ ครั้นมองตามอีกฝ่ายด้วยตั้งใจจะตอบรับ กลับพบเพียงความว่างเปล่า คุณปรงหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพยาบาลคนใหม่กับถ้อยคำย้ำซ้ำๆ ในหัว

ถ้าเป็นไปได้อย่าไปแถวนั้นอีก

บึงบัวไม่ใช่ที่ที่ใครจะไปเดินเล่นตามอำเภอใจได้

หญิงสาวลอบถอนหายใจท้ายที่สุด เพราะคงมีแต่ตนเท่านั้นที่รู้ดียิ่งกว่าใคร 

...ว่าเธอเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบึงเก่าแก่แห่งนั้นเช่นกัน

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ศญาพบชายชราทั้งสอง เธอก็คิดว่าคุณปรงกับคุณบุรีมีหลายอย่างคล้ายกัน ทั้งอายุและวัยดูไล่เลี่ย ยังเป็นคนรูปงามตามแบบพระเอกหนังสมัยก่อนไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร ไหนจะท่าทางบางอย่างซึ่งแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ให้เห็นเฉพาะคนที่อยู่ด้วยกันมานานเท่านั้น เช่น องศาขณะยกมือจับแก้วน้ำ การหาวโดยไม่อ้าปาก หรือวิธีพูดออกเสียงคำเฉพาะบางคำ

อย่างไรก็ตาม ความต่างหนึ่งที่หญิงสาวเพิ่งค้นพบคือท่าทีที่ทั้งคู่มีต่อเธอและบึงบัว มาชัดแจ้งตอนเย็นย่ำยามเจ้าของบ้านนั่งทอดสายตาบนเก้าอี้หวายบุนวมตัวเดิม ตรงระเบียงเดิมซึ่งหันไปสู่สวนหลังบ้านที่ตกอยู่ภายใต้แสงสีส้มจัดจ้าทั่วฟ้า ยังมีหนังสือคนเถื่อนของวอลแตร์วางข้างกายโดยไม่เปิดอ่าน ก่อนเปรยอย่างสงบ...แค่เปรยเท่านั้น เหมือนชวนคุยเรื่อยเปื่อยตามประสา

“บึงบัวเป็นยังไงบ้าง”

เพราะเวลานี้มีแค่เธอกับคุณบุรี ต่อให้ไม่ถูกเรียกชื่อ ศญาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยกับตน

“สวยมากเลยค่ะ ดอกบัวก็หอมมาก”

กลิ่นบัวเหงาๆ พลิ้วตามลมมาราวรับรู้ว่าถูกเอ่ยถึง สะบัดหอมเป็นหวานปนขมของกลีบดอกที่กำลังหุบหลับยามตะวันรอน เจือไอเย็นบึงน้ำที่ถูกลมพัดมาด้วยกัน วูบหนึ่งคล้ายบัวที่เพิ่งตัดมาใส่แจกันเมื่อเช้าพลันขยับไหว ก่อนชายชราค่อยระบายยิ้มน้อยๆ

“เหรอ...แล้วเห็นอะไรมั้ย”

“คะ?”

ศญากะพริบตาปริบๆ เผลอเหลือบมองแผ่นน้ำไกลๆ เบื้องหน้าชั่วแวบ ก่อนรีบบังคับสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว “ไม่...ไม่เห็นค่ะ พอดีซินเจอลุงปั่น ทางนั้นช่วยลงไปเก็บดอกบัวให้แทน”

คุณบุรีไม่ต่อว่าหรือแสดงอาการขุ่นเคืองต่อคำตอบนั้น เจ้านายเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอัญเรศไพจิตยังคงทอดสายตาไปไกล วางมือบนพนักเท้าแขน ลูบผิวไม้เนียนเกลี้ยงอย่างแผ่วเบาราวกำลังแตะต้องบางสิ่งในความทรงจำ

“แซน”

อาการหวิวหวั่นๆ ที่ไม่รู้มาจากไหนค่อยๆ กรีดบาดอากาศรอบกาย ศญาขนลุกชันโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวยืนนิ่ง งุนงงและใคร่รู้ แต่ความระมัดระวังทำให้เธอเลือกความเงียบเป็นคำตอบ ก่อนพบว่าไม่จำเป็นเลย เมื่อคุณบุรีเป็นฝ่ายเฉลยเสียเองในครู่ต่อมา

“ดอกบัวภาษาเวียดนามเรียกว่าแซน”

ภาพกลิ่นรวยรินของดอกไม้กลางน้ำผุดขึ้นในความคิด เนียนละมุนกรุ่นกลิ่นอ่อนหวาน ผลิแย้มเชื่องช้า กระทั่งละอองเกสรสีเหลืองเหมือนผงฝุ่นไร้มลทินค่อยๆ ลอยละล่องขึ้นในอากาศ เกลี้ยงเกลาราวถูกสลักเสลามากกว่าจะกำเนิดจากโคลน หากบัวนั้นคือหญิงสาว คำว่าแซนคงเหมาะกับเธอ เสียงซอโซ่สร้างความรู้สึกบางอย่างสากซ่าอยู่ปลายลิ้น คล้ายคำกระซิบเจือจาง ระโหยโรยแรง และแห้งผาก

แซน...เป็นความงามที่เลือนรางกลางสายหมอกและฟังดูเศร้าอย่างไร้สาเหตุ คำว่าแซนสำหรับศญาเป็นเช่นนั้น

“เหมือนกิมแซน...”

ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเผลอเอ่ยออกไป ยิ่งไม่คาดคิดว่าจะเก็บคำแปลกประหลาดนั้นไว้เพื่อเปล่งในเวลานี้ ศญาตกใจตัวเองแม้พูดไม่ทันจบดี กลับเป็นฝ่ายคุณบุรีที่ชะงักเพียงเสี้ยวนาที โดยไม่แสดงอาการคลุ้มคลั่งผิดแผกจากเมื่อวาน ผู้สูงวัยยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากความอ่อนโยนปรากฏในแววตายามหันมามองเธอ จดจ้องอยู่เช่นนั้น

“ใช่...เหมือนกิมแซน”

ผงฝุ่นใต้รอยแดดสุดท้ายล่องลอยผ่านทั้งสอง สว่างเรื่อด้วยแสงที่ไม่ได้เปล่งจากตัวมันเอง เลือนราง ไร้ชีวิต

ศญานิ่งค้าง เผลอยกมือจับผมทัดหูทั้งที่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร แต่ไหนๆ บทสนทนาก็เดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว ถามให้สิ้นสงสัยไปเลยแล้วกัน

“กิมแซนแปลว่าอะไรเหรอคะ”

“กิมเป็นนามสกุล แซนคือชื่อ เพราะใช่มั้ย กิมแซน...”

“คุณท่าน”

เสียงราบเรียบจากผู้มาใหม่หยุดถ้อยคำทั้งหมดลงฉับพลัน ไม่ทราบว่าคุณปรงปรากฏตัวอยู่ด้านหลังทั้งสองเมื่อไร อาจเพราะยามเย็น เงาหม่นในบ้านเก่าแก่จึงแผ่คลุมจนดูทะมึนอยู่หลังชายชรา ซ้ำร้ายท่าทีเย็นชาและไม่หันมองกันสักนิดยังทำให้ศญารู้สึกเหมือนตนทำอะไรผิด...แต่เป็นอะไรกันล่ะ เธอแค่คุยเรื่อยเปื่อยกับคุณบุรีเท่านั้นเอง

“สำรับเย็นพร้อมแล้ว ให้ตั้งโต๊ะเลยมั้ยครับ”

หญิงสาวจึงลอบก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วถึงบางอ้อในใจ หรือเขาจะตำหนิที่เธอไม่เตรียมสำรับเย็นกันนะ ก่อนหน้านี้คุณปรงไม่ใช่หรือที่บอกว่าจะดูแลเรื่องส่วนตัวทั้งหมดของคุณบุรีเพียงผู้เดียว

เอาเถอะ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้เสียหน่อยว่าโดนอีกฝ่ายเกลียดขี้หน้า คงต้องหาโอกาสขอโทษเรื่องความบกพร่องนี้สักครั้ง

“ยังก่อน ฉันอยากฟังเพลง”

ผู้เป็นนายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา ก่อนหันกลับมาหาพยาบาลคนใหม่

“เปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นมั้ย”

“เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณเหรอคะ” ศญายิ้มแหย อย่าว่าแต่เปิดเป็นเลย เธอเพิ่งเคยเห็นของจริงเมื่อวานนี่เอง

“เดี๋ยวผมเปิดให้เอง”

คนสนิทเก่าแก่ตัดบทด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง แล้วตรงไปยังเครื่องเล่นเพลงรูปปากแตรในห้องนอนใกล้กันโดยไม่รอคำอนุญาต คุณบุรีไม่ทำท่าเดือดดาลต่อความเจ้ากี้เจ้าการและการทำตัวนอกเหนือคำสั่งแต่อย่างใด เขาดูชินชากับการตัดสินใจอะไรต่อมิอะไรเองของคุณปรง อันที่จริงหากจะว่าไป ทั้งคู่ดูเหมือนคนต้องคำสาปให้ติดอยู่ในบ้านเดียวกันตลอดชีวิต มากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบนาย-บ่าวเสียอีก

“ไปดูวิธีเปิดกับปรงเขาสิ หัดไว้ เผื่อวันหลังฉันอยากฟังอีกจะได้ทำเป็น”

คุณบุรีกล่าวอย่างเฉื่อยชาเหมือนผู้ใหญ่ใจดีแนะนำเด็ก ศญารีบขานรับก่อนสาวเท้าตามคุณปรงไป เสี้ยวสายตาในวินาทีก่อนผละจาก หญิงสาวพลันพบว่าคนที่เธอมองเห็นไม่ใช่คุณบุรี อัญเรศไพจิตผู้ลึกลับมั่งคั่ง หากเป็นเพียงชายชราบนเก้าอี้หวายที่นั่งมองบึงบัวใต้จุมพิตอัสดง รอคอยเพลงซึ่งเขาฟังมาแล้วกว่าครึ่งชีวิต และคงฟังซ้ำๆ เช่นนี้ต่อไป

...ตราบจนแผ่นน้ำทั้งหมดเหือดหายและดอกบัวพวกนั้นตายลง

ฟ้ามืดแล้ว ศญายกถาดสำรับของคุณบุรีลงมาพอดีตอนเห็นป้าเอี่ยมยืนต้อนรับใครสักคนอยู่หน้าประตูบ้าน ท่าทีนั้นเคร่งขรึม ครุ่นคิด และจริงจัง ทั้งยังทำให้พยาบาลคนใหม่งุนงงไปตามกัน ด้วยไม่ทันเปิดเผยการมีอยู่ของตนก็ดันถูกหันมาเห็นเสียก่อน ป้าเอี่ยมหน้าชื่นขึ้นทันที หญิงคนครัวรีบกวักมือเรียกไหวๆ ราวกับค้นพบผู้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์

“นั่นไงมาพอดี คุณซินคะ มานี่ก่อนเร้ว”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

เจ้าของชื่อเดินไปร่วมวงสนทนาอย่างช่วยไม่ได้ ตอนที่แสงไฟส่องกระทบใบหน้าผู้มาเยือนนั่นละ ศญาจึงนึกได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้หมวดหนุ่มที่เพิ่งมาสอบปากคำกันช่วงกลางวันนี่เอง เธอจำไฝใต้หางตาซึ่งรับกันดีกับใบหน้าออกหวานของเขาได้ ไหนจะส่วนสูงโดดเด่นและผิวขาวสว่าง ประหนึ่งการฝึกฝนเคี่ยวกรำทั้งหลายไม่อาจส่งผลกระทบได้ คลับคล้ายจะชื่อทาวัต...เรวัต...อนวัต อะไรวัตๆ ประมาณนี้

แต่การลืมชื่อเขาไม่ใช่ปัญหาเลย กรณีที่มีป้าเอี่ยมอยู่ด้วย

“หมวดทาวัตเธอบอกว่าทำกระเป๋าตังค์หายที่นี่ค่ะ กำลังถามเลยว่าคุณซินพอจะเห็นบ้างหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนเจื้อยแจ้วอธิบายราวกับเป็นเรื่องของหล่อนเอง ศญาถือว่านี่เป็นพรสวรรค์การจำนรรจาอย่างหนึ่ง

“เอ...ไม่มีนะคะ หรือจะอยู่บนห้องหนังสือตอนขึ้นไปตรวจสอบคะ”

“ไม่น่าใช่นะครับ เพราะตอนออกมาสอบปากคำคุณผมรู้สึกว่ายังมีอยู่ แต่หลังจากนั้นก็จำไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยยิ้มเจื่อน เห็นชัดว่าเขาคงเกรงใจไม่น้อยที่มารบกวนเวลานี้

“งั้นศาลาที่เราคุยกันล่ะคะ อาจตกแถวนั้นก็ได้”

“ถ้าที่นั่น...” เขาครุ่นคิด “อาจจะเป็นไปได้ครับ”

“นี่ก็มืดแล้ว เดี๋ยวฉันไปช่วยหาอีกแรงดีกว่าค่ะ”

ศญาหันไปฝากถาดอาหารกับป้าเอี่ยมก่อนเดินนำร่างสูงออกไป ดวงอาทิตย์ลับฟ้าดังคำเธอว่า นอกจากตัวตึกกับประตูรั้วทางเข้าไกลๆ ก็ไม่มีแสงไฟจากไหนอีก บริเวณศาลาสวนปีกซ้ายที่สนทนาตอนกลางวันเช่นกัน มืดและครึ้มด้วยกอดอกดาหลาสูงชะลูด ใบเรียวยาวมันวาวสลับซับซ้อน สะท้อนแสงเหลือบรางๆ มองคล้ายการยืนชุมนุมในเงาตะคุ่มของกลุ่มเด็กไร้วาจา แล้วความคิดที่ว่าหากเดินเลยไปเป็นเขตหลังบ้าน สุดทางมีบึงบัวใหญ่คอยจ้องมองตน ก็ทำให้หญิงสาวรีบเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือทันที เอาเป็นว่ายิ่งหาเจอเร็วยิ่งดี ผู้หมวดทาวัตเองก็คงไม่อยากอยู่ที่นี่นานเท่าไร

“ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องรบกวนคุณในเวลานี้”

คนเสียงทุ้มเอ่ยทำลายความเงียบจากด้านหลัง เขาก็ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือของตนส่องตามพื้นใต้ที่นั่งในศาลา ดวงตาซึ่งมีไฝเสน่ห์เกาะอยู่ข้างใต้เบือนมาสบเล็กน้อย ศญาได้แต่รำพึงว่าจะมีความงามใดถูกขับเน้นให้เด่นชัดกลางความมืดได้เท่าใบหน้าชายคนนี้ ช่างเป็นคนที่เหมาะกับบรรยากาศยามค่ำคืนอะไรอย่างนี้

เขาทำให้เธอนึกถึงแสงจันทร์ คงจะดีถ้าคืนนี้มันสุกสว่าง อย่างน้อยน่าจะช่วยให้เห็นรอบกายชัดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” เธอเอ่ยตอบพลางครุ่นคิด “ฉันจำได้ว่าคุณนั่งแถวนี้ใช่มั้ยคะ ใกล้กอต้นดาหลานี่”

ว่าพลางหญิงสาวยังยื่นมือกวาดหาตามซอกเสาศาลา เอื้อมสะเปะสะปะเดาสุ่มเข้าว่า ไอเย็นจากใบไม้ทับถมนำความชื้นแปลกๆ ชวนขนลุกชัน ศญาเปลี่ยนท่านั่งจนเกือบคุกเข่า การส่องไฟฉายเข้าไปในกอพืชรกครึ้มเวลานี้ชวนจินตนาการพิสดารประดามี เช่น ระหว่างคลำหาอาจคว้าได้อีกหนึ่งมือเย็นเยียบไร้ที่มา กระทั่งอาจถูกดึงเข้ากอดาหลาด้วยแรงล่องหนของใครสักคนที่ซุกซ่อนลวงตา

ความคิดเหล่านี้อาจเป็นปริวิตกของพวกขี้ขลาดตาขาวก็ได้ เธอคงเป็นคนประเภทนั้นละ

เพราะสังเกตเห็นท่าทีฝืนใจแต่ยังตั้งหน้าตั้งตาช่วยหาเต็มที่ ทาวัตจึงค่อยๆ ก้าวเข้ามาข้างกันเพื่อส่องไฟเข้าไปในดงดาหลาบ้าง กลิ่นดอกไม้ขาวพลิ้วผ่านหญิงสาวอย่างเชื่องช้า อ่อนจางบางเบา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากเจ้าของร่างสูงหรือที่ไหนสักแห่งในความมืดรอบกาย...มันหอม หวานหม่นปนโศก คล้ายคุ้นเคย แม้จำไม่ได้เลยว่ากลิ่นดอกอะไร...

ไปกันใหญ่แล้วยายซิน นี่ใช่เวลามาดมกลิ่นดอกไม้ที่ไหน ศญารีบเก็บความสนใจมาสู่การกวาดสายตาเบื้องหน้าทันที ก่อนจะพบบางอย่างใต้ใบไม้ร่วงใหม่ หนังสีน้ำตาลอ่อนรูปสี่เหลี่ยม…กระเป๋าเงิน

“เจอแล้วค่ะ ใช่นี่รึเปล่-”

“คุณศญา! ระวัง!”

ฟ่อ!

รวดเร็วเกินกว่าจะรู้ตัว เงาสีดำมะเมี่ยมพุ่งมาพร้อมเขี้ยวยาวอย่างเจตนาร้าย หญิงสาวผงะล้ม เกล็ดมันวาวสะท้อนเข้ามาในดวงตา พร้อมวินาทีต่อมามีเสียงบางอย่างกรีดบาดอากาศ!

ฉึก!

พริบตาระหว่างเสี้ยวแบ่งลมหายใจ กลางอกยังไม่หายปวดจากหัวใจกระตุกวูบ เลือดคาวร้อนก็ฉีดพุ่งใส่หน้าศญาพร้อมร่างงูบิดงอ เสือกไถกายอย่างทุรนทุราย กลางหัวมีมีดพกด้ามสั้นเสียบคา และข้างกันนั้น หมวดทาวัตผู้มีท่าทีตกตะลึงไม่ต่างกันค่อยๆ ขมวดคิ้วราวผู้พิพากษาวัดชั่งราคาชีวิต ก่อนบทสรุปของความคิดคือการกำมีดสับลงฉับเดียว เพื่อให้ทุกสิ่งแน่นิ่ง เงียบงัน เหลือเพียงความตาย

อสรพิษโตเต็มวัยถูกแยกกายกับหัวออกจากกันทันที

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

คำถามของเขาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หรือไม่เช่นนั้นก็ตัวเธอเองที่ไม่อาจได้ยินอะไรชัดเจน กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง และเหนอะข้น ซ้ำร้ายส่งความรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วสรรพางค์ คล้ายหยดหนึ่งกระเซ็นเข้าดวงตาจนย้อมภาพทุกอย่างอาบด้วยสีแดงก่ำ ซ้อนทับเรื่องราวหนึ่งซึ่งเหลือเพียงตะกอนเก่ากรัง เลือนรางก่อนค่อยๆ ตีขึ้นจุกแน่นกลางอก เอ่อล้น ท่วมทะลัก สลับศพงูเบื้องหน้าตัดคั่นภาพความทรงจำเดิมซ้ำๆ ราวฉากโศกนาฏกรรม

...แอ่งเลือดเจิ่งนอง การดับสูญของลมหายใจ ความทุกข์ทรมานที่ไม่มีใครได้ยิน สิ่งเหล่านั้น...เรื่องราวเหล่านั้น...

“ฉัน...ฉัน...”

ความรู้สึกอยากหลีกหนีจากอะไรก็ตามยามนี้ทำให้ศญารีบดันตัวลุกขึ้นยืน ก้อนขมๆ จุกคอ ดันให้อยากอาเจียนพร้อมเรี่ยวแรงค่อยๆ จางหาย ทั้งหมดที่เธอรับรู้คือร่างกายกำลังเย็นเยียบ เหงื่อผุดท่วมหลัง แม้พยายามยืนให้มั่น สุดท้ายสองขายังไม่อาจพยุงกายไหว

“คุณศญา คุณศญา!?”

เสียงทาวัตดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แว่วข้างหูพร้อมแรงประคองซึ่งกลายเป็นความมั่นคงหนึ่งเดียวที่คว้าได้ ศญาเงยหน้าส่งยิ้มแหยอย่างแสนเกรงใจ แต่เรื่องแย่คือกลิ่นคาวเลือดงูประสมดอกไม้ขาวกลับชวนวิงเวียนยิ่งกว่าเดิม

“ไม่...เป็นไรค่ะ” หญิงสาวกัดฟันตอบเช่นนั้น ทั้งที่เผลอจับแขนอีกฝ่ายแน่น

“ขออนุญาตนะครับ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เธอได้ยินจากทาวัต ก่อนทุกอย่างพลันเบาหวิว ก้ำกึ่งระหว่างการวูบดับกับหลงเหลือสติ ศญารู้สึกว่าคล้ายตัวเองลอยได้ ปลายเท้าสองข้างเตะแตะเพียงอากาศ เหมือนเผลอหลับครู่สั้นๆ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเสียงป้าเอี่ยมโวยวายแหวกอากาศมาเสียดหู จ้าละหวั่นจนเธอลืมตาคืนสติ

“ว้าย! เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมมีเลือดตกยางออกแบบนี้ ใครเป็นอะไร นั่งก่อนค่ะ นั่งก่อน”

ไม่รู้ผู้หมวดหนุ่มพาเธอมาถึงบริเวณครัวหลังบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าเท้าจะแตะพื้นก็ตอนทาวัตวางเธอลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าวอย่างเบามือ เขายืนข้างกันขณะหันไปตอบผู้มากวัยกว่า

“เลือดงูครับ มีงูอยู่กอดาหลา มันพุ่งใส่คุณศญา โชคดีผมมีมีดพกพอดี”

“คุณ...คุณผู้หมวดฆ่างูเหรอครับ”

ลุงปั่นถือช้อนค้างตั้งแต่เห็นชายหญิงทั้งสองปรากฏตัว กระทั่งป่านนี้ยังลืมวาง เขาพึมพำด้วยสีหน้าซีดเผือด ขณะผู้เป็นภรรยากลับแสดงทีท่าโล่งอกอย่างชัดเจน หล่อนจุปากพลางปัดมือไปมา ดูยินดีปรีดากับการตายของอสรพิษที่ตนยังไม่เคยพบเจอ

“ดู๊ดู ดีจริงๆ ที่ผู้หมวดฆ่ามันก่อน นี่ถ้าเป็นตาปั่นคงโดนฉกไปแล้ว รายนี้ยิ่งชอบทะร่อทะแร่ไม่ดูตาม้าตาเรือ”

คนถูกเอ่ยถึงกะพริบตาปริบ ใช้เวลาคิดตามคำพูดเมียต่ออีกครู่จึงเข้าใจความหมาย ก่อนรีบพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องต้องกัน

“นั่นนาซี พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปถางหญ้าแถวนั้นพอดี นี่ถ้า...”

“เอะอะอะไรกัน”

การสนทนาทั้งหมดหยุดลงเพียงเท่านั้น บรรยากาศพลันหมองหม่นทันทีที่คุณปรงเดินเข้ามาในครัว ดวงตาเรียวยาวเหลือบมายังพยาบาลสาว ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นคราบเลือดเปรอะทั่วกายเธอ...แต่เพียงเท่านั้น แค่ขมวดคิ้ว ทว่าสิ่งดึงความสนใจซ้ำร้ายทำให้ชายชราหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม กลับเป็นนายตำรวจผู้มาเยือนยามวิกาล ทาวัตคงรู้สึกได้เช่นกัน เขาขยับห่างจากศญาเล็กน้อย คล้ายกลัวเธอถูกเหมารวมไปด้วย ก่อนรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงสุภาพ ขอโทษขอโพย และเกรงอกเกรงใจ

“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมทำกระเป๋าตังค์หายเลยกลับมาถามที่นี่ แต่คุณศญาดันเจองูที่กอดาหลาตอนไปช่วยกันหา เลยเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”

ชายหนุ่มไม่เอ่ยเรื่องฆ่างูและคุณปรงเองก็ไม่ได้ถาม สิ่งเดียวที่ผู้ดูแลมากวัยกระทำคือการเชิดหน้าเล็กน้อยและสบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตาอันไม่เคยปรากฏแววอารมณ์ใด กล่าวคำเด็ดขาดราวกับวาจาศักดิ์สิทธิ์

“บ้านอัญเรศไพจิตไม่รับแขกตอนกลางคืน เชิญคุณออกไปได้แล้ว”

คล้ายใครสักคนกลั้นหายใจ อาจเป็นป้าเอี่ยมหรือลุงปั่น แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีใครเอ่ยหลังประโยคนั้นนานทีเดียว

ความเงียบแยกย้ายกันกระจายตัวทั่วห้องครัว ด้วยความนิ่งชวนอึดอัด ความหวาดหวั่น และความกระดากของคนฟังทั้งสี่ สุดท้ายผู้มาเยือนค่อยยอมรับอย่างจนใจ

“...ครับ ขอโทษอีกครั้งที่รบกวนครับ”

เห็นชัดว่ารอยยิ้มเจื่อนกว่าครึ่ง หากยังรักษามารยาทต่อได้ หมวดทาวัตหันมาพยักหน้าให้ศญาและสองสามีภรรยาแทนคำบอกลา ก่อนก้าวจากไปโดยไม่มีใครกล้าเดินไปส่ง พยาบาลคนใหม่ยังดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ส่วนป้าเอี่ยมกับลุงปั่นตกอยู่ในอาการขวัญหนีดีฝ่อจนแข็งค้างและนิ่งอยู่เช่นนั้น เพื่อน้อมรับคำสั่งชายชราโดยไม่กล้าปริปากค้าน

“ใครควรจะทำอะไรก็ไปทำซะ พรุ่งนี้ต้องไม่มีศพงูหรือรอยเลือดให้ฉันเห็น และจำไว้ด้วยว่าห้ามให้คนอื่นเข้ามาในบ้านอัญเรศไพจิต ถ้าฉันไม่อนุญาต”

ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดรองจากเจ้าของบ้านกวาดตามองสมาชิกร่วมชายคาทั้งสาม ปล่อยให้บรรยากาศกดดันร่วงทับจนแทบไม่มีใครขยับตัว ด้วยหนักอึ้งเกินต้านไหว ก่อนเดินจากไปโดยไม่รอฟังคำตอบรับ คุณปรงไม่ต้องการให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน แต่เป็นการปฏิบัติตามโดยไร้ข้อแม้ต่างหาก

ห้องครัวบ้านอัญเรศไพจิตถูกปล่อยให้กลายเป็นสีทึบทะมึนเหมือนตัวบ้านทั้งหลังชั่วอึดใจ กระทั่งเสียงฝีเท้าห่างไปไกล สตรีวัยกลางคนค่อยระบายลมหายใจเฮือกออกมาก่อน ตามด้วยสามีหล่อนที่จนแล้วจนรอดก็ถือช้อนค้างจนข้าวเริ่มแห้งคามือ แต่ป้าเอี่ยมรอบคอบพอจะเดินไปชะโงกหน้าหาเงาตกค้างของคุณปรงตรงโถงทางเดิน จนมั่นใจว่าไปลับตาแน่แล้ว ค่อยกลับมาทำท่ากระซิบกระซาบกับพยาบาลสาวผู้นั่งนิ่งอยู่กับคราบเลือดงู

“จะพูดปลอบกันสักคำก็ไม่มี เฮ้อ ไหวมั้ยคะคุณซิน เดี๋ยวป้าไปหยิบยาดมมาให้ดีกว่า”

“เอ...แต่คุณซินเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ แล้วทำไมกลัวเลือดล่ะ” ลุงปั่นเอ่ยถามหน้าซื่อพลางอ้าปากกินข้าวเย็นชืด

“กลัวเลือดที่ไหน คุณซินตกใจงูต่างหาก”

คนเป็นเมียรีบหันไปแหวใส่ แถมพึมพำในลำคออย่างขัดใจขณะเดินหายาดม

“เป็นพยาบาลจะกลัวเลือดได้ยังไง ตาปั่นนี่ก็ถามแปลกๆ”

ศญาก้มหน้ามองรอยโลหิตด่างดวงบนเสื้อซึ่งซึมลึกลงเนื้อผ้า กลิ่นคาวข้นเกรอะกรังและรังแต่จะคลุ้งอยู่ใต้จมูก เรือนผมยาวลู่ลงบังดวงตาจนไม่มีใครเห็นว่าปรากฏแววเช่นใด และไม่มีใครสังเกตด้วยว่าตั้งแต่เข้ามานั่งในครัว หญิงสาวยังไม่ได้เอ่ยวาจาใด...แม้สักครึ่งคำ

บันทึก วันที่ 5 กรกฎาคม 25XX

เหมือนการเคลื่อนหมุนของโลกและดวงอาทิตย์ การไหลผ่านของกลางวันและกลางคืน เข็มนาฬิกาที่เดินตามกลไกซับซ้อนโดยไม่อาจย้อนกลับ ผมรู้ทันทีตั้งแต่วินาทีแรกว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงตกหลุมรักคุณ ไม่อาจเป็นอื่นไปได้

หลังเราแยกจากกัน หัวใจของผมสั่นอย่างรุนแรง มันหนาวและร้อนสลับกันในเวลาต่อวินาที ทุกก้าวเดินที่ห่างจากคุณกลายเป็นความทรมาน ยิ่งระยะห่างระหว่างเรามีมากเท่าไหร่ ความโหยหาข้างในยิ่งบาดลึกมากเท่านั้น เราอาจเคยพบกันมาก่อน คุณคิดอย่างนั้นไหม มันต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในสักสถานที่ สักห้วงเวลา บางทีเราอาจเคยรักกันอย่างบ้าคลั่งในชาติก่อน คุณคงลืมไปแล้ว แต่ผมยังรู้สึกอยู่

ศญา ศญา ศญา...ผมเรียกชื่อคุณราวกับบริกรรมคาถา

เราเพิ่งรู้จักกันเท่านั้น แต่ผมกลับมองเห็นคุณแม้กระทั่งตอนหลับตา ทุกอย่างช่างชัดเจน - ดั่งรักแรกพบของเรา ดวงหน้าอ่อนหวานแต่เยือกเย็นอยู่ในที ปลายจมูกเรียวเล็กที่ทรมานผมกับการข่มใจไม่ยื่นมือไปสัมผัส ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคุณทำให้ผมนึกถึงแสงแดดบนผืนน้ำนิ่งสงบ กับริมฝีปากที่ทำให้ผมต้องกระหายเหมือนอยู่กลางทะเลทรายแห้งผาก...วิธีการยืนของคุณช่างดูเดียวดาย แต่วิธีพูดกลับน่าดึงดูด คุณเป็นของคุณแบบนี้โดยไม่ต้องพยายามอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ครอบครองเสน่ห์มากมายเพียงนั้น แต่ยังดูผลักไสผู้คนในเวลาเดียวกัน คุณผู้อ่อนโยน และห่างเหิน และเศร้า...ใช่ เศร้า มีกลิ่นเศร้าเจือจางจากกลิ่นหอมของคุณ เพราะเหตุนี้ผมเลยหลงรักคุณยิ่งขึ้น

ศญา...ผมเรียกคุณอีกครั้งตอนเขียนบรรทัดนี้ การเปล่งเสียงทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดคุณมากขึ้น

คุณช่างแตกต่าง ไม่เหมื

การคิดถึงคุณทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเจียนคลั่ง เข็มนาฬิกาเดินไปอย่างไร้ค่าเมื่อปราศจากคุณ

ศญา ผมเอาคุณออกจากหัวไม่ได้เลย

ผมต้องหาทางกลับไปหาคุณ มันต้องมีวิธีที่เราจะได้ใกล้ชิด เมื่อถึงตอนนั้น คุณเองก็จะรักผมเหมือนกัน

ศญา ศญา ศญา...เพียงแค่คิดถึงตอนที่เรารักกันก็ทำให้ผมเป็นสุขแทบหลั่งน้ำตา


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น