๘
ศญากำลังฝัน
มันคือฝันแน่ๆ และไม่ใช่ครั้งแรกกับเรื่องราวเหล่านี้ ความเหนื่อยล้าจากทรงจำฝังแน่นยังติดมาราวกับกำลังเกิดขึ้นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างยังวางอยู่ในที่ทางเดิมของมัน กวักมรกตในกระถางที่ไม่เคยแทงยอดอ่อน พรมเช็ดเท้าลายดอกโบตั๋น กระดิ่งแก้วเงียบงันไร้แรงลมตรงหน้าต่าง แดดเช้าทอผ่านผิวเคลือบวาวยังแจ่มชัดครบถ้วน เจิดจ้าเป็นนิจนิรันดร์ด้วยแสงบาดผ่านดวงตาในเสี้ยวขณะยามเปิดประตูบานนั้น มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แสงนั้นตกกระทบตาเธอเสมอในฝันเรื่องเดิมนับร้อยพันจบ วินาทีเดิม องศาเดิม และทำให้เธอกลัว ความรู้สึกยังเข้มข้น หญิงสาวใจเต้นแรง จำได้ดีไม่มีวันลืม เธอรู้ว่าหากก้าวเข้าไปจะเจอกับอะไร
ศญาพยายามฝืนตัวเอง และตะโกนอยู่ข้างในกายตนอีกที ตื่น! ตื่น! อย่าเข้าไป อย่ามอง เธอต้องตื่น เร่งเร้ากระวนกระวายแต่มิอาจฝืน ไม่เคยมีฝันครั้งไหนที่ศญาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้ว และเหลือเพียงรอยกรีดเหวอะหวะกลางใจ ภาพนิทราพาเธอเดินย้อนทางเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
...ทางซึ่งอาบย้อมแอ่งเลือดดวงแดง ปะปนใต้ละอองฝักบัวพร่างนอง กับร่างไร้ลมหายใจฟุบหน้าชั่วกาลในความทรงจำ เปรอะเปื้อน แหลกสลาย นี่คือความตาย นี่คือสิ่งที่เธอเคยพบเจอครั้งอดีต
จู่ๆ ฝนก็ตกลงในบ้าน เปียกชุ่มอาบย้อมทุกทิศทุกทาง หญิงสาวสะท้านก่อนรีบเงยหน้า เรื่องราวนี้ไม่เคยเกิดในความทรงจำ ฝันร้ายกำลังพาเธอไปสู่เรื่องราวปรุงแต่งขึ้นใหม่ หยาดฝนโลหิตร่วงหล่นหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ รอบกายก่อตัวเป็นมวลน้ำสีเลือดท่วมทะลัก ดูดกลืนร่างแน่นิ่งเบื้องหน้าจนลับหาย ตัวเธอเองก็เช่นกัน กำลังจะจมลงใต้บึงแดงฉานที่มีลูกตากลมกลิ้งชุลมุนนับร้อยพันเบื้องล่าง คลื่นพัดหมุน ฟองอากาศขาดห้วง เธอกำลังจะตาย...ตายไปพร้อมใครคนหนึ่งซึ่งจากลาอยู่ก่อนแล้ว ตายท่ามกลางแอ่งเลือดเหมือนกันมิผิดเพี้ยน!
ศญากรีดร้อง ความเจ็บปวดเรื้อรังสาดซัด
ตื่น! เสียงในหัวตะโกนก้อง หลุดออกจากฝันบ้าๆ นี่เสียที! ตื่น!
เฮือก!
ดวงตาเบิกกว้าง อากาศจำนวนมากไหลพรูเข้าปอด หญิงสาวหอบหายใจ รอบกายโอบล้อมด้วยความเงียบและกลิ่นรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่สาง เธอแค่ฝันร้าย ใช่ ฝันร้ายเท่านั้น โลกความจริงจะทำให้เธอปลอดภัย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้ว...
ฟุ่บ!
ตอนนั้นเอง ทั้งที่เพิ่งสะท้านจากฝันร้าวรานครั้งนั้น ศญาพลันพบสิ่งผิดปกติเบื้องหน้าต่อทันที
...ใครบางคนอยู่ตรงปลายเตียง นั่งยองและจ้องมองเธอ ด้วยเงาดำผมยาวเหยียดจึงไม่เห็นอะไร นอกจากดวงตาแดงก่ำ มันจ้องเธอเขม็ง ก่อนค่อยๆ แสยะยิ้มกว้าง ปากดำมะเมี่ยม เย้ยหยัน ขำขัน และเริงร่า!
“ว้าย!”
ศญาสะดุ้งสุดตัว หนังศีรษะชาวาบกับภาพผีชัดเจนที่สุดตั้งแต่เกิดมา หญิงสาวกระถดหนีสุดหัวเตียง สิ่งพิลึกพิลั่นนั่นแหงนหน้าหัวเราะลั่นโดยไม่ออกเสียง คล้ายข่มขู่ คล้ายกลั่นแกล้ง มันเอนกายไปข้างหลังจนแทบตกขอบเตียง แล้วพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างใส่เธอ!
“ไม่!”
ศญาแทบสติกระเจิง เธอร้องเสียงหลง รีบวิ่งลงจากเตียง หันไปเห็นเงานั้นยังนั่งยองมองตนอีกครู่ ก่อนผละไปยังหน้าต่างปิดสนิทเหมือนกบกระโดด แล้วทะลุออกไปต่อหน้าต่อตา!
ปังๆ
“ศญา! เกิดอะไรขึ้น! คุณได้ยินผมมั้ย ศญา!”
เสียงเคาะประตูดังต่อกันทันทีทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง เธอลนลานไปเปิดประตูโดยไม่สนใจว่าอยู่ในชุดนอนด้วยซ้ำ หัวใจเต้นกระหน่ำแทบหลุดจากอก กระวนกระวายด้วยควบคุมตนให้หยุดสั่นไม่ได้เมื่อเห็นเอกภพ
“เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉัน...ฉัน...”
ฉันอะไร ฉันเจอผี…หรือฉันฝันร้าย หรือทั้งหมดเป็นภาพหลอน เธอไม่รู้ เรียบเรียงคำพูดไม่ได้ ชั่วพริบตา ศญาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่คือภาพจริง หรือสิ่งติดค้างจากฝันก่อนหน้า ทุกอย่างผสมปนเปโดยไม่มีสิ่งดีๆ ให้จดจำ หญิงสาวหน้าซีดเผือด เธอหอบหายใจ แทบไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของตน คล้ายจะทรุดกายได้ทุกเมื่อ
“คุณโอเคมั้ย สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย”
เอกภพถามย้ำ มือหนายื่นมาตรงหน้า เกือบประคองกัน แต่สุดท้ายเพียงจับบานประตู ยามเลื่อนสายตาเห็นว่าร่างระหงทรงกายได้และอยู่ในชุดนอนหมิ่นเหม่
“ฉัน...ฝันร้ายค่ะ”
ศญาไม่กล้าบอกว่าเจออะไรมา หญิงสาวไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อมากน้อยเพียงใด เอกภพจิตแข็ง สังเกตจากท่าทางการควบคุมอารมณ์ต่อเรื่องราวแปลกประหลาดทั้งหลาย และดูไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งลี้ลับหรืออะไรก็ตามที่ไม่เคยเห็นกับตา เจ้านายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกมั่นคงถึงขั้นกล้าพูดหลายต่อหลายอย่างให้เขาฟังก็จริง แต่จะบอกว่าเจอผีโดยพิสูจน์ไม่ได้นี่ฟังดูน่าอายไปหน่อย
ด้วยสติเริ่มหลั่งรินระคนเก้อเขิน หลังตระหนักว่าตนอยู่ในชุดนอน หญิงสาวกระชับคอเสื้อเล็กน้อย เธอเหลือบมองเขา พลันสงสัยประเดี๋ยวนั้น
“คุณไปไหนมาหรือคะ”
เวลานี้คงใกล้ตีห้า พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนในบ้านตื่นหรือยัง แต่ร่างสูงสวมชุดเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำกับกางเกงวอร์ม มองอย่างไรก็ไม่น่าใช่การแต่งกายเวลานอนของเขา ศญาเคยเห็นอีกฝ่ายในเครื่องแบบนักศึกษา ชุดสูททำงาน ชุดลำลองสบายๆ อย่างผ้าฝ้ายหรือบางคราวเป็นลินิน แต่ไม่เคยเห็นเขาในชุดทะมัดทะแมงเช่นนี้ เอกภพดูคล่องแคล่วแปลกตา มีเพียงกลิ่นไม้กฤษณาจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ที่เธอคุ้นเคย
“ผมกำลังจะออกไปวิ่ง เพิ่งพ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงคุณร้องพอดี” ร่างสูงว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ใกล้เช้าแล้ว...คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าโอเค อยากให้ผมช่วยอะไรหรือไม่”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร” ศญายิ้มยืนยัน
“ถ้างั้น...ไว้เจอกันนะครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ผิวสะอาดสะอ้านแต่เดิมทำให้เขาดูโดดเด่นท่ามกลางบรรยากาศหม่นมัวรอบกาย ทั้งสองประสานสายตาใต้แสงจืดจางของดวงตะวันที่ยังมาไม่ถึง ศญาคิดว่าตนพึมพำบางอย่าง ทั้งที่ความจริงไม่ได้เอ่ยอะไร เธอแค่มองเขาก้าวเดินอย่างมั่นคงจากหลังบานประตูตรงนั้น
ผ่านความรางเลือนมืดดำของโถงทางเดินเงียบสนิท ไอหนาวยามเช้าโรยราย
กับความรู้สึกคล้ายบ้านทั้งหลังกำลังจ้องมอง
แม้ยืนยันหนักแน่นว่าไม่เป็นอะไร เอาเข้าจริงโมงยามที่กลับมาอยู่กับตัวเองกลางห้องไร้ความเคลื่อนไหวใดนอกจากลมหายใจของตน ภาพเงานั่งยองกลับมาจู่โจมศญาใหม่ในจินตนาการ วกวน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมบรรยากาศอันแห้งผากแต่เดิม คอยปรุงแต่งอะไรก็ตามตรงหางตาให้กลายเป็นวิญญาณหลอนรอซุ่มกระโจน
ทุกอย่างรอบกายไม่เป็นมิตรต่อกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ตู้เสื้อผ้าทะมึน ชายม่านลู่ตัว ซอกเงามัวซัว จนแล้วจนรอดระหว่างความขัดแย้งกลางอกซึ่งไม่อาจข่มให้สงบ หญิงสาวจำต้องยอมรับว่าสุดท้ายท่ามกลางสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านั้น
...เธอกลัวห้องนอนตัวเอง
ศญานอนต่อไม่ได้แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลีกเลี่ยงการมองปลายเตียงอย่างยากลำบาก ภาพเงาพิศวงยังคงนั่งยกโย่ยงหยก ยากจะสลัดหลุด พยาบาลเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอัญเรศไพจิตรีบอาบน้ำไล่อารมณ์ติดค้าง แล้วตัดสินใจออกไปหาอะไรอ่านในห้องหนังสือข้างกัน อย่างน้อยที่นั่นมีข้าวของของเอกภพส่วนหนึ่ง คงเพราะอยู่ในเมืองมาก่อน หรือเติบโตท่ามกลางยุคโลกาภิวัตน์ การเห็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำให้เธอรู้สึกถึงการคงอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น...อย่างน้อยก็มากกว่าบรรยากาศของบ้านหยุดเวลาหลังนี้
ศญาไม่แตะต้องโต๊ะทำงานเขา เธอไปอยู่อีกฝั่งห้อง เบื้องหน้าตู้สูงยาวราวปราการสีทะมึนที่อาจใช้เวลานับปีกว่าจะอ่านทุกอย่างจบทีละชั้น คุณบุรีมีหนังสือเยอะมาก เรียงรายเป็นระเบียบด้วยหุ้มปกผ้ารักษาสภาพ บางเล่มถูกหยิบไปอ่านให้ชายชราฟัง คนเถื่อนของวอลแตร์ ต้นส้มแสนรักของโฆเซ วาสคอนเซลอส จนกว่าเราจะพบกันอีก โดยศรีบูรพา และความรักของวัลยา โดยเสนีย์ เสาวพงศ์
แสงแรกใกล้เหยียบปลายเท้าแตะขอบฟ้า รอบกายไม่มืดดำอีกต่อไป ตรงช่องลอดระหว่างหับบานหน้าต่างที่แง้มพอให้อากาศเข้านั่นเอง รอยรางของวันใหม่ก็ส่องกระทบสันหนังสือเล่มหนึ่งตรงชั้นล่างสุดซึ่งไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ละอองจืดจางโรยพลิ้ว เสียงสายลมกระซิบเหือดแห้ง...มันเป็นหนังสือขะมุกขะมอมสีมอซอ ไร้ชื่อ เมื่อลองเปิดดูถึงรู้ว่าไม่มีอะไรเลย กระดาษเปล่าเสียส่วนใหญ่ กับรอยขีดเขียนไม่กี่หน้า พยัญชนะกอไก่ถึงฮอนกฮูก สระ การประสมคำแบบหัดลอง แต่พอจะอ่านได้
‘บุรี’
‘ปรง’
และ...
‘แซน’
...‘กิมแซน’
กับประโยคภาษาเวียดนามที่อ่านไม่ออกตรงมุมกระดาษด้านล่าง เล็กราวจะเก็บให้กระจ้อยร่อยเท่าการมีอยู่ของความลับ ถึงตรงนี้เอง ทั้งที่เคยปฏิเสธเอกภพเรื่องติดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในบ้าน ด้วยเหตุผลว่าคงไม่ได้ใช้ ยามนี้ หญิงสาวยอมรับว่าเริ่มเห็นความจำเป็นแล้ว
ศญาหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเข้าแอปพลิเคชันแปลภาษา จ่อกล้องกับข้อความเบื้องหน้า และตั้งค่าภาษาเวียดนาม-แปลไทย
‘tôimuốnvềnhà’
‘โตยหมวน เหว่ หญ่า’
‘ฉันอยากกลับบ้าน’
ราวกับได้กลิ่นบัวรวยรินจากตรงไหนสักแห่ง ไม่ใช่บึงกว้างหลังตึกใหญ่ หากไกลแสนไกลสุดเอื้อมคว้า ปลอดโปร่งเจือแววคะนึงหาแด่ดวงตะวันวัยเยาว์ บัวซึ่งผลิแย้มจากความทรงจำปลายหล้าฟ้าเขียวของมาตุภูมิที่จากมา ทุกละอองความฝันและหนึ่งห้วงลมหายใจ คล้ายถูกมัดไว้ในตัวอักษรอันแสนเบาบางเพียงเท่านี้...โตยหมวน เหว่ หญ่าฉันอยากกลับบ้าน
ศญาก้มมองข้อความนั้นอีกครั้ง เธอยังอ่านไม่ออก ทว่าความหมายที่ได้กลับทำให้หญิงสาวจดจำรูปประโยคฝังชัดโดยไม่รู้ตัว
ฉันอยากกลับบ้าน... ฉันอยากกลับบ้าน...
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
เสียงซึ่งไม่มีสัญญาณการปรากฏตัวดังขึ้นจนคนเพิ่งจิตอ่อนหมาดๆ สะดุ้งโหยง ศญาหันขวับ เบื้องหน้าตรงประตูคือคุณปรงผู้ใช้ดวงตาคู่เรียวจดจ้องตน บางสิ่งกรีดบาดจากการมองเพียงอย่างเดียวนั้น คล้ายปลายมีดจดผ่านอากาศเป็นริ้ว ลากลิ่วตั้งแต่หัวจดเท้า แสบสะท้านจนต้องรีบวางหนังสือคืนที่เดิม ยืนขึ้นก็ยังเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง
“มา...มาหาหนังสืออ่านค่ะ”
“เล่มนั้นไม่ใช่หนังสือสำหรับอ่าน”
อีกฝ่ายย้อนทันทีราวกับรู้จักมันดี อันที่จริงอาจเป็นคุณปรงเองเก็บมันไว้ตรงนี้ เธอเกือบลืมไปว่าชายชรามีหน้าที่ดูแลหนังสือทุกเล่ม และเลือกเรื่องที่จะอ่านให้คุณบุรีฟังด้วยตัวเองมาตลอด
“ขอโทษค่ะ เอ่อ...ถ้างั้นซินขอตัวนะคะ”
ศญาไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา เกรงอกเกรงใจก็เรื่องหนึ่ง แต่เธอไม่เห็นแววว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบแม้แต่น้อย หญิงสาวรีบก้าวออกจากห้องหนังสือทันที
กระนั้น จังหวะที่จะสวนกัน ผู้ดูแลบ้านพลันเอ่ยคำหนึ่งท่ามกลางความเงียบ
“กิมแซน”
ศญาชะงัก เกือบขานรับทั้งที่ไม่ใช่ชื่อตน เธอยืนนิ่ง รับรู้เพียงความรู้สึกหนาวลึกจากด้านหลัง...ดั่งมีลมเย็นยะเยือกพลิ้วมาร่วมรับฟังการเรียกขานนั้น ยินเพียงประโยคต่อมาของคุณปรงซึ่งเข้มชัดดั่งคำสั่ง
“...ไม่ใช่ชื่อที่เธอต้องรู้จักหรือใส่ใจ ต่อไปนี้ถ้าคุณท่านพูดถึงอีกก็ไม่ต้องถามหรือชวนคุยต่อ”
วูบหนึ่ง ศญาพลันอยากรู้ว่าคนพูดมีสีหน้าอย่างไร ใช่แค่ท่าทางการแสดงออก แต่ทว่าเป็นความคิด เรื่องราว ภาพทรงจำ มุมมองอีกด้านจากคุณปรง ชายผู้เป็นประจักษ์พยานรับรู้การมีอยู่ของกิมแซน
...คงเป็นชายคนนี้เช่นกันที่จะไม่มีวันปล่อยให้เธอรู้ความลับเหล่านั้น
หญิงสาวหันไปหาคู่สนทนาพร้อมรอยยิ้ม ศญายังมีท่าทีนอบน้อมและอ่อนหวานดังวันแรกก้าวเข้ามาในบ้าน ก้มหน้าน้อยๆ และรักษาระยะห่าง
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เธอยิ้มโค้งราวพระจันทร์เอียงอาย แต่ไม่มีใครอ่านยิ้มนั้นออกสักคน
เพราะคุณปรงอยู่ห้องหนังสือ เจ้านายของบ้านอัญเรศไพจิตจึงนั่งคนเดียวตรงระเบียงไม้เลื้อย คุณบุรีมีท่าทางเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน สงบ เกียจคร้าน และสบายใจ เขาเอนหลังพิงเบาะนวมเก้าอี้หวาย ทอดตามองบึงบัวกว้าง พลางใช้นิ้วเคาะเท้าแขนเป็นจังหวะเพลงซึ่งคงดังอยู่ในหัว กึกกึก กึก กึก กึกกึก...ฟังคล้ายท่วงทำนอง ลมหวนครวญเสียงรักแว่ว...ก่อนจะหันมาเมื่อได้ยินเสียงศญาเดินเข้าไปหา
“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง หลับสบายมั้ย”
โดนผีหลอกเต็มๆ เลยค่ะ...คนถูกถามลอบพิโอดพิโอยในใจขณะเบื้องหน้าต้องรักษาอาการ
“เพราะเมื่อวานฝนตก กลางคืนเลยอากาศเย็นนิดหน่อยค่ะ” เธอยิ้มเรียบร้อยพลางเหลือบมองร่องรอยอายุขัยบนใบหน้าชายชรา “ข้างนอกยังมีหมอกจางๆ คุณท่านรับผ้าคลุมตักดีมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร เอาแจกันดอกบัวในห้องมาวางตรงโต๊ะข้างให้หน่อย”
พยาบาลสาวรับคำก่อนเดินเข้าไปหยิบแจกันแต่เดิมตั้งอยู่ข้างหัวเตียง มันเป็นแจกันปากแคบสีขาวมุกเรียบๆ ตอนแรกศญาคิดว่าเป็นแจกันใบโปรดของเขา คงชอบมากถึงขั้นต้องวางประดับข้างกายไม่ว่าอยู่ไหน ค่อยเข้าใจว่าไม่ใช่แจกันที่เจ้าของบ้านยึดติด แต่เป็นดอกบัวจากบึงกว้างซึ่งตัดมาวางไม่เคยขาดต่างหาก
“เหี่ยวแล้วหรือ ทำไมเหี่ยวไวแบบนี้” ชายชราเปรยยามเห็นกลีบดอกโรยราทำท่าจะร่วง คล้ายยกมือประคอง แต่ค้างเช่นนั้นก่อนวางกลับ “อยากให้อยู่นานๆ แท้ๆ”
ศญามองท่าทางเขาครู่หนึ่ง แล้วค่อยระบายยิ้ม
“เดี๋ยวซินให้ลุงปั่นไปเก็บมาให้ใหม่ค่ะ”
“นายปั่นมือหนัก ตัดบัวทีไรเป็นต้องทำช้ำตลอด” คุณบุรีว่าพลางส่ายหน้าระอาใจ
“ซินจะกำชับเองค่ะว่าต้องระวังให้มาก”
เธอไม่ขันอาสาว่าจะเก็บด้วยตัวเอง คำเตือนจากคุณปรงแจ่มชัดพอๆ กับวิธีที่สายตาคมกริบคู่นั้นจ้องมอง คุณบุรีเองก็ไม่คะยั้นคะยอ ชายชราเพียงพยักหน้าและปล่อยให้พยาบาลสาวผละจาก
ราวกับความสนใจของเขาไม่เคยเป็นอิสระจากทิวทัศน์บึงบัวที่คอยเฝ้ามองมาแล้ว...กว่าครึ่งชีวิต
อากาศยามเช้าตรู่ค่อนข้างชื้น เห็นแสงตะวันลอดมวลเมฆหนาเพียงรางๆ เหมือนม่านโปร่ง บัวในบึงยังไม่บานเต็มที่ ศญาก้าวเดินอย่างระมัดระวังผ่านหญ้าแฉะฉ่ำตามหาลุงปั่นทั่วสวนหลังบ้าน เดินเลยไปถึงศาลาสังหารงูฝั่งปีกซ้าย ชุกชุมกอดาหลา ทางเดินพลับพลึงแก่ ต้นไม้ใหญ่ขอบรั้ว กระทั่งโรงจอดรถด้านหน้า พบว่าไม่มีอีกฝ่ายอยู่จุดใด บ้านอัญเรศไพจิตเงียบราวโลกหยุดนิ่ง กระนั้น ช่วงที่ร่างระหงลัดเลาะผ่านส่วนห้องน้ำคนใช้ด้วยไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนต่อดี ศญาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของใครคนหนึ่ง ทั้งลึกลับ หวานหยด...เสียงลินจง
“มากินนะแม่นะ กินแล้วให้โชคให้ลาภ ให้ฉันสมปรารถนาทุกสิ่งอัน”
คนฟังนิ่งงัน ขนลุกชันทันที
คำว่า ‘แม่’ ที่เด็กสาวเอ่ยถึงนำความรู้สึกหวิวหวั่นไต่ลามทั่วหลัง หนาว และชวนหวาดกลัว ศญารีบหามุมหลบเมื่อเห็นร่างผุดผาดนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายเดินมา หลบ...ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าเลี่ยงทำไม ลินจงคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดวงตากลมโตคู่นั้นเหลียวซ้ายแลขวาพลางกำบางอย่างในมือแน่น เป็นผ้าชิ้นจิ๋ว เปื้อนคราบแดงด่างของเลือดเสีย คลับคล้ายกางเกงชั้นในใช้แล้ว กับบางสิ่งถูกห่อในนั้นอีกที มองไม่เห็นว่าอะไร
อันที่จริงควรเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงทุกคนล้วนรู้จักดี นี่คือความเข้าอกเข้าใจอัตโนมัติราวกับโปรแกรมลับซึ่งถูกตั้งค่าระหว่างจักรวาลถือกำเนิด การมีประจำเดือนไม่ใช่เรื่องน่าอาย ใช่ว่าจะถูกจับเผาหากรอยเลือดถูกเปิดเผย ของข้างในอาจเป็นผ้าอนามัยก็ได้ ทว่า คำพูดที่ศญาบังเอิญได้ยินเมื่อครู่ทำให้ไม่สบายใจเอาเสียเลย
หากจะว่าไป เธอไม่รู้จักลินจงเกินกว่าการเป็นเด็กรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่ สะสวย ช่างเจรจา และเคยทอดสะพานให้เอกภพโดยจงใจโชว์เต้าอวบอัดต่อหน้าต่อตา...ข้อหลังนั้นทำให้พยาบาลสาวรู้สึกหนักอึ้งฉับพลัน เผลอหอบอารมณ์เหล่านั้นเข้าครัวด้วย ขณะยืนมองป้าเอี่ยมมะงุมมะงาหรากับปลาบนเขียง หญิงคนครัวกำลังทำอาหารเช้า นี่เป็นช่วงเวลาที่หล่อนวุ่นวายที่สุด
“ป้าเอี่ยมเห็นลุงปั่นมั้ยคะ”
ศญาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยต่อการรบกวนครั้งนี้ อีกฝ่ายใช้มีดขอดเกล็ดปลาดังครืดคราดโดยไม่หันมามอง
“เป็นไข้ตั้งแต่เมื่อคืนค่ะคุณซิน ป้าเลยให้นอนพักผ่อนต่ออีกหน่อย ยังไม่อยากปลุก”
“อ้าว เป็นอะไรมากมั้ยคะ ให้ซินช่วยดูมั้ย” อย่างน้อยเธอก็เป็นพยาบาล
“คงตากละอองฝนเมื่อวานมั้งคะ ไม่เป็นไรร้อก เมื่อคืนกินยาไปแล้ว”
หญิงสาวตอบรับอ้อ...ในลำคอ เธอไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นคิดลากคนป่วยไปเก็บบัวให้ ศญาเพียงยืนค้างอยู่ตรงนั้น พลางเบือนสายตาไปยังเถาพลูปกคลุมกำแพงบ้านโดยไม่ตั้งใจ ชั่วขณะหนึ่ง ภาพดวงตาจากช่องอิฐแตกพลันผุดขึ้นในความทรงจำ
“ป้าเอี่ยมคะ ซินขอถามอะไรนิดนึง” ว่าพลางขยับไปกระซิบ “ลินจงเป็นยังไงบ้างคะ”
คราวนี้คนฟังชะงักครู่หนึ่ง ป้าเอี่ยมถือมีดค้าง หล่อนกำปลาแน่นเหมือนกลัวมันดิ้นหลุดทั้งที่ตายแล้ว ก่อนเงยหน้ายิ้ม เช่นที่ยิ้มเสมอคราวทั้งสองสนทนากัน
“คุณซินหมายถึงอะไรคะ”
“ก็...เรื่องทั่วๆ ไปค่ะ แค่รู้สึกว่าอยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่”
“อ้อ เดี๋ยวนานไปก็รู้จักกันไปเองแหละค่ะ บ้านก็มีกันอยู่แค่นี้ จะช้าจะเร็วเดี๋ยวก็ได้คุยกันอยู่ดี”
ศญาอยากเอ่ยอะไรเพิ่ม แต่สุดท้ายเพียงยิ้มรับแสนสุภาพดังเดิม
“จริงด้วยค่ะ งั้นซินขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวโค้งตัวน้อยๆ เธอกลับไปบริเวณสวนหลังบ้านเพื่อดอกบัวที่ตั้งใจไว้แต่แรก ในครัวซึ่งเหลือสตรีร่างอวบเพียงคนเดียวพลัน...
ฉับ!
มีดเล่มโตฟันหัวปลาขาดสองท่อน รอยยิ้มกว้างกับท่าทีเป็นมิตรสุดแสน อันตรธานในวินาทีที่หญิงคนครัวลอบมองตามแผ่นหลังบางจนลับตา ก่อนหันมาจ้องรอยสับบนเขียง พลางเช็ดหยดน้ำกระเซ็นเปื้อนแก้มช้าๆ
...ด้วยสีหน้าเรียบเฉย และชืดชาที่สุด
ไม่มีความทุกข์ใจต่อการหาผู้ช่วยหลงเหลืออีกแล้วเมื่อศญาเดินกลับมายังบึงบัว เธอคิดตกเร็วกว่าที่คาดไว้ระหว่างทางมา คำเตือนจากคุณปรงยังเหลือเสียงระคายปลายหูพร้อมแววห่างเหินยามสายตาลากผ่านมา เขาไม่ให้เธอเก็บบัว ห้ามอยู่ใกล้บริเวณนี้ด้วยซ้ำ เมื่อทุกอย่างเป็นเหตุสุดวิสัย ศญาผู้ถนัดยิ่งกับการใช้ชีวิตด้วยตัวเองย่อมยินดีทำเรื่องนี้เอง
แดดเช้าเริ่มสาดแสงจ้า มีกลิ่นหอมเหงาๆ ซึ่งไม่เคยจางหายนับแต่วินาทีที่ดอกไม้เหล่านี้ผุดพ้นโคลนลึก รินรื่นกำจายทุกครั้งที่ลมเชยผ่าน สายฝนเมื่อคืนชะล้างสวนกว้างจนเขียวสด หยดน้ำบางส่วนถูกขังค้างกลางใบบัว คงกลิ้งวนอย่างนั้นจวบจวนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระเหยหรือเหี่ยวแห้ง
ศญารู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง ไม่ว่าจากที่ไหนก็ตาม มีสายตาใครคนหนึ่งเฝ้ามองเธอ...อาจเป็นคุณบุรีตรงระเบียงชั้นสอง แต่ไม่ มีมากกว่านั้น...
จ๋อม
เสียงพลิกผิวน้ำพร้อมระลอกจางๆ เรียกความสนใจของหญิงสาวให้หันกลับมา ฟังคล้ายปลาสะเทินกายขึ้นหาอากาศก่อนว่ายกลับสู่ความเย็นด้านล่าง
ศญาไปยืนริมบึงก่อนโน้มกายลงเล็กน้อย เธออยากหาดอกบัวที่สวยที่สุด ต้องมีสีสันอ่อนหวาน ก้านยาว และแข็งแรง ความตั้งใจเหล่านั้นชักนำสายตาไล่ลามไปถึงส่วนใต้บึงด้วย แม้น้ำไม่ถึงกับใสกระจ่าง หากชัดเจนพอจะทำให้มองเห็นบ้าง สายบัวยืดยาวกระหวัดสะเปะสะปะ ปนสีโคลนตุ่นๆ เรียวโค้งอ่อนช้อยราวเคลื่อนไหว เหมือนเรือนกายเหยียดนอนอย่างเงียบงันในบึงน้ำ ก่อนพลิ้วคลื่นบางๆ จะกระเพื่อมผ่านอีกครั้ง เงียบเชียบ ลื่นไหล คล้ายเรียวมือบอบบางข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นขึ้นมา ปรารถนาเพียงคว้าเธอไว้...
แวบหนึ่ง ศญาเผลอนึกถึงเรื่องหีบปริศนาในบึง หีบที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
หญิงสาวเขม้นมอง จ้องจนเผลอโน้มกายลงใกล้ และ...
พรืด!
“ระวัง!”
สายลมจากขั้นบันไดหน้าหอสมุดเมื่อเจ็ดปีที่แล้วพัดผ่านอีกครั้ง ศญาลื่นโคลนตรงขอบสระ เธอเกือบตกน้ำจริงๆ หากไม่มีใครคนหนึ่งรั้งแขน
เสียงรัวกลองกลางอกกัมปนาทในเสี้ยววินาทีที่ดิ่งวูบ ตามด้วยกลิ่นไม้กฤษณาเย็นๆ ซึ่งเคยสั่นสะท้านทุกการมีอยู่ของโลกใบนี้ด้วยห้วงรักแรกอันเปี่ยมมนตร์ขลัง เงยหน้าอีกครั้งก็ประสานแววตาสีดำดั่งค่ำคืนที่เธอเคยเขียนจดหมายถึงเขา ก่อนตามด้วยอารมณ์ตระหนก แล้วงุนงง ค่อยทำท่าเก้กังพยุงตัวยืนมั่น แอบกระดากทันใด
“ขอบคุณค่ะ” เธอว่าพลางพยายามยืนด้วยตัวเองให้มากที่สุด
เอกภพมองหญิงสาวที่ตนเพิ่งช่วยไว้ ก่อนเบือนสายตาไปยังช่อดอกบัวงามเบื้องหน้า คล้ายเข้าใจทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย “เมื่อคืนฝนตกดินเลยค่อนข้างลื่น คุณรอตรงนี้ ผมเก็บให้”
“เพิ่งกลับจากไปวิ่งหรือคะ”
เพราะเก้อเขินกับความล้มเหลวแถมเกือบตกน้ำไปจริงๆ ศญาจึงยืนชวนเขาคุยอยู่ริมฝั่งอย่างเรียบร้อย มองเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อฮู้ดสีดำตัวเดิมก้าวลงน้ำไปเก็บบัว เอกภพก็ใจดีพอจะเอ่ยตอบ พลางเด็ดก้านอย่างรวดเร็ว
“ครับ เห็นหลังคุณไวๆ มาทางนี้พอดี ก็เลยตามมา”
“ตามฉัน? มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า” ชายหนุ่มเดินกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีโคลนเปื้อนเต็มขา แต่นั่นไม่ทำให้เขาดูดีน้อยลงสักนิด “แค่ตามคุณมาเท่านั้น...นี่ครับ ดอกบัว”
“ขอบคุณค่ะ” ศญารับดอกกลิ่นอ่อนหวานทั้งสามมาถือไว้ พร้อมเก็บความระทึกไหวกลางอกให้สั่นสะท้านอย่างเงียบงันฝ่ายเดียว จินตนาการนั่นก็ด้วย ความรู้สึกเหมือนตนได้รับดอกไม้จากชายผู้เป็นรักครั้งแรก เธอแอบตามใจตัวเองด้วยการไม่แยกแยะสถานการณ์ แล้วค่อยนึกละอายทีหลังจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณเก็บบัวคล่องกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะคะ”
“ผมเคยเก็บให้คุณปู่อยู่บ้าง อย่างช่วงสงกรานต์ที่รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ผมก็เอาบัวจากที่นี่ขึ้นไปให้ท่าน”
คนฟังชะงัก “คุณกลับมาที่นี่ช่วงสงกรานต์เหรอคะ”
“ครับ ปกติอยู่กับคุณย่ามาตลอด ช่วงเทศกาลเลยกลับมาอยู่กับคุณปู่บ้าง”
ศญาไม่ตอบ คำพูดของเขาเมื่อครู่มีบางอย่างสะกิดใจเธอ ยากจะสลัดหลุด ทั้งที่เพียงเอ่ยถึงวันสงกรานต์เท่านั้น...สงกรานต์ ใช่ สงกรานต์ ก็ราวๆ สิบสามถึงสิบห้าเดือนเมษา...
กลางอกกระตุกหน่วง เพิ่งประจักษ์ว่าตนคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เดือนกรกฎาคม ถ้านับจากเวลานี้ย้อนไปช่วงสงกรานต์ก็ครบร้อยวันพอดี คำว่าร้อยวันที่เธอเพิ่งได้ยินจากบทสนทนาในวัดครั้งนั้น...
ตอนเอกภพกลับมาที่นี่ คือช่วงเวลาเดียวกับที่เด็กสาวคนหนึ่งถูกฆ่าอยู่ท้ายทุ่งนั่นเอง!
บันทึกวันที่ 22 กรกฎาคม 25xx
รู้ตัวอีกครั้งในระยะหลังมานี้ ความคิดส่วนใหญ่ในหัวผมไม่อาจเป็นอิสระจากเรื่องของคุณได้เลย
ท่าทางการพูด รอยยิ้ม วิธีชำเลืองตา เสียงของคุณที่แผ่วต่ำ เนิบช้า กลายเป็นความรู้สึกซาบซ่านชวนจักจี้เมื่อนึกถึง และทิ้งรอยกระซิบริมหูตลอดเวลาทั้งยามตื่นและหลับฝัน คุณติดตามผมเหมือนเงา เคียงข้างกันตลอดเวลาจากร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นที่คุณประทับไว้ และศญา ศญา ศญา ผมพร่ำเรียกชื่อคุณทุกลมหายใจ ความรู้สึกลึกซึ้งนับวันมีแต่จะมากขึ้น มันกักขังผมอย่างที่ไม่อาจเป็นไทได้อีกตลอดชีวิต
ตอนที่คุณรับดอกไม้ไปถือ มันก็ไม่ใช่เพียงดอกไม้เท่านั้น หากคล้ายผมยื่นหัวใจตัวเองติดไปด้วย นั่นคือบรรณาการของชายผู้ทุกข์ยากจากรักทุรนทุราย และกลิ่นหอมที่กระจายระหว่างเราก็ไม่ใช่แค่กลิ่นดอกไม้เพียงอย่างเดียว แต่อบอวลด้วยไอระอุผะผ่าวกลางอก หัวใจของผมกำลังเผาไหม้ ผงเถ้าหอมราวธูปบูชาในเทวสถาน วินาทีที่ปลายนิ้วเราเฉียดผ่านกัน ผมก็มองเห็นบทสรุปทั้งหมดในนั้นชัดเจน
เราเกิดมาเพื่อกันและกัน
และจะมีแค่เราเท่านั้นที่สามารถครอบครองโลกใบนี้
ความคิดเห็น |
---|