9

จูบมัดจำ


 

9

จูบมัดจำ

 

กินรินมาถึงโรงแรมบางกอกพาราไดซ์ปาร์กในช่วงบ่ายแก่ๆ ตามเวลาที่เขานัดหมายมาทางไลน์ในช่วงเช้า พนักงานต้อนรับที่ล็อบบีต่อสายขึ้นไปหาเขาเพื่อแจ้งว่ามีคนที่นัดไว้มาขอพบ จากนั้นก็มีพนักงานอีกคนนำทางหญิงสาวไปที่ลิฟต์และพาขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม

กินรินใจเต้นระทึกเมื่อออกจากลิฟต์แล้วปรากฏว่าชั้นบนสุดเป็นห้องพักสำหรับแขกวีไอพีที่เรียกว่าห้องสวีตและมีอยู่เพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น “คุณจิรสินไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานหรือคะ” หล่อนอดถามไม่ได้ เพราะคิดว่าเขาน่าจะให้ไปพบที่ห้องทำงาน

“ห้องทำงานของคุณฌอนกำลังตกแต่งใหม่ครับ ตอนนี้เลยต้องทำงานที่ห้องรับรองส่วนตัวไปก่อน”

หญิงสาวพยักหน้าว่าเข้าใจ แต่ก็ยังไม่คลายความรู้สึกตื่นเต้นที่เริ่มมีความกลัวแทรกเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้

ห้องทำงานชั่วคราวก็น่าจะเป็นห้องพักของเขานั่นเอง หวังว่าจะมีขนาดกว้างขวาง ไม่ชวนให้อึดอัดเหมือนอย่างห้องพักตามโรงแรมทั่วไป

“เชิญครับ” พนักงานเดินมาส่งถึงหน้าห้องแล้วเคาะประตูเรียกให้เรียบร้อย ก่อนจะขอตัวกลับลงไปชั้นล่างตามเดิม กินรินยืนรออยู่ไม่กี่อึดใจจึงเห็นว่าประตูเปิดออกพร้อมกับคนข้างในที่โผล่หน้าออกมา

“เชิญเลยครับ” เขาบอกพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่แฝงไว้ด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด

“ไปคุยกันที่อื่นไม่ได้หรือคะ” หญิงสาวยังลังเลที่จะก้าวเข้าไปในห้อง

“ทำไม คุยในห้องนี้ไม่สะดวกเหรอ” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็ได้ค่ะ” กินรินเดินเข้าไปในห้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเจ้าของห้องก็ปิดประตูตามหลังทันที

ภายในห้องกว้างตกแต่งอย่างหรูหรา มีห้องโถงสำหรับนั่งเล่นหรือรับแขก ส่วนห้องนอนและห้องทำงานแยกออกไปเป็นสัดส่วน ภาพที่เห็นจึงดูคล้ายกับห้องรับแขกในบ้านหลังหนึ่งที่ช่วยให้ความรู้สึกอึดอัดผ่อนคลายลง

“คุณจะดื่มอะไรไหม”

“ไม่ค่ะ เราคุยกันเลยดีกว่า พี่สินจะได้ไม่เสียเวลามาก” หล่อนรีบเข้าเรื่องเพราะไม่อยากอยู่นานจนเกินไป

จิรสินมองใบหน้าสวยอ่อนหวานของญาติสาวอยู่ชั่วอึดใจแล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าแล้วผายมือเชื้อเชิญให้นั่งที่ชุดรับแขก “เชิญนั่งก่อนครับ”

เขานั่งลงพร้อมกับร่างอรชรในชุดกระโปรงสีครีมแบบเรียบๆ แต่เน้นให้เจ้าของร่างเพรียวบางดูอ่อนหวานกว่าที่เคยเห็น ดวงหน้าเรียวเล็กตกแต่งเพียงบางเบา แต่ตากลมโตดำขลับก็ยังดูสดใสน่ามองเหมือนเช่นเคย

“ตกลงว่าคุณจะยอมรับข้อเสนอของผมใช่ไหม ถึงโทร. มานัดผม” เขาเข้าเรื่องทันทีหลังจากนั่งลง

“กระเต็น...เอ่อ...อยากจะมาขอร้องพี่สินน่ะค่ะ”

“ขอร้อง?” เขาทวนคำอย่างประหลาดใจ และเห็นว่าใบหน้าอ่อนหวานแลดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการเห็น

“ใช่ค่ะ เรื่องที่พี่สินเสนอมา กระเต็นคงรับไม่ได้ แต่ว่า...”

“หมายความว่าคุณจะปฏิเสธเงื่อนไขของผมกับเงินสิบห้าล้าน?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพียงแต่กระเต็นอยากจะขอร้องให้พี่สินช่วยเหลือเราโดยการซื้อบ้านของเราเหมือนอย่างบ้านป้าอำไพจะได้ไหมคะ”

น้ำเสียงขอร้องเกือบอ้อนวอนทำให้ชายหนุ่มนิ่งขึงไป เจ้าของใบหน้าสวยใสดูเป็นกังวลเรื่องปัญหาหนี้สินมากกว่าที่เขาคิดไว้ จิรสินเคยคิดว่ากินรินคงเป็นสาวพริตตี นิสัยรักสวยรักงามและหยิบโหย่ง ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแต่งตัวสวยๆ ไปยืนโชว์หุ่นอยู่ตามงานเท่านั้น พอมีใครมาเสนอเงินให้เจ็ดหรือแปดหลักก็คงจะรีบตะครุบไว้ทันที

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ หล่อนกำลังพยายามต่อรองเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นผู้หญิงของเขา

“ผมบอกไปแล้วไงว่าผมไม่ได้อยากได้บ้านของคุณ” เขายังยืนยันคำเดิมจึงเห็นว่าใบหน้าเรียวเล็กดูเจื่อนลงทันที

“เราเป็นญาติกัน พี่สินพอจะช่วยเหลือบ้างไม่ได้เลยหรือคะ” กินรินยังพยายามหว่านล้อม เพราะมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ควรจะล่าถอยหรือยอมแพ้กลับไปง่ายๆ “ถ้าไม่อยากได้ก็ซื้อไว้ก่อนแล้วค่อยประกาศขายทีหลังก็ได้นี่คะ กระเต็นจะช่วยขายบ้านให้เอง เผลอๆ อาจจะได้กำไรด้วยนะคะ”

“ให้ผมซื้อไว้แล้วเอาไปขายต่อ แล้วพวกคุณจะไปอยู่ที่ไหน” เขาอดถามไม่ได้

“กระเต็นวางแผนไว้แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างกระตือรือร้นแบบคนเริ่มมีความหวัง

แต่ฝ่ายที่ถูกขอร้องกลับอึ้งไป ใครจะคิดว่าสาวพริตตีหน้าหวานจะมีแผนการอะไรอยู่ในหัว และเขาเองก็เริ่มอยากรู้ว่าหล่อนกำลังวางแผนอะไรอยู่

“แผนอะไร” เขาถามเสียงเข้มแบบไม่ค่อยพอใจนักที่หล่อนมีแผนส่วนตัวซึ่งอาจไม่ตรงใจเขา

“ถ้าพี่สินซื้อบ้านของเรา กระเต็นจะขออยู่ต่อแค่ปีเดียว แล้วในระหว่างนั้นก็จะช่วยประกาศขายบ้านให้ด้วยค่ะ ส่วนพวกเราจะพยายามไปหาซื้อบ้านใหม่ ถ้าได้บ้านในราคาที่เราพอจะผ่อนไหว เราก็จะย้ายออกไปทันที”

คำตอบของหญิงสาวทำให้เขานิ่งอึ้งไปนาน เพราะมันขัดแย้งกับแผนการของเขาอย่างสิ้นเชิง “จะทำแบบนั้นไปทำไม พวกคุณไม่อยากได้บ้านคืนไปรึไง”

“เราไม่อยากเอาเปรียบพี่สิน แต่เราขอแค่ให้ความช่วยเหลือเราเพื่อปลดภาระดอกเบี้ยออกไปก่อนเท่านั้นเองค่ะ เพราะตอนนี้เราส่งไม่ไหวแล้ว ทางธนาคารมีจดหมายเตือนมาเรื่อยๆ จนพ่อก็นั่งแทบไม่ติด”

“อ้อ...” จิรสินพยักหน้าอย่างคนที่เข้าใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นอย่างดี เพราะอยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน หล่อนแค่ต้องการให้เขาช่วยหยุดดอกเบี้ยเงินกู้ที่คิดกันเป็นรายวันในระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคาร และไม่นึกเสียดายบ้านช่องที่เคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่เกิด

แล้วหากว่าเขาปฏิเสธไม่ยอมช่วยเหลือ พ่อของหล่อนก็อาจจะถูกยึดบ้านและถูกฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลตามมาอีกก็เป็นได้ นอกเสียจากว่าจะสามารถขายบ้านได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก บ้านบางหลังประกาศขายตั้งหลายปีกว่าจะมีคนมาติดต่อซื้อ

แต่ดอกเบี้ยที่วิ่งขึ้นทุกวันคงทำให้ครอบครัวของกินรินคอยไม่ไหว และนั่นคือโอกาสของจิรสิน

“ผมคิดว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณน่าจะชอบอยู่แบบสบายๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรให้เหนื่อย”

“พี่สิน...”

“รู้รึเปล่าว่าสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดมันแทบเป็นไปไม่ได้ คุณจะหาเงินที่ไหนไปซื้อบ้าน ถึงจะเป็นเงินผ่อนก็ช่าง คิดว่าผ่อนเดือนละสี่ห้าพันหรือยังไง หรือว่า...”

“หรือว่าอะไรคะ”

“กำลังพยายามหาคนซัปพอร์ต แต่ยังไม่ลงตัว”

กินรินได้ยินแล้วถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที เพราะเข้าใจความหมายแบบไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ เขาดูถูกเหยียดหยามอาชีพของหล่อนเป็นทุนอยู่แล้ว มีหรือจะคิดไปในทางที่ดี

“กระเต็นกำลังจะได้งานโฆษณากับงานเล่นละครค่ะ” หญิงสาวพยายามเถียงเพื่อปกป้องตัวเอง

“แล้วได้รึยัง งานที่คุณว่ามามันเลื่อนลอยทั้งนั้น แล้วเป็นนักแสดงหน้าใหม่จะได้ค่าตัวสักกี่ตังค์ งานมีเป็นประจำรึเปล่า หรือว่าปีละสองสามงาน แต่ต้องผ่อนบ้านทุกเดือนนะครับคนสวย”

กินรินเม้มปากอย่างที่ชอบทำจนติดเป็นนิสัย เวลาที่มีเรื่องไม่ถูกใจหรือไม่สบอารมณ์ หล่อนมักจะทำอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียงกับใคร

จิรสินมองหน้าหวานๆ แล้วลอบยิ้ม หล่อนเถียงไม่ออกเพราะสิ่งที่เขาบอกเป็นความจริง อาชีพที่หล่อนว่ามาทั้งหมดนั้นรวมทั้งงานพริตตีไม่มีอะไรเป็นหลักประกันที่แน่นอนเลยสักอย่าง หากต้องซื้อบ้านหลังใหม่ซึ่งก็คงหลังไม่เล็กนักครอบครัวของหล่อนคงต้องหาเงินผ่อนบ้านกันไปอีกยาวนานยี่สิบหรือสามสิบปี

“หรือถ้ากำลังหาคนมาซัปพอร์ตจริงๆ ทำไมไม่ยอมรับข้อเสนอของผมเสียล่ะ”

“ไม่ได้หา” กินรินยืนยันเสียงแข็ง

“ผมคงช่วยคุณไม่ได้” เขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าอย่างนั้นกระเต็นขอตัวกลับก่อนนะคะ” กินรินพูดจบก็รีบลุกขึ้นทันทีเพราะรู้สึกว่าหน้าตาเริ่มร้อนวูบวาบโดยเฉพาะตรงกระบอกตาทั้งสองข้าง

ร่างอรชรที่ลุกขึ้นแล้วรีบผลุนผลันออกไปที่ประตูห้องทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ต้องรีบลุกตามไปคว้าตัวเอาไว้ โดยที่สมองแทบไม่ได้สั่งการ รู้แค่ว่าเขาไม่ต้องการให้หล่อนกลับออกไปโดยที่ยังตกลงกันไม่ได้

“จะรีบไปไหน ยังคุยกันไม่จบเลย” จิรสินคว้าต้นแขนที่อยู่นอกเสื้อไว้ข้างหนึ่งอย่างถือวิสาสะ โดยที่เจ้าของยังไม่ยอมหันหน้ากลับมาหา เขาจึงต้องคว้าอีกข้างแล้วหมุนตัวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน ใจหล่นวูบเมื่อเห็นว่าดวงตาดำขลับมีน้ำตาคลอ “กินริน...” เขาเรียกเสียงอ่อนลงไปมาก

“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วนี่” กินรินบอกก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความรู้สึกบีบคั้นภายใน

“ทำไมไม่ยอมรับเงินสิบห้าล้านจากผม ก็แค่รับเงินไป ทุกอย่างก็จบ” แม้ใจจะหล่นหาย แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมเพื่อให้หญิงสาวตอบตกลงให้ได้

“พี่สินไม่ชอบพวกเรา แล้วจะเอาตัวกระเต็นไปทำไม” สุดท้ายก็อดถามไม่ได้

“นั่นมันไม่สำคัญหรอก เรื่องใหญ่กว่าก็คือคุณจะพาพ่อแม่กับปู่ของคุณไปอยู่ที่ไหน”

ไม่มีคำตอบจากหญิงสาวที่อยู่ในสภาพเกือบจนมุม น้ำตาที่คลออยู่ไหลลงมาอย่างที่เจ้าตัวก็ห้ามไม่ได้ กินรินทำได้แค่มองเมินไปทางอื่นแล้วรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปาดน้ำตาออกโดยเร็วที่สุด ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง

“ปล่อยค่ะ จะกลับแล้ว”

จิรสินได้ยินแล้วกลับบีบมือแน่นขึ้น ท่าทางป้ายน้ำตาทิ้งของหล่อนทำให้เขาใจอ่อนยวบได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่เขากำลังจะแพ้น้ำตาไม่กี่หยดที่อาจเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นใช่ไหม

“กระเต็นจะกลับแล้ว ปล่อยเถอะค่ะ” กินรินเริ่มกลัว เพราะเจ็บต้นแขนที่อยู่ในอุ้งมือเขา

“หรือว่าสิบห้าล้านยังน้อยไป”

“พี่สิน!” หล่อนเรียกเขาด้วยความเหลือเชื่อ

“จะเอาเท่าไหร่ก็บอกมา” เขาถามเสียงเรียบ เหมือนว่าเป็นเรื่องค้าขายธรรมดาทั่วไป

“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ปล่อยได้แล้วค่ะ”

“แน่ใจเหรอ ถ้าไม่หวังอะไรจะดั้นด้นมาถึงนี่ทำไม”

“ก็บอกไปแล้วนี่คะว่าอยากให้ช่วยซื้อบ้าน” กินรินอดเถียงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เริ่มกลัวสีหน้าของเขาในตอนนี้

“แต่ผมอยากซื้อคุณ!”

คำตอบของเขาทำให้เจ้าของร่างบอบบางนิ่งขึงและพูดไม่ออกไปนานหลายวินาที “พี่สิน!” กินรินเรียกเขาด้วยความตกใจ แต่ไม่ทัน…

นิ้วมือแข็งๆ จับปลายคางให้หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วรีบประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากบอบบางสีชมพูอ่อนๆ ทันที

เขาใช้แขนข้างที่เหลือรวบเอวบางไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้หญิงสาวดิ้นหนี ขณะที่สองมือของหล่อนทั้งทุบทั้งผลักเขาให้ออกห่างแต่ไม่สำเร็จ เพราะยังถูกบดจูบอย่างร้อนแรงจนแทบหายใจไม่ทัน

ใบหน้าสวยหวานที่พยายามส่ายหนีทำให้เขาต้องช้อนมือประคองศีรษะนั้นไว้ แล้วค่อยจูบไซ้ไปบนกลีบปากนุ่มเนียนอย่างย่ามใจ ก่อนจะค่อยๆ แทรกซอนเข้าไปลิ้มรสภายในเมื่อเจ้าของเผลอแย้มขึ้นเปิดรับแบบไม่ตั้งใจ

กินรินหายใจแรงด้วยความตกใจและตื่นเต้นจนแยกไม่ออก กระทั่งปลายลิ้นอุ่นๆ แทรกเข้าไปลิ้มลองภายในอย่างมีชั้นเชิงทำให้สาวน้อยวัยยี่สิบสองแทบยืนไม่อยู่ แม้มีท่อนแขนข้างหนึ่งโอบประคองไว้

จิรสินถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย เขาช้อนอุ้มร่างบอบบางที่ทำท่าจะหมดแรงยืนขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพากลับมาที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้อง

“อย่านะ!” กินรินร้องห้ามเมื่อเขาอุ้มมาวางลงบนโซฟาในท่านอน นั่นทำให้ต้องรีบยันตัวขึ้นมานั่งทันที โดยที่ใจยังเต้นแรงเหมือนมีใครตีกลองอยู่ในนั้น

ท่าทางหวาดกลัวไม่ประสีประสาทำให้ชายหนุ่มหยุดมองอย่างไม่แน่ใจ หล่อนมีอาชีพเป็นพริตตีแต่งตัววาบหวิวเพื่อเรียกลูกค้าด้วยลูกล่อลูกชนแพรวพราว แต่เหตุไฉนตอนนี้จึงทำท่าราวกับสาวน้อยอ่อนต่อโลกก็ไม่ปาน

“พี่สินจะทำอะไรคะ”

“ไม่ต้องกลัวผมจะปล้ำคุณหรอกนะ ผมไม่ได้หน้ามืดถึงขั้นจะข่มขืนใครที่ไม่เต็มใจ”

‘ใครจะเชื่อ ก็เพิ่งถูกจูบไปหยกๆ’

เขาบอกแล้วขยับเข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน จึงเห็นว่าหล่อนรีบกระเถิบหนีทันที

“แต่เมื่อกี้นี้ แค่อยากทดลองสินค้า”

กินรินได้ยินแล้วเม้มปากทันที ‘นี่เขาจะเอายังไง บอกว่าไม่ขายก็ตื๊ออยู่ได้!’

“คุณยังมีเวลาคิดอีกสองวัน แต่ที่จริงควรจะตอบตกลงเดี๋ยวนี้เลย เพราะคุณก็รู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางเลือกแล้ว”

“ขออยู่เงียบๆ สักพักได้ไหม” กินรินบอกเขาเสียงเบาอย่างคนที่คิดไม่ตก

“ได้สิครับ แต่ผมมีอะไรจะบอกอีกเรื่อง”

“เรื่องอะไรคะ”

“ถ้าคุณตกลง ผมจะให้คุณมาทำงานเป็นเลขาฯ ของผมที่โรงแรมนี้ พร้อมเงินเดือนเลขาฯ อีกหนึ่งแสนบาท” เขาบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟา “ลองนั่งคิดดูดีๆ ผมจะไปหาอะไรเย็นๆ มาให้ดื่ม” เขาหายไปครู่เดียวแล้วกลับมาพร้อมน้ำดื่มเย็นๆ หนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้วเป็นไวน์แดง เขาวางทั้งสองแก้วลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยให้หล่อนนั่งอยู่คนเดียวในห้องโถงกว้างหรูหรา

กินรินดื่มน้ำเย็นแล้วจึงหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ รสขมปนหวานนิดๆ ทำให้รู้สึกชุ่มคอและอาจจะช่วยดับรสชาติอีกอย่างที่เพิ่งได้ลิ้มลองจากใครบางคนลงได้ คิดได้อย่างนั้นหล่อนจึงดื่มไวน์ทีเดียวเกือบครึ่งแก้ว

เรื่องที่ยังคิดไม่ตกกลับมาวนเวียนในหัวอีกครั้ง ถ้ายอมตกลงทุกอย่างมันจะจบอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือ แล้วหล่อนจะยอมรับตัวเองได้ไหมที่ต้องตกอยู่ในสภาพของผู้หญิงลับๆ หรือ ‘เมียเก็บ’ แต่ทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุด เขาคงไม่เก็บหล่อนไว้จนชั่วชีวิต สักวันเขาก็คงเจอคนใหม่ แล้วคนเก่าอย่างหล่อนก็ต้องถูกโละ และนั่นหมายถึงอิสรภาพ

‘กระเต็น...เธอจะเอายังไงดีกับชีวิต’

ถ้าไม่อยากถูกใครซื้อให้ได้ชื่อว่ายอมเอาตัวเข้าแลกก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเสีย แต่ถ้าอยากให้หนี้ทั้งหมดหายวับไปกับตาก็เดินไปเคาะประตูห้องบอกเขาว่า...ตกลง!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น