3
ภาวินมาส่งหลานชายที่โรงเรียนในตอนเช้า ในขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างพากันฉุดกระชากลากถูลูกหลานตัวเองลงจากรถบ้าง หลอกล่อให้เดินไปหาครูประจำชั้นบ้าง หนักสุดคือต้องพยายามสลัดตัวเองให้หลุดจากลูกหลานที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก เด็กๆ ทั้งเกาะทั้งยื้อตัวเองไว้ ไม่ให้ครูประจำชั้นพรากตัวเองไปจากพ่อแม่ได้ง่ายๆ เสียงร้องไห้แผดดังปิ่มจะขาดใจจึงดังระงมไปทั่วบริเวณ
“ครูลินคร้าบ”
องศาเป็นหนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่ไม่มีพฤติกรรมเหมือนที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะที่ภาวินเดินจูงมือเขาอยู่ดีๆ เด็กน้อยก็สลัดมือให้หลุดจากมือของผู้เป็นลุง โผเข้าไปกอดครูประจำชั้นที่ยืนรอรับอยู่ที่หน้าอาคารเรียนแล้วอ้อนให้เธออุ้ม
ฟอด!
นั่นไง ยังไม่ทันไรก็หอมกันแต่เช้า นลินเริ่มชินกับการติดเธออย่างหนักของลูกศิษย์ตัวน้อย
ครูสาววางองศาลง มองไปยังคุณลุงของลูกศิษย์ที่ตอนนี้คุยโทรศัพท์อยู่ด้วยท่าทางเคร่งเครียด วันนี้ชายหนุ่มดูสมบูรณ์แบบในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เขายังคงมีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยมแม้จะอยู่ในสภาวะเผลอ แผ่นหลังของเขาตรงแน่ว ยกมือกางศอกคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงทุ้มกังวานน่าเชื่อถือ ทุกองค์ประกอบดูดีหมด ยกเว้นเป้ใบเล็กลายซูเปอร์ฮีโรสีแดงที่เขาสะพายไว้ที่บ่าข้างหนึ่ง และกระบอกน้ำลายเดียวกับกระเป๋าที่เขาถืออยู่ ทำให้ความน่าเกรงขามลดลงนิดหนึ่ง ส่วนความน่ารักนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
“สวัสดีครับ คุณครูนลิน”
ภาวินทักทาย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าครูสาวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นหลานชายกอดมือครูประจำชั้น จากนั้นก็ยื่นกระเป๋าและกระบอกน้ำของหลานชายให้
“สวัสดีค่ะ คุณลุงของ...เอ่อ คุณภาวิน”
คำทักทายของนลินสะดุดไปนิดหนึ่งตอนที่เห็นรอยยิ้มของเขา ภาวินเป็นผู้ชายที่ฟันเรียงสวยมาก อาจจะเป็นเพราะเขาเคยได้รับการจัดฟัน จึงทำให้กรอบหน้าของเขาได้รูป ฟันเรียงเป็นระเบียบ เวลายิ้มจึงทำให้ใจเธอแทบละลายได้ขนาดนี้
“เย็นนี้คุณครูพาองศากลับไปที่บ้านคุณครูเลยนะครับ ผมจะมารับองศาที่บ้านคุณครูค่ำสักหน่อย เพราะมีประชุมที่คาดว่าน่าจะต้องคุยกันนาน ผมเตรียมเสื้อผ้าสำรองมาให้แกแล้ว เผื่อว่าคุณครูจะอาบน้ำให้แก” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋า
“ได้ค่ะ คุณภาวิน”
นลินรับคำ ก่อนจะบอกให้องศาสวัสดีคุณลุงของเขา จากนั้นก็ยื่นกระเป๋าและกระบอกน้ำให้เด็กน้อยถือเองแล้วขอตัว เพราะถึงเวลาที่จะต้องพานักเรียนเข้าชั้นเรียนแล้ว
ที่ภาวินบอกนลินว่าจะมารับค่ำ ที่จริงแล้วมันเป็นตอนมืดเลยต่างหาก เพราะกว่าเขาจะมารับองศากลับก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว โชคดีที่วันนี้รสา เพื่อนของนลินแวะมาหาที่บ้านพร้อมกับนำลูกสุนัขมาฝากให้เลี้ยง องศาจึงมีเพื่อนเล่น และเล่นเสียจนมอมแมมสภาพไม่ต่างจากลูกหมาที่เอามาเลี้ยง ครูสาวต้องอาบน้ำประแป้ง แล้วให้เด็กน้อยสวมชุดสำรองที่ภาวินเตรียมใส่กระเป๋ามาให้ จากนั้นก็กล่อมให้หลับอยู่ในห้องนอนโดยที่เด็กน้อยไม่มีทีท่าว่าจะงอแงแต่อย่างใด
เมื่อภาวินมาถึงที่หน้าบ้านของครูสาว สิ่งแรกที่เขาจับจ้องคือลูกสุนัขที่เดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ที่บริเวณภายในรั้วหน้าบ้านของเธอ เมื่อเจ้าหมาน้อยเห็นว่ามีคนมาก็แค่ส่งเสียงเห่า วิ่งกระดิกหาง ยื่นปลายจมูกมาดมที่รองเท้า และทำท่าจะเลีย
“ช่วยจับมันไปไว้ไกลๆ หน่อยได้ไหม ผมไม่ค่อยชอบสัตว์เลี้ยง” พูดแล้วก็ถอยเท้าหนีก่อนที่เจ้าหมาตัวน้อยจะแตะปลายลิ้นมาที่รองเท้าหนัง
ครูสาวใจหายใจคว่ำเพราะพอจะรู้มาบ้างว่ารองเท้าของคนรวยแค่ข้างเดียวก็เกือบจะเท่าเงินเดือนทั้งเดือนของเธอ
“ค่ะ” นลินรับคำแล้วก็อุ้มลูกสุนัขไปวางไว้ในกล่องที่เพื่อนสนิทใช้ใส่มันมาส่งถึงที่นี่
เจ้าหมาน้อยแสนรู้งาน เมื่อถูกอุ้มไปวางในกล่องก็กัดแทะแผ่นหนังอัดแท่งที่เจ้าของเดิมวางไว้ให้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่เที่ยวมาเลียรองเท้าของใครอีก
“บ้านคุณเลี้ยงหมาด้วยเหรอ เมื่อวานไม่ยักเห็น”
“ปกติก็ไม่ได้เลี้ยงหรอกค่ะ แต่เพื่อนฉันเพิ่งเอามาฝากไว้เมื่อตอนเย็นนี้เอง”
“แล้ว...องศาได้มาอุ้มเล่นรึเปล่า” คำถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวดนั้นทำให้นลินถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“อุ้มค่ะ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ลูกหมาตัวนี้ฉีดวัคซีนแล้ว ฉันเลยให้องศาอุ้มเล่นได้ นี่ก็เล่นจนเหนื่อย หลับไปตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้วค่ะ”
“ว่าไงนะครับ องศาหลับแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ก็นี่มันจะสามทุ่มแล้วนี่คะ” หญิงสาวบอกพลางยื่นนาฬิกาข้อมือให้ดู
“อ้อ จริงด้วย แล้วนี่ องศานอนอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปอุ้มมาขึ้นรถเอง”
“นอนอยู่ในห้องนอนของฉันค่ะ และฉันว่าฉันไปอุ้มแกมาส่งให้คุณดีกว่า”
“ไหวเหรอครับ คุณตัวแค่นี้เองนะ” พูดแล้วก็กวาดตามองคนตัวแค่นี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ประเมินด้วยสายตาว่าอาจจะอุ้มเด็กผู้ชายวัยห้าขวบตัวอวบอ้วนที่นอนหลับจนตัวอ่อนปวกเปียกไม่ไหว
“ไหวค่ะ ถ้าไม่ไหวก็แค่ปลุกให้องศาตื่นก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าไปอุ้มเองดีกว่า ไม่อยากปลุกให้องศาตื่น”
“แต่ว่านั่นมัน...ห้องนอนของฉันนะคะ”
นลินพูดด้วยสีหน้าอึดอัด มีอย่างที่ไหน คนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ จะขอเข้าไปถึงห้องนอน ถึงแม้ว่าหลานชายของเขาจะนอนอยู่ในนั้นก็เถอะ แต่เธอพูดขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ฟัง ยังคงมองเธอด้วยสีหน้ากดดันและยืนยันว่าจะเข้าไปในห้องนอนของนลินให้ได้
“งั้นผมก็ขออนุญาตแล้วละครับ ผมก็แค่เข้าไปอุ้มหลานชาย จะไม่มอง ไม่วิจารณ์ ไม่ทำอะไรให้คุณไม่สบายใจทั้งนั้น นอกจากอุ้มหลาน”
“ค่ะ งั้นก็เชิญด้านนี้ค่ะ”
หญิงสาวยอมให้ภาวินเข้ามาในห้องนอนอย่างขัดไม่ได้ ผู้ชายอย่างภาวิน ดูก็รู้ว่าระเบียบจัด มาตรฐานด้านสุขอนามัยสูง ถ้าเข้าไปเห็นว่าเธอให้องศานอนบนฟูกยางพาราแข็งๆ หนุนหมอนใบเดียวกับที่เธอใช้ ห่มผ้าห่มใยสังเคราะห์ให้ตามมีตามเกิด ถึงแม้ว่าเครื่องนอนทุกชิ้นจะสะอาดก็เถอะ ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะรับได้หรือไม่ แต่ในเมื่อเขาก็พูดออกมาเองว่าจะไม่วิจารณ์ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ขัดศรัทธา ยอมให้เขาเดินตามเข้ามาอุ้มองศาถึงห้องนอนของเธอได้
“พรุ่งนี้ผมจะให้คนเอาที่นอนท็อปเปอร์กันไรฝุ่นกับเครื่องฟอกอากาศมาส่งให้นะครับ”
ชายหนุ่มบอกหลังจากค่อยๆ วางหลานชายที่หลับสนิทและยังคงดูดนิ้วโป้งของตัวเองด้วยความเพลิดเพลินลงบนคาร์ซีตอย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว
“ว่าแล้วเชียว” ครูสาวพึมพำอย่างรู้ความหมายของชายหนุ่ม สุดท้ายวัตถุประสงค์ของการเข้าไปอุ้มองศาถึงในห้องนอนของเธอก็ไม่พ้นเข้าไปสำรวจห้อง แล้วก็อดจัดการโน่นนี่ไม่ได้
“องศาป่วยง่าย ผมจึงอยากจะช่วยคุณครูดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษหน่อย”
“ค่ะ ตามใจคุณเลยค่ะ แต่ว่าบ้านฉันก็อย่างที่เห็น ขนอะไรมาไว้มากนักไม่ได้หรอกนะคะ” นลินพูดออกตัว เพราะกลัวไม่มีที่จะนอนจากอุปกรณ์ของคุณลุงของลูกศิษย์
“ก็คงไม่มีอะไรเพิ่มแล้วละครับ เพราะผมจะมารับแกช้าแบบนี้แค่บางวันเท่านั้น ว่าแต่...เมื่อตอนเย็นคุณครูทำอะไรให้องศากินเหรอครับ”
“บะหมี่ซองค่ะ”
“อะไรนะ!” ภาวินเอ่ยเสียงเข้มจัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พร้อมกับมองมายังนลินด้วยแววตาตำหนิ
“ก็...องศาบอกว่าอยากกินบะหมี่ซองนี่คะ”
“องศาอยากกิน ก็ไม่เห็นจะต้องตามใจนี่ครับ คุณเป็นคุณครูก็ต้องสอนแกสิว่าอย่าไปกินของอะไรแบบนั้น”
“ของอะไรแบบนั้นที่คุณว่า มันก็เป็นของกินนะคะ ตอนเด็กๆ ฉันกินบะหมี่ซองกับข้าวเป็นประจำ ยังโตมาได้เลย”
ครูสาวพูดอย่างพยายามเก็บกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ให้ลึกที่สุด คนรวยอย่างภาวินจะไปรู้อะไร การได้กินบะหมี่ซองแทนกับข้าว มันคืออาหารที่แสนวิเศษสำหรับเด็กที่เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเธอ
“ผม...ขอโทษ”
คำขอโทษด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างจริงใจเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของนลินอยู่มาก หญิงสาวคิดว่าเธอเก็บซ่อนอารมณ์รันทดเอาไว้อย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ทำไมภาวินถึงรับรู้ได้
“ผมพอจะรู้เรื่องราวของคุณจากดาวมาบ้าง” ภาวินเอ่ยถึงพราวนภา ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของเขา
นลินรู้แล้วก็ได้แต่นึกหงุดหงิดชายหนุ่มอยู่ในใจ แค่จ้างให้เธอดูแลและสอนพิเศษหลานชาย ถึงกับต้องสืบประวัติกันเลยหรือนี่
“ค่ะ ฉันเป็นเด็กกำพร้า และถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจที่จะให้ฉันดูแลองศาต่อ ฉันก็จะโอนเงินคืนให้คุณค่ะ” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมพร้อม “ขอเลขที่บัญชีที่จะให้โอนเงินคืนด้วยค่ะ”
“คุณครูนลินครับ!” เสียงห้าวทุ้มทรงพลังเสียจนคนที่ทำเหมือนไม่สนว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนถึงกับชาวาบไปทั้งตัว
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ถ้าผมทำให้คุณเข้าใจผิด ผมขอโทษ และผมอยากให้คุณดูแลองศาต่อไป”
ทั้งที่ประโยคนั้นฟังแล้วคล้ายจะเป็นคำขอร้อง แต่ให้ตายเถอะ นลินกลับไม่กล้าที่จะพูดปฏิเสธออกมาแม้แต่คำเดียว
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณหรอกนะคะ และฉันก็เอ็นดูองศามากๆ แต่ว่าฉันรู้สึกว่าฉันอาจจะไม่เหมาะสมที่จะดูแลหลานชายของคุณได้อย่างที่คุณคาดหวัง”
“ความคาดหวังเดียวที่ผมมีต่อคุณ คือทำให้องศามีความสุข คุณรู้ไหมว่าองศาดีใจมากที่จะได้อยู่กับคุณต่ออีกนิดหลังเลิกเรียนตั้งแต่องศามาอยู่กับผม แกแทบจะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ แต่พอได้เจอคุณแล้วองศาดูมีความสุขขึ้นมาก คุณครูช่วยดูแลแกต่อได้ไหมครับ ถ้าไม่เห็นแก่ผม ก็เห็นแก่องศาเถอะ”
ครูสาวได้ยินอย่างนั้นก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าองศาโหยหาความอบอุ่นจากส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดหาย เด็กน้อยก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกับเธอ สำหรับนลินแล้ว นับว่าเธอโชคดีกว่าองศามาก เพราะเธอขาดความรักมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ ไม่เคยได้สัมผัสถึงอ้อมกอด ไม่เคยลิ้มรสความทุกข์จากการพลัดพราก ผิดกับองศาที่เคยได้รับความรักความอบอุ่นแบบเต็มเปี่ยมจากแม่ แต่ต้องมาสูญเสียไปแบบกะทันหันแบบนี้ คงเกินกว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของเด็กคนหนึ่งจะรับไหว
“พรุ่งนี้คุณจะมารับองศาช้าเหมือนวันนี้รึเปล่าคะ ฉันจะได้ไปหาซื้อเนื้อสัตว์กับผักมาเตรียมไว้ทำอาหารให้แกทาน”
คำตอบรับแบบรักษาฟอร์มของครูสาวทำให้ภาวินยิ้มกว้างจนดวงตาพราวระยับ จนคนที่เผลอสบตาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ที่หน้าบ้านของนลินมีเพียงหลอดไฟดวงเล็กให้แสงสว่างแค่มองเห็นแบบสลัวๆ เท่านั้น แต่เธอเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มชัดเจน ฟันของเขาเรียงเป็นระเบียบ ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มเพียงชั่วครู่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็หุบลง แต่ยังคงอมยิ้มรับดวงตาที่กำลังเปล่งประกายแพรวพราวล้อกับแสงไฟ
“พรุ่งนี้ผมว่าง มารับองศาตอนเลิกเรียนได้ แต่ผมจะไม่กลับบ้านทันที จะพาคุณไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ก่อน”
“คะ?” นลินลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าภาวินจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้
“ทีแรกผมกะว่าจะให้เลขาฯ ไปซื้อมาให้ แต่คิดไปคิดมา รองเท้ามันเป็นของที่จะฝากใครซื้อให้ไม่ได้ ต้องพาคนสวมไปลองเอง เพราะถ้าเกิดซื้อมาแล้วคุณใส่ไม่สบาย สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์”
ยิ่งฟัง นลินก็ยิ่งทึ่ง คนอะไรจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขนาดนี้
“คุณไม่ต้องซื้อรองเท้าใหม่ให้ฉันหรอกนะคะ เสียดายเงินเปล่าๆ ฉันแค่เอารองเท้าคู่เก่าไปซ่อมพื้นแค่ไม่กี่บาทก็กลับมาสวมได้เหมือนเดิมแล้วละค่ะ”
“ทำไมต้องประหยัดขนาดนั้นครับ ของมันเก่าแล้วก็ทิ้งไป ซื้อคู่ใหม่ไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“มันอาจจะดีสำหรับคนมีเงินเหลือกินเหลือใช้น่ะค่ะ แต่สำหรับฉัน มันมีค่ามากๆ เลยนะคะ คุณก็รู้อยู่ว่าฉันตัวคนเดียว จะกินจะใช้อะไรก็ต้องประหยัด”
“ที่ต้องประหยัด เพราะอยากจะเก็บเงินไปเรียนต่อเมืองนอกใช่ไหมครับ” พูดแล้วก็มองหน้าคนที่ทำตาโต เลิกคิ้วสูงราวกับจะถามเขาว่า ‘รู้ได้ยังไง’ แล้วก็อดยิ้มออกมาอีกรอบไม่ได้ “ผมเห็นหนังสือที่คุณอ่านน่ะครับ เลยพอจะเดาได้”
“อ้อ ค่ะ ฉันอยากจะสอบชิงทุน และเก็บเงินเอาไว้ไปเรียนต่อต่างประเทศ มันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แบบว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
นลินยอมรับอย่างอายๆ หากภาวินสืบประวัติเธอมาจากพราวนภา ก็คงจะพอรู้ว่าหญิงสาวจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อเสียงระดับธรรมดา ด้วยเกรดเฉลี่ยแสนธรรมดา และความสามารถพิเศษที่โคตรจะธรรมดา แต่ยังกล้าใฝ่สูง หวังไกล คิดจะไปสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ
“ถ้าอย่างนั้น ผมแนะนำหนังสือให้เอามั้ย”
“เอ่อ...”
นลินยังมีท่าทางลังเล เพราะเริ่มเกรงใจภาวินที่เสนอจะให้อะไรแก่เธอตั้งมากมาย อันที่จริงแค่ค่าจ้างที่เขาให้เธอก็พอใจแล้ว ส่วนรองเท้ากับหนังสือนั้นเธอคิดว่ามันมากเกินไปที่จะรับน้ำใจจากเขาเอาไว้
“หรือว่าคุณเกรงใจแฟนของคุณและอยากจะมีเวลาให้เขาบ้าง”
“ฉันไม่มีแฟนค่ะ” พูดแล้วก็รู้สึกแก้มร้อนผ่าวเมื่อถูกภาวินมองมาด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม
“ผมขอโทษที่เสียมารยาท” พูดว่าขอโทษ แต่ก็ยังคงกลั้นยิ้มอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ” พูดว่าไม่เป็นไร แต่หน้าเธอเชิดขึ้นเล็กน้อย
“เรื่องรองเท้า ถ้าคุณไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องหนังสือ ผมว่าคุณควรจะรับไว้นะครับ ผมดูหนังสือที่คุณมีแล้วมันยังเข้มข้นไม่พอ ต้องมีอีกหลายเล่มที่คุณต้องหามาอ่านเพิ่ม”
“ก็ได้ค่ะ” เป็นอีกครั้งที่ภาวินพูดอะไรแล้วเธอต้องทำตาม ก็มันมีเหตุผลเสียจนไม่เว้นช่องให้แย้งได้เสียขนาดนี้
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันตอนองศาเลิกเรียนนะครับ ส่วนคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ” กล่าวลาด้วยประโยคง่ายๆ แต่ไร้เสียงตอบรับอีกตามเคย
นลินได้แต่ยืนนิ่ง รอจนกระทั่งชายหนุ่มขับรถห่างออกไปไกลแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เธอไม่ได้บอกราตรีสวัสดิ์เขากลับอีกแล้ว...
ความคิดเห็น |
---|