12

12

12

 

“ปริมท้อง” ปริมรดาพูดเข้าเรื่องทันที

พิมพ์พลอยที่ยังเดินออกมาได้ไม่ไกลได้ยินคำนั้นอย่างชัดเจน เธอชะงักไปหลายวินาที สัมผัสได้ถึงความเหน็บชาที่กัดกินตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา

‘เธอคาดหวังอะไรกับผู้ชายที่ชื่อพลิศร์งั้นเหรอพิมพ์พลอย เขาไม่มีวันเปลี่ยนหรอก’

เมื่อรวบรวมสติได้ เธอก็สับเท้าอย่างเร็วพาตัวเองหนีออกจากตรงนั้น โดยไม่สนใจเสียงเรียกของชายหนุ่มเลย

ทางด้านพลิศร์ที่อยากเดินตามพิมพ์พลอยไป เพราะคิดว่าเธอต้องได้ยินสิ่งที่ปริมรดาพูดก็ต้องรั้งตัวเองไว้ เขาควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก่อน

“ปริมว่าไงนะ”

“ปริมท้อง”

“ปริมจะบอกว่าเพิ่มเป็นพ่อเด็กงั้นเหรอ”

“ใช่”

โกหก! นี่คือคำที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา แต่ชายหนุ่มกับนิ่งและมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย

“เพิ่มไม่เชื่อปริมงั้นเหรอ” สายตาพลิศร์มันสื่อเช่นนั้น

“ต้องการอะไรพูดมาตรงๆ ดีกว่า อย่าแต่งเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมาหลอกกันเลย เพิ่มไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าคืนนั้นระหว่างเรามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น” หลังจากที่ได้คิดไตร่ตรองเกี่ยวเหตุการณ์ในคืนนั้น พลิศร์คิดว่ามันเป็นไปได้ยากที่เวลามีอะไรกับใครแล้วจะไม่รู้ตัว ถึงจะเมาหนักก็เถอะ

“ปริมพูดจริงๆ นะเพิ่ม”

“ปริมท้องกับไอ้เมธใช่ไหม พอมันไม่รับเลยคิดจะหาพ่อให้ลูกอย่างนี้รึเปล่า” พลิศร์ถาม เขาพยายามคิดถึงเรื่องที่จะเป็นไปได้ที่สุด

“ไม่ใช่นะเพิ่ม ปริมกับเมธเรามีปัญหากันมานานแล้ว และไม่ได้นอนด้วยกันมาหลายเดือนแล้วด้วย” 

“ถ้านับจากคืนนั้น...” เขาหมายถึงคืนที่เกิดเรื่อง “จนถึงวันนี้ มันยังไม่ถึงเดือนเลยนะ ทำไมปริมถึงรู้ว่าตัวเองท้อง” 

“ประจำเดือนไม่มา ปริมเลยซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ”

“งั้นเหรอ” เขาไม่เชื่อ “เพิ่มไม่ได้จะดูถูกนะ แต่ถามจริงเถอะ...ท้องกับคนอื่นรึเปล่า” 

เขารู้จักปริมรดามาพอสมควร เธอรักสนุก แม้จะควงจิรเมธ แต่เธอก็แอบแซ่บกับชายอื่น

“เพิ่ม ปริมพูดจริงๆ นะ” เสียงปริมรดาเริ่มสั่นเครือ

“พอปริม อย่ามาเล่นละคร”

“เพิ่มจะไม่รับผิดชอบเด็กในท้องของปริมใช่ไหม”

“เขาไม่ใช่ลูกเพิ่ม ไปบอกพ่อเด็กดีกว่า”     พลิศร์มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ได้ทำเธอท้อง เขาไม่ใช่พ่อเด็ก

และเมื่อเขาได้พูดในสิ่งที่ควรพูดหมดแล้ว จึงเดินออกมาเสียดื้อๆ ทางด้านปริมรดาก็ไม่ได้รั้งเขาไว้

 

“คุณเพิ่มจะไปไหนต่อครับ” นาวินถามเมื่อเจ้านายขึ้นมาบนรถแล้ว

“...” พลิศร์ยังไม่ให้คำตอบ

 เลขาฯ ผู้แสนรู้ใจอ่านสีหน้าของเจ้านายออก ตอนนี้พลิศร์คงกำลังใช้สมองคิดอะไรอย่างหนักอยู่ ดังนั้นเขาไม่ควรรบกวน แต่ถ้าให้เดานาวินคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องรถไฟสองขบวนที่ชนกันเมื่อสักครู่ 

 นาวินเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนรถตั้งแต่เจ้านายเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมกันกับพิมพ์พลอย จากนั้นปริมรดาเดินเข้ามา แล้วพิมพ์พลอยก็ปลีกตัวออกไป

 ทางด้านพลิศร์ที่นิ่งเงียบ แต่ภายในหัวนั้นมีความคิดต่างๆ กำลังตีกันวุ่นวาย เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ดูแปลกมากที่ปริมรดามาเจอเขาที่นี่ และพูดเรื่องสำคัญแบบนั้น หากรู้ตัวว่าท้อง และมั่นใจว่าเขาคือพ่อเด็ก เธอควรจะติดต่อเพื่อเจอกันเป็นการส่วนตัวสิ 

เธอทำแบบนั้นทำไม...

แล้วไหนจะเรื่องโกหกที่ว่าเขาเป็นพ่อเด็กอีก ปริมรดาทำได้ไม่เนียนเลย เช้าวันนั้นที่ตื่นมาบนเตียง แล้วเธอบอกว่าเขากับเธอมีอะไรกัน อันที่จริงพลิศร์ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ที่ไม่ซักไซ้ให้มากความเพราะคิดว่าเธอคงจะเข้าใจผิด เนื่องจากก็เมาทั้งคู่

เมางั้นเหรอ...

แต่ว่าวันนั้นเขาก็ไม่ได้มีอาการแฮงก์เลยนะ อาจจะมึนๆ นิดหน่อย แต่ความรู้สึกก็เหมือนเพิ่งตื่นนอน ไม่ใช่คนที่ฟื้นจากเมาหนัก หรือปริมรดาแค่ต้องการหาพ่อให้เด็กในท้อง? แต่มันแค่นั้นจริงๆ เหรอ...อย่างไรก็ตามเขาไม่มีวันตกหลุมพรางนี่หรอก

แต่ตอนนี้เขาควรหยุดคิดเรื่องนี้ก่อน สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือไปอธิบายให้พิมพ์พลอยเข้าใจ ไม่เช่นนั้นเธอไม่ให้อภัยเขาตลอดชีวิตแน่

ว่าแล้วก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อจะติดต่อเธอ เขาปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ และค้นหาเบอร์โทรศัพท์พิมพ์พลอย แต่ก่อนที่จะกดโทร. ออก ก็เหมือนฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

“ฉิบหายแล้ว”

“ว่าไงนะครับ” นาวินที่นั่งคอยคำตอบอยู่นานแล้วถามซ้ำ เพราะดูเหมือนเจ้านายจะตอบไม่ตรงคำถามว่าอยากให้เขาขับรถไปส่งที่ไหน

“งานเข้าน่ะสิวะ”

 

หลังจากวันที่พาพิมพ์พลอยไปร้านอาหารญี่ปุ่น พลิศร์ก็ติดต่อหญิงสาวไม่ได้อีกเลย เธอบล็อกเขาทุกช่องทาง ขนาดสลับมาใช้เบอร์โทรศัพท์อื่นแล้วโทร. ไปเธอก็บล็อกอีก 

และหลังจากวันนั้นไม่กี่วันพิมพ์พลอยก็เดินทางกลับไปที่แอลเอ หมดหนทางที่พลิศร์จะตามไปง้อ ที่จริงถ้าจะตามเขาก็ทำได้ แต่ติดตรงที่งานที่บริษัทค่อนข้างยุ่ง ยิ่งใกล้จะถึงช่วงเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการชุดใหม่ และโหวตแต่งตั้งประธานบริหาร พลิศร์จะลางานไปทำเรื่องส่วนตัวไม่ได้

“หลังประชุม ฉันไม่มีนัดอะไรแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มกระซิบถามเลขาฯ ขณะอยู่ในห้องประชุม

“ไม่มีครับ”

พลิศร์เพียงพยักหน้ารับคำตอบของนาวิน และหันมาสนใจการประชุมต่อ

ในการประชุมครั้งนี้มีฝ่ายบริหาร และผู้ถือหุ้นบางส่วน รวมถึงจองชัยซึ่งเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้ถือหุ้นด้วย

หัวข้อในการประชุมวันนี้เป็นการถกกันเรื่องการรื้อถอนโรงเรียนแห่งหนึ่งในเครือของอัศวพาณิชย์เพื่อนำที่ดินไปปล่อยเช่า เนื่องจากที่ดินแปลงนั้นอยู่ในทำเลทอง มีเจ้าของธุรกิจหลายราย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโรงแรม หรือห้างสรรพสินค้า พร้อมใจเสนอราคาสูงลิ่วเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน

ทว่าพลิศร์ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ โรงเรียนแห่งนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพราะหวังทำผลกำไร แต่เพื่อต้องการให้เด็กด้อยโอกาสได้รับการศึกษาเทียบเท่ากับโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพง หากรื้อถอนและย้ายโรงเรียนไปที่อื่นจะสร้างความยากลำบากให้แก่นักเรียนและบุคลากร ที่ตั้งโรงเรียนใหม่คงไม่พ้นแถบชานเมือง ซึ่งเด็กๆ เหล่านั้นคงเดินทางไม่สะดวก เพราะพวกเขาเติบโตในสลัมใจกลางเมือง

“เด็กพวกนั้นน่าสงสารก็จริง แต่อย่าลืมนะครับว่าพวกเราเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักบุญ” จิรเมธแย้งขึ้นเมื่อเห็นว่ากรรมการส่วนใหญ่ดูจะเอนเอียงไปทางพลิศร์ “ที่ดินผืนนี้จะสร้างเม็ดเงินมากมายหากเรานำไปปล่อยเช่า และผลกำไรของมันก็สามารถสร้างโรงเรียนเพิ่มได้อีกหลายที่”

“แต่เด็กนักเรียนที่เรียนอยู่ปัจจุบันคงไม่สะดวกย้ายไปเรียนที่ใหม่ คุณควรจะคำนึงถึงตัวเด็กก่อนเป็นอันดับแรก คุณจิรเมธ” พลิศร์แย้งบ้าง หากจะต้องเป็นการเป็นงานเขาจะเรียกลูกพี่ลูกน้องอย่างสุภาพ

ที่จิรเมธพูดมาก็มีส่วนถูก ที่ว่าผลกำไรสามารถนำไปสร้างโรงเรียนใหม่ได้หลายแห่ง แต่จุดประสงค์ของการก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้คือเพื่อให้เด็กในสลัมกลางกรุงมีคุณภาพการศึกษาที่ดี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่จิรเมธเสนอมาดูจะไม่ตรงจุดนัก

อีกเหตุผลที่พลิศร์ค้าน เป็นเพราะเขารู้ว่าฝ่ายนั้นมีนอกมีในกับผู้ที่ต้องการจะมาเช่าที่ดินแปลงนี้ 

เมื่อความคิดเห็นแยกเป็นสองฝ่าย ก็ต้องมีการโหวตลงคะแนน และแน่นอนครั้งนี้พลิศร์ชนะ แต่เขารู้ว่าจิรเมธคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าตัวนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม แต่ทุกครั้งที่ผ่านมากรรมการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

และหลังจากได้ข้อสรุปก็ปิดการประชุม

“ได้ข่าวว่ามึงทำปริมท้อง” คนอื่นๆ ทยอยออกจากห้องประชุม จิรเมธเลยเดินเข้าไปทักทายพลิศร์ที่กำลังคุยอยู่กับเลขาฯ แต่เรียกว่าหาเรื่องน่าจะถูกกว่า

“ไอ้เลว มึงวางแผนเล่นงานกูอยู่ใช่ไหม” พลิศร์คิดไว้ว่าเรื่องปริมรดาต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับลูกพี่ลูกน้องเขาแน่

แต่จากที่ไปสืบมา สองคนนี้เลิกข้องแวะกันมาหลายเดือนแล้ว และดูเหมือนจะบาดหมางกันอย่างที่ปริมรดาบอกเขาจริงๆ   ดังนั้นพลิศร์จึงไม่สรุปเลยเสียทีเดียวว่าจิรเมธคือคนวางแผน  

“คนที่เลวคือพวกมึงสองตัวต่างหาก รู้ว่าปริมคบกับกู ไม่สิ...เคยคบ มึงยังจะเอา” เขาไม่ได้แคร์ปริมรดาหรอก แต่รู้สึกเสียหน้าที่ผู้หญิงที่เคยควงดันไปข้องเกี่ยวกับพลิศร์ ซึ่งเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง

“พอๆ ตาเมธ ตาเพิ่ม อย่ามาทะเลาะกันเพราะผู้หญิงคนเดียว” จองชัยที่ยังไม่ออกจากห้องประชุมได้ยินบทสนทนาของลูกชายกับหลานชายก็เข้ามาห้าม

ที่จริงบิดาของจิรเมธวางมือจากงานบริหารไปนานแล้วเหมือนกับบิดาของพลิศร์ แต่ก็ยังเข้าร่วมประชุมบ้างในฐานะผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง

“ลุงอยากให้เพิ่มกลับไปทบทวนข้อเสนอของตาเมธใหม่นะ ลองคิดถึงผลประโยชน์ที่อัศวพาณิชย์จะได้รับ” จองชัยหันมาพูดกับหลานชายเกี่ยวกับหัวข้อการประชุมที่ผ่านพ้นไป ไม่ได้จะไกล่เกลี่ยเรื่องผู้หญิง เรื่องนั้นมันเรื่องเล็ก ไม่ควรให้ค่าด้วยซ้ำ

“ผมยืนยันคำเดิมครับ” พลิศร์เป็นคนหัวแข็ง หัวแข็งเหมือนพ่อเขานั่นแหละ

เขาจะเลือกใช้คำพูดที่รักษาน้ำใจผู้เป็นลุงก็ได้ แต่ก็ไม่ทำ การพูดตรงไปตรงมานี่แหละดีที่สุดแล้ว

จบคำตอบนั้นจองชัยเพียงตบบ่าลูกของน้องชายโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม พลิศร์มองตาม ในความรู้สึกของเขา สายตาของผู้สูงวัยนั้นอ่านยากชะมัด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น