๘
พบคนหึงหนึ่งอัตรา
ความเคยชินของอาชีพทำให้พวกของชานนท์นิยมใช้บันไดหนีไฟเพื่อถือโอกาสสำรวจความเรียบร้อยไปด้วย จึงไม่เห็นว่าลิฟต์ฝั่งตรงข้ามได้เปิดออกหลังจากที่พวกเขาหายลับไปได้เพียงไม่กี่วินาที
“ได้ข่าวว่าจ๋าฟื้นแล้ว เลยแวะมาดู กานอยู่ไหน”
พัฒนพงษ์ก้าวออกจากลิฟต์ มือหนึ่งถือกระเช้าของเยี่ยมอันใหญ่ พ่วงด้วยถุงข้าวของอีกสามสี่ใบ หนึ่งในนั้นเป็นของที่เขาหยิบมาจากข้าวของที่หญิงสาวทิ้งไว้ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จำพวกข้าวของเครื่องใช้จำเป็น และอีกชิ้นเห็นว่ามันน่าจะสำคัญจึงฉวยติดมือมาด้วย
ความจริงเขาได้ข่าวตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน แต่เพราะภาระงานที่หน่วยแพทย์มากมายจนสะสางไม่ทัน เพิ่งทุเลาลงได้วันนี้ช่วงสาย เลยรีบมาก่อนจะมืดค่ำ และโชคดีเป็นของเขา สองวันก่อนจามิกรแค่รู้สึกตัวเล็กน้อย เพิ่งจะฟื้นเอาจริงๆ ไม่ถึงชั่วโมงนี่เอง เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนมาถึงผู้ป่วยสัมพันธ์ด้านล่างชั้นหนึ่ง
“ผมถึงแล้ว กำลังจะเข้าไปในห้อง กานตามมาละกัน”
แพทย์หนุ่มวางสายจากตัวแทนของหน่วยแพทย์ซึ่งติดตามมาเพื่อช่วยดูแลพยาบาลรุ่นน้องที่บาดเจ็บสาหัส และอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ก็จะต้องกลับคืนค่าย เธอบอกเขาผ่านโทรศัพท์ว่ากำลังคุยกับแพทย์เรื่องอาการของจามิกร อีกไม่เกินสิบนาทีจะตามมา ขณะที่ฝีเท้าก้าวมาหยุดลงหน้าประตูห้องพักฟื้นผู้ป่วย เลขห้องที่เขาทราบมาจากผู้ป่วยสัมพันธ์
พัฒนพงษ์ยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ยื่นมือไปเคาะประตูอย่างไม่ลังเล และเลือกจะรอแทนที่จะผลักประตูเข้าไปเลย
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก เจ้าตัวเล็กผงกศีรษะขึ้นจากอ้อมกอดมารดา เธอกำลังเล่าให้มารดาฟังถึง 'คุณหมอ' สัตว์สี่ขาแสนรู้ที่บิดาเลี้ยงไว้ที่บ้าน กำลังเล่าถึงวีรกรรมของมันว่าเจ้าคุณหมอนั้นนอกจากกินเยอะ นอนเยอะ ก็ยังจะเดินช้าไม่ยอมวิ่ง มีคนแปลกหน้ามันก็แค่ส่งสายตามองดูอย่างเกียจคร้านและปล่อยเขาไปเฉยๆ ไม่เห่าสักคำ
“มีจนมา" เจ้าตัวเล็กบอกมารดาเสียงเบา ก่อนจะกลอกตากลมโตค้นหาไปโดยรอบ เพื่อจะส่งสัญญาณให้บิดาไปดูบุคคลภายนอกห้อง แต่ห้องทั้งห้องนอกจากเธอกับมารดากลับว่างเปล่า “จุนพ่อยื้อป่าว จุนพ่อไปไหนแย้ว” ก่อนหน้าเธอยังเห็นบิดายืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย ความงุนงงฉายขึ้นในดวงตาเล็ก
“เหมือนจะไม่ใช่นะ” จามิกรช่วยลูกพิจารณา น้องหนูอาจไม่เห็น แต่เธอรับรู้ตั้งแต่ชานนท์ออกจากห้องไป เขาจงใจเปิดโอกาสให้เธอได้อยู่กับลูกตามลำพัง จึงเป็นไปได้ยากว่าเสียงเคาะประตูด้านนอกจะเป็นเขาย้อนกลับมา “เดี๋ยวแม่...”
“จุนอาวะยินแน่ๆ” พอมารดาบอกว่าไม่ใช่ ในสมองน้อยๆ ก็ประมวลผลอย่างรวดเร็วและหยุดคำตอบไว้ที่คุณอาวรินทร ซึ่งเจ้าตัวมักจะเรียกแค่สั้นๆ ว่า...‘วะยิน’ และไม่รอให้มารดาอนุญาต ร่างเล็กขยับตัวลงจากเตียงผู้ป่วย
ขาขึ้นด้วยช่วงลำตัวสั้นๆ นั้นยาก แต่ขาลงกลับสบายบรื๋อ แค่ไถลลำตัวลงไปก็สามารถลงไปยืนที่พื้นได้อย่างรวดเร็ว
“น้องหนูไปตูเอง”
ชั่วแวบเดียว เด็กหญิงชนิกรณ์ก็วิ่งไปถึงประตูห้องพักเป็นที่เรียบร้อย สองมือเล็กแต่ไม่ไร้เรี่ยวแรงบิดลูกบิด ประตูเปิดออก
“เอ้า...” ปากน้อยร้องอุทานซะเสียงดัง เมื่อค้นพบว่าบุคคลที่ยืนรออยู่ด้านนอกไม่ใช่คุณอาที่รู้จัก ทว่าเด็กน้อยปรับตัวได้รวดเร็ว “จุนยุงมาหาไตหยอ จุนพ่อไม่อยู่ อยู่แจ้จุนแม่จับน้องหนู”
คุณปู่เคยบอกว่า ถ้าเจอคนแปลกหน้าที่หล่อกว่าคุณพ่อให้เรียก ‘คุณอา’ แต่ถ้าหล่อน้อยกว่าคุณพ่อให้เรียก ‘คุณลุง’ สำหรับเธอบิดาหล่อที่สุด คนแปลกหน้าทุกคนที่เธอเจอจึงได้ตำแหน่งคุณลุงไปแบบไม่ต้องถามหาอายุ
“คุณแม่...”
เขามาห้องผิดหรือไม่
พัฒนพงษ์เกือบจะเอี้ยวตัวไปมองดูป้ายชื่อผู้ป่วยข้างประตูอีกครั้ง หากไม่มองเลยเด็กหญิงตัวเล็กเข้าไปประจบเข้ากับหญิงสาวบนเตียงผู้ป่วยเสียก่อน เขาไม่รู้เรื่องของจามิกรมากนัก ที่หน่วยแพทย์เองก็ไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัวกัน เท่าที่ดูจากอายุซึ่งยังไม่มากของอีกฝ่าย จึงคิดมาตลอดว่ายังโสด
ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมีครอบครัว แถมยังมีลูกสาวตัวเท่านี้แล้ว
ชั่วแวบหนึ่งสั้นๆ พัฒนพงษ์รู้สึกช็อกไปเสี้ยวขณะหนึ่ง แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนที่เข้าร่วมกับหน่วยแพทย์รักษ์ด้วยภักดีมักจะมีปมหลังที่ไม่ธรรมดา เขาเองก็เป็นเช่นนั้น จึงดึงสายตากลับมาสบดวงตาเฝ้าคอยคำตอบของเด็กหญิงตัวน้อย
“ลุงขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ ลุงมาหาคนป่วยที่นอนอยู่ห้องนี้”
เศษหนึ่งส่วนสี่อาจมีอะไรเข้าใจผิด เด็กน้อยคนนี้อาจเป็นลูกสาวของใครสักคนที่มาเยี่ยมจามิกรก็เป็นได้ เขาจะยัดเยียดความเป็นมารดาให้แก่หญิงสาวโดยยังไม่ได้รับการแนะนำไม่ได้
“จนป่วย จุนแม่ของน้องหนูเอง” เหมือนรู้ว่าคุณลุงคิดอะไรอยู่ เสียงเล็กๆ จึงเฉลยให้เสียเลย
“จุนแม่ยุจักจุนยุงยื้อป่าว จุนยุงบอกมาหาจุนแม่”
เด็กน้อยยังไม่หลบให้คุณลุงแปลกหน้าเข้ามาในห้อง เธอเอี้ยวตัวกลับไปถามมารดา ซึ่งหากคำตอบว่าไม่รู้ ประตูที่ยังอยู่ในมือน้อยจะปิดลงในทันที
“สวัสดีคุณลุงหมอพงษ์สิคะ คุณลุงหมอเป็นเพื่อนที่ทำงานคุณแม่เอง คุณแม่รู้จักคุณลุง”
จริงๆ ถ้ามองดูจากใบหน้า ลูกสาวเธอควรจะเรียกแพทย์หนุ่มตรงประตูว่าคุณอามากกว่า เขาดูหนุ่มกว่าชานนท์เป็นไหนๆ แต่เมื่อลูกเลือกแล้ว เธอก็ไม่คิดแย้ง
“สวัสดีค่ะ หมอพงษ์ หมอมาได้ยังไงคะ” สถานการณ์ที่หน่วยแพทย์ไม่น่าจะมีเวลาให้แพทย์หนุ่มปลีกตัวพักด้วยซ้ำ
“ฉวัดตีค่ะจุนยุงหมอ” มารดาทำให้ดูไปแล้ว เจ้าตัวเล็กจึงทำตามว่องไว ดวงตากลมโตถูกริมฝีปากที่คลี่เป็นรอยยิ้มชักขึ้นไปจนเหลือเพียงแค่รูปจันทร์เสี้ยว เพื่อนของมารดาก็เหมือนเพื่อนของเธอเอง “จุนยุงหมอเจ้ามาไต้เยย”
พัฒนพงษ์ไม่ได้รับไหว้ ด้วยมือข้างหนึ่งถือของ ส่วนอีกข้างก็ถูกเด็กหญิงตัวน้อยจับจูงเข้าไป เขาจึงทำได้แค่ตอบคำถามของมารดาเจ้าหนูน้อยแทน
“ได้ยินว่าจ๋าฟื้นแล้ว เลยตั้งใจมาเยี่ยมแทนทุกคน” แพทย์หนุ่มวางของลงบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะหย่อนสะโพกลงนั่งตามการจัดวางของเจ้าตัวเล็กที่แป๊บเดียวก็ดึงเก้าอี้มาบริการแขกของมารดาแล้ว “ขอบคุณค่ะคนเก่ง ฮึ...จะขึ้นเหรอ”
“อืม...น้องหนูจะจื้น”
“ลงเองได้ แต่จะขึ้นเองไม่ได้น่ะค่ะ” จามิกรให้คำอธิบายแทนเจ้าตัวเล็ก ที่แลดูทั้งขยันและวุ่นวายในเวลาเดียวกัน รอจนเขาช่วยยกลูกสาวขึ้นมานั่งบนเตียงเรียบร้อยจึงถาม “ที่ค่ายเป็นยังไงบ้างคะ”
ภาพสุดท้ายในสมองคือความโกลาหลวุ่นวายที่หาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ จนนาทีนี้จึงยังไม่มีความกล้าพอจะจินตนาการถึง
“สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่กี่สัปดาห์ก็คงจะปิดหน่วยแพทย์ได้ คิดว่าอาจเป็นของสำคัญ ผมจึงถือมาด้วย” พัฒนพงษ์หย่อนสะโพกกลับลงไปนั่ง หยิบของในถุงหนึ่งส่งให้ “ผมเพิ่งรู้นะนี่ว่าจ๋ามีครอบครัวแล้ว แถมมีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้”
เด็กน้อยที่ยื่นมือออกมารับกล่องกำมะหยี่ใบเล็กจากมือเขาแทนมารดา ช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับจามิกร เสมือนแค่ย่อส่วนให้เล็กลงเท่านั้น ปากนิด จมูกหน่อย ช่างทำให้คนมองตกหลุมรักได้โดยง่ายดาย
“น้องหนูตูไตมั้ย”
ดวงตากลมโตเบือนหนีจากคุณลุงหมอมาที่มารดา ยังไม่กล้าเปิดจนกว่าจะได้รับอนุญาต แต่ถ้าถามว่าไม่อนุญาตจะช่วยลดความอยากดูลงไหม ดวงตาใคร่รู้คู่นั้นทอประกายแจ่มแจ้งดีทีเดียวว่าไม่
จามิกรลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กเบาๆ สำหรับความน่ารักน่าเอ็นดูนี้ มารดาผู้ไม่เอาไหนอย่างเธอขอยกความดีความชอบทั้งหมดให้แก่ชานนท์ ผู้ชายตัวโตที่ชีวิตมีแต่เรื่องเสี่ยงอันตราย กลับสามารถใช้ความพยายามเลี้ยงดูเด็กน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งให้เติบโตมาได้อ่อนโยนเช่นนี้
“ได้สิคะ แม่ให้น้องหนูเลยดีไหม” เดิมของสิ่งนี้ก็เป็นของเจ้าตัวเล็กอยู่แล้ว ของขวัญวันเกิดปีแรกที่เธอซื้อมา แต่ไม่กล้าพอจะส่งไปให้
“เย้ๆ จุนแม่ใจตีตี้ฉุด” เสียงจ๊วบดังขึ้นแรงๆ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะล้มตัวลงนอนหนุนตักมารดาและสนใจกล่องเล็กๆ ในมือ ขะมักเขม้นเปิดดู เลิกให้ความสนใจผู้ใหญ่ชั่วคราว
จามิกรยังคงวนฝ่ามือบนศีรษะลูกไม่คลาย ยิ่งได้ใกล้ชิด ความรักความเอ็นดูยิ่งมีแต่เพิ่มพูน หัวใจทั้งดวงที่คล้ายว่าจะบรรจุเด็กน้อยไว้จนเต็มยังสามารถขยายออกไปได้อีก เพื่อจะเติมเต็มสิ่งต่างๆ ของเจ้าตัวเล็กคนนี้เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
“จ๋ารู้มาว่าหมอพงษ์ก็เคยแต่งงาน มีลูกด้วยกันไหมคะ”
หญิงสาวลืมไปแล้วว่าพยาบาลรุ่นพี่อย่างกานมณีเคยบอกไว้อย่างไร บุคลากรเกือบทุกคนของหน่วยแพทย์ล้วนมีปมหลัง ถึงได้ทำงานชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ด้วยไม่มีอะไรให้ห่วง สิ่งที่ตนกำลังถามถึงจึงอาจสะกิดโดนปมเหล่านั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น...
“...”
พัฒนพงษ์มองความอ่อนโยนที่จามิกรกำลังถ่ายทอดแก่เด็กน้อยบนตักนิ่งๆ เธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำกระมังว่ากำลังตั้งคำถามอย่างไรต่อเขาอยู่ และสิ่งที่เธอกำลังถามมันคือจุดที่เขาไม่เคยให้ใครแตะต้อง ไม่เคยคิดจะเอ่ยถึงมันอีก
“งั้นจ๋าก็น่าจะรู้ว่าภรรยาผมไม่อยู่แล้ว” ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพูด ทว่าวันนี้พัฒนพงษ์ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงเอ่ยออกมา “ผมเคยมีลูก เพียงแต่แกไม่มีโอกาสได้ลืมตาออกมามองโลกใบนี้ พวกเขาแม่ลูกจากไปพร้อมกัน”
การแต่งงานที่ไม่พร้อม การต้องรับผิดชอบไปพร้อมกับการเรียนหนัก ทำให้ความรักของเขาต้องจบลง อีกทั้งใบหย่ายังกลายเป็นใบมรณะในอีกสามวันต่อมา เมื่ออดีตภรรยาของเขากระโดดตึกฆ่าตัวตาย
'แพทย์สาวช้ำรัก ตัดสินใจกระโดดตึกปิดวิบากกรรมรักพร้อมเด็กในท้อง'
พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
จามิกรเงยหน้าขึ้น เธอรู้สึกตัวแล้วว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่งลงไป
“จ๋าขอโทษค่ะ จ๋าไม่ควรละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของหมอแบบนี้”
“ผมไม่เป็นไร เรื่องมันนานมาแล้ว” นานเกินไป อาจจะนานเพียงพอที่เขาควรจะปล่อยวางลงให้ได้เสียที “ผมขอถามได้ไหม ทำไมจ๋าถึงมาเข้าร่วมหน่วยแพทย์ ทั้งๆ ที่มีคนข้างหลังให้ห่วงอยู่”
ลูก สามี ครอบครัว ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดใจทิ้งไปเพื่อภารกิจเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้ แพทย์รักษ์ด้วยภักดีเป็นหน่วยแพทย์เช่นไร เขาคิดว่าเธอไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาขนาดจะทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
“จ๋าเองก็หย่า...”
“จุนพ่อจะจับมาแย้ว” เจ้าตัวเล็กเห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของบิดาในจอโทรศัพท์ที่ส่งสัญญาณเชื่อมต่อออกไปเพื่ออวดของขวัญจากมารดาเงียบๆ ตื่นเต้นเสียจนรีบผุดตัวลุกขึ้นมานั่ง ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังโพล่งขึ้นมาผิดเวลา
“อ้าว...จุนพ่อจับมาแย้ว”
ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านตรงประตู เหมือนท้องฟ้าที่ครึ้มลงกะทันหัน!
“ไหนว่าซ้อต่างหากที่ต้องการเฮีย พุ่งเร็วยิ่งกว่าจรวดอีก”
วรินทรกระซิบกระซาบกับคู่หูด้านหลังซึ่งทำตัวคล้ายเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้นด้วย แต่ถึงจะมี ณ เวลานี้ก็ไม่มีใครให้ความสนใจ ในเมื่อร่างสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านตรงประตูดึงดูดทุกสายตาไปหมดแล้ว
“จุนพ่อจับมาแย้ว”
เจ้าตัวน้อยขยับจะลงไปหาบิดา พลอยดึงสติมารดาซึ่งถูกความถมึงทึงตรงหน้ากระชากลงหลุมดำไปแล้วกลับคืนมา
“เอ่อ...”
จามิกรไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ความคิดและคำพูดตะกุกตะกักไปหมดเพียงแค่สบตากับเขา เธอไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ทว่าสายตาตรงหน้ากลับกวาดต้อนให้เธอรู้สึกว่าผิดและยังผิดมหันต์ด้วย
“ขอโทษทีนะครับ พ่อเพิ่งรู้ว่ามีแขกมา” ชานนท์ตอบเจ้าตัวเล็กที่ถลามาจับมือเขาไว้ สายตาที่เหลือบลงมองดวงหน้าเล็กอย่างอ่อนโยนยิ่ง ผิดกับตอนที่เงยขึ้นไปยังใบหน้าของคนบนเตียงและแขกที่นั่งอยู่ข้างๆ แขกที่คล้ายว่าจะห่วงภรรยาของเขายิ่ง “คุณ...”
“ขอโทษค่ะ จ๋าลืมแนะนำ”
คนบ้า ทำไมต้องใช้สายตาเหมือนแขกของเธอเป็นผู้ร้ายตัวฉกรรจ์ที่เขากำลังตามจับมาแรมปี สายตาอาฆาตเช่นนั้นใช่สายตาที่จะเอามาใช้พร่ำเพรื่อได้หรือ
“คุณหมอพงษ์เป็นแพทย์ที่หน่วยแพทย์เดียวกับจ๋า เป็นตัวแทนหน่วยแพทย์มาเยี่ยมค่ะ ส่วนหมอพงษ์คะ นั่นคุณชานนท์ อืม...พ่อของยัยน้องหนูค่ะ”
จะแนะนำว่าเขาเป็นอดีตสามี สายตานั้นก็เหมือนจะปาดคอเธอได้ ทำราวกับว่าเธอและเขาไม่เคยหย่ากัน จริงอยู่ที่หลายปีก่อนเธอวางเอกสารขอหย่าไว้ก่อนจากไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปอีก จึงไม่รู้ว่าเขาได้ยื่นเรื่องหย่าไปหรือไม่ แต่การแยกกันอยู่มานานขนาดนี้ ไม่ได้หย่าก็เหมือนหย่าไปแล้ว
“คุณนั่นเอง” พัฒนพงษ์จำผู้ชายคนนี้ได้ เขาเคยเจออีกฝ่ายขณะปฏิบัติการลงพื้นที่ เคยคิดว่าชายคนนี้เป็นทหารจากกำลังเสริมที่ส่งมาเสียอีก คล่องแคล่วว่องไว การใช้อาวุธก็แม่นอย่างกับจับวาง “ยังไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ผมเคยเห็นเขาตอนลงพื้นที่ ตอนจ๋าบาดเจ็บก็ได้เขาช่วยออกมา”
แพทย์หนุ่มตอบคำถามที่ยังไม่ได้เปล่งออกมาของคนบนเตียง ภาพที่หญิงสาวถูกช่วยออกมาจากกลุ่มควันหนาทึบยังคงติดตาพลอยทำให้ใจวูบโหวง
“งั้นคุณก็คงจะทราบแล้วว่านอกจากเป็นคนช่วยเธอออกมา ผมยังเป็นสามีของจามิกรด้วย”
เขาไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ฝ่าความอันตรายฉุดกระชากเธอจากมือมัจจุราช แต่เขายังเป็นสามีเพียงหนึ่งเดียวของเธอด้วย โปรดรู้เอาไว้
ชานนท์ก้าวเข้าไปให้คำตอบที่กระจ่างกว่าให้แก่แขกได้ประจักษ์แก่สายตาด้วยการทิ้งสะโพกบนเตียงเคียงข้างภรรยา ตวัดวงแขนโอบไปรอบไหล่บอบบาง
“ผมชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“น้อง....”
“ขอโทษครับท่านประธาน” วรินทรกับกฤตดนัยช่วยกันดึงร่างแน่งน้อยออกไปจากความมืดดำในห้อง
พายุเข้าแล้ว ท่านประธานที่เคารพของพวกเขาอย่าเพิ่งเข้าไปเป็นเรือขวางน้ำเชี่ยว
“เดี๋ยวอาวรินพาไปหม่ำไอติมนะครับ”
ประตูถูกงับปิดแผ่วเบาที่สุด แผ่นหลังของวรินทรชื้นเหงื่อเล็กน้อย เมื่อเสี้ยวนาทีก่อนประตูปิดสนิท ได้สบดวงตาแข็งกร้าวของผู้บังคับบัญชาเป็นรางวัลความรู้ใจ
ภายในห้อง พัฒนพงษ์อ้ำอึ้ง...
มีคนกำลังหวงของกับเขา!
กลิ่นความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกำจายเต็มพื้นที่ห้อง แพทย์หนุ่มอยากจะขำพร้อมกับกระดากลึกๆ ในใจ เพราะเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าส่วนลึกสุดนั้นมีเศษเสี้ยวความรู้สึกอย่างไรต่อหญิงสาวผู้เป็นภรรยาคนอื่นตรงหน้า เหมือนจะไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าเพื่อนร่วมงานธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถค้นพบความบริสุทธิ์เต็มร้อยได้เท่าที่ต้องการ
“ออ...ครับ ผมพัฒนพงษ์ ยินดีที่ได้รู้จักคุณชานนท์เช่นกัน”
“ช่วงนี้หน่วยแพทย์คงไม่ค่อยยุ่งแล้วใช่ไหมครับ” เหมือนจะเป็นคำถามทั่วๆ ไป ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเหมือนโดนไล่
“สำรวมหน่อยได้ไหม”
จามิกรกระทุ้งศอกใส่คนไร้มารยาท เธอรู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ แต่กลับจับเหตุผลที่เขาทำรุ่มร่ามต่อหน้าคนอื่นนี้ไม่เจอ มีแขกอยู่ในห้องแท้ๆ ยังก้มลงฝังจมูกกับกระหม่อมเธอได้อีก
“ทุกคนที่หน่วยแพทย์สบายดีใช่ไหมคะหมอพงษ์”
จามิกรแก้ไขความกระอักกระอ่วนภายในห้องด้วยคำถาม ก่อนจะมีใครตายเพราะความอึดอัด ซึ่งแน่นอนว่าคนแรกเป็นเธอ
“ครับ ทุกคนสบายดี” ถึงการปะทะครั้งล่าสุดจะมีบุคลากรบาดเจ็บหลายคน แต่ก็มีเพียงจามิกรที่บาดเจ็บสาหัสสุด คนอื่นๆ ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ก็กลับไปทำงานกันได้แล้ว “แต่ทุกคนยังรอจ๋าหายไวๆ จะได้กลับไปทำงานด้วยกันเหมือนเดิมอยู่นะ วันก่อนได้ยินอาจารย์บอกว่าที่ตากกำลังต้องการความช่วยเหลือ เป็นไปได้ว่าหน่วยแพทย์จะไปต่อกันที่นั่น”
พัฒนพงษ์จะไม่เอ่ยประโยคนี้ออกมาเลย ถ้าคนบางคนจะหยุดพ่นพิษหึงเขา เขามันจำพวกเอาจริงก็ได้ แกล้งคนก็เป็น ยั่วยุคนยิ่งเก่ง
“จ๋าก็อยาก...”
“ภรรยาผมลาออกแล้ว หลังจากหายเป็นปกติจะกลับไปนั่งๆ นอนๆ ที่บ้าน มีผัวรวย ไม่ทำงานก็มีกินมีใช้”
“คุณพูดอะไรของคุณ”
“ภรรยาที่ดีต้องเชื่อฟังสามี” เขาตัดสินใจแล้วว่าจากนี้จะไม่ให้เธอเข้าร่วมงานที่อันตรายเช่นนั้นอีก ตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน กำลังเริ่มถอยออกจากทุกอย่างที่อันตราย ฝ่ามือหนาลูบศีรษะภรรยาเหมือนกำลังให้รางวัลความเชื่อฟัง “คุณหมอคงจะเข้าใจ ภรรยาผมดื้อมาพอแล้ว ในฐานะสามี ผมต้องปกป้องเธอ”
“หมอพงษ์อย่าเพิ่งไปฟังเขานะคะ เรื่องนี้จ๋าจะให้คำตอบทีหลัง” ปกป้องหรือกำลังลิดรอนสิทธิ์ของเธอกันแน่
“บอกแล้วไงให้เชื่อฟัง” คราวนี้ชานนท์จริงจังยิ่งกว่าเดิม
จามิกรจึงได้แต่เม้มปาก เก็บอาการเอาไว้คุยกับเขาตามลำพัง
“แล้ววันนี้หมอมายังไงครับ ให้ผมไปส่งหรือเปล่า”
“รถของหน่วยแพทย์มาส่ง” ถึงสงครามจะสงบลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจไว้วางใจให้คนจากหน่วยแพทย์กลับออกมาเพียงลำพัง เห็นท่าทีเหล่านั้นพัฒนพงษ์ก็เห็นว่าตนเองควรกลับไปได้แล้ว “เดี๋ยวผมจะแวะไปรับของที่อื่นอีก วันนี้คงจะต้องขอตัวกลับก่อน ดูแลตัวเองดีๆ แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่”
“ค่ะหมอ เดินทางกลับดีๆ นะคะ ฝากบอกทุกคนด้วยค่ะว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“ตราบใดที่ยังไม่หายสนิทก็หมดห่วงไม่ได้หรอก รีบๆ หายเข้า” นี่คือพื้นฐานของความรู้สึกมนุษย์รวมถึงเขาด้วย พัฒนพงษ์ไม่เอ่ยลาหนที่สอง เขาก้าวออกจากห้องหลังเอ่ยประโยคทิ้งทวนนั้น
จามิกรรอจนประตูปิดลงสนิทอีกหน จึงได้กระทุ้งศอกใส่คนด้านหลังเต็มรัก ทว่า...ชานนท์ตั้งท่ารอรับอยู่แล้ว เธอจึงถูกผลักลงบนเตียงแล้วถูกคร่อมทับด้วยร่างสูง
“ยังไม่ทันได้หย่า ก็ริอ่านจะสวมเขาให้ผัวแล้วรึ!”
ความคิดเห็น |
---|