10
ข้างบ้านบางทีก็เป็นมนุษย์ บางทีก็เป็นปีศาจ
ถึงจะโดนอจลเรียกว่าหมูนุ่ม พิชามลก็ไม่มีปัญหาในการกินอาหารฝีมือเขาจนราบเป็นหน้ากลอง ไม่เพียงแค่มื้อนั้น ยังตามมาด้วยทุกมื้อหลังจากนั้น ส่วนเขาเองก็ไม่มีปัญหาในการช่วยเธอเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ยกเว้นจังหวะที่สมองของเธอคิดว่าควรมีอะไรแปลกใหม่และสร้างสรรค์ ซึ่งหลายครั้งมันพิสดารจนเกินไป
แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอควรจะสร้างสรรค์ให้เร็วที่สุดก็คือการตลาด ทำอย่างไรก็ได้ให้นามปากกาของเธอติดหูติดตาคนอ่านให้ไวที่สุด เพราะหากเทียบกับนักเขียนในกลุ่มเดียวกันแล้ว พิชามลพบว่าฐานแฟนคลับของเธอมีจำนวนน้อยเกินไป ซึ่งมีผลต่อยอดขาย
ชีวิตนักเขียนนิยายไม่ได้ตายเพราะเขียนงานไม่หยุด แต่ตายเพราะขายงานไม่ได้ มันเป็นสัจธรรมที่เจ็บปวดยิ่ง และก็เป็นความจริงที่พิชามลต้องหนีให้พ้น ดังนั้นหากไม่อยากเป็นนักเขียนไส้แห้ง สิ่งที่เธอควรทำคือเขียนให้ดี แต่ด้วยเศรษฐกิจยุคนี้ เขียนดีอย่างเดียวย่อมไม่พอ มาร์เกตติงก็ต้องมา แม้จะมาแบบไม่เต็มใจก็ตาม
‘งานผ่านพิจารณาแล้วช่วยโพรโมตเยอะๆ ด้วยนะคะ’ เป็นคำขออย่างเกรงใจและสุภาพ แต่คนรับเรื่องหนักใจเป็นอย่างยิ่ง
พิชามลถอนหายใจเฮือกใส่หน้าจอแล้วปิดมันทิ้งสักครู่เพื่อนวดขมับตัวเอง เธอไม่โกรธทางสำนักพิมพ์ที่ขอร้องมาเช่นนี้ เพราะเข้าใจดีว่าเขาเองก็ลำบากใจไม่น้อยที่ต้องรบกวนนักเขียน
หากเป็นคนอื่นที่มีปฏิสัมพันธ์ดีกับนักอ่านก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้าของนามปากกาพิมพ์นภาได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนที่เข้าโซเชียลเพื่ออ่านเพียงอย่างเดียว กระทั่งหน้าแฟนเพจเธอยังอัปเดตเฉพาะเวลางานจะออกวางจำหน่าย เลยกลายเป็นเพจร้าง การทำกิจกรรมกับเพื่อนนักอ่านเท่ากับศูนย์ ซึ่งเธอเองก็เข้าใจว่าไม่ใช่นักเขียนทุกคนที่จะสร้างความสนิทสนมกับนักอ่านเพื่อการตลาด แต่ในทางกลับกันพิชามลเองก็อยากจะติดตามนักเขียนในดวงใจที่เข้าถึงง่ายเหมือนเพื่อนคนหนึ่งมากกว่า อย่างเช่นเวลาที่เธอส่งคอมเมนต์ถึงนักเขียนชั้นครู แล้วเขายินดีตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง ก็ทำให้เธอปลาบปลื้ม แคปภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกทุกครั้ง
“พี่เอ ถ้าจะจ้างผู้จัดการส่วนตัวมาโพรโมตงานนี่มันแพงมากไหม”
เมื่อมีปัญหา พิชามลคิดว่าควรปรึกษาผู้รู้ เนตรนภาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลย่อมเคยรับมือกับคนมาสารพัด รวมถึงคนที่เกิดตามหลังมาติดๆ แต่พฤติกรรมเข้าหาคนแตกต่างกันลิบลับ แฝดพี่เข้ากับคนง่าย แต่แฝดน้องนั้นไซร้ เข้ากับใครไม่ได้เลยสักนิด
“แล้วทำไมแกไม่ทำเองล่ะ” เนตรนภาย้อนถามตรงประเด็น
พิชามลกลอกตามองบนใส่โทรศัพท์ก่อนอธิบาย
“พี่ก็รู้ว่าบางทีฉันพูดไม่คิด เกิดพิมพ์พลาดแล้วทำให้คนอ่านไม่พอใจล่ะ ฉันไม่อยากให้คนอ่านเกลียดฉัน” เธอถึงได้จิตตกแทบติดพื้นตอนโดนโจมตีเพราะงานเขียนอื้อฉาว
“ฉันรู้ว่าแกแคร์นักอ่าน แต่ถ้าเป็นแก แกจะชอบไหมถ้ารู้ว่าแอดมินเพจไม่ใช่นักเขียนที่แกอยากจะคุยด้วย” หนึ่งในคุณสมบัติหลักของผู้จัดการฝ่ายบุคคลคือการให้คำปรึกษาอย่างตรงประเด็น
“อือ...ฉันคงเสียใจแหละ ถ้าฉันเขียนคอมเมนต์ว่าชอบงานเขามากแล้วคนที่พิมพ์กลับมาว่าขอบคุณเป็นคนอื่น ส่วนคนที่ฉันปลื้มไม่รู้อะไรเลย” พิชามลดีใจเสมอยามได้อ่านข้อความที่นักอ่านส่งถึง มันเป็นทั้งกำลังใจให้เธอทำงาน และแรงผลักดันให้เธออยากนำเสนอผลงานที่ดียิ่งขึ้น
“มีใครมาทำให้เฟลอีกเหรอ” คนเป็นพี่ย่อมรู้จุดอ่อนของน้องสาว
“เปล่า ฉันแค่กลัวว่าคนอ่านจะไม่อยากซื้องานของฉัน ถ้าฉันไม่นำเสนออะไรที่น่าสนใจพอ พี่ก็รู้ว่าฉันประชาสัมพันธ์ไม่เก่ง ไม่รู้เลยว่าไอ้ที่เขาเรียกว่ามาร์เกตติงมันเป็นยังไง ฉันกลัวว่าถ้าฉันสื่อสารกับคนอ่านพลาด เขาจะไม่ชอบฉันแล้วพาลเกลียดงานของฉัน แล้วงานนั้นก็จะขายไม่ได้ นามปากกาของฉันก็จะตายในที่สุด” เธอกลัวว่าหลังจากงานวางแผง คนจะมองเมินมันไป ถ้ามีนักการตลาดมาช่วย ผลงานที่เธอภูมิใจก็จะไปถึงคนอ่านในวงกว้างขึ้น
“อย่าเพิ่งเครียด แกทำงานของแกไป ฉันจะหาเพื่อนไปช่วยให้”
“อือ...จะว่าไปแค่โทร. มาหาพี่ฉันก็สบายใจแล้ว เหมือนได้ระบายลมในท้องออก ช่างโล่งใจ”
“ฟังเหมือนฉันเป็นยาถ่าย หรืออะไรแย่ๆ ประเภทยาเหน็บทวาร” ถึงจะบ่น แต่น้ำเสียงของเนตรนภาก็เจือความขบขัน ส่งผลให้พิชามลหัวเราะตามได้
เสียงหัวเราะของเธอคงจะดังไปหน่อย เฉาก๊วยที่อยู่หน้าบ้านจึงเห่าเข้ามาให้ได้ยินถึงปลายสายอีกด้าน พิชามลส่ายหน้า นึกดีใจที่อจลไม่อยู่ใกล้ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะแซวว่าเธอเพี้ยนอีก
“ไอ้เจ้าหมาตัวนั้นยังอยู่อีกเหรอ นึกว่าไปเป็นลูกชิ้นแล้วซะอีก” เนตรนภาถามทั้งที่รู้แก่ใจว่านับจากวันที่พิชามลรับเฉาก๊วยเข้าบ้าน มันก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นสมาชิกถาวร
“ใครจะให้เอาลูกชายคนโตไปทำลูกชิ้นกันล่ะ” พิชามลทำใจได้แล้วว่าเฉาก๊วยคงอยู่กับเธอตลอดไป “จะว่าไปเนื้อหมามันอร่อยจริงเหรอ”
“บางทีฉันก็งงนะเวลาคุยกับแก แต่ที่แน่ๆ แกไม่ได้คิดจะเลี้ยงหมาข้างบ้านเพื่อทำเป็นอาหารใช่ไหม” น้ำเสียงของเนตรนภาบอกถึงความไม่มั่นใจ ทั้งที่เธอควรจะรู้ว่าพิชามลพูดเล่น
ใครบอกว่าฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกันสื่อจิตเชื่อมความคิดถึงกันได้ พิชามลขอเถียงขาดใจ เธอกับพี่สาวฝาแฝดต่างกันทั้งการดำเนินชีวิตและวิธีคิด ซึ่งเธอโทษพ่อกับแม่ที่ตั้งชื่อของสองพี่น้องไปคนละทาง เนตรนภา พิชามล มันไม่มีความเกี่ยวเนื่องคล้องจองสมกับเป็นพี่น้องกันเลย มีเพียงชื่อเล่น‘เอ’ กับ ‘บี’ ที่พอไปกันได้ แต่พอเข้าเรียนทั้งสองก็มีความเห็นตรงกันว่ามันเป็นชื่อโหลๆ เลยตกลงกันว่าจะใช้ชื่อจริงมาแปลงเป็นชื่อเล่นแทน นั่นก็คือ ‘เนตร’ กับ ‘พิมพ์’
ดังนั้นหลังจากตัดสินใจเบนเข็มสู่อาชีพนักเขียน พิชามลจึงเลือกนามปากกา พิมพ์นภา เพื่อเป็นตัวแทนของทั้งสอง เพราะเนตรนภาเป็นแรงผลักดันให้เธอมาถึงจุดนี้
ในสมุดพกตอนเรียนตั้งแต่อนุบาลหนึ่งจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ครูจะบอกเสมอว่าพิชามลเป็นเด็กชอบเหม่อลอย แล้วเนตรนภาจะช่วยทำความเข้าใจกับพ่อแม่ว่าน้องสาวของเธอแค่จมลงไปสู่โลกแห่งการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับการเรียนวิทย์-คณิต คิดคำนวณ อย่างที่พิชามลคิดว่าตัวเองชอบเพราะเธอเก่งคณิตศาสตร์ ดังนั้นคณะที่เธอเลือกเรียนจึงเป็นคณะวิทยาศาสตร์ เอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ และอาศัยความช่วยเหลือของพี่สาวจนได้ทำงานที่เดียวกัน
แม้จะขัดกับกฎของบริษัทที่ไม่ให้รับญาติมาทำงานด้วย แต่เนตรนภาอาศัยจุดเด่นในการนั่งทำงานเงียบๆ ในห้องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ผลักดันน้องสาวเข้าไปรับตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ผู้ดูแลข้อมูลเว็บไซต์ได้สำเร็จ เพื่อไม่ให้พี่สาวเสียประวัติ พิชามลจึงตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง
น่าเสียดายที่หลังจากทำงานอย่างมั่นคงได้ไม่นาน พิชามลก็ค้นพบว่าอาการเหม่อลอยของเธอมาจากการเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ ตอนที่เดินเข้าไปบอกเนตรนภาว่าเธอต้องการลาออกจากงานมั่นคงที่พี่สาวช่วยหาให้ เธอกลัวจะโดนตำหนิว่ามีความฝันไร้สาระแล้วสั่งให้เปลี่ยนความคิด แต่พี่สาวแสนดีที่ดียิ่งกว่าแม่สนับสนุนให้เธอทำตามฝัน พร้อมทั้งจัดการให้เธอได้รู้จักเพื่อนของเพื่อนที่ทำงานสำนักพิมพ์ เพื่อส่งต้นฉบับที่ดีที่สุดให้ทางนั้นพิจารณา ส่งผลให้เธอเข้าสู่โลกการเขียนได้แบบราบรื่น
แม้เนตรนภาจะบอกให้เธอเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะต้นฉบับเรื่องนั้นมีคุณภาพ การันตีจากการติดอันดับขายดีพักหนึ่ง แต่พิชามลเชื่อว่าเธอมีวันนี้เพราะพี่ให้
จะว่าไปไม่ใช่แค่เรื่องอาชีพ ทุกๆ เรื่องในชีวิตของพิชามลล้วนได้รับความช่วยเหลือจากเนตรนภา ตั้งแต่พี่สาวอายุสิบห้าได้ใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ อายุสิบแปดได้ใบขับขี่รถยนต์ ก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่ที่จะพาน้องไปโน่นมานี่ทั้งด้วยเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว กระทั่งตอนทั้งคู่ล้มป่วยพร้อมกัน เนตรนภาก็ยังขับรถข้ามเมืองพาพิชามลซึ่งขับรถทุกชนิดไม่ได้เพราะชอบเหม่อลอยไปหาหมอ
ดังนั้นตอนที่พี่สาวแต่งงาน และพ่อแม่แสดงความต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก โดยจะจัดสรรทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ให้ลูกทั้งสอง พิชามลเลยขอบ้านหลังนี้ซึ่งเล็กกว่าหลังที่เติบโตมาเป็นที่พัก พร้อมกับสนับสนุนให้พ่อแม่ยกบ้านหลังใหญ่ที่ครอบครัวอยู่อาศัยให้เป็นมรดกของเนตรนภา ทั้งที่มันมีมูลค่ามากกว่าบ้านเดี่ยวหลังนี้ที่พ่อซื้อเอาไว้เตรียมขายต่อสามถึงสี่เท่าก็ตาม
พิชามลคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เธอไม่ได้รังเกียจพี่เขย กฤชเหมือนพี่ชายของเธอ แต่มันประหลาดที่จะอยู่ร่วมบ้านกับคู่สามีภรรยาใหม่ที่รักกันหวานจ๋า แล้วการแยกบ้านมาอยู่ตามลำพังก็ช่วยให้เธอได้ทำอาชีพนักเขียนอย่างสงบ ทว่าเนตรนภามักจะกังวลว่าตนเอาเปรียบน้องสาว ห่วงว่าการที่พิชามลอยู่คนเดียวจะลำบาก ถึงได้คอยโทร. มาสำรวจว่าแฝดผู้น้องอยู่ดีมีสุขหรือไม่ และทุกครั้งมักจะเจอคำถามแปลกๆ กลับไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ช่วยให้เนตรนภาทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่รับมือกับพฤติกรรมและคำถามพิลึกของเหล่าพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ต่อให้ฉันอยากกินเนื้อหมา ฉันก็ไม่กินหมาที่รู้จักกันหรอก อีกอย่างฉันกลัวว่ากินเฉาก๊วยแล้วจะโง่เหมือนมัน” หัวข้อสนทนากระโดดไปยังการนินทาหมา แต่พิชามลไม่ได้พูดต่อเพราะมีอย่างอื่นมาขัดจังหวะ
“พี่เอ แถวบ้านพี่กินเหล้ากันอีกแล้วเหรอ” เธอได้ยินเสียงเพลงดังลั่นเข้าหูโทรศัพท์ น่าจะเป็นการร้องคาราโอเกะเพื่อความบันเทิง และเสียงหลงคีย์ไปล้านกว่าปีแสงเช่นนี้ หากไม่เมาคงไม่กล้าร้อง
“อือ...เมาแล้วขนทั้งโต๊ะทั้งชุดคาราโอเกะมาร้องหน้าบ้าน สงสัยว่าจะมีใครไปโกหกว่าเขาร้องเพลงเพาะ เลยร้องไม่หยุดเลย”
บ้านของเนตรนภาเป็นบ้านเก่าแก่ที่สุดในซอยแห่งนี้ สร้างมาตั้งแต่รุ่นตายาย สมัยนั้นรอบๆ เป็นบ้านของพวกข้าราชการครูด้วยกัน แต่ผ่านวันเวลาไปนาน สังคมเปลี่ยน หลายปีที่ผ่านมาคนต่างจังหวัดย้ายเข้ามาในเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น คนที่พอมีกำลังทรัพย์เน้นกำไรก็มักจะสร้างที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาว์เพื่อเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
ที่ดินว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามบ้านของเนตรนภาจึงแปรสภาพเป็นทาวน์เฮาส์ ทั้งขายและให้เช่า ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย ผู้อาศัยจึงมักจะสร้างความเดือดร้อนด้วยการนำโต๊ะเก้าอี้มาวางนอกรั้ว ยิ่งเมื่อจัดปาร์ตีน้ำเมาก็ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วยการกีดขวางทางเข้าออกด้วยวงเหล้า รวมไปถึงรถที่มิตรสหายเอามาจอดขวางหน้าบ้านคนอื่น ไม่นับเรื่องที่บ้านไหนมีลูกวัยรุ่นมักชอบพาเพื่อนและแก๊งมอเตอร์ไซค์มาจอดเป็นกลุ่มใหญ่ส่งเสียงดังยามค่ำคืน เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าของและผู้เช่าทาวน์เฮาส์เปลี่ยนหน้ากันบ่อยมาก หรือต่อให้ไม่ย้ายบ้านหนีหน้า ก็กลายเป็นศัตรูที่ตะโกนด่ากันลั่นซอยบ่อยครั้ง
นี่คือปัญหาของสังคมเมืองที่รั้วบ้านประชิดกัน ที่จอดรถขาดแคลน ทางเข้าออกคับแคบ ซึ่งส่งผลให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงกลายเป็นศัตรูกัน ต่อให้เลือกบ้านดีแค่ไหน คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าคนแถวบ้านเป็นมนุษย์หรือปีศาจ จนกว่าจะย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วเมื่อถึงเวลานั้นมันก็สายเกินกว่าจะย้ายบ้านหนี
“กลุ่มเดิมใช่ไหม คุ้นๆ เสียงผู้หญิงคนนี้” ต้องร้องแหกปากลั่นซอยบ่อยแค่ไหน พิชามลซึ่งย้ายออกมาหลายปีอาศัยเพียงแค่การโทรศัพท์คุยกับพี่สาวจึงถึงขั้นจำเสียงได้
“ใช่ บางครั้งการฝึกฝนบ่อยๆ ก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาเสียงขึ้นมาหรอก จิตสำนึกก็ด้วย”
ต่อจากคำประชดคือเสียงถอนหายใจยืดยาว เนตรนภาไม่ต้องบอก พิชามลก็รู้ว่าหากคนกลุ่มนี้ตั้งวงดื่มเหล้าตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ เช่นนี้ คงลากยาวไปจนดึกดื่น พอถึงเวลาห้าทุ่มก็ต้องมีใครสักคน เช่นพี่สาวของเธอโทร. ไปแจ้งตำรวจให้มาตักเตือนกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังยามวิกาล ไม่อย่างนั้นตีหนึ่งตีสองก็อย่าหวังว่าจะได้หลับได้นอน
“จริงๆ มันน่าจะมีช่องทางร้องทุกข์นะ จะได้จัดการพวกนี้ให้เด็ดขาด” พิชามลนึกภาพตัวเองเจอมลพิษทางเสียงแบบนี้ทุกวัน คงนึกอยากฆ่าใครเป็นแน่ เพราะไม่อาจทำงานที่ใช้สมาธิได้ แต่เธอยังไม่ทันแก้ปัญหาให้เนตรนภา พี่สาวก็ชิงถามทางฝั่งของเธอบ้าง
“ทำไมหมาแกเห่าดังจัง เกิดอะไรขึ้น”
ขณะฟังคำถามของเนตรนภา พิชามลก็หันไปหาหน้าต่างแล้ว ตอนแรกเธอยังเห็นไม่ชัดว่าหมาสี่ตาของคนข้างบ้านกำลังทำอะไร แต่เมื่อเห็นชัดๆ แล้วเธอก็ตกใจจนโทรศัพท์แทบหลุดมือ
“แค่นี้ก่อนนะพี่ มีเด็กอยู่หน้ารั้วจะเล่นกับเฉาก๊วย” คำว่าเล่นของเธอคือการที่เด็กชายวัยประมาณหกเจ็ดขวบกำลังยื่นมือลอดผ่านช่องประตูรั้วเหล็กดัดหน้าบ้านของอจลเข้ามาจะจับตัวเฉาก๊วยที่กำลังตื่นเต้น พอมันยื่นหน้าเข้าใกล้ก็ชักมือหนี ก่อนจะยื่นเข้ามาใหม่
พิชามลรีบวางสายแล้ววิ่งเร็วๆ เท่าที่ขาสั้นๆ ของเธอจะสามารถ เธอไม่ห่วงว่าเด็กจะรังแกหมา แต่ห่วงว่าเฉาก๊วยจะโง่จนแยกแยะระหว่างเล่นกับกัดไม่เป็น เพื่อนบ้านของเธอเป็นมนุษย์ แต่หากมีเรื่องกันขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับปีศาจหรือเปล่า
อจลได้ยินเฉาก๊วยเห่าตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าเขากำลังวุ่นวายกับการคนน้ำสลัดงา กว่าจะออกไปถึงหน้าบ้านก็พบว่านอกจากเสียงเห่าของหมา ยังมีเสียงโวยวายของหมูนุ่มบ้านข้างๆ ด้วย
“หยุดนะ!!! เอามือออกไป”
เสียงพิชามลตะโกนดังลั่นทำให้อจลต้องเร่งฝีเท้าแทบเป็นวิ่ง แล้วก็เห็นนอกรั้วมีผู้หญิงกับเด็กยืนอยู่ มือหนึ่งของเด็กชายดึงขากางเกงแม่ อีกมือชี้มายังพิชามล ท่าทางบอกชัดว่ากำลังฟ้องแม่
“แม่! ป้าคนนี้ตีมือผม”
“ลูกคุณยื่นมือมาแหย่หมาในรั้ว ฉันตะโกนก็เพราะกลัวลูกคุณถูกกัด แต่เขาไม่ฟังฉันเลยปัดออก ไม่ได้จะตีเขานะคะ” พิชามลอธิบายแก่ผู้หญิงอายุน้อยกว่าเธอ แต่น่าจะเป็นแม่ของเด็ก
“ก็แค่เด็กเล่นกับหมา คุณจะมาดุมาตีอย่างนี้ไม่ได้”
“ฉันไม่ได้ตีจริงๆ นะคะ แล้วหมามันแยกไม่ออกหรอกค่ะว่าเล่นหรือแกล้ง ถ้ามันหลุดออกไป มันจะกัดลูกคุณเอานะคะ” พิชามลพูดมีเหตุผล แต่อจลอยู่ห่างขนาดนี้ยังรู้เลยว่าเธอพูดไม่เข้าหูฝ่ายตรงข้าม เพราะฟังคล้ายประชดประชันมากกว่าอธิบายดีๆ แม้เขาจะรู้ว่าเธอไม่มีเจตนาหาเรื่องก็ตาม
ผู้เป็นแม่ทำหน้าบึ้ง เตรียมเปิดปากต่อว่าพิชามล แต่สิ่งที่อจลกังวลก็คือชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงที่เดินเข้ามาเหมือนพร้อมจะต่อยตี หมูนุ่มของเขาอาจจะกลายเป็นหมูทุบได้ถ้าไม่มีใครช่วย
“เอาละครับ ใจเย็นๆ กันก่อน ทางนี้ก็เจตนาดี ทางคุณเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ให้แล้วๆ กันไปเถอะครับ ยังไงก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน”
“แล้วที่แม่คนนี้ตีลูกผมเจ็บล่ะ จะให้แล้วๆ กันไปได้ยังไง”
จากสายตาของอจล ผู้ชายคนนี้น่าจะอยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ น่าจะอ่อนกว่าพิชามล แต่เธอหน้าเด็กตัวเล็ก ยิ่งพอทำตัวหงอด้วยยิ่งดูอ่อนแอไปกันใหญ่ เห็นได้ชัดว่ากับคนที่ตัวเล็กกว่าเธอสู้ แต่พอเจอใหญ่หน่อย เธอก็ถอยกรูด หรือไม่เธอก็เป็นพวกมีความกล้าจำกัด เพราะเมื่อครู่เธอยังกล้าเพอจะเถียงฉอดๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เริ่มเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่เจตนาจริงๆ นะคะ”
การเห็นหมูนุ่มของตนถอยหลังหนีสร้างความไม่พอใจให้แก่อจลเท่าไร เขาอาจจะเป็นพวกประนีประนอม แต่ไม่อ่อนข้อ ในเมื่อบอกให้แล้วๆ กันไป แต่อีกฝ่ายยังทำท่ากร่างหาเรื่องเช่นนี้ เขาก็พร้อมจะตอบโต้กลับเหมือนกัน
“ถ้าคุณยืนยันจะเอาเรื่องให้ได้ ผมจะตามตำรวจมาเคลียร์แล้วกัน” สั้นง่ายและชัดเจน ส่งผลให้พวกนักเลงดีแต่ปากลังเล ทว่าไม่ถอยง่ายๆ เพราะเกรงว่าจะเสียหน้า
“แค่นี้ถึงกับขู่จะแจ้งความกันเลยเหรอ”
การก้าวขึ้นเป็นระดับผู้จัดการหรือหัวหน้าที่ต้องคุมคน สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือความน่าเกรงขาม อจลทำสีหน้าที่บอกว่าพร้อมจะมีเรื่อง ก่อนจะเตือนอีกรอบ
“แยกย้ายกันไปเถอะครับ บีขอโทษแล้ว เธอก็ไม่ได้เจตนาด้วย ถือว่าเห็นแก่คนหมู่บ้านเดียวกันเถอะ”
เขาปูทางลงให้แล้ว ถ้ายังพูดกันไม่รู้เรื่อง อจลก็พร้อมจะโทร. เรียกตำรวจมาจัดการ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ถึงกับไร้สมอง จึงจูงลูกจากไปพร้อมคำบ่นทำนองว่าพวกงี่เง่า เอะอะชอบเอาตำรวจมาขู่ ซึ่งชายหนุ่มไม่คิดจะเอามาใส่ใจสักนิด
“ถ้าพวกนั้นมาลอบกัดทีหลังล่ะคะ” มือพิชามลลูบหัวเฉาก๊วยซึ่งลอบแทะชายกางเกงขาสั้นเธอเล่น “แบบเอาขยะมาปาบ้าน เอาสีมาพ่น หรือเอาอุจจาระมาป้ายกำแพงบ้านคุณ”
“เพลาๆ จินตนาการของคุณหน่อยดีไหม” สำหรับเขา น่ากลัวกว่านักเลงในซอยก็คนข้างบ้านนี่ละ
“ผมว่าผมดูคนออก พ่อแม่คู่นั้นไม่ใช่นักเลงอันธพาล ก็แค่ขี้โวยวายไปหน่อย คุณไปปัดมือลูกเขาแรง เขาเลยไม่พอใจ แต่เรื่องแค่นี้มันไม่ถึงกับต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันหรอก แล้วเวลาเจอเด็กซน คุณก็ไม่ต้องไปตื่นตกใจแทนแม่เด็ก เตือนเอาก็พอ ไม่ต้องใช้มือ คุณตกใจไปปัดแรงๆ เขาก็เลยหาว่าคุณตีลูกเขา” อจลอธิบายให้พิชามลฟัง
เธอเชื่อว่าเขากล่าวไม่ผิด แต่ยังไม่วายแก้ต่างเสียงอ่อย “ก็ฉันกลัวลูกเขาโดนเฉาก๊วยกัด แล้วพ่อแม่เด็กก็จะตีมันที่กัดลูกเขา”
ระหว่างเถียง พิชามลก็ยกขาทำท่าจะเตะหมานิสัยไม่ดีที่ลอบกัดเธออยู่ แต่ขาสั้นๆ เคลื่อนไหวช้าๆ อย่างเธอหรือจะทันหมาที่ประเปรียวเช่นเฉาก๊วย กลายเป็นการยั่วยุให้มันนึกว่าเธอเล่นด้วย หมาวิ่งวนไปมาหาจังหวะงับขาหมูแล้ววิ่งหนี ยิ่งเธอดุมัน มันยิ่งซน
“เฉาก๊วยหยุด” อจลออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งได้ผลต่างจากพิชามลลิบลับ หมาหยุดชะงักทันทีแล้วมองหน้าเขา
เฉาก๊วยคู้ขาหน้าลง เงยหน้าเห่าใส่อจลสั้นๆ แต่เขาเลือกที่จะจ้องหน้ามัน แล้วสั่งให้หยุดอีกครั้ง มันเลยหมอบลงไปทั้งตัว แล้วส่ายหางด้วยท่าทางประจบ
“ทำไมมันฟังคุณ” น้ำเสียงของเธอบอกความประหลาดใจปนริษยานิดๆ
เห็นพิชามลผู้ชอบหลงประเด็นอิจฉาเพราะเรื่องแค่นี้ อจลก็กระตุกมุมปากยิ้ม
ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมนับวันเขาถึงชอบความประหลาดของเธอนัก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งตารออาหารฝีมือเขาอย่างไม่เกรงใจ การพยายามไถ่โทษด้วยการดูแลต้นไม้และหมาของเขา การหงอไม่กล้าสู้คน แต่ไม่ยอมหยุดเถียง รวมถึงการเห็นว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่นการดุหมาตัวหนึ่งให้กลัวได้เป็นความสามารถพิเศษ ถ้าเดาไม่ผิด เธอตกใจจนเผลอปัดมือเด็กแรง ไม่ใช่แค่ห่วงเด็ก แต่ห่วงหมาที่เขาไม่ได้ไยดีมันเท่าไรด้วย
สรุปก็คืออจลชอบที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม พิชามลก็จะมองด้วยสายตาชื่นชม และนอกจากอาหารและเซ็กซ์ เธอไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
อยู่ๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ อยากจะบอกให้คนสมองเพี้ยนข้างตัวคำนึงถึงการมีสัมพันธ์ที่เกินกว่าคำว่าเพื่อนบ้านของทั้งคู่แทนที่จะอยู่กันไปเรื่อยๆ รอวันเขากลับขึ้นเรือ แต่พอคำพูดมาถึงปาก เขากลับเปลี่ยนใจไปตอบคำถามของเธอเมื่อครู่แทน
“เพราะผมเป็นจ่าฝูง ส่วนคุณเป็นแค่หมูในอวย”
เห็นพิชามลทำท่าฮึดฮัดเม้มปากจนแก้มป่อง อจลก็อดใจไม่ไหว ยื่นมือไปดึงแก้มหมูนุ่มของเขาไม่หนักไม่เบา สุดท้ายเกือบโดนหมูงับมือ ยังดีที่เขามือไว แต่น่าเสียดายที่สมองไม่ไวเท่าหัวใจ
ความคิดเห็น |
---|