8
บทเรียนที่สอง
บทเรียนที่สองของวิชาเพศศึกษาเป็นความก้าวหน้าแบบที่พิชามลไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วเธอก็ได้แต่โทษอจลที่ว่องไวจนเธอรับมือไม่ทัน นาทีหนึ่งเธอยังลังเลว่าจะตอบรับเขาดีหรือไม่ แต่แล้วนาทีต่อมาเธอก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้ รับบทนางเอกหนังเอวีที่ถูกเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อน ขณะที่เขายังสวมเสื้อผ้าครบครัน หญิงสาวอยากจะขยับหนี ทว่าเขาไม่ยอมให้เธอได้ขัดขืน เธอเลยได้แต่นั่งอยู่กับที่แล้วยกสองมือปิดหน้า ยึดตามหลักการเดิม ไม่มอง ไม่เห็น ย่อมไม่อาย หรืออายน้อยลง
“ไม่ดูหน่อยหรือครับว่าร่างกายของคุณเวลาเกิดอารมณ์จะเป็นยังไง” เสียงของอจลดังมาจากระดับเอวของพิชามล บอกว่าเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ และกำลังมองอะไรที่เธอไม่อยากให้มอง เช่นพุงกะทิ
เธอกดสองมือแนบกับใบหน้าแน่นขึ้น แล้วส่ายไปมาแรงๆ ต่อให้ไม่ลืมตาดู พิชามลก็รู้ว่าร่างกายของเธอมีปฏิกิริยาต่อการที่มีอจลมาอยู่ใกล้ๆ
“อกของคุณเชิดชันขึ้นนะ ยอดอกเหมือนก้อนน้ำตาลสีแดงเลย ดูน่ากินมาก”
อจลใช้เสียงแหบพร่าล่อลวงให้พิชามลเปิดตามอง แล้วนั่นก็เป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะเขารอสบตาเธออยู่ เมื่อเห็นฝ่ามือของเธอเปิดแง้มออก เขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้มลงแลบลิ้นเลียเจ้าก้อนน้ำตาลสีแดงทางฝั่งขวาเบาๆ แต่ทำเอาเธอสะดุ้งไปทั้งตัว
“มันหวานเหมือนที่ผมจำได้เลย” แล้วเขาก็ดูดดื่มมันแรงๆ เธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากกำที่เท้าแขนเก้าอี้สองข้างแน่น แล้วแอ่นอกเสนอให้เขายิ่งขึ้น เขาชิมตรงนั้น ดูดกลืนตรงนี้ ขณะเดียวกันก็ใช้สองมือฟอนเฟ้นบริการทรวงอกทั้งคู่อย่างถ้วนทั่ว
พิชามลไม่รู้เลยว่าลำพังเพียงแค่ทรวงอกของเธอจะถูกอจลนำมาสร้างความสุขให้แก่ตัวเธอได้ขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะไปถึงฝั่งฝันอยู่แล้วตอนเขาผละออก
“คุณคงไม่คิดว่าบทเรียนของผมมันจะธรรมดาแค่นี้หรอกนะ”
เขาลดมือลงจับหัวเข่าของเธอให้แยกออกจากกัน พิชามลรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปิดเปลือยทั้งหมดให้อจลดู มันทั้งน่าอายและน่าตื่นเต้น ที่สำคัญเธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ในเมื่อเขาขยับมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ ยกข้อพับขาของเธอพาดบ่าที่ยังสวมเสื้อยืดอยู่ แทรกกายมาตรงกลางระหว่างต้นขาที่เปิดกว้าง ขณะนี้ก็กำลังขยับมือสากระคายสองข้างลูบจากหัวเข่ามายังด้านใน สัญชาตญาณทำให้เธอรีบยกมือมาปิดบังเอาไว้ แต่ชะงักกลางทางเพราะน้ำเสียงจริงจัง
“อย่าขยับ” เขาสั่งเสร็จก็สบตาเธอ ก่อนจะต่อรอง “ถ้าคุณสัญญาว่าจะทำตามที่ผมบอก คุณจะได้รับบทเรียนที่คุณจะไม่มีทางลืมเลือน”
ใครจะต่อต้านข้อเสนออันยั่วยวนนี้ไหว พิชามลพยักหน้ารัวๆ แล้วถอยมือกลับไปกำที่เท้าแขนเก้าอี้ต่อ ระหว่างที่อจลทำสองอย่างพร้อมกัน นั่นคือจ้องตาเธอ กับใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้เธอ ‘ตรงนั้น’
“อยากดูไหมว่าผมจะทำอะไรกับคุณ” เขาไม่รอให้เธอพยักหน้า แต่ลงมือแสดงให้ดูเลย
มือข้างหนึ่งของเขาเปิด ‘เธอ’ ออกให้ลิ้นของเขาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ขณะที่เธอกัดฟันกั้นเสียงร้อง เขาก็ใช้อีกมือรุกคืบล่วงล้ำ ภาพที่พิชามลเห็นเป็นยิ่งกว่าที่เธอเคยดูผ่านวิดีโอ เพราะอจลถี่ถ้วนชนิดที่ไม่พลาดทุกผิวสัมผัสที่อ่อนไหวของเธอเลย ยิ่งเมื่อเห็นทุกขั้นตอนเช่นนี้ หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกถึงความซ่านเสียวที่ก่อตัวรุนแรงขึ้น ก่อนหน้านี้เธอก็ชุ่มชื้นอยู่แล้ว แต่ถึงตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผลไม้สุกงอมที่กำลังถูกเขาดึงเอาน้ำหวานข้างในออกมา เขาเป็นพ่อครัวที่ไร้ความปรานี จากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้ว ไม่เพียงแค่โลมเลียเท่านั้น ถึงจุดหนึ่งเขาใช้ฟันขบลงไปเบาๆ บนปุ่มหฤหรรษ์ที่กำลังเห่อตัวด้วยความรวดร้าวต้องการของเธอด้วย
“อ้า...” สุดท้ายพิชามลก็เก็บเสียงครางเอาไว้ไม่ไหว ด้านหลังเปลือกตาของเธอเต็มไปด้วยสีรุ้งพร่าพราย หงายศีรษะไปด้านหลังหอบหายใจจนตัวโยน แล้วรอจนเธอรวบรวมสติกลับมาได้ อจลก็ยกตัวขึ้นกระซิบถามข้างหู
“อยากรู้ไหมว่ารสชาติของคุณเป็นยังไง”
เขาไม่รอให้เธอตอบเช่นเคย ริมฝีปากร้อนรุ่มทาบลงมาบนปากของเธอ พร้อมๆ กับที่มือข้างหนึ่งจับยึดท้ายทอยไม่ให้เธอหนีไปไหน พิชามลคาดเดาจูบแรกมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยคิดว่าอจลจะมอบจูบที่เต็มไปด้วยความเร้าใจให้เธอเช่นนี้ เขาบดเบียดจุมพิตที่เกือบจะเรียกได้ว่ารุนแรง เมื่อเธอเผยอปากจะประท้วง เขาก็สอดแทรกปลายลิ้นเข้ามา ใช้มันสำรวจเรียวลิ้นของเธอ จู่โจมสติของเธอ หญิงสาวเกือบจะขาดใจตายอยู่แล้วตอนเขายอมปล่อยให้เธอมีโอกาสหายใจ
พิชามลรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดท่วมท้นไปด้วยอจล ผิวของเธอบางส่วนแนบชิดกับเขา ตาของเธอสบอยู่กับตาเขา หูของเธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวแข่งกับเขา จมูกของเธอได้กลิ่นของเขา ปากของเธอลิ้มรสชาติเดียวกันกับเขา ซึ่งเธอไม่อาจอธิบายมาเป็นคำพูด
แล้วเขาก็ขยับตัวปุบปับ ยืดตัวเหยียดแขนไปหาลิ้นชักโต๊ะทำงานของเธอเพื่อดึงหนึ่งในถุงยางออกมา เขาพยายามปลดกระดุมกางเกง รูดซิปเลื่อนกางเกงชั้นในทั้งที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ ซึ่งยากจะประสบความสำเร็จโดยง่าย ท่าทางเร่งรีบลนลานของอจลคงน่าขำ ถ้าพิชามลไม่ร้องเร่งเขาในใจให้ไวขึ้น สุดท้ายเขาก็ยอมลุกขึ้นสะบัดกางเกงทั้งนอกและในออกไปพ้นตัว เพราะเธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ช่วงกลางลำตัวของเขาจึงอยู่ใกล้เคียงกับระดับสายตาของเธอพอดี มือที่มีความคิดเป็นของตัวเองเอื้อมไปข้างหน้า หวังจะคว้าจับส่วนที่ตระหง่านง้ำ แต่เขาถอยหลังลงไปนั่งกับพื้นไวเกินกว่าเธอจะคว้าทัน
ระหว่างกลับไปนั่งชันเข่าที่พื้นอจลก็แกะห่อฟอยล์และห่อหุ้มตัวเองอย่างว่องไว ตามด้วยหันไปออกคำสั่งกับพิชามล
“มานี่สิครับ”
คนขี้กลัวอย่างเธอลังเลที่จะทำตาม แต่ไม่อาจต่อต้านแรงปรารถนาของตนได้ หนำซ้ำเขายังเอนตัวมาด้านหน้า ใช้มือข้างหนึ่งดึงตัวเธอลงมาให้นั่งอยู่บนตัวเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือบนส่วนนั้นของเขา
พิชามลไม่เคยทำอะไรยากๆ เช่นนี้มาก่อน แต่อจลเป็นครูฝึกที่เชี่ยวชาญและอดทน เขาค่อยๆ ใช้มือข้างหนึ่งประคองเอวเธอ ส่วนอีกมือชี้นำเธอ หญิงสาวยึดบ่าของชายหนุ่มเอาไว้ ลดตัวลงด้วยความลังเล เพียงแค่ส่วนปลายที่ล่วงล้ำ เธอก็รู้สึกถึงความอึดอัดคับแน่นที่ชวนให้ถอยหนี แต่เขาทั้งสั่งทั้งปลอบจนเธอกลืนกินความแกร่งร้อนของเขาได้จนหมด
“ขยับขึ้น” เขาบอกพร้อมกับใช้สองมือยกเอวเธอขึ้น “และลง” มือของเขากดลงพร้อมกับดันเอวขึ้น
มันเป็นจังหวะที่เร่าร้อน พิชามลเป็นนักเรียนที่เก้กัง ทว่าไม่นานเธอก็พบว่าร่างกายเคลื่อนไหวตามการสั่งสอนของอจลได้สำเร็จ ความปีติทำให้เธอยกสะโพกขึ้นลงรัวเร็ว ขณะเดียวกันเขาก็โยกเอวขึ้นเหนือพื้นสอดรับเข้ากับความพยายามของเธอ เสียงของการควบขับดังก้องในหูที่อื้ออึง ไม่นานมันก็ก่อตัวเป็นความร้อนจากจุดที่เชื่อมประสาน ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายหดรัดรุนแรงและแตกกระจาย
เธอคงหมดสติไปเพราะความสุขวูบหนึ่ง เพราะต่อมาพิชามลพบว่าตนเองกำลังนอนหงายอยู่ที่พื้น สองขาอ้ากว้างขณะที่ร่างของอจลกำลังถาโถมอยู่ด้านบน เธออยากจะขยับร่างตอบรับ แต่เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป สิ่งที่เธอทำได้คือเป็นเรือน้อยที่ลอยละล่องไปกับสายนทีแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกราก แล้วพานพบความสุขซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งจนไม่ได้ยินตอนเขาคำรามแหบก้องเหนือตัวเธอ แล้วทรุดร่างหนักอึ้งมาทาบทับ
ก่อนเธอจะขาดใจตายเพราะความสุขและน้ำหนักของเขา อจลก็พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่ามีความรับผิดชอบต่อชีวิตของพิชามล ด้วยการพลิกกายไปนอนหงายอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเพราะเขาหอบเหมือนหายใจไม่ออกหรือเปล่า ทำให้เธอหลุดเสียงหัวเราะคิกคักอย่างห้ามไม่อยู่ออกมา
มันสุดยอด บันลือโลก กินเนสส์บุ๊คเรกคอร์ดควรบันทึกเรื่องครั้งนี้เอาไว้ เพื่อให้เธอกับเขาร่วมมือกันทำลายสติในคราวหน้า พิชามลมั่นใจว่าตัวเองทำได้ เธอกับอจลน่าจะทำสำเร็จ เพราะเทียบกับเมื่อคืน เธอกับเขาพัฒนาฝีมือขึ้นไปอีกระดับได้อย่างรวดเร็ว
เบื้องหลังใบหน้ายิ้มกริ่ม สมองของพิชามลค่อยๆ กลับมาทำงาน เตือนเธอให้รู้ตัวว่ากำลังนอนเปลือยเปล่าแผ่หลาอยู่ในห้องทำงานของตนเอง ความอับอายกับความอ่อนล้าตีกันยุ่งอยู่ในสมอง ก่อนฝ่ายหลังจะชนะ ยังไงอจลก็ยิ่งกว่าเคยเห็นเธอเปลือยมาแล้ว เธอเลยเลือกนอนโป๊ต่อไป แต่เขาดันสะกิดเธอยิกๆ หญิงสาวอยากจะแปลงร่างเป็นซูเปอร์เกิร์ล ร่วมแสดงหนังแอกชันกับเขาอีกรอบ น่าเสียดายที่มีใจทว่าไร้เรี่ยวแรง จะกระดิกนิ้วเธอยังทำไม่ได้
“ไม่ไหวแล้ว ฉันหมดแรงข้าวต้มแล้ว” น้ำเสียงของเธอน่าสงสารขนาดนี้ เขายังจะหัวเราะอีก
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับผมเลยจะบอกให้คุณไปกินข้าว” อจลบอกพลางจิ้มแก้มพิชามลเบาๆ แล้วด้วยความมันเขี้ยวเขาจึงดึงมันหนึ่งที ก่อนจะตีก้นคนที่หันตะแคงมามองด้วยแววตาคาดหวัง
“รีบลุกเร็วเข้า ผมทำมื้อใหญ่เลยนะ”
“จริงเหรอคะ” เธอถามไปอย่างนั้นเอง แค่ได้ยินว่าจะได้กินอาหารฝีมืออจล พิชามลก็มีแรงลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้ามาสวมอย่างรวดเร็ว
“จริงสิครับ อย่าบอกนะว่าคุณจะกินผม เสียใจด้วย คุณทำให้ผมไขว้เขวได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ”
พิชามลต้องตั้งสติครู่ใหญ่ถึงเข้าใจว่าการที่อจลโผล่เข้ามาในห้องทำงานเธอก็เพื่อจะตามเธอไปกินอาหารกลางวัน หญิงสาวงงงันว่าตกลงเขารับตำแหน่งอะไรกันแน่ เชฟส่วนตัว ครูฝึกสอน หรือคนดูแลไม่ให้เธออดตาย
ที่น่าครุ่นคิดยิ่งว่าสถานะของเขาก็คือหน้าที่ของเธอ อจลมอบอะไรให้เธอตั้งหลายอย่าง แล้วเธอจะทำอะไรตอบแทนเขาได้บ้าง พิชามลค้นหาหนทางตอบแทนจนลืมไปว่าเธอยืมตัวคนข้างบ้านมาช่วยสาธิตฉากเลิฟซีน เขาเองก็ไม่เตือนเธอสักคำว่าทิศทางการเรียนจะไปจบลงตรงไหน มุ่งเน้นไปที่การสอนเท่านั้น สรุปว่าทั้งคู่เป็นอะไรกันแน่
มันเป็นความสัมพันธ์พิลึก แต่มันก็เป็นความพิลึกที่เธอยินดีรับเอาไว้
กว่าจะจบบทเรียนก็เลยเวลาอาหารเที่ยงไปไกล พิชามลซึ่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปจนถึงปลายเล็บมือเล็บเท้าต้องอาศัยการดูแลจากอจลค่อยๆ เดินข้ามรั้วบ้านตัวเองมานั่งคว่ำหน้าบนสองแขนที่ประสานกันบนโต๊ะกินข้าว หลับเอาแรงรอของกินจากเขา เพราะชายหนุ่มบอกว่ายังต้องปรุงบางอย่างอีกสักสิบนาทีถึงจะเอามาเสิร์ฟได้ เธอแน่ใจว่าพออาหารมาถึงคงไม่มีแรงแม้แต่จะยกช้อนกินข้าวด้วยตนเอง แต่พอกลิ่นอาหารลอยมาไม่ทันได้เห็นจาน ก็มีพลังงานแล่นปราดทำให้เธอนั่งหลังตรงจ้องมองถาดที่เขาใช้วางกับข้าว
กลิ่นที่กระตุ้นต่อมหิวของเธอมาจากก้อนกลมสีน้ำตาลขนาดเท่ากำปั้นสองก้อน ส่วนดวงตาถูกชักพาให้หันไปมองจานยำผลไม้หลากสีสัน ก่อนจะจบลงที่ถ้วยใส่แกงจืดสีขาวแดงดำเขียวจากลูกรอก แคร์รอต เห็ดหอม และต้นหอมผักชี เธอแทบรอให้เขาคดข้าวไม่ไหว และก่อนที่เธอจะเอื้อมไปตักลาบทอดมาใส่จาน เขาก็ชิงยื่นส้อมกับมีดไปผ่ามันออกให้เห็นไข่แดงมันเยิ้มข้างใน
“ลาบทอดทำจากไข่เป็ดยางมะตูม อาจจะคาวสักหน่อยนะครับ” อจลออกตัวก่อน
พิชามลส่ายหน้าหวือ “ฉันชอบค่ะ” กลิ่นหอมขนาดนี้ เธอจะพูดอย่างอื่นได้อย่างไร พอตักไข่ที่หุ้มด้วยลาบวางบนข้าวสีม่วงดำ เธอก็แบ่งมันให้มีขนาดพอดีคำแล้วส่งเข้าปาก มันร้อนแทบลวก แต่เธอไม่อาจจะคายออกมาได้ ยังดีที่ความหอม เผ็ด เปรี้ยว มัน เข้มข้นกระตุ้นน้ำลายของเธอให้หลั่งไหล
หญิงสาวอยากจะกินลาบทอดไข่ลาวาให้หมดคนเดียวทั้งสองฟอง แต่นั่นจะทำให้เธอหมดโอกาสชิมอาหารอย่างอื่นเช่นยำผลไม้ที่เขาใช้ช้อนกลางตักมาวางในจานของเธอ รสผลไม้เปรี้ยวหวานตัดกันดีกับรสเผ็ดของพริกป่นและถั่วลิสงคั่วหอมกรอบเพิ่มความมัน เธอเคยกินแต่ที่แม่ค้าใช้พริกสด พบว่าพริกแห้งคั่วไม่เพียงแค่เผ็ด ยังหอมติดจมูกด้วย
“กินยำเปล่าๆ ได้เลยนะครับ ผมทำไว้เยอะ จะได้ลดแป้งจากการกินข้าว”
ถึงจะรู้สึกว่าเขาบอกกลายๆ ว่าเธออ้วน หญิงสาวก็ทำตามคำแนะนำด้วยความยินดี ขณะเดียวกันก็เจียดเวลาใช้ช้อนกลางตักน้ำซุปจากแกงจืดมาใส่ในช้อนกินข้าวของตน ยกซดครั้งหนึ่งสดชื่นไปทั้งลำคอ อจลตักหมูสับลูกเงาะที่มีวุ้นเส้นผสมรวมกับหมูในอัตราส่วนกำลังดีวางลงไปเพิ่มในจานของเธอ พิชามลชิมคำหนึ่งแล้วรู้สึกว่าหมูสับนี้ให้รสต่างจากที่อยู่ในข้าวต้มเมื่อเช้า
“หมูสับสำหรับทำแกงจืดผมจะสับหยาบกว่า เพราะลูกรอกมีเนื้อสัมผัสที่ละเอียด” เขาอธิบายโดยไม่รอให้เธอได้ถามพร้อมกับตักลูกรอกสีขาวทำจากไข่ให้เธอกินเปรียบเทียบ
พิชามลไม่รังเกียจความคาวของไข่ แต่กับลูกรอกเธอมองว่ามันจืดชืดไร้รสชาติ ทว่าฝีมือของอจลย่อมต่างจากคนอื่น เนื้อมันแน่นอัดเต็มด้วยรสชาติซึ่งเธอไม่ว่างพอจะถามว่าเขาทำได้ยังไง เนื่องจากวุ่นวายกับการลำเลียงอาหารบนโต๊ะลงไปยังกระเพาะ
“ทำไมคุณไม่ค่อยกินเลยล่ะคะ” พิชามลกวาดอาหารไปเกินครึ่งแล้วค่อยสังเกตเห็นว่าอจลวุ่นวายกับการตักกับข้าวใส่จานของเธอมากกว่ากินเอง
“ผมชอบมองเวลาคุณกิน มันดูน่าอร่อย”
“นี่มันเป็นธรรมชาติของเชฟใช่ไหมคะ” ถามแล้วพิชามลก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะในนิยายเธอใส่ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพเชฟแบบผิวเผิน เพราะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับงานของอจล
“คงใช่มั้ง แล้วผมก็ไม่ค่อยเห็นบ่อยด้วย ตอนทำให้คนชิม เขาก็ไม่ได้กินแบบกิจจะลักษณะ เวลาทำงาน ผมก็ออกไปรับคำชมตอนเขากินเสร็จ ไม่ค่อยมีใครชอบให้คนมองเวลากินหรอก”
“กัสจังด้วยเหรอคะ”
ชื่อต้องห้ามหลุดออกจากปากก่อนเธอมีสติยั้งคิด ดังนั้นจึงรีบตักลาบทอดไข่ลาวาอีกครึ่งฟองในส่วนของเธอใส่จานป้องกันการอดกิน หากเขาโมโหแล้วคว่ำโต๊ะกินข้าว แต่สิ่งที่พิชามลเห็นคือรอยยิ้มมุมปากจากอจล
“ตั้งแต่สมัยเรียน ผมคบพวกนางแบบหรือไม่ก็นักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ พวกเธอไม่กินอะไรหนักๆ หรอก มันไม่ดีต่อหุ่น อย่างข้าวเนี่ยแทบจะนับเม็ดเลยมั้ง บางคนตอนแรกๆ ก็กินเต็มที่อยู่หรอก แล้วก็มาบ่นอ้วนทีหลัง”
นึกถึงเอวของกังสดาลที่แทบจะหักได้ด้วยมือเปล่า พิชามลก็ค่อนข้างเห็นด้วย เธอเลยอดก้มลงมองพุงนูนๆ ของเธอไม่ได้ แล้วเหลือบมองอจล พบว่าเขามองกิริยาของเธอพอดี กำลังหวั่นใจว่าเขาคิดยังไงกับหุ่นที่ห่างจากคำว่านางแบบของเธอ เขาก็เปลี่ยนจากยิ้มมุมปากที่คล้ายกับยิ้มเยาะเป็นยิ้มกว้าง
“ถ้าไม่ได้สัมผัสหุ่นของคุณ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมชอบหมูนุ่มมากกว่ากุ้งแห้ง”
“ถ้ามีอาหารอร่อยอยู่ตรงหน้า แต่คนทำบอกว่าแกเป็นหมูนุ่ม แกจะคว่ำชามข้าวใส่หัวเขาไหม”
พิชามลเคืองการเปรียบเทียบของอจลยิ่งนัก แต่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเธอคล้ายหมูคุโรบูตะมากกว่ากุ้งแห้ง ได้แต่แอบบ่นให้เฉาก๊วยฟังแทน คำตอบที่ได้คือการนอนแทะกระดูกปลอมท่อนใหญ่จนน้ำลายยืด เธอเลยมั่นใจว่าเจ้าหมาคิดแบบเดียวกันกับเธอ
การทำลายของอร่อยเป็นบาป ดังนั้นเมื่ออจลทักว่าเธอเป็นหมูนุ่ม พิชามลจึงประท้วงด้วยการไม่ยอมเสียเวลาพูดกับเขาอีก ก้มหน้าก้มตากินอาหารจนหมดเกลี้ยง ที่สำคัญเธอปฏิเสธอาหารที่ผู้ชายรูปหล่อนำมามอบให้ไม่ได้เลย แค่เห็นหน้าตาดีๆ ก็ทำให้เจริญอาหารแล้ว หนำซ้ำอาหารที่คนหน้าตาดีเอามายังอร่อยมากด้วย
“กินขนมไหมครับ” เสียงถามลอยข้ามรั้วมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่ยากจะปฏิเสธ
อจลไม่รอให้พิชามลตอบ แต่ถือวิสาสะเหยียบเก้าอี้ก้าวข้ามรั้วมาพร้อมพายขนาดเท่าถาดกลม อัดหน้าแน่นไปด้วยแยมผลไม้สีเหลืองทอง
“ขนมอะไรเหรอคะ” พิชามลถามอย่างไว้ท่า ทำเหมือนไม่ค่อยสนใจ ทั้งที่สาเหตุหนึ่งในการมานั่งคุยกับเฉาก๊วยก็เพราะกลิ่นขนมอบที่ลอยเข้าไปรบกวนเธอถึงในบ้าน เธอเลยมาเตร่รออยู่แถวนี้ เผื่อคนข้างรั้วจะรู้ตัวว่าผิด และเอาขนมอบของเขามาง้องอนเธอ
“พายแอปเปิลแทนคำขอโทษครับ”
“รับคำขอโทษค่ะ” พิชามลไม่ปล่อยให้อจลต้องง้อนาน แค่เขายื่นขนมมา เธอก็ยกโทษให้ได้แล้ว แต่ต้องชะงักเพราะคำพูดที่ทำให้เธออยากจะยกพายทุ่มใส่หัวเขา
“ผมขอโทษที่ทำคุณโกรธ แต่ผมยังคิดว่าคุณเป็นหมูนุ่มอยู่ดี”
อย่าฆ่าคนที่ทำของอร่อยให้เรากิน ไม่งั้นเราจะไม่ได้กินอีก
พิชามลโน้มน้าวตัวเองด้วยประโยคข้างต้น พยายามเชื่อว่าเสียงงื้ดๆ ของเฉาก๊วยมาจากการที่มันพยายามปลอบให้เธอใจเย็นๆ แทนจะเป็นการขอส่วนแบ่งขนมบ้าง
“มันหยาบคายมากนะคะที่ล้อเลียนคนอื่น”
“ถ้าคุณไม่พอใจ ผมจะไม่พูดอีก หรือคุณจะลดน้ำหนักแทนก็ได้ แต่ผมชอบที่คุณนุ่มน่ากอด ไม่อย่างนั้นผมจะทำอาหารมาให้คุณทำไม”
เธอยังคิดว่าเขาปากไม่ดีอยู่ แต่คำว่า ‘นุ่มน่ากอด’ ปัดเป่าโทสะออกไปเกือบหมด แล้วอจลก็ปัดส่วนที่เหลือด้วยการยกนิ้วขึ้นมาจิ้มแก้มเธอ และยิ้มอ่อนโยนเป็นเชิงขออภัย
“แค่เห็นแก้มนุ่มๆ ของคุณ ผมก็ห้ามมือตัวเองไม่อยู่แล้ว อย่าว่าแต่ส่วนอื่นเลย”
มันไม่ได้ฟังโรแมนติกสักนิด แต่พิชามลคิดว่ามันน่าฟังเหลือเกิน แก้มไม่ได้เป็นหนึ่งในอวัยวะทรงเสน่ห์ของเธอ ที่จริงตั้งแต่หัวจดเท้าไม่มีส่วนไหนที่เธอมองว่าใช้หลอกล่อผู้ชายได้ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับบอกว่าเขาห้ามมือตัวเองไม่ให้สัมผัสเธอไม่ได้
ความลังเลเสี้ยวสุดท้ายกระเด็นหายไปจากสมองของพิชามลเมื่ออจลปัดเป่ามันด้วยริมฝีปาก เขากดมันลงตรงจุดที่เป็นลักยิ้มของเธอ ก่อนจะเลื่อนมาทาบทับปากที่เผยออกเพราะความแปลกใจ สองมือของเขาประคองใบหน้าของเธอเอาไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า แต่วิธีแทรกปลายลิ้นเข้ามาสำรวจไม่ต่างจากการรุกราน
การได้รับจุมพิตขณะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนแตกต่างจากช่วงเวลาที่สมองกำลังกระเจิดกระเจิงเพราะไฟพิศวาส
มันลึกซึ้งกว่า มันตราตรึงกว่า และมีความหมายเกินกว่าจะหาคำมาบรรยาย ดังนั้นพิชามลจึงเรียนรู้มันด้วยปากและปลายลิ้น ปล่อยให้อจลสอนเธอว่าจูบนั้นทั้งหวานและดูดดื่มเช่นไรบ้าง นิ้วเท้าของเธอถึงขั้นจิกลงพื้น ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ ตอนเขายอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
หมูนุ่มแล้วไง หมูมีตั้งหลายแบบ ไม่ใช่แค่หมูคุโรบูตะ หรือแม่หมู อาจจะเป็นลูกหมูน้อยน่ารักก็ได้
พิชามลใช้ความสามารถทางด้านจินตนาการมโนภาพลูกหมูสีชมพูผูกโบขึ้นมาในหัว มันไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไร แต่อย่างน้อยพายแอปเปิลฝีมืออจลก็พอจะช่วยได้
ความคิดเห็น |
---|