2

2

 

ศกุนตลาย่อตัวลงนั่งกับพื้น รับชามกล้วยบวชชีจากผ่องก่อนจะนำไปวางบนโต๊ะกลางของชุดโซฟาภายในห้องนั่งเล่น อนิลบถวางหนังสือในมือลง แล้วยกมุมปากขึ้น “นึกอยากกินอยู่พอดีเทียว”

‘พี่ผ่องใจดีไปตัดกล้วยในสวนหลังบ้านมาให้ค่ะ’

“เป็นผ่องดอกรึที่รู้ใจฉัน” อนิลบถหลุบตาลงอ่านตัวอักษรที่ศกุนตลาบรรจงเขียน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับคนใจดีที่วิ่งไปตัดกล้วยในสวนมาให้

ผ่องหลุบตาลงอ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษแล้วหัวเราะร่วน ใครกันหนอเกาะแขนหล่อนแล้วออดอ้อนเป็นตัวอักษรหลายประโยค “คุณปักษาบอกว่าถ้าหากดิฉันไปตัดกล้วยมาให้ เย็นนี้เธอจะตำน้ำพริกลงเรือให้กินค่ะ”

“อ้อ ที่แท้ก็มีคนติดสินบนดอกรึ” อนิลบถว่า พลางตักกล้วยบวชชีสีนวลตาขึ้นมารับประทาน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน “หือ ... เสียงรถ ... ใครมากัน”

ผ่องค้อมศีรษะลงเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปยังบริเวณหน้าบ้าน 

...

รถยนต์จอดเทียบหน้าบ้านหลังโอ่อ่า หญิงสาวใบหน้าสวยจัดฝั่งข้างคนขับใช้ปลายนิ้วแตะสำรวจความเรียบร้อยของทรงผมที่ดัดเป็นลอนสลวย ก่อนจะเอื้อมไปหยิบข้าวของที่เบาะหลัง แล้วตั้งท่าจะเปิดประตูรถ

“ไม่ให้ฉันรอจริงรึวาด แล้วเธอจะกลับยังไง”

เจ้าของใบหน้าสะสวยชะงักมือที่กำลังเปิดประตูรถ ก่อนจะชะเง้อคอทอดสายตามองไปยังรถยนต์สีครีมคันงามที่จอดสนิทอยู่ในโรงรถ จากนั้นจึงหันไปกลับไปตอบคำถามคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ 

“โธ่ ... ยายเดือน หากเธอรอ รถคันโก้ของเวหาก็อดได้บริการฉันน่ะสิ” ตะวันวาดว่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางรถยนต์คันใหม่เอี่ยมตรงหน้า

สกาวเดือนชะเง้อคอมองตามสายตาของเพื่อนสนิทแล้วยกมุมปากที่แต้มสีแดงสดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ตายจริง รุ่นนี้ในพระนครมีใช้ไม่ถึงห้าคัน ฉันชักอิจฉาเธอแล้วสิ เวหานะเวหาเรียนมาด้วยกันแท้ๆ แต่ไม่ยักมองฉันบ้างเลย”

“บ้าน่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น” ตะวันวาดแสร้งเอียงอายทั้งที่หน้าอกข้างซ้ายพองฟู ไม่ใช่แค่เพียงสกาวเดือนเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ หากสาวๆทั่วพระนครต่างก็อิจฉาเธอไม่ต่างกัน 

“เอาล่ะๆ ฉันไปก่อนก็แล้วกัน ป๊ากับม๊ารอแย่แล้ว”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้”

“ย่ะ” สกาวเดือนตอบ รอจนตะวันวาดลงจากรถเรียบร้อยแล้วจึงเหยียบคันเร่งกลับออกไป

   “เวหาอยู่หรือเปล่า” ตะวันวาดเอ่ยถามแม่บ้านสาวที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงประตูเข้าบ้าน

   “อยู่ค่ะ” ผ่องประนมมือไหว้ผู้มาเยือน ก่อนจะรับข้าวของในมือของหญิงสาวไปช่วยถือ

 

   “ปักอะไรคะสีสวยจัง”

   ศกุนตลาวางผ้าที่ปักในมือลง ก่อนจะหยิบดินสอขึ้นมาเขียน

‘ผ้าม่านห้องนอนค่ะ ปักษาทำให้นภาเป็นของขวัญวันเกิด แต่พี่เวหาอย่าเพิ่งบอกนภานะคะ เป็นความลับ’

“มีแต่ของนภา แล้วของพี่ล่ะคะ”

ศกุนตลาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามเล็กน้อยก่อนจะก้มลงแล้วจดปลายดินสออีกรอบ 

‘ยังไม่ถึงวันเกิดพี่เวหานี่คะ’

“กว่าจะได้เป็นคนสำคัญต้องรอให้ถึงวันเกิด น่าน้อยใจจริงเทียว”

ศกุนตลาเบิกตาโพลง โบกไม้โบกมือพัลวัน ก่อนจะก้มหน้าตวัดปลายดินสออย่างคล่องแคล่ว 

‘พี่เวหา คุณลุง คุณป้า แล้วก็นภาคือคนสำคัญกับปักษาเสมอ ทำของนภาเสร็จแล้วปักษาจะรีบปักให้พี่เวหานะคะ ไว้ใกล้ถึงวันเกิดพี่เวหาจริงๆปักษาค่อยคิดหาของขวัญชิ้นใหม่ก็ได้ค่ะ แค่พลิกตัวคิดจนนอนไม่หลับหลายคืนติดปักษาทนได้’

อนิลบถอมยิ้มพลางขยับเข้าไปใกล้เจ้าของดวงตากลมที่กำลังช้อนมองเขาเป็นประกาย นับวันยายตัวเล็กชักจะติดนิสัยของอัปสรนภาไปหลายกระเบียด มีอย่างที่ไหนลูบหลังปลอบใจ แล้วต่อด้วยการค่อนขอดเรื่องต้องคิดหาของขวัญชิ้นใหม่ เห็นทีเขาคงต้องจับสองคนนี้แยกกันบ้างเสียแล้ว ชายหนุ่มวางมือบนศีรษะน้อยแล้วจับโยกอย่างไม่แรงนัก

“ร้ายนักนะเรา เห็นทีพี่คงต้องให้คุณแม่จับปักษากับนภาแยกกันบ้างเสียแล้ว”

ศกุนตลาย่นคอ คว้าหมับที่ข้อมือหนา ก่อนจะรั้งลงมา แล้วถูไถศีรษะของเธอกับต้นแขนแกร่ง จากนั้นจึงผินหน้าขึ้นซึ่งเป็นจังหวะที่อนิลบถหลุบตาลงพอดี หญิงสาวยิ้มหวานประจบ ส่วนเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นยกมุมปากขึ้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างจับปลายจมูกรั้นแล้วโยกไปมา

   “เล่นอะไรกันอยู่คะสองพี่น้อง”

   “...”

   สองพี่น้องต่างสายเลือดในห้องนั่งเล่นเบนสายตาไปยังหน้าประตูห้อง ศกุนตลาขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วกระพุ่มมือไหว้ ในขณะที่อนิลบถเลิกคิ้วขึ้นมองผู้มาใหม่เล็กน้อยก่อนเอ่ยทัก

   “อ้าว วาด มาได้อย่างไรกัน”

   ตะวันวาดยิ้มพรายขณะเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาอีกตัว “เจอมนตรีแถวนางเลิ้งค่ะ เลยรู้ว่าเวหาได้พัก”

   “อ้อ ...” อนิลบถพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามแม่บ้านสาวที่ยอบตัวลงนั่งแล้วนำข้าวของที่เจ้าหล่อนถือมาวางลงบนโต๊ะกลาง

   “บุหลันดั้นเมฆ จ่ามงกุฎ แล้วก็เสน่ห์จันทร์ค่ะ บังเอิญวาดผ่านไปแถวร้านขนมที่เวหาชอบเลยแวะซื้อมาฝาก” แม้ในความเป็นจริงเธอจะขอร้องแกมบังคับให้สกาวเดือนวนรถพาเธอไปซื้อก็ตามที

   “ไม่น่าลำบากเลย”

“วาดจำได้ว่าเวหาชอบจิบชาแกล้มขนม” ตะวันวาดยิ้มพรายให้คนที่เธอจำสิ่งที่เขาชื่นชอบได้ขึ้นใจ ก่อนจะเบนสายตากลับมาหาแม่บ้านสาวที่กำลังจะขยับตัวลุกขึ้น “วานหล่อนเอาไปใส่จานทีเถิด”

“ผมเพิ่งกินกล้วยบวชชีไป”

“โธ่ ... เวหา” ตะวันวาดลากหางเสียง “อย่าให้เสียน้ำใจวาดเลยนะคะ”

ศกุนตลาเบนสายตามองสองหนุ่มสาวที่ยึดบทสนทนาเอาไว้ทั้งหมดแล้วก้มตัวลงหยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนบางอย่างบนหน้ากระดาษ

‘ปักษาขอตัวไปช่วยพี่ผ่องจัดขนมก่อนนะคะ จะได้ชงชามาให้พี่เวหากับคุณวาดด้วย’

อนิลบถพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ เมื่อได้รับการอนุญาตศกุนตลาจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามผ่องออกไปจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวกุลีกุจอชงชารสดีลงในชุดกาน้ำชาลายคราม นำชุดน้ำชาไปวางบนถาด ก่อนจะหยิบดินสอขึ้นมาเขียนสิ่งที่ต้องการสื่อสารกับผ่อง จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องครัว 

‘ปักษาเวียนหัวขอขึ้นไปนอนพักสักครู่นะคะ’

 

ศกุนตลาเอนตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าแพรขึ้นมาห่มถึงคอ พลิกตะแคงข้าง ประกบมือวางบนหมอน วางศีรษะลงบนหลังมือ แล้วหลับตาลง 

เธอมักใช้การปิดเปลือกตา หนีความรู้สึกหน่วงหนักในห้วงลึกที่ถูกผลึกตะกอนของความอาดูรเกาะกิน ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่สมองของเธอจะลืมเลือนเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายเหตุการณ์นั้น ยิ่งเธอพยายามสั่งตัวเองให้ลืมมากเพียงไร ภาพจำเหล่านั้นก็ยิ่งฉายชัดขึ้นในทุกขณะจิต

แอ๊ด ...

ใบหน้าหมดจดขยับเพียงเล็กน้อยเมื่อโสตสัมผัสได้ถึงเสียงเปิดประตูห้องนอน ถึงแม้ว่าคนที่บุกรุกเข้ามาจะกระทำการอย่างเงียบเชียบ แต่คนแกล้งหลับบนเตียงก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่กำลังคืบคลานเข้ามาหา

เบาะนอนยวบลงตามน้ำหนักตัวของคนที่เพิ่งย่อตัวลงนั่งริมเตียงฝั่งที่เจ้าของห้องตะแคงหน้า ตามมาด้วยการทาบหลังมืออุ่นลงบนเสี้ยวหน้าผากมน

“ไปหาหมอนะคะปักษา”

ศกุนตลาค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อประโยคอันแสนอบอุ่นจบลง หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงปฏิเสธ อนิลบถพลิกหลังมือที่ยังวางทาบอยู่บนหน้าผากน้อยขึ้น จากนั้นจึงไล้ปลายนิ้วไปตามไรผมรอบกรอบดวงหน้ารูปไข่

“ตัวรุมๆ เวียนหัวมากหรือเปล่า แล้วกินยาหรือยัง”

ศกุนตลาจำเป็นต้องปดด้วยการพยักหน้าแทนคำตอบว่าเธอกินยาแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงเธอไม่ได้แตะยาแม้แต่เม็ดเดียว 

“งั้นก็นอนพักสักงีบ หากยังไม่ดีขึ้น ต้องไปหาหมอนะคะ”

ศกุนตลายิ้มหวานแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะหลับตาลง อนิลบถนั่งจ้องใบหน้าพริ้มพราวของคนเตียงหลายอึดใจ ก่อนจะลุกขึ้น จัดชายผ้าห่มให้คลุมเรือนร่างอรชรตั้งแต่ลำคอจนถึงปลายเท้า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพร้อมๆกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนขี้เซา ที่คราแรกตั้งใจเพียงขึ้นมานอนเล่น แต่เมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่นผสานความห่วงใยจากคนที่เธอเคารพรัก ความหน่วงหนักอย่างไม่ทราบสาเหตุที่กัดกร่อนความรู้สึกของเธอก่อนหน้าก็พลันมลาย

...

‘พ่อจ๋า พ่อจ๋า ทะเลกว้างแค่ไหนจ๊ะ’

‘เอ ... กว้างแค่ไหนกันนะ’ ชายวัยกลางคนอมยิ้มกับคำถามไร้เดียงสาที่เขาไม่อาจหาคำตอบมาตอบได้

‘กว้างเท่าบ้านคุณลุงนภกับคุณป้าบุหงาหรือเปล่าจ๊ะ’ เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบถามต่อ

‘กว้างกว่านั้นหลายร้อยเท่า’

หนูน้อยทำตาวาวก่อนว่าต่อ ‘อีกกี่วันเราถึงจะได้ไปทะเลจ๊ะ’

ร้อยเอกสกุณหัวเราะในลำคอ วางฝ่ามือหนาลงบนศีรษะน้อยแล้วโยกซ้ายขวาอย่างนึกเอ็นดู ‘อีกสองวัน ปักษาก็จะได้เห็นทะเลแล้ว’

‘อีกสองวันปักษาก็จะได้เห็นทะเลแล้ว’ หนูน้อยปักษาทวนประโยคด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม 

ภาพบทสนทนาหาบนโต๊ะรับประทานอาหารเลือนลางแล้วแทนที่ด้วยภาพของบ้านพักตากอากาศสีขาวที่เบื้องหน้าติดกับหาดทรายละเอียดสะอาดตา เด็กหญิงตัวน้อยตื่นเต้นกับการได้เห็นทะเลครั้งแรกในชีวิต เธอวิ่งลงไปเล่นในน้ำสลับกับก่อปราสาททรายกับอัปสรนภาเพื่อนร่วมรุ่นและพี่ชายใจดี ที่เคยเจอกันหลายหนยามเธอตามบิดาเข้าไปพบผู้เป็นนายที่บ้านหลังใหญ่ จนกระทั่งเย็นย่ำแม้นคุณป้าบุหงาจะนำขนมหวานจานใหญ่มาหลอกล่อ เธอก็ไม่อาจตัดใจจากน้ำทะเลและดอกไม้ใบหญ้ารอบๆบ้านพักไปได้

‘ปักษาขอไปหาพ่อนะคะ’ หนูน้อยเอ่ยขออนุญาต

คุณหญิงบุหงาปลายหางตาหมายจะกำราบ ทว่าเมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของเด็กหญิงก็ไม่อาจทำใจดุได้ลง ‘พระอาทิตย์จะตกอยู่รอมร่อยังจะอยากเล่นน้ำอีก’

‘ปักษาอยากไปดูพระอาทิตย์ตกทะเลค่ะ ปักษาไม่เคยเห็น’

ท้ายที่สุดคุณหญิงบุหงาจึงจำต้องอนุญาต เด็กหญิงตัวน้อยจึงกระพุ่มมือไหว้ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่น

ท้องฟ้าเหนือผืนทะเลยามสนธยางดงามจับใจ เด็กหญิงตัวน้อยที่ตามบิดาและผู้เป็นนายออกมารับลมนอกบ้าน ก้มๆเงยๆอยู่ข้างพุ่มดอกเข็ม เมื่อเก็บดอกเข็มได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว จึงนำมาร้อยต่อกันเป็นพวงมาลัย หนูน้อยมองพวงมาลัยแล้วยิ้มกว้างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง ก่อนจะวิ่งไปหาผู้เป็นบิดาที่กำลังยืนสนทนากับผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล

‘พ่อจ๋า ปักษาทำพวงมาลัยมาให้จ้ะ’

‘มีแต่ของพ่อ ลุงน้อยใจแย่’ ผู้เป็นนายของบิดาเย้าอย่างใจดี

หนูน้อยสบตาบิดาที่กำลังอมยิ้มอ่อนโยน เธอคล้องมาลัยดอกเข็มให้บิดาก่อนจะวิ่งกลับไปยังพุ่มดอกเข็มอีกรอบ เพื่อเก็บดอกสีแดงเล็กๆมาต่อเป็นมาลัยอีกพวง ทว่าพวงมาลัยยังไม่ทันแล้วเสร็จ เสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็เรียกความสนใจให้เธอหันกลับไปมอง 

ปัง !

ปัง !

ปัง !

‘พ่อ !’

และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่หนูน้อยเปร่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะหลังจากเสียงหวีดร้องนั้นสิ้นสุดลง ชีวิตของบิดาก็พลันมลาย หนึ่งชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รักดับสูญลงพร้อมกับ ‘เสียง’ หวานใส นับจากวันนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของหนูน้อยที่ชื่อศกุนตลาอีกเลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น