7

7

 

   อาคารสีขาวครีมสไตล์โคโลเนียลหลังใหญ่ตั้งอยู่บนที่ดินสิบห้าไร่ ตลอดแนวความยาวของที่ดินด้านหลังติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวอาคารโดดเด่นด้วยเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งพระยาคคนานต์วงศ์บริรักษ์เริ่มเข้ารับราชการ และตกเป็นมรดกสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูกคือพลโทนภ วงศ์คคนานต์ และหลานปู่ถึงสองคนคือเรืออากาศเอกอนิลบถ กับอัปสรนภา

   เสียงโขลกน้ำพริกเคล้ากลิ่นหอมของแกงรัญจวนที่เดือดจนได้ที่อวลไปทั่วห้องครัว คุณหญิงบุหงาลงครัวรังสรรอาหารชาววังโดยมีจวนและผ่องเป็นผู้ช่วย ส่วนศกุนตลานั้นกำลังละเมียดละไมกับการโขลกพริก กระเทียมที่นำไปคั่วจนหอม แกะใบตองห่อกะปิที่นำไปย่างไฟจนสุก หลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของกะปิสุกที่นำลงไปโขลกรวมพริกกระเทียม ปรุงรสด้วยมะดันซอย มะอึก น้ำตาลปึก และน้ำมะนาว เมื่อปรุงส่วนผสมจนได้ที่แล้วจึงพักไว้ ตั้งเตาผัดหมูสามชั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลปึกและน้ำปลา ผัดจนน้ำตาลรัดตัวหมูแล้วจึงตักขึ้นใส่จาน นำน้ำพริกที่โขลกไว้ก่อนหน้าลงผัดจนหอมตามด้วยหมูหวาน ยีเนื้อปลาดุกฟูที่ทอดไว้ก่อนหน้าลงไปเคล้า ตักใส่ชามเบญจรงค์โรยหน้าด้วยกระเทียมดองและพริกขี้หนูสีเขียว สีเขียว จากนั้นจึงผละตัวไปจัดเครื่องเคียงที่อุดมไปด้วยผักสดผักต้มหลากหลาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแกะไข่เค็มจัดเรียงบนจานอย่างสวยงาม

   “กลิ่นหอมลอยออกไปถึงหน้าบ้านเลยค่ะ ท้องนภาร้องเสียยกใหญ่” อัปสรนภาเดินลูบท้องขณะเดินเข้ามาในห้องครัว

   คุณหญิงบุหงาเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวที่เดินหยุดข้างหม้อแกงรัญจวน โดยที่มือยังคงสาระวนอยู่กับคนน้ำแกงในหม้อ “แทนที่จะมาช่วยแม่เตรียมอาหาร รู้ว่าถึงเวลาลงครัวก็หาข้ออ้างสารพัด ธุระปะปังมะรุมมะตุ้ม แต่พออาหารใกล้เสร็จก็ตามกลิ่นมา”  

   อัปสรนภาส่งค้อนให้คนที่ยกมือขึ้นปิดปากแอบขำที่เธอโดนเอ็ดเล็กน้อยก่อนจะโผเข้าไปโอบรอบเอวของมารดาถูไถใบหน้าไปตามแผ่นหลัง “นภาอ่านหนังสือติดพันนี่คะ อีกอย่างคุณแม่ก็มีปักษาเป็นหัวแรงใหญ่ ป้าจวนพี่ผ่องก็อยู่กันครบ”

   คุณหญิงบุหงาเบนสายตาไปยังหนึ่งในสามของคนที่บุตรสาวพาดพิงถึง แล้วยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดูเถิดเลี้ยงดู อบรมคู่กันมาแท้ๆ แต่ไฉนศกุนตลาจึงซึมซับคำที่เธอพร่ำสอนไปเพียงคนเดียว 

   “ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ปักษาช่วยแบ่งเบา แม่ก็คงต้องเหนื่อยคนเดียว”

   “โธ่ ... คุณแม่ขา ก็นภาไม่ถนัดงานบ้านการเรือนจริงๆนี่คะ” อัปสรนภาว่าเสียงอ่อย หันไปค้อนคนที่ลอบยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่เธอเล็กน้อย ขณะผละตัวออกจากมารดา เดินโฉบไปมองจวนกับผ่องที่กำลังช่วยกันเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำแกงคั่วหอยขมใบชะพลู ก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างๆคนที่ยังคงกลั้นขำอยู่ข้างจานไข่เค็ม

   “ขำไปเถอะ ตัวก็รู้นี่นาว่าเค้าลงครัวทีไรเป็นได้ถ่ายท้องกันทั้งบ้าน”

   ยิ่งได้เห็นใบหน้างอง้ำของคนตรงหน้า ศกุนตลาก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม อัปสรนภาย่นจมูกก่อนจะเอื้อมมือหยิบถั่วฝักยาวต้มมาม้วนเป็นคำแล้วนำไปจัดวางบนจาน

   “กินน้ำพริกลงเรือที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่ากินรสมือของปักษากับคุณแม่”

   ศกุนตลาที่หัวเราะจนเหนื่อยเช็ดมือกับผ้าสะอาด แล้วหยิบสมุดดินสอขึ้นมาเขียน 

   ‘น้ำพริกกะปิฝีมือนภาก็รสดี เราจำได้ว่ามื้อนั้นเติมข้าวตั้งสองจาน’

   อัปสรนภายิ้มแต้ “หรือว่าเค้าจะเหมาะกับการตำน้ำพริกกะปิอย่างเดียว”

   ศกุนตลาเอียงหน้าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าหน้าแล้วจดปลายดินสอลงบนหน้าสมุดอีกรอบ

‘อืม ... หากปักษาจำไม่ผิดวันนั้นถ่ายท้องน้อยกว่าเมนูอื่นๆที่นภาเคยทำ’

“ปักษา !”

คุณหญิงบุหงา จวน และผ่องหันไปมองสองสาวที่วิ่งไล่จับกันไม่ต่างจากเมื่อครั้งเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆในวันวานแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

“ดูเอาเถิด เป็นกันเสียแบบนี้ ฉันจะได้รับขวัญเขยเมื่อไหร่กัน”

“ถึงเวลามีคนมาขอคุณนภากับคุณปักษาไปจริงๆ คุณหญิงจะทำใจยกให้ลงหรือคะ” จวนถาม ด้วยคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน จึงรู้ดีว่าคุณหญิงบุหงากับพลโทนภนั้นหวงบุตรสาวทั้งสองคนเพียงไร 

เมื่อถูกย้อนด้วยคำถามแทงใจคุณหญิงบุหงาจึงเบนสายตาไปมองสองสาวที่วิ่งไล่กันจนเหนื่อยหอบ แล้วจึงกลับไปช่วยกันจัดจานผัก ก่อนจะหันมาตอบแม่บ้านสูงวัยพร้อมยิ้มบางๆ

“หากมาขอยายนภาฉันก็คงคิดหนัก ไม่รู้ว่าเขาจะเอามาคืนเมื่อไหร่ ส่วนปักษาหากมีคนมาขอไปฉันคงก็คงจะเหงาน่าดู ทุกวันนี้ก็มีแต่ปักษาคนเดียว ที่ทนฟังฉันบ่นฟ้าบ่นลม นั่งหลังขดหลังแข็งเย็บปักถักร้อย ลงครัวเป็นเพื่อนคลายเหงา”

หากจวนไม่จุดประเด็น เธอเองก็คงจะหลงลืมไปแล้วว่าสักวันหนึ่งอาจจะมีคนมาขอศกุนตลาออกไปจากอ้อมอก ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะขาดบางสิ่ง หากแต่ความงามหมดจดที่มีก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอโดดเด่นไม่เป็นรองใคร และหากวันนั้นมาถึงจริง เธอจะทำใจยกให้คนอื่นได้ลงอย่างนั้นหรือ 

‘วันนี้อากาศอ้าวเหลือเกิน คุณป้าไปพักก่อนนะคะ เดี๋ยวปักษาดูแกงต่อให้เองค่ะ’

คุณหญิงบุหงาหลุดออกจากภวังค์ความคิด เมื่อมีแผ่นกระดาษยื่นมาตรงหน้า ใบหน้าที่ยังคงเค้าความงามไม่เปลี่ยนแย้มยิ้ม ส่งทัพพีทองเหลืองในมือให้กับเจ้าของประโยคบนหน้ากระดาษ ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเล็กแล้วลูบแผ่วเบา

“ป้าขอไปอาบน้ำผลัดผ้าเสียหน่อย ร้อนเต็มทน”

จากนั้นจึงเหล่หางตาไปปรามบุตรสาวที่นั่งจัดจานผักแกล้มน้ำพริกอยู่อีกมุม “อย่ามัวแต่ชวนปักษาเล่นซนล่ะ ประเดี๋ยวคุณพ่อก็คงจะถึงบ้านแล้ว”

“นภาน่ะหรือคะที่จะชวนปักษาเล่นซน คุณแม่เข้าใจผิดเสียยกใหญ่ ที่ผ่านมามีแต่ปักษาเป็นคนเริ่มทั้งนั้น” อัปสรนภาทำหน้าทะเล้น

คุณหญิงบุหง่าส่ายหน้าปลงกับความทะโมนของบุตรสาว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับคนที่กำลังคนกำลังให้ความสนใจกับน้ำแกงในหม้อ “ถ้าหากนภากวนจนทำงานทำการไม่ได้ ก็ใช้ทัพพีเขกหน้าผากสักสองสามทีให้หลาบ เขกหนักหรือเบาได้ตามใจป้าอนุญาต”

เอ่ยจบก็เดินออกไปจากห้องครัว โดยมีเสียงโอดครวญของอัปสรนภาแว่วตามหลัง 

“คุณแม่รักลูกไม่เท่ากัน นภาจะจุดธูปฟ้องคุณปู่”

ซึ่งการโอดครวญที่ลามปามไปถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของอัปสรนภา ก็ได้รับปรามทางสายตาจากศกุนตลา ที่ฮึ่มฮั่มในลำคอพร้อมกับยกทัพพีทองเหลืองในมือขึ้น

อัปสรนภานภาเม้มปากแล้วยิ้มแหย หลับตาลงก่อนจะยกมือไหว้ปลกๆไปรอบๆตัว “นภากราบขอโทษค่ะคุณปู่ นภาไม่ได้ตั้งใจ”

เมื่อเห็นคนขอลุแก่โทษกำลังหลับหูหลับตา ศกุนตลาจึงหยิบช้อนทองเหลืองที่วางอยู่ใกล้มือขึ้น หรี่ตาเล็งแล้วโยนช้อนคันดังกล่าวลงบนชามผักต้มอย่างแม่นยำ

ตุบ !

“ว๊าย ! คุณปู่ขา นภาขอโทษ” อัปสรนภาหวีดเสียงหลงทั้งที่ยังหลับตา และเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของผ่องและจวนจึงลืมตาขึ้น แล้วพบว่านอกจากผ่องและจวนแล้วยังมีอีกหนึ่งคนเอามือกุมท้องหัวร่องอหงายอย่างไม่เก็บอาการ

“ปักษา !” อัปสรนภาหยิบช้อนทองเหลืองขึ้นมาแล้วแยกเขี้ยวก่อนออกตัววิ่งไล่จับคนช่างแกล้งไปรอบๆห้องครัว

“ป้าว่าวันนี้คุณท่าน จะได้รับมื้อเย็นกี่โมงกี่ยาม” ผ่องเอ่ยกับจวน

“เอ็งก็เร่งมือเข้าสิ มัวแต่ชะเง้อคอมองตามคุณๆอยู่ได้” จวนเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก

ผ่องสะดุ้งเบาๆ หัวเราะกลบเกลื่อนเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น จัดชายผ้าถุงแล้วเดินไปสุมไฟหม้อแกงรัญจวนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั้งครัว

 

“ป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับ” คุณหญิงบุหงาชะเง้อคอมองไปยังประตูบ้าน เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเย็นแล้วแต่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนก็ยังไม่กลับมาเสียที

“ก็คงจะแวะสังสรรค์กันตามประสาหนุ่มๆกระมัง อย่ารอเลย” พลโทนภว่า ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังห้องรับประทานอาหาร

“เฮ้อ ...” อัปสรนภาทอดสายตามองอาหารหลากหลายเมนูบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเสียงดังจนคุณหญิงบุหงาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหรี่ตาปราม “ขอโทษค่ะ นภาแค่นึกโมโหพี่เวหา ทุกคนอุตส่าห์เตรียมของโปรดไว้รอ แทนที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ที่ไหนได้ ... กลับเห็นเพื่อนดีกว่า”

ศกุนตลาเอื้อมมือไปจับแขนของอัปสรนภาแล้วส่ายหน้าปราม

“ตัวอย่าเข้าข้างพี่เวหาให้มากเลยน่า เค้ารู้ว่าตัวก็เสียใจ อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งตำน้ำพริกอยู่ครึ่งค่อนวัน ที่ไหนได้ ...”

“ได้อะไรงั้นรึ ... หืม”

“...”

“อ้าวเวหา กำลังมีคนบ่นถึงพอดี มาๆ” พลโทนภร้องทักบุตรชายที่เดินนำคนสวนที่หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาให้ห้องรับประทานอาหาร

“ทำไมไม่ได้ยินเสียงรถเลยล่ะลูก” คุณหญิงบุหงาเอ่ยถามคนที่เพิ่งย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ

“รถโดนตะปูครับคุณแม่ เลยติดรถมนตรีมา” ตอบมารดาเสร็จแล้วจึงหันไปเอ่ยกับคนสวนที่ช่วยหิ้วถุงเสื้อผ้าเข้ามา “ฝากเอาของไปไว้บนห้องผมก่อนก็แล้วกัน”

“ครับ” แผนค้อมศีรษะรับคำ แล้วเดินออกไปจากห้อง

“ไม่ชวนมนตรีมากินข้าวด้วยกันล่ะ” พลโทนภถาม

“ชวนแล้วครับคุณพ่อ แต่มนตรีต้องรีบกลับไปรับมื้อเย็นกับที่บ้านเหมือนกัน เลยต้องรีบไป”

“ไม่เจอเสียหลายปี เวหาก็เหลือเกินหวงน้องจนไม่พาเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้าน” คุณหญิงบุหงาว่า

อนิลบถหัวเราะแผ่วเบา “ห่วงเพื่อนมากกว่าครับ เกรงว่าจะโดนคนแถวนี้แผลงฤทธิ์ใส่”

“พี่เวหาว่าตัวแหนะ” อัปสรนภาหันมาแตะไหล่ศกุนตลา

ศกุนตลาทำแก้มพองก่อนจะย่นจมูกใส่คนช่างแกล้ง 

“แหนะ ไม่ทันไรก็แผลงฤทธิ์ใส่กันเองเสียแล้ว” ได้ทีขี่ม้าไล่ยิ่งเห็นศกุนตลาไม่ตอบโต้อัปสรนภาจึงยิ่งแกล้งทว่าคนช่างแกล้งเริงร่าได้เพียงไม่นานก็พ่ายให้กับแม่นกน้อยของบ้านอย่างราบคาบ เมื่อศกุนตลาวิ่งอ้อมฝั่งไปนั่งคุกเข่ากับพื้นชิดกับเก้าอี้ของอนิลบถก่อนจะแล้วเอียงหน้าซบลงบนต้นแขนแกร่ง

“นกน้อยของพี่โดนแกล้งอีกแล้วหรือคะ” อนิลบถหัวเราะในลำคอพลางลูบศีรษะเล็กอย่างเอื้อเอ็นดู 

เมื่อออดอ้อนขอความเห็นใจจากพี่ใหญ่ของบ้านแล้ว ศกุนตลาจึงเอียงหน้าขึ้นมองอัปสรนภา ก่อนจะยักคิ้วแล้วแลบลิ้น ซึ่งอัปสรนภาเองก็ไม่ยี่หระแลบลิ้นตอบ อนิลบถ พลโทนภ และคุณหญิงบุหงามองสองสาวเย้าแหย่กันแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมยิ้ม 

ขวบปีแรกที่ศกุนตลาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคา หญิงสาวยังคงระวังท่าทีเว้นระยะห่าง ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นแสดงความห่างเหินแต่กระนั้นก็ใช่จะไว้วางใจ อัปสรนภาคือตัวแปลสำคัญที่ทำให้ศกุนตลาค่อยๆเปิดใจด้วยกันสัพยอกหยอกล้อ หลอกล่อให้ศกุนตลาเผยตัวตนตามธรรมชาติออกมาได้อย่างไม่เคอะเขิน 

มือน้อยๆของอัปสรนภาฉุดรั้งให้ศกุนตลาก้าวผ่านคืนวันที่แสนโหดร้ายและเปลี่ยวเหงา โดยมีมือหนาของอนิลบถคอยประคับประคองอยู่ไม่ห่าง ดังนั้นทั้งสามจึงสนิทสนมกลมเกลียว ไม่ว่าคืนวันจะผ่านไปกี่ปีทว่าเมื่อได้อยู่ร่วมกันภาพจำของเด็กหญิงแสนซนและหนุ่มน้อยผู้สุขุม จึงเวียนกลับมาให้คนในครอบครัวได้อุ่นใจเสมอ

พลโทนภและคุณหญิงบุหงา นั่งมองลูกๆหยอกล้อกันจนหอมปากหอมคอแล้ว จึงเริ่มรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน และแน่นอนว่า เจ้าของเมนูโปรดบนโต๊ะเจริญอาหารมากกว่าใคร ดังนั้นหลังมื้ออาหารอนิลบถจึงตอบแทนทุกคนด้วยเสียงเปียโนบรรเลง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ซ้อมมือมานาน แต่กระนั้นก็สามารถถ่ายทอดความแว่วหวานขับกล่อมคนที่เอนตัวอ่านนวนิยายหลับคาโซฟาห้องนั่งเล่น

“เป็นสาวเป็นนาง นอนขี้เซาเสียจริง” คุณหญิงบุหงาส่ายหน้าระอาเมื่อไม่อาจปลุกสองสาวที่ผลอยหลับให้ตื่นขึ้นมาได้

“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ เดี๋ยวผมพาสองคนนี้ขึ้นไปนอนเอง” อนิลบถว่า

“ยังอุ้มไหวอยู่หรือไร น้องโตกันหมดแล้วนะ” คนเป็นแม่ถาม

“โตที่ไหนกันครับ ยังตัวเท่าเมี่ยงเหมือนเดิม” อนิลบถตอบพร้อมยิ้มมุมปาก ต่อให้ผ่านไปสักกี่ปี ในสายตาของเขาอัปสรนภากับศกุนตลาก็ยังคงเป็นเพียงเด็กหญิงผมเปียไม่เคยเปลี่ยน

“งั้นก็ดูน้องด้วยนะลูก พ่อกับแม่ขึ้นไปนอนก่อนก็แล้วกัน” พลโทนภกล่าว

“ครับ คุณพ่อ” อนิลบถรอจนบิดามารดาขึ้นห้องไปพักผ่อนแล้วจึงอุ้มอัปสรนภาขึ้นไปนอนบนห้องของเธอเป็นคนแรก จากนั้นจึงกลับลงมาอุ้มศกุนตลา

นักบินหนุ่มวางร่างเล็กลงบนเตียง กางผ้าห่มคลุมร่างของคนขี้เซาตั้งแต่ลำคอจนถึงปลายเท้า ก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างเตียง วางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมนุ่ม แล้วโน้มใบหน้าลงแนบกลีบปากหยักลงบนหน้าผากมน 

“ฝันดีนะคะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น