18

ตอนที่ 18


คำภาวนาของเธอกลับไม่เป็นผล เพราะทันทีที่เหยียบไม้กระดานแผ่นแรกของเรือนแสงอรุณก็ปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนเด่นอยู่กลางชานเรือนในชุดลำลอง ชายหนุ่มกอดอกทอดสายตามองบางสิ่งเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

                ‘สงสัยคิดถึงอาจารย์ณัฐวรา’ หอมนวลพยายามทำตัวลีบเล็กที่สุด ค้อมตัวเดินอ้อมหลังเขมราชเพื่อผ่านเข้าไปในบ้าน

                “เดี๋ยว!”

                เสียงกังวานอย่างผู้ทรงอำนาจหยุดฝีเท้าของหอมนวลได้ในฉับพลัน เป็นคำแรกที่เขาพูดกับเธอนับจากวันที่จันทร์นรีเอาสมุดบันทึกมาให้เขา

                “คุณเขมพูดกับหอมเหรอคะ”

                “เธอละเลยหน้าที่นะหอมนวล” คนตัวโตหันมามองหอมนวลเต็มตา เพื่อยืนยันว่าเขาพูดกับเธอ ไม่ได้พูดกับผีสางนางไม้ที่ไหน

                “หน้าที่?...” หอมนวลไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึง หน้าที่เลี้ยงวัว หรือหน้าที่ภรรยา

                “ใช่ วันนี้เธอต้องไปเลี้ยงวัวหลังเลิกเรียน แล้วทำไมไม่ไป”

                “อ่อ…ค่ะ หอมขอโทษนะคะที่ละเลย วันนี้หอมแวะไปหาป้ามณี พอดีคุณน้าแพรว น้องสาวแม่น่ะค่ะ กลับจากญี่ปุ่นเลยแวะมาเยี่ยม หอมคุยเพลินไปหน่อยจนเลยเวลา” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีการตัดพ้อหรือประชดประชันใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าอยากจะทำก็ตาม 

                ไปกับผู้หญิง ยังมีเวลามาตรวจสอบว่าเธออู้งานหรือเปล่า...

                “ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ แค่กลัวว่าเธอจะลืม ส่วนหน้าที่อีกอย่าง ฉันคงไม่ขอให้เธอทำแล้วละ”

                หอมนวลเข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกอย่างไรกับการยกเลิกคำสั่งของเขาในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเขมราชจะเดินห่างจากเธอไปทุกทีๆ และอีกไม่นานก็คงขาดจากกันโดยสิ้นเชิง

                “ค่ะ” เธอตอบได้แค่นั้น

                เขมราชพยักหน้า แววตาของความเกลียดชังที่เคยมีบัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า

                หอมนวลเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าความเกลียดนั่นคือการไม่รู้สึกอะไรเลย มันกลายเป็นเครื่องทำร้ายเธอได้เป็นอย่างดี

                หรือว่าเธอกำลังกลับไปเป็นคนเดิม

                คนที่เขาไม่รู้จัก...คนที่เขามองข้ามไปทุกครั้ง...คนที่เขาไม่เคยรับรู้ถึงการมีตัวตน

                “ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอเท่านี้แหละ”

                “หอมก็มีเรื่องจะพูดกับคุณเขมเหมือนกันค่ะ”

                “เอาไว้ก่อน” พ่อเลี้ยงหนุ่มตัดบท ก้าวผ่านหน้าเธอไป

                หอมนวลมองตามแผ่นหลังแข็งแกร่ง เธอรู้แล้วว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของเธอ

                “หอมจะหย่าค่ะ”

                หอมนวลรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่จะทำสิ่งตรงข้ามกับความต้องการของหัวใจ ทว่าร่างสูงของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับไม่ยอมหันกลับมา เขาทำเพียงหยุดชะงัก คงคิดไตร่ตรองหรือไม่ก็อาจกำลังฉีกยิ้มจนหน้าบาน แต่จะอะไรก็แล้วแต่ เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องตอบรับ บางทีเขาอาจกำลังคิดถึงวันและเวลาที่จะนัดหย่าก็ได้

                แต่เธอก็คิดผิดถนัด เมื่อเขมราชก้าวเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองเธอแม้แต่นิด ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเธอ

                “คุณเขม คุณเขมคะ หอมจะหย่านะคะ คุณเขมได้ยินมั้ยคะ” หอมนวลไม่เพียงแต่ตะโกนเรียก แต่ยังรีบเดินตามไปพร้อมกับยืนยันความต้องการของตน ทว่าคนตัวโตก็ไม่สนใจ เขาก้าวเข้าห้องและปิดประตูลงกลอนทันที

                หอมนวลยืนงงอยู่อย่างนั้นนานสองนาน  หรือว่าเขาต้องการแก้แค้นเธอ ให้เธอมีชีวิตอยู่กับทะเบียนสมรสอย่างทุกข์ทรมาน

 

                หอมนวลยัดขนมปังใส่ปากด้วยแรงโมโหที่คุกรุ่นมาตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนรักทั้งสองฟังอารมณ์ก็พานปะทุขึ้น ประหนึ่งว่ามีใครราดน้ำมันลงบนกองไฟ

                “แกขอหย่ากับเขา แล้วเขาเดินหนีงั้นเหรอวะ” ปารณีย์ไม่อยากเชื่อ ถ้าบอกว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มกระโดดตัวลอย จุดพลุเฉลิมฉลองดูยังจะเชื่อง่ายกว่า

                “นี่นังหอม แกโกหกหรือเปล่ายะ” ไม่ใช่แค่ปารณีย์ที่ไม่เชื่อ สุชาติก็เช่นกัน หนุ่มหน้าหวานหรี่ตามองเพื่อนหวังจับพิรุธ “แกโกหกพวกฉันหรือเปล่า อันที่จริงแกยังไม่ได้ไปคุยเรื่องหย่าเลยใช่มั้ย”

                “ไอ้ชาติ ฉันจะโกหกทำบ้าอะไรล่ะ”

                หอมนวลแหวเข้าให้ บ่งบอกอารมณ์ว่าเธอหงุดหงิดจริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนที่เขมราชทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด จนกระทั่งเวลาเช้าที่โต๊ะอาหาร ชายหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตารับประทานท่าเดียว เธอพยายามส่งสัญญาณเท่าไร เขาก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

                ‘คุณเขมว่างไปหย่าเมื่อไหร่คะ’ หอมนวลถามขึ้นหลังจากวิ่งตามเขาตั้งแต่โต๊ะรับประทานอาหารมาจนถึงรถกระบะของเขา นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ชายหนุ่มยังส่งสายตาดุๆ มาให้อีก

                ‘ถอยไป…’

                ‘คุณเขมคะ หอมถามว่าเราจะหย่ากันวันไหน’ คนถูกดุไม่ยอมฟัง เธอตั้งใจแล้วและต้องทำให้ได้

                ‘เธอรู้อยู่แก่ใจ ว่าการหย่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดังนั้น...อย่าพยายามหาเรื่องคุยกับฉัน ด้วยหัวข้อเดิมๆ ว่าจะหย่าหรือพูดอะไรทำนองนี้อีก’

                นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนชายหนุ่มจะขับรถออกไป

                เธอจับจ้องฝุ่นดินที่ฟุ้งกระจายอย่างตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าการขอหย่าจะกลายเป็นการหาเรื่องคุย ในสายตาเขา เธอคงเป็นผู้หญิงที่ไม่หลงเหลือความดี  

                ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งเสียใจก็ยิ่งโมโห เธอโกรธตัวเองที่ไม่ยอมหย่าให้เขาไปตั้งแต่วันนั้น เพียงเพราะต้องการปกป้องคนใจร้ายผู้ไม่เคยมองเธอในแง่ดีเลย

                “งั้นก็แปลก...” สุชาติทำหน้าเหมือนสุนัขหลงทาง พยายามคิดถึงเหตุผลของเขมราช แต่ก็คิดไม่ออก

                “นี่พวกแก หยุดคิดเรื่องนี้ก่อน” ปารณีย์ยุติการสนทนาเรื่องที่ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ “ฉันกับไอ้ชาติสมัครไปค่ายอาสาสมัครเสาร์อาทิตย์นี้ ไปช่วยชาวบ้านฟื้นฟูที่อยู่อาศัยหลังน้ำท่วม แกจะไปด้วยไหมหอม”

                “ฉันต้องเลี้ยงวัวน่ะสิ” หอมนวลบอกอย่างเสียดาย ขนมปังในมือก็พลอยมีรสชาติจืดชืดลงในทันที

                ปารณีย์ถึงกับเศร้าใจแทน ส่วนสุชาตินั้นได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยใจ “แกนี่มันอาภัพจริงๆ เลยว่ะหอม”

                หอมนวลเดินคอตกไปรอเพื่อนต่อแถวรับใบสมัครค่ายอาสา เธอไม่รู้ว่าตนเองเศร้าเรื่องอะไรกันแน่ ระหว่างไม่ได้ไปค่ายกับเพื่อนๆ หรือการต้องมาเห็นหน้าณัฐวราในเวลานี้ เพราะยิ่งได้พบก็ยิ่งตอกย้ำว่าหญิงสาวเหมาะสมกับสามีเธอทุกประการ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และการศึกษา ทำเอาตัวเธอเล็กลงๆ จนแทบจะติดอยู่กับพื้นดินอยู่แล้ว

                “หอมนวลล่ะ ไม่ไปด้วยเหรอ” อาจารย์สาวคนสนิทของเขมราชที่กำลังสนทนากับเพื่อนของเธอ ถามด้วยรอยยิ้มละไม

                “เอ่อ...คือว่าหอมนวลต้องช่วยพ่อเลี้ยงเขมราชดูแลฟาร์มน่ะค่ะอาจารย์ ช่วงนี้กำลังฟื้นฟูไร่ข้าวโพด เป็นถึงนายหญิงฟาร์มแสงอรุณ ถ้าไม่อยู่เดี๋ยวลูกน้องจะไม่มีกำลังใจทำงาน”

                หอมนวลถึงกับกลั้นหายใจกับการโกหกคำโตของสุชาติ ด้วยหวังว่าจะแสดงแสนยานุภาพของเธอให้ใครต่อใครได้รู้ แต่หอมนวลกลับคิดว่านั่นเป็นการขายหน้ามากกว่า เพราะณัฐวราอาจจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

                “แหม...เขมนี่ไม่ไหวเลยนะ ใช้งานหนักไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวอาจารย์จะขอให้” ว่าแล้วณัฐวราก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดโทร. ออกทันที

                หอมนวลกับเพื่อนรักทั้งสองต่างจ้องโทรศัพท์ไม่วางตา และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าคนปลายสายกดรับโทรศัพท์แทบจะทันที

                “ชวนทานข้าวอะไรล่ะเขม นี่มันเพิ่งสิบโมงอยู่เลยนะ” น้ำเสียงหวานกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องมาทำเป็นคิดถึงเลย น้ำจะโทร. มาขอตัวหอมนวลให้มาช่วยงานค่ายอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเสาร์อาทิตย์นี้”

                ณัฐวราพูดไปยิ้มไปจนหอมนวลอดค่อนขอดไม่ได้ ทีคุยกับเธอแค่ประโยคสองประโยคเหมือนจะขาดใจตาย แต่พอกับณัฐวรา...คุยได้ทุกเรื่องทุกโอกาสเลยเชียว

                หญิงสาวอยากจะปาข้าวของทิ้งแล้ววิ่งหนีไปให้พ้นจากการได้ยินประโยคสนทนาครั้งนี้

                “ดีค่ะ ว่าง่ายๆ จะได้น่ารัก แล้วเจอกัน บาย”

                แม้จะวางสายไปแล้ว แต่ใบหน้าสวยเฉียบของอาจารย์สาวยังระบายไปด้วยรอยยิ้ม “เขมอนุญาตแล้วนะ”

                ส่วนหอมนวลนั้น หน้าตึงเหมือนเส้นด้ายที่ถูกขึง รอวันขาดอย่างไรอย่างนั้น

                “แหม...ดูอาจารย์อยากให้หอมไปด้วยจริงๆ เลยนะคะ” สุชาติพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

                “นั่นสิชาติ” ปารณีย์เสริม “จริงๆ แล้วไอ้หอมไม่ไปคนนึงก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ”

                “เป็นสิ กำแพงโรงเรียนถูกน้ำท่วมจนเป็นรอยน้ำ อาจารย์คิดว่าน่าจะทาสีให้โรงเรียนด้วย วาดรูปสวยๆ เด็กๆ จะได้อยากมาโรงเรียน แล้วเท่าที่ถามนักศึกษาในคณะ ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหอมนวลวาดรูปสวย ไปนะหอมนวล ถือว่าช่วยเด็กๆ”

                หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้วหอมนวลแทบจะวิ่งออกมาจากห้องชมรม ทำเอาสุชาติกับปารณีย์เกือบตามไม่ทัน ออกมาจากตรงนั้นได้ก็ยืนหอบกันอยู่พักใหญ่

                “โอ๊ย...แฮกๆ นี่...แฮกๆ ฉันว่านะ เราต้อง...ออกกำลังกายกันบ้างแล้วละ” สุชาตินั่งหอบอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนเสนอ

                “ไอ้ชาติ แกคิดเหมือนฉันมั้ย ว่ายายอาจารย์คนสวยคิดจะแกล้งเพื่อนเรา” ปารณีย์หายเหนื่อยแล้วจึงพูดสิ่งที่ค้างคาใจ

                “จริงยิ่งกว่าจริง”

                “พวกแกคิดมากไปหรือเปล่า” หอมนวลไม่เห็นด้วย แม้จะคล้อยตาม แต่ไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยมีอะไรหมางใจกันจะต้องมาแกล้งกันด้วยวิธีแบบนี้

                “โอ๊ย!...นางเอก”

                สองเพื่อนรักที่มีความเห็นไม่เคยตรงกันสักเรื่องประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง   

                “พวกแกช่วยคิดหน่อยสิ ฉันจะไปตกลงเรื่องหย่ากับคุณเขมยังไง ให้เขาไม่รู้สึกว่าฉันแค่ต้องการหาเรื่องคุยน่ะ”

                สุชาติกับปารณีย์ต่างมองหน้ากัน คนที่มักคิดอะไรดีๆ ได้เสมออย่างสุชาติก็อับจนหนทาง ส่วนปารณีย์นั้นได้แต่ถอนหายใจ เพราะเธอทำได้ดีที่สุดแค่เป็นกำลังใจให้เท่านั้น

                หอมนวลเครียดจัดจนอยากหายตัวไปจากปัญหาที่เป็นอยู่ เธอรับไม่ไหวและไม่อยากทนอีกต่อไป ดังนั้นไม่ว่าเขมราชจะมองเธออย่างไร เธอต้องการหย่าให้เร็วที่สุด

 

                หอมนวลนั่งมองเจ๊หงส์ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำปรุงอาหารอย่างสนอกสนใจ ทั้งที่เธอเห็นกรรมวิธีการปรุงแบบนี้มานานนับสิบปี แต่ทุกครั้งที่มารับประทาน เธอก็ไม่เคยเบื่อเลยที่จะหยุดมองด้วยความเพลิดเพลิน

                ผ่านเหตุการณ์ฝายกักเก็บน้ำแตกมาได้หนึ่งสัปดาห์ สถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊หงส์เปิดมาตั้งแต่สองวันที่แล้ว ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เร่งฟื้นฟูที่อยู่อาศัยกันอลหม่าน บางหลังแค่เพียงเช็ดล้างทำความสะอาด ในขณะที่บางหลังถึงกับต้องรื้อกันใหม่เลยก็มี

                ก่อนมาถึงหมู่บ้าน หอมนวลแวะไปดูบ้านริมธารของเขมราช ที่เธอกับเขาร่วมสร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเรือนหอของเขากับจันทร์นรี แต่พอได้เห็นสภาพก็ถึงกับใจหาย เพราะหลังคาถูกกิ่งไม้หักลงมาทับจนกระเบื้องแตกเป็นรู ราวระเบียงพังลงมาทั้งแถบ กระถางกุหลาบนับสิบล้มระเนระนาด ดอกใบเหี่ยวเฉาตายเกือบทั้งหมด และบางส่วนถูกสายน้ำพัดพาไป

                สภาพโดยรวม ‘พัง’ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของคนที่ร่วมสร้างมันมา เธอยืนมองภาพนั้นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อระลึกไว้ในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเธอกับเขาเคยนอนดูดาวที่ระเบียง พูดคุยทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระจนค่ำมืดดึกดื่น แม้กระทั่งความสัมพันธ์อันลึกซึ้งซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็เกิดขึ้นที่นี่

                อีกไม่นานที่นี่คงถูกรื้อทิ้ง เพราะนอกจากจะยากต่อการซ่อมแซมแล้ว มันยังไม่มีความหมายอะไรกับใครทั้งนั้น

                “หอม”

                หอมนวลหันไปตามเสียงเรียกของปารณีย์ ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนนักศึกษากว่าร้อยชีวิต โดยข้างกายนั้นเป็นสุชาติ ที่เห็นได้ชัดว่าสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เบื้องหลังของนักศึกษากลุ่มใหญ่เป็นรถบัสสองชั้นสีเขียวอ่อนสองคัน ติดด้วยสติกเกอร์ตรามหาวิทยาลัยและชื่อคณะ

                แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของเธอเลย ถ้าจะไม่มีผู้ชายร่างสูงสง่าที่เธอคุ้นเคยกำลังยืนสนทนาอย่างออกรสกับอาจารย์สาวที่ปรึกษาชมรมคนใหม่

                เป็นภาพที่เธอยอมรับเลยว่า ‘ไม่เจริญตา’

                คนตัวเล็กยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหลังจากเพิ่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวไปได้ไม่กี่คำ เธอจำต้องเดินไปหาเพื่อนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เดือดร้อนที่เห็นสามีของตัวเองไปยืนอ้อล้ออยู่กับผู้หญิงคนอื่น

                พอเดินเข้ามาใกล้จึงได้เห็นว่าท่ามกลางคนอื่นๆ นั้นมีภาคินัยรวมอยู่ด้วย เธอมองไม่เห็นเขาไปได้อย่างไรนะ ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมหรูที่สุดในเชียงรายตัวสูงเกือบเท่ากับเขมราช

                “ไอ้หอม ฉันเตรียมสีมาครบตามที่แกบอกแล้วนะ ลุยได้ยัง” ปารณีย์แสร้งกระตือรือร้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกของเพื่อนตอนนี้ไม่ต่างจากกินยาขม

                หอมนวลยิ้มให้เพื่อนแค่ปาก แต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วย เขมราชไม่บอกเธอสักคำว่าจะเข้าหมู่บ้าน ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าเธอต้องมาร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีน้ำใจชวนเธอมาด้วยกัน เพราะคงกลัวว่าณัฐวราจะเข้าใจผิด

                ไม่เห็นจะเป็นไร จักรยานก็พาเธอมาถึงเหมือนกัน  

                “สวัสดีค่ะอาจารย์ สวัสดีค่ะคุณภาค” แม้ใจจะสั่นระรัว แต่หอมนวลก็ยังเก็บอาการให้ดูปกติได้เป็นอย่างดี

                “สวัสดีครับน้องหอม” ภาคินัยทักทายด้วยท่าทีห่างเหิน เพราะยังแคลงใจกับพฤติกรรมของภรรยาเพื่อนเกินกว่าจะให้ความสนิทเช่นครั้งที่พบกันเมื่อเดือนก่อน แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเสียทีเดียว เพราะหอมนวลยังดูใสซื่อเป็นปกติทุกอย่าง ขอให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดก็แล้วกัน

                “หอมนวลเป็นคนสำคัญเลยนะภาค เธอเก่งเรื่องการวาดรูปออกแบบ” ณัฐวราอวยยกใหญ่

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะอาจารย์ หนูกลัวว่าอาจารย์เห็นแล้วจะผิดหวังมากกว่า”

                “งั้นต้องถามเขมสินะ เพราะว่าเขมเป็นคนใกล้ชิดหอม น่าจะรู้ดีที่สุด”

                คนถูกถามทำสีหน้าเรียบเฉย เขากลายเป็นคนพูดน้อยไปเลยเมื่ออยู่ในวงสนทนาที่มีหอมนวลอยู่ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าเขาพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ

                “ใกล้ชิดครับ แต่รู้จักจริงๆ แค่ผิวเผิน” 

                ถึงปากจะร้าย แต่แววตานั้นไม่ได้แสดงออกว่าเกลียดอย่างที่พยายามให้คนอื่นเข้าใจ

                ปารณีย์กับสุชาติมองหอมนวลกับสามีเพื่อนสลับกันไปมาอย่างงุนงง พลันเกิดความคิดสับสนปนเประหว่างคำบอกเล่าของหอมนวลกับพฤติกรรมของพ่อเลี้ยงหนุ่ม เพราะขณะที่หอมนวลเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองใคร เขมราชก็จับจ้องแต่เพื่อนของพวกเธอไม่วางตา

                ที่สำคัญ...พวกเธอไม่พบแววตาเกลียดชังในดวงตาสีสนิมของสามีเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

                สุชาติมองปารณีย์แล้วทำท่าเกาปากเพราะคันยิบๆ อยากจะพูดสิ่งที่คิดออกมา ทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วสื่อความหมายทางสายตาเท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น