4
คำขอของพฤกษ์เหมือนจะไม่มีอะไรยาก แต่แท้จริงแล้วนี่คือคำขอที่คะนึงนิตย์ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินออกจากปากของชายหนุ่ม เธอมองเขาที่ค่อยๆ ขยับตัวถอยออกไป ปล่อยให้เธอเป็นอิสระจากวงแขน
“ทำไมคะ” เธอถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาที่ไม่ต่างจากการกระซิบ แต่พฤกษ์ก็ยังคงได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน
“ปั้นไม่คิดว่าระหว่างพวกเรามันมีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ”
คิดสิ...เธอเคยคิด แต่ว่านั่นมันก่อนที่เธอจะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเลย
“พี่พฤกษ์อย่าแกล้งปั้นแบบนี้” ความไม่มั่นใจและท่าทีของเขาทำให้เธอสับสน เธอไม่อยากยืนกอดความหวังที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกครั้งแล้ว
“ทำไมปั้นถึงคิดว่าพี่แกล้งล่ะ”
พฤกษ์จ้องตรงมาที่เธอ สีหน้าของเขาเรียบสงบ ทว่าแววตาราวกับมีคลื่นลมรุนแรงสะท้อนออกมา เธอกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่ติดค้างทั้งหมดออกมา
“พี่พฤกษ์จำตอนที่ปั้นไปอยู่กับพี่ที่บ้านได้ไหมคะ” เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้ารับ หญิงสาวจึงพูดต่อไป “ก่อนหน้านี้ ปั้นได้ยินว่าทั้งหมดที่พี่พฤกษ์ทำให้ปั้น...เพราะพี่แค่สงสารปั้น”
สีหน้าของชายหนุ่มคล้ายจะมึนงงไปชั่วครู่ แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็กระจ่างขึ้นคล้ายจะเข้าใจสิ่งที่คะนึงนิตย์บอกแล้ว เขาจึงมองและรอคอยให้เธอพูดต่อให้จบ
เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่พฤกษ์และกชนันท์ช่วยเธอออกจากบ้านของพัชรี แม้คะนึงนิตย์ยืนยันว่าไม่เป็นอะไร แต่ทุกคืนที่ต้องอยู่หอพักคนเดียว เธอมักจะฝันร้ายและตื่นขึ้นกลางดึกเสมอ เธอไม่บอกเรื่องนี้ให้เพื่อนรักอย่างกชนันท์รู้ เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดความอ่อนล้าของร่างกายไว้ได้ ดังนั้นต่อให้กลบเกลื่อนอาการเหล่านี้ไว้ กชนันท์ก็จับอาการผิดปกติของเธอได้
ด้วยความหวังดีของกชนันท์ อีกฝ่ายจึงชวนให้เพื่อนรักย้ายมาอยู่ที่บ้านตัวเองจนกว่าอาการของคะนึงนิตย์จะหายสนิท แม้ว่าจะปฏิเสธหลายครั้ง พร้อมบอกว่าอีกไม่นานก็จะทำใจและไม่รู้สึกอะไรไปเอง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม
‘ปั้น เรื่องแบบนี้ตัวจะยอมทำใจรับสภาพให้ชิน แล้วปล่อยผ่านไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง ถ้าเจ็บ ถ้ากลัวก็บอกสิ’
‘บัว เราไม่ได้กลัวนะ’ เธอตอบกชนันท์เสียงอ่อย แม้คำพูดของเพื่อนจะทำให้เธอซาบซึ้งและอยากร้องไห้ออกมาแค่ไหน แต่เธอก็ฝืนกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงไป
‘คนโกหก! ไม่รู้ละ เราเรียกพี่พฤกษ์มาแล้ว ไม่ว่ายังไงปั้นก็ต้องไปกับเรา’
‘บัว!’
ไม่ทันขาดคำ พฤกษ์ก็มาถึงหอพักของพวกเธอ กชนันท์รีบฟ้องพี่ชายคนโตถึงความดื้อดึงของเธอ ส่วนตัวคะนึงนิตย์ได้แต่ยืนนิ่งๆ รอให้มีโอกาสพูด เธอจะได้ยืนยันกับชายหนุ่มว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เธอไม่อยากรบกวนพวกเขาสองพี่น้องไปมากกว่านี้แล้ว
แต่แล้วพฤกษ์ก็ทำในสิ่งที่คะนึงนิตย์คาดไม่ถึง พอฟังคำของกชนันท์จบ เขาเอ่ยปากสั่งน้องสาวให้เก็บข้าวของของเธอทันที แน่นอนว่าคนเป็นน้องรีบยิ้มแล้วหันไปคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเธอขึ้นมา
‘เดี๋ยวค่ะ!’
คะนึงนิตย์ไม่ทันรั้งตัวกชนันท์ที่เดินลิ่วๆ เข้าไปห้องแต่งตัว เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจเจรจากับพี่ชายของอีกฝ่ายแทน ก็เคยได้ยินมาว่าพฤกษ์เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ในบรรดาสามพี่น้องรัตนเวคินทร์ เขาคือคนที่คอยดูแลน้องๆ ทุกคนแทนพ่อแม่ที่ยุ่งวุ่นวายกับงานจนไม่มีเวลาให้ลูกๆ
‘พี่พฤกษ์คะ อย่าลำบากเลยค่ะ ปั้นไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ปั้นไม่อยากรบกวน’
คะนึงนิตย์ยังจำได้ว่าวันที่เกิดเรื่องพี่ชายเพื่อนเป็นคนที่จัดการทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พาเธอไปโรงพยาบาล ดูแลเรื่องค่ารักษาทั้งหมด ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กับคนที่ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เธอก็รบกวนสองพี่น้องมากไปแล้ว
พฤกษ์มองหน้าเธอเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมากุมมือของเธอกะทันหัน แล้วรั้งทั้งร่างให้ขยับเข้ามาใกล้กัน ดวงตาที่สงบนิ่งของเขาจ้องตรงมาอย่างเงียบงัน วินาทีที่สายตาของทั้งคู่ผสานกัน คำพูดต่อมาของเขาทำให้หญิงสาวหวั่นไหวขึ้นมา
‘มองตาพี่แล้วบอกสิ ว่าปั้นไม่เป็นอะไร อย่าหลบตาพี่’
จู่ๆ คะนึงนิตย์ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเด็กๆ ที่ทำความผิดแล้วถูกคุณครูจับได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ บังคับไม่ให้ตัวเองสั่นไหว จ้องดวงตาเขาไม่กะพริบ แล้วพูดออกไปช้าๆ ชัดๆ
‘ปั้นสบายดีค่ะ ปั้นไม่ได้เป็นอะไร’
ทั้งๆ ที่หญิงสาวคิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังคงจับความหวั่นไหวส่วนลึกในใจออก พฤกษ์เลื่อนมืออีกข้างแตะลำคอของเธอที่ยังหลงเหลือรอยช้ำจางๆ
ยามที่มือของพฤกษ์กุมมือเธอไว้นั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นที่แสนสบาย ทว่าพอสัมผัสลำคอของเธอก็กลับกลายเป็นความรู้สึกที่อุ่นจนเกือบร้อน แผดเผาผิวของเธอทุกครั้งที่เขาไล้นิ้วลากผ่านรอยช้ำพวกนั้น ทั่วทั้งร่างกายแข็งเกร็งไปทุกส่วน
‘อย่าโกหกพี่ อย่าโกหกตัวเอง ถ้ากลัวปั้นก็ต้องบอกว่ากลัว’
หญิงสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสับสน ตอนแรกพวกเธอไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าพี่ชายของเพื่อนและเพื่อนรักของน้องสาว ก่อนหน้านี้คะนึงนิตย์รู้สึกเกร็งๆ และเขินอายบ้างเวลาที่ต้องอยู่กับเขา ทว่าตั้งแต่วันที่เขาปรากฏตัวขึ้น โอบกอดและปกป้องเธอไว้จากเรื่องเลวร้าย ช่วงเวลาเหล่านั้นเองที่ความรู้สึกบางอย่างในใจของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป
เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เย็นชาอย่างที่คิด ไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากอย่างที่เธอเคยเข้าใจ แต่กลับเป็นผู้ชายที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ตัวตนที่โดดเด่นของเขาฉายประทับในใจของเธอตั้งแต่วันนั้น
‘ปั้น...’
‘ไม่เป็นไรแล้ว ปั้นเข้มแข็งมากแล้วครับ’
หัวใจที่เคยคิดว่านิ่งสงบกลับไหลกระเพื่อมด้วยคลื่นคำพูดและความใส่ใจของคนตรงหน้าอีกครั้ง น้ำตาที่เธอเก็บเอาไว้ก็เอ่อขึ้นที่ขอบตาจนภาพตรงหน้าพร่าเลือน คะนึงนิตย์ถอยหลังพยายามหนีจากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น แต่มือหนาของเขาก็รั้งเธอเอาไว้ รู้ตัวอีกครั้งนิ้วโป้งของชายหนุ่มก็เกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มช้าๆ เบาๆ
‘กลับบ้านกับพี่นะปั้น’
คะนึงนิตย์รู้ดีว่าการจะได้น้ำใจและความหวังดีจากใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอพฤกษ์เอ่ยปากชวนขึ้นมาแล้ว เธอก็ลืมสิ้นหมดทุกความกลัว เขาทำให้เธอรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองจมอยู่ในฝันร้าย แต่แค่เธอพบเขา ฝันร้ายเหล่านั้นก็จะหายไป โดยที่ความรู้สึกแสนหวานบางอย่างงอกเงยเติบโตขึ้นแทน
เธอกำลังตกหลุมรัก
กำลังตกหลุมรักคนที่คาดไม่ถึง ตกหลุมพรางของความอ่อนโยนที่เขามอบให้ รู้สึกละโมบอยากได้ความอบอุ่นจากตัวเขามากกว่านี้
แรงบีบที่มือทำให้คะนึงนิตย์เงยหน้าสบตากับร่างสูง วินาทีที่หัวใจยอมเปิดเปลือยความอ่อนแอ เธอก็พยักหน้าตอบรับคำพูดเขาง่ายๆ เช่นเดียวกับที่หัวใจเปิดรับเขาเข้ามาครอบครองเช่นเดียวกัน
ท้ายที่สุด เธอก็เข้ามาอยู่กับสามพี่น้องที่บ้านรัตนเวคินทร์เป็นการชั่วคราว กชนันท์ตระเตรียมห้องรับรองสำหรับแขกไว้ให้เธอเป็นที่เรียบร้อย ของที่จำเป็นต้องมีก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว เหมือนกับว่าห้องห้องนี้รอแค่ให้เธอเก็บกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่ก็เท่านั้น
เธออาจจะโชคร้ายที่ขาดพ่อกับแม่ตั้งแต่เด็ก รวมถึงโชคร้ายที่ต้องเจอกับญาติหรือคนในครอบครัวที่ไม่จริงใจ แต่เธอก็ยังโชคดีที่ชีวิตนี้ถูกชดเชยความรักที่หายไปด้วยคนสนิทคนใกล้ตัวที่ดีต่อเธออย่างแท้จริง
การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านรัตนเวคินทร์ไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิด แม้เจ้าบ้านทั้งสองอย่างพ่อกับแม่ของเพื่อนรักจะไม่อยู่ประเทศไทยเพราะต้องทำงานหนัก ทว่าสามพี่น้องก็ยังคงรักใคร่กลมเกลียวกันดี หลายๆ อย่างเป็นเพราะได้พี่ชายคนโตอย่างพฤกษ์คอยจัดการความเรียบร้อย ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการช่วยเหลืองานในบ้านเธอจึงพยายามอาสาช่วยทำให้มากที่สุด
ช่วงเวลาที่คะนึงนิตย์ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ฝันร้ายและอาการตื่นกลางดึกก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับคนที่ตัวเองไว้ใจอย่างกชนันท์ และรู้ดีว่าเธอมีคนที่เข้มแข็งอย่างพฤกษ์คอยปกป้องแล้ว ความกลัวที่ตกค้างอยู่ในใจก็ค่อยๆ หายไป
ความเปลี่ยนแปลงที่ดีเช่นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพร่างกายของเธอ แต่สุขภาพใจของเธอก็ดีขึ้นมากเช่นกัน นอกเหนือจากนั้น คะนึงนิตย์ก็รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างเธอกับพฤกษ์ที่ค่อยๆ มีร่วมกัน การได้นั่งพักผ่อนพูดคุยกันเรื่อยๆ บ่อยครั้งก็ทำให้เธอรู้สึกสนิทใจกับเขามากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเป็นดั่งสายใยบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
บางทีความสงบและความสุขเช่นนี้อาจจะเป็นแค่ไม่กี่อย่างที่เธอต้องการ
แต่แล้วช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับสามพี่น้องก็มาถึง เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุ การจากไปอย่างกะทันหันของพวกท่านทำให้กชนันท์ตั้งรับไม่ทัน พิธีงานศพถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบ โดยที่มีญาติพี่น้องของพวกเขาเป็นคนช่วยประสานดูแลงานให้
คะนึงนิตย์เข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี เพราะเธอเองก็ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักไปอย่างกะทันหันเช่นกัน ดังนั้นช่วงเวลาที่เธออาศัยอยู่ที่นี่จึงยืดนานไปอีก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะกชนันท์ขอเอาไว้ ส่วนอีกเหตุผลคือเธอเป็นห่วงพวกเขาสามคน โดยเฉพาะพฤกษ์
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเธอไม่เห็นเขาร้องไห้ออกมาสักครั้ง ยิ่งหลังจากงานศพแล้ว เธอเห็นได้ชัดเวลาเขาต้องรับมือกับปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ จากบรรดาญาติทั้งหลาย ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนหนุ่มอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ไม่เคยเจอมรสุมที่รุมล้อมรอบตัว แต่กลับต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบไว้เต็มสองบ่า ยิ่งเห็นเขาอดทนเข้มแข็งแค่ไหน เธอก็ยิ่งเป็นห่วง
ทรัพย์สินของครอบครัวรัตนเวคินทร์ก็ถูกจัดสรรอย่างเรียบร้อยในที่สุด ธุรกิจโรงแรมของครอบครัวตกเป็นของสามพี่น้อง พร้อมด้วยบ้านใหญ่ที่พวกเขาอาศัยอยู่และเงินสดในธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งกลางดึก คะนึงนิตย์ตั้งใจจะลงมาหาน้ำดื่ม แต่ตาดันเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคน ซึ่งคนคนนั้นก็คือพฤกษ์ เวลานั้นชายหนุ่มกำลังทิ้งตัวนอนอย่างอ่อนแรงบนโซฟาในห้องรับแขก ท่าทางเหนื่อยล้าของเขาทำให้เธอรู้สึกปวดหัวใจ คะนึงนิตย์รวบรวมความกล้าของตนขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ
‘พี่พฤกษ์คะ’
ทันทีที่ได้ยินเสียงของเธอ ร่างสูงของชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง แสงสว่างจากห้องข้างๆ ลอดผ่านเข้ามารางๆ ทำให้เธอเห็นรอยยิ้มบางๆ จากชายหนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำ
‘ปั้นยังไม่นอนเหรอ’
เธอส่ายหน้าพลางเดินไปนั่งบนโซฟาเล็กอีกตัวที่อยู่ไม่ไกลจากเขามาก
‘งานหนักมากหรือเปล่าคะ พี่ต้องอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ’ เธอรู้ว่าตั้งแต่ที่เขาต้องเข้ามาดูแลกิจการโรงแรมของครอบครัว พฤกษ์ก็กลับบ้านดึกขึ้นเรื่อยๆ คะนึงนิตย์ไม่รู้เลยว่าเขาต้องเจออะไรบ้างในแต่ละวัน แต่เห็นสภาพของเขาที่หมดแรงเช่นนี้แล้วก็อยากให้เขาได้พักเต็มที่
‘นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวพี่ก็ขึ้นไปนอนแล้ว ไม่ต้องห่วง’
‘พี่พฤกษ์คะ’
หญิงสาวเรียกเขาก่อนจะขยับตัวย้ายไปนั่งที่โซฟายาวตัวเดียวกันกับเขา
‘ตั้งแต่เรื่องคุณลุงคุณป้า ปั้นยังไม่ได้มีโอกาสพูดกับพี่เลย...ปั้นเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย และจนถึงตอนนี้แม้ปั้นจะไม่รู้ว่าพี่พฤกษ์เสียใจแค่ไหน หรือพี่ต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง แต่ปั้นอยากจะเป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้า...ถ้าปั้นช่วยอะไรพี่ได้ พี่พฤกษ์บอกปั้นได้ไหมคะ’
นี่อาจจะเป็นการกระทำที่กล้าหาญที่สุดที่คะนึงนิตย์เคยทำมา ก่อนหน้านี้ต่อให้เธอและเขารู้สึกสนิทใจกันมากเท่าไหร่ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เธอพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
‘...ก่อนหน้านี้ปั้นมีพี่พฤกษ์ มีบัวคอยช่วยเหลือและให้กำลังใจมาตลอด ปั้นอยากช่วยพี่บ้างค่ะ’
ทั้งหมดคือความหวังดีและความห่วงใยของเธอ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนเข้มแข็ง และถึงจะเป็นแค่เสี้ยวกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาต้องการ คะนึงนิตย์ก็อยากสื่อออกไปให้เขารับรู้
‘ปั้น...’ เสียงของพฤกษ์แหบพร่าขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับว่าเธอเห็นคลื่นอารมณ์บางอย่างในดวงตาของชายหนุ่ม แต่เพราะอยู่ท่ามกลางความมืด เธอจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน
‘พี่ขอ...’ เสียงของเขาหายไปในลำคอ
ยังไม่ทันที่คะนึงนิตย์จะได้ฟังคำขอชัดๆ จากพฤกษ์เป็นครั้งแรก ร่างกายที่สมกับเป็นชายหนุ่มเต็มตัวก็ขยับเข้ามาใกล้ วงแขนของเขาโอบกอดร่างของเธอไว้ พร้อมกับดึงเธอไปอยู่บนตักแกร่งของเขา สัมผัสแนบชิดที่ถูกกั้นไว้ด้วยเนื้อผ้าทำให้เธอเกร็งขึ้นมากะทันหัน
‘พะ...พี่พฤกษ์คะ’
‘พี่ขออยู่แบบนี้สักพักนะปั้น ขอแค่แป๊บเดียวเท่านั้น’
เสียงนุ่มที่ฟังดูอ่อนแรงของเขาทำให้หัวใจและร่างกายของหญิงสาวอ่อนยวบ ราวกับว่าเธอได้สัมผัสถึงความเปราะบางของชายหนุ่ม เธอถึงลดปราการของตัวเองลงเช่นเดียวกัน
คางของชายหนุ่มวางอยู่บนศีรษะของเธอ เช่นเดียวกับที่ปลายคางของเธอวางบนไหล่ของเขา ปล่อยให้เขาโอบกอดเอาไว้ มือเรียวยกลูบแผ่นหลังของเขาช้าๆ ซึมซับความอบอุ่นจากอุณหภูมิบนร่างกายของชายหนุ่ม
กาลเวลาของคืนนี้คล้ายจะยาวนาน ปล่อยให้สองหนุ่มสาวแอบอิง ถ่ายทอดความอ่อนล้าและหัวใจที่ไร้เกราะป้องกันใดๆ และนั่นคงเป็นช่วงเวลาที่คะนึงนิตย์เข้าใจไปเองว่า...บางทีพฤกษ์อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างตรงกับเธอ จนเธอมาได้ยินเขาคุยกับโมกข์ในเย็นของอีกวันหนึ่งหลังจากนั้น
‘หลายคืนก่อนผมเห็นพี่กับปั้นที่ห้องรับแขก’
เสียงของโมกข์ฟังดูคล้ายจะถามหยั่งเชิงผู้เป็นพี่ เนื่องจากเธออยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู จึงไม่รู้เลยว่าสีหน้าของทั้งคู่ในตอนนี้เป็นอย่างไร
‘พี่พฤกษ์ ปั้นยังเด็ก ผมเห็นว่าหลังๆ มานี้พวกพี่สนิทกัน ยิ่งตั้งแต่คืนนั้น พี่คงไม่รู้ว่าระหว่างพี่กับปั้นแม้แต่ผมกับบัวก็รู้สึกได้ ตกลงพี่กำลังดูๆ กับน้องหรือเปล่าครับ’
คำถามของโมกข์ทำให้เธอตกใจไม่น้อย ขณะเดียวกันพอคิดว่าคนอื่นๆ สังเกตเห็นท่าทางสาวน้อยหัดมีความรักของเธอ คะนึงนิตย์ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา พวงแก้มตอนนี้ร้อนฉ่า เดาว่าตอนนี้แก้มของเธอคงต้องแดงจัดแน่ๆ ทว่านอกเหนือกว่าความรู้สึกเขินอาย การเฝ้าคอยคำตอบต่อไปจากพฤกษ์ต่างหากที่ทำให้ใจของเธอเต้นกระหน่ำ ไม่ใช่แค่โมกข์หรือแค่บัว ตัวของหญิงสาวเองก็อยากรู้เช่นกัน
ทว่าคำพูดของพฤกษ์กลับเป็นน้ำเย็นที่สาดให้เธอได้สติ จนเธอไม่อยากยืนอยู่ที่ตรงนี้อีกต่อไป
‘ปั้นเป็นเพื่อนบัว...เด็กคนนั้นน่าสงสาร’
...แค่นี้ก็มากพอที่คะนึงนิตย์จะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
ในสายตาของเขา เธอเป็นได้แค่เพื่อนสนิทน้องสาว เป็นเด็กโชคร้ายที่น่าสงสาร เพราะอย่างนั้นเขาเลยทำดีกับเธอแบบนี้ใช่หรือเปล่า...
โมกข์ยังคงเอ่ยอะไรสักอย่างกับพี่ชายต่อ แต่ว่าวินาทีนั้นเธอกลับไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป คะนึงนิตย์ก้าวถอยหลังออกมาช้าๆ ให้พ้นจากประตูห้องห้องนั้น พอเห็นว่าไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของตัวเองแล้ว ถึงกล้าออกแรงวิ่งกลับไปที่ห้องนอน
น้ำตาที่ไหลอาบหน้าคือหลักฐานชิ้นดีว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความหวังที่เธอคิดไปเอง สำหรับความอ่อนโยนและความใกล้ชิดทั้งหมด คงไม่ต่างจากความอ่อนโยนที่เขามีให้คนน่าสงสารอย่างเธอ พอนึกถึงอ้อมกอดในคืนนั้น คะนึงนิตย์ก็ยิ่งเจ็บปวด
ทั้งหมดก็เป็นแค่ความรู้สึกของตัวเองฝ่ายเดียวเท่านั้น...
หญิงสาวทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยได้ยินบทสนทนานี้ของเขากับโมกข์ ตั้งใจจะทำให้ทุกอย่างดูปกติที่สุดและไม่ลืมที่จะรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม
โชคดีที่ช่วงเวลาหลายๆ ครั้งช่างเหมาะเจาะมากพอให้ใช้เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงพฤกษ์ และเมื่อถึงเวลาที่ทั้งเธอและกชนันท์ต้องทุ่มเทเวลาให้การเรียน คะนึงนิตย์จึงใช้โอกาสนี้ขอย้ายกลับมาอยู่หอพักเหมือนเดิม
เมื่อต้องตื่นจากฝันแสนหวาน ลืมภาพลวงตาทั้งหมดได้แล้ว คะนึงนิตย์ถึงเข้าใจโลกความเป็นจริง เธอถอยออกห่างจากความรัก ค่อยๆ ดึงตัวเองกลับมายืนอยู่จุดเดิม
คงเป็นหลังจากนั้นที่เธอและพฤกษ์กลับมาเป็นแค่คนรู้จักกัน เธอจงใจไม่สนใจเรื่องเขาอีก แม้จะได้ยินเรื่องของพฤกษ์ผ่านจากปากกชนันท์ก็ยังคงทำเป็นไม่ใส่ใจ จงใจหลีกเลี่ยงการพบหน้าเขา จนสุดท้ายพวกเธอก็มาพบกันอีกครั้งในวันรับปริญญาของเธอและกชนันท์
หลังจากคะนึงนิตย์พูดออกไปทั้งหมดแล้วว่าได้ยินอะไรจากปากของเขาในวันนั้น ระหว่างพวกเธอสองคนก็มีแต่ความเงียบ เธอค่อยๆ มองสีหน้าของชายหนุ่ม ถึงเห็นว่าใบหน้าของเขาคล้ายจะตกใจเล็กน้อย
“ถ้าพี่พฤกษ์คิดว่าปั้น..”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อไป ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะจับมือของเธอไว้และพาเธอเดินขึ้นไปข้างบน
“พี่พฤกษ์ จะไปไหนคะ ข้างบนมัน...”
“เราต้องคุยกันปั้น แต่ไม่ใช่ข้างล่าง”
“ทำไมคะ...ข้างบนมันห้องปั้น”
พฤกษ์ไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินนำเธอไปยังพื้นที่ชั้นบนซึ่งเป็นห้องนอน ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องของคะนึงนิตย์หน้าตาเฉย ทั้งสองคนมาหยุดที่กลางห้อง แต่ไม่ทันที่เธอได้จะเอ่ยปากพูดอะไร พฤกษ์ก็ดึงเธอเข้าไปกอดแน่น
“พี่พฤกษ์! ปล่อยปั้นก่อน”
“ถ้าอยู่ข้างล่าง พี่ก็คงกอดปั้นแบบนี้ไม่ได้ ปั้นไม่รู้หรอกว่าพี่ต้องอดทนแค่ไหน”
คะนึงนิตย์หน้าร้อนขึ้นมาทันที
“ปะ...ปล่อยปั้นนะคะ ระ...เรายังคุยไม่จบเลย”
เธอได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะจากลำคอของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันกรงขังนี้ของเขาก็ช่างดึงดัน ไม่มีทีท่าจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระง่ายๆ
“วันนั้นถ้าจะแอบฟัง ทำไมไม่ฟังให้จบ หือ”
ปลายเสียงของเขาสูงขึ้น ลมหายใจร้อนที่รดข้างหูทำให้เธอนิ่งงัน มือของพฤกษ์ประสานกันหลวมๆ ที่หลังของเธอ เขาวางคางลงที่ศีรษะเธอคล้ายจะหยอกเย้า วินาทีต่อมาชายหนุ่มถึงขยับตัวออกห่าง เพื่อสำรวจมองใบหน้าของเธอ
“เด็กโง่” เสียงทุ้มของพฤกษ์ผสมด้วยท่าทีอ่อนใจ
หญิงสาวปิดปากไม่พูดอะไร เพียงแค่ขยับตัวออกห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะหนีจากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอยู่ดี
“ถ้าพี่พูดเรื่องวันนั้นอีกครั้ง ปั้นจะเชื่อพี่ไหม”
คะนึงนิตย์กัดริมฝีปาก หากนึกย้อนกลับไปวันนั้น หลังจากที่ได้ยินประโยคนั้นของเขา เธอก็หูตาพร่ามัว ไม่รับรู้อะไรอีก แต่ก็จำได้รางๆ ว่ามีบทสนทนาของเขาและโมกข์ต่อจริงๆ
“โมกข์ถามพี่ต่อว่าพี่คิดกับปั้นแค่เพื่อนน้องสาวจริงๆ หรือเปล่า”
คำพูดของเขาทำให้เธอเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมสีเข้ม ดวงตาคู่นี้ของเขาราวกับบ่อน้ำหมึกที่ไม่อาจหยั่งรู้ความลึกของมันได้ ขณะเดียวกันดวงตาคู่นี้ก็ไม่ต่างจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ดึงดูดสายตาของเธอจนไม่อาจถอนตัวออกไปได้
“แล้วปั้นอยากรู้หรือเปล่าว่าคำตอบของพี่คืออะไร”
พฤกษ์ถอนมือที่ประสานกันออก ก่อนที่นิ้วโป้งจากมือข้างขวาจะยกขึ้นมาเกลี่ยริมฝีปากล่างของเธอ นัยน์ตาของพฤกษ์เหมือนกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ ความร้อนแรงของมันกำลังแผดเผาร่างกายของเธอช้าๆ
เจ้าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายค่อยๆ เต้นถี่ระรัว ลมหายใจและใบหน้าของพฤกษ์ที่โน้มเข้ามาใกล้ทำลายความรู้สึกนึกคิดของคะนึงนิตย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากเรียวหยักของชายหนุ่มหยุดห่างจากเธอไม่ถึงนิ้ว กลิ่นอายของเขากำลังมอมเมาเธอ รู้ตัวอีกครั้งแผ่นหลังก็แนบชิดผนังห้อง มืออีกข้างของชายหนุ่มวางประทับลงบนเอวคอด
“พี่...พฤกษ์”
“หืม ว่าไงคะ”
“ปั้น...”
ไม่ทันที่จะได้พูดต่อไปมากกว่านี้ ริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงมากลืนคำพูดของเธอเสียแล้ว ความรู้สึกอุ่นนุ่มทำให้คะนึงนิตย์หวนนึกถึงความฝันเพ้อเจ้อของตัวเอง ลิ้นอุ่นของเขาพยายามหลอกล้อให้หญิงสาวเปิดปากต้อนรับเขามากกว่านี้ และทันทีที่เผลอตัว ลิ้นอุ่นร้อนก็พัวพันเข้ากับลิ้นเล็ก ทั้งดูดดุนตวัดพันเกี่ยวอย่างใกล้ชิด ต่อมาถึงรู้สึกว่าเขาละเลียดเชยชิมริมฝีปากอิ่ม เป็นความกระหายที่ลึกล้ำราวกับคนเพิ่งรอดพ้นจากความตาย ต้องการลิ้มรสดื่มด่ำรสชาติของชีวิตอีกครั้ง
การรุกล้ำของเขาไม่ได้ทำให้คะนึงนิตย์รู้สึกรังเกียจ มันเป็นความรู้สึกตระหนกตกใจและตั้งรับไม่ทันเสียมากกว่า ยามที่เธอส่งเสียงร้องประท้วง พฤกษ์ก็จะลดความรุนแรงของตนลง ท่าทีหิวกระหายก็อ่อนลง แต่ไม่มีทีท่าจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระง่ายๆ
ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน อ่อนปวกเปียกไร้กำลังจะยืนต่อ เขาถึงถอนจุมพิตออกแล้วใช้ท่อนแขนรวมถึงร่างกายของตนเป็นหลักพยุงให้เธอพิง คะนึงนิตย์หอบถี่พลางสูดลมหายใจเข้าปอดไม่ต่างจากคนที่เพิ่งโผล่พ้นจากผิวน้ำ
“คำตอบของพี่ ปั้นเข้าใจหรือเปล่า”
ความคิดเห็น |
---|