14

ตอนที่ 14



 

             ท่าทางเขาจะปล่อยให้แมคเคนซี่ห่างสายตาไม่ได้อีกแล้ว

“เดฟ!”

            “ใช่ผมเอง” เดฟบอกเสียงเข้ม เขาใช้เวลาที่แมคเคนซี่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นอกจากนั่งตัวแข็งราวกับรูปปั้นสลับกลับมานั่งข้างแมคเคนซี่ แล้วให้เพื่อนเป็นคนขับรถแทน

            แมคเคนซี่ยังคงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เรียกว่าเธอช็อกจนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว เรื่องทุกอย่างประดังประเดเข้ามามากเกินไปจนเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ก่อนหน้านี้เธอถูกงัดห้อง เพื่อนมาตายเพราะเกมสลับตัวกับเธอ ถูกตามคุกคามอีกครั้ง และสุดท้าย...เธอถูกผู้ชายคนแรกที่ตามคุกคามลักพาตัว!

            คิดแล้วก็พานนึกไปถึงบรรดาข่าวการก่ออาชญากรรมและการลักพาตัวเหยื่อ ที่มักจบลงด้วยความตายของเหยื่อเอง ทำเอาแมคเคนซี่หนาวยะเยือกไปทั้งตัว เมื่อหญิงสาวตั้งสติได้จึงเริ่มฮึดสู้ด้วยการทุบตีเดฟ

            “เป็นอะไรอีกล่ะแม็กกี้”

            “นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณจะพาฉันไปไหน” ดวงตากลมโตที่เคยเย็นชากลับวาววับและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวผลักร่างสูงออกไปเต็มแรง จนรถเซไปนิดหน่อย

            “เฮ้! จัดการสาวน้อยของนายให้ขยับไม่ได้ไปเลยเดฟ ก่อนจะเสยข้างทางแล้วมันจะช้า” ชายคนขับและเป็นคนเดียวกับที่ลักพาตัวเธอมา พูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแบบที่แมคเคนซี่ไม่ชอบเลย

            “ฉันกำลังจัดการว่ะแดน”

            “ให้มันไวกว่านี้หน่อยสิวะ” ผู้ชายชื่อ ‘แดน’ ยังพูดเจือหัวเราะ

            หญิงสาวตวัดสายตามองแดนเต็มๆ ตา เขาเป็นผู้ชายร่างใหญ่ไว้หนวดเครารุงรัง และมีดวงตาคมกริบไม่ต่างกับเดฟ แม้จะสวมแว่นสายตา แต่ก็ไม่ทำให้ดูสุภาพไปกว่ากันเลย

            “พวกคุณจะพาฉันไปไหน พูดให้รู้เรื่องนะ”

            “ไม่บอก” เดฟแสยะยิ้มนิดๆ ที่ดูแล้วน่ากลัวมากกว่าน่ามอง ทั้งยังรวบข้อมือข้างหนึ่งของเธอไว้

            แมคเคนซี่ทำตาโต พยายามแกะมือตัวเองออก แต่พอไม่สำเร็จก็เอื้อมมืออีกข้างไปตีบ่าคนขับแรงๆ หวังจะให้เขาช่วย แต่ตีให้ตายอย่างไรก็ไม่ระคายผิวเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มที่สวมแว่นยังทำเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “เสียเวลาเปล่าน่าแม็กกี้” เดฟว่าแล้วรวบมืออีกข้างของหญิงสาวมาไว้ในอุ้งมือเดียวของเขา และสวมกุญแจมือคล้องมือเล็กทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ก่อปัญหาอีก เขาทำทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น เพียงแค่พริบตาเดียวสองมือของแมคเคนซี่ก็ไร้อิสรภาพเสียแล้ว

หญิงสาวอ้าปากค้าง มองกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือทั้งสองข้างของตัวเองสลับกับใบหน้ากวนประสาทของชายหนุ่มแล้วก็อยากจะบ้าตายเสียให้ได้

            “เดฟ!”

            “ได้ยินแล้วทูนหัว จะเรียกทำไมนักหนา” เขาทำเสียงเหมือนรำคาญ แต่ดวงตาวาววับ ไม่มีท่าทีเอาอกเอาใจเหมือนตอนที่เช่าอะพาร์ตเมนต์อยู่ใกล้ๆ กันอีกแล้ว

            แมคเคนซี่ขมวดคิ้ว มองอากัปกิริยาต่างจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาของเดฟแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาคงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจเธออีก และเธอนี่ละคือสิ่งที่เขาต้องการ

            แค่คิดว่าเขาเข้ามาใกล้เธอเพียงเพราะต้องการให้เธอตายใจ และวางแผนลักพาตัวเธอมาเท่านั้น เพลิงโทสะก็โหมกระหน่ำ แมคเคนซี่อยากจะทุบตีเขาแรงๆ ระบายความอัดอั้นในใจ ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้เธอสับสนและใจอ่อนกับการเอาใจใส่ของเขา แต่ทั้งหมดก็แค่การแสดงเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่การหลอกลวงเพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

            แมคเคนซี่มองผู้ชายตรงหน้าด้วยดวงตาวาววับ เดฟหันมาสบตากับเธอพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนวันแรกที่เจอกัน เพียงแต่ตอนนี้แมคเคนซี่ไม่กลัวเขาแล้ว เธออยากจะฆ่าเขามากกว่า

            “อย่ามองผมแบบนั้นสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม “ไม่กลัวผมแล้วหรือ”

            “อยากฆ่าคุณมากกว่า” หญิงสาวกัดฟันตอบ

            ดวงตากวาดตามองไปทั่วร่างใหญ่ของชายหนุ่ม มองว่าเขามีจุดอ่อนตรงไหนที่เธอพอจะเล่นงานเขาได้บ้าง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งสิ้นหวัง แมคเคนซี่กลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นกล้ามเนื้อกำยำตรงช่องอกกว้าง ช่วงไหล่บึกบึน เห็นอย่างนี้แล้วเธอจะทำอะไรเขาได้ ดีไม่ดีถ้าเกิดเขาสวนกลับสักครั้งเธอก็สลบเหมือดแล้ว เขาทำแน่ ในเมื่อไม่มีทีท่าเอาอกเอาใจเธอเหมือนก่อนแล้ว เพราะตอนนี้เขาคือโจรลักพาตัว!

            “ว้าว” เสียงจากบุคคลที่สามดังขึ้นอย่างสนอกสนใจ

            แมคเคนซี่หันไปมอง ‘แดน’ ด้วยสายตาเอาเรื่อง เกือบลืมไปแล้วว่าในรถยังมีเขาอีกคน

            “ไหนนายบอกว่าสาวน้อยของนายขี้กลัวไม่ใช่หรือเดฟ” แดเนียลหัวเราะหึๆ แล้วขับรถมุ่งหน้าออกจากแมนฮัตตันอย่างชำนาญราวกับว่ามีจุดหมายปลายทางแล้ว

            แมคเคนซี่เพิ่งตั้งสติได้ เธอมองสองข้างทางแล้วก็อ้าปากค้าง ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งหวาดกลัวจนแยกไม่ออก เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรก่อนกันแน่ เกลียดเดฟที่หลอกให้ไว้ใจจนเผลอเกิดความรู้สึกดีๆ กับเขาไปแล้ว หรือโกรธที่ถูกทรยศหักหลัง ซึ่งมากพอกับความหวาดกลัวที่ถูกพาตัวออกจากที่ที่คุ้นเคย โดยที่เธอไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้อะไรทั้งนั้น

            “ไว้ถึงที่หมายก่อนแม็กกี้ ผมจะอธิบายให้คุณฟังเอง” เดฟบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง เขามองเธอนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความมั่นคงจริงจัง

            แต่เธอจะเชื่อเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาทรยศเธอ!

            “ปล่อยฉัน!” หญิงสาวยื่นคำขาด เธอจะไม่ยอมถูกจับไปง่ายๆ โดยไม่มีใครรู้แบบนี้ไม่ได้ แม้จะไม่รู้ว่าจะสู้ผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์สองคนนี้ได้อย่างไรก็เถอะ แต่เธอจะไม่อยู่เฉยอีกแล้ว

            “ปล่อยไม่ได้ คุณกำลังมีอันตราย”

            “อันตรายเพราะอยู่กับคุณไง!” นักศึกษาสาวแว้ดใส่ เธอเริ่มกระสับกระส่ายและมองออกไปนอกรถตลอดเวลา ตอนนี้กำลังออกจากเกาะแมนแฮตตันแล้วขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ

            “ฉันว่าถ้าอย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องหรอกเดฟ นายต้องรีบจัดการเธอตั้งแต่ตอนนี้”

            คำแนะนำให้ ‘จัดการ’ เธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ของแดเนียลทำเอาแมคเคนซี่ใจหายวาบ จากที่ตั้งใจจะสู้ก็พานใจฝ่อเมื่อคิดไปต่างๆ นานาว่าเขาจะจัดการเธออย่างไร จะฆ่าเธอหรือเปล่า

            “ไม่ได้หรอก เราต้องพาเธอไปให้ครบอาการ 32”

            “นิดๆ หน่อยๆ คงไม่สึกหรอหรอกมั้ง” เดฟลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยประกายแบบนักล่าของเขาทำเอาแมคเคนซี่ใจหาย

            เขาคิดจะทำอะไรกันแน่!

สาวร่างบางขยับไปชิดประตูอีกฝั่ง พยายามออกห่างจากเขาให้มากที่สุด แต่เหมือนจะช้าไปเสียแล้ว ยิ่งเธอขยับหนี เดฟก็ยิ่งขยับตามพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

            “คุณจะทำอะไรฉัน” แมคเคนซี่ถามเสียงสั่น มองตาคมที่กวาดตามองไปทั่วร่างเธออย่างมีความหมาย

            “ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกครับ ยอมๆ ไอ้เดฟมันไปเถอะ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องร่วมด้วย”

            “อะไรนะ!” ดวงตากลมโตสบตากับชายหนุ่มที่กำลังขับรถทางกระจกมองหลัง ก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เช่นกัน

            “ถ้าคุณไม่ยอมดีๆ นะแม็กกี้ ไอ้แดนมันคงต้องช่วยผม”

            “คุณจะทำอะไร”

            “หลับตาสิ”

            “ไม่!”

            “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้กำลัง อย่าหาว่าผมไม่เตือนแล้วกันแม็กกี้” เดฟยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วกระชากร่างบางเข้ามาใกล้ๆ

            “ปล่อยฉัน!” แมคเคนซี่ร้องลั่น เธอทนใจเย็นไม่ไหวแล้วเมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คิดว่าเขาจะต้องหยิบอาวุธออกมาแน่นอน แต่ผิดคาด มันเป็นแค่ผ้าสีดำผืนหนึ่งเท่านั้น

            “ทำอะไร...อื๊อ!” เสียงร้องลั่นรถเมื่อครู่หายไปทันทีที่เดฟเอาผ้าสีดำที่หยิบมาจากกระเป๋ากางเกงคาดปากเล็กๆ ของหญิงสาว

            หญิงสาวเบิกตากว้าง ประณามเขาด้วยสายตา มีอีกร้อยพันคำที่อยากจะด่าเขาให้หายเจ็บใจ แต่ทำไม่ได้ มีแต่เสียงอู้อี้ๆ ดังผ่านผ้าผืนหนาออกมาเท่านั้น

            “อื๊อ...” ปากไม่ว่างแล้วก็จริง แต่สองมือยังว่าง แมคเคนซี่ระดมทุบตีไปทั่วร่างกำยำ แต่แรงเท่ามดของเธอไม่ทำให้เดฟเจ็บไปมากกว่ารำคาญ สุดท้ายก็ถูกเขารวบมือทั้งสองข้างไว้ด้วย

            “จับมือไพล่หลังไว้จะดีกว่านะเพื่อน” พลขับสุดกวนประสาทเสนอความคิด

            “เห็นด้วย” ว่าแล้วเดฟก็ไขกุญแจมือให้เธอแล้วจับร่างเล็กบางพลิกหันหลัง คล้องกุญแจมือลงไปใหม่อย่างรวดเร็วจนแมคเคนซี่ไม่ทันประท้วงเลย เธอเล่นงานเขาไม่ได้อีกแล้ว จะปากจะมือล้วนถูกพันธนาการไว้แน่น เหลือเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังใช้ประณามเขาต่อไปได้

            “เธอด่านายด้วยสายตาว่ะเดฟ บอกว่านายแม่งเลว” แดเนียลใส่ไฟต่ออีก

            แม้จะพูดไม่ได้ ทุบไม่ได้ แต่แมคเคนซี่ก็พยักหน้าแล้วมองเดฟด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง            

            เดฟหัวเราะด้วยน้ำเสียงอำมหิตชวนขนลุก

            “จริงด้วย” เขาดึงแมคเคนซี่เข้ามาใกล้อย่างไม่ทะนุถนอมนัก แล้วควานหาที่ปิดตาที่ตกบนเบาะรถแล้วใช้ปิดตาหญิงสาว

            คนเราเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะต้องดิ้นรนสุดแรงที่เหลือเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้าย แมคเคนซี่ก็เช่นกัน หญิงสาวอยากกรีดร้องแต่ก็ทำไม่ได้ อยากทุบตีเขาก็ทำไม่ได้ ซ้ำร้ายยังถูกเดฟจับปิดตาจนมองไม่เห็นอะไรอีก กระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ หญิงสาวพยายามดิ้นรนจนเหนื่อยหอบ แต่ก็เหมือนเดิม เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเดฟ ยิ่งทำให้เธออัดอั้นตันใจมากกว่าเก่า

            ในเมื่อเธอหมดทางสู้แล้ว แต่อย่าหวังเลยว่าจะนั่งกันไปได้อย่างสุขสบาย...

            แมคเคนซี่คิดแล้วพยายามตะเบ็งเสียงอู้อี้ของตัวเองต่อไป หวังจะให้เขารำคาญแล้วปล่อยๆ เธอไปเสียที แต่หญิงสาวประเมินคนอย่าง เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ ต่ำเกินไป พอเธอแหกปากมากๆ เข้า เขาก็ดึงเธอให้นอนลงซบตักเขาเสียเลย

            “อื๊อ...” หญิงสาวร้องประท้วง พยายามขืนตัวลุกขึ้น แต่เดฟก็กดให้เธอนอนซบตักเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังเอื้อมมือขยับขาเธอขึ้นมาพาดบนเบาะให้นอนสบายๆ อีกด้วย

            แมคเคนซี่ดิ้นรนแต่สู้แรงเขาไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจและเลิกดิ้นในที่สุด พยายามคิดหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์อันตรายนี้ แต่เธอจะหนีพ้นเดฟและเพื่อนของเขาได้อย่างไรในเมื่อมองไม่เห็น ขยับไม่ได้ จะร้องก็ร้องไม่ได้อีก

            นักศึกษาสาวได้แต่คิดวนไปวนมา จินตนาการไปร้อยแปดว่าถ้าถึงที่หมายแล้วจะทำอย่างไร จะหนีออกมาได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะพ้นมือเดฟ เธอคิดไปเรื่อยเปื่อย ความเครียดบวกกับต้องเผชิญเรื่องยุ่งๆ มาหลายวันติดทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

            แมคเคนซี่นิ่งไปแล้ว...

            เดฟหลุบตามองคนตัวเล็กที่เอาแต่ดิ้น เอาแต่พยศจะหนีเขาท่าเดียวแล้วก็ลอบยิ้มมุมปาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับสายตาล้อเลียนของแดเนียล

            “ยิ้มอะไรวะ” ทหารรับจ้างหนุ่มถามเสียงฉิว

            “ขำนายนั่นแหละ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากเล่นบทโจรลักพาตัว”

            “ทำไงได้ล่ะวะ นายก็เห็นอยู่ว่าเธอถูกตาม” พูดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม เดฟตามแมคเคนซี่มาหลายวันจนกระทั่งรู้ว่าเธอถูกคุกคามจากกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน หรือฝ่ายใดกันแน่ จนกระทั่งเกิดเรื่องเอมิลี่ขึ้น จากที่ไม่เคยแน่ใจว่าพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นว่ามันเล่นถึงตาย เขาจึงรอช้าไม่ได้อีกแล้วแม้แต่เสี้ยววินาที โชคดีที่แดเนียลติดต่อมาเสียก่อนพร้อมกับข้อมูลที่เขาให้ช่วยหา เดฟจึงขอแรงให้ช่วยเสียเลย

            “แล้วเอาไงต่อ” ชายหนุ่มสวมแว่นถาม

            “ขอเวลาฉันดูข้อมูลที่นายให้มาทั้งหมดก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรผิดปกติจะติดต่อไปอีกที”

            “เอาอย่างนั้นก็ได้” แดเนียลจอดรถเมื่อเข้าเขตฮัดสันวัลเลย์ ปกติแท็กซี่สีเหลืองจะแล่นเฉพาะในแมนฮัตตันเท่านั้น ออกมานอกเมืองขนาดนี้อาจจะเป็นจุดสนใจเปล่าๆ

            เดฟลงจากรถแล้วแบกแมคเคนซี่เข้าไปวางในรถคามาโรสีดำกลางเก่ากลางใหม่ที่แดเนียลเตรียมไว้ให้ แล้วหันกลับมาหาเพื่อนที่ยืนรออยู่

            “ขอบใจว่ะแดน แล้วฉันจะติดต่อไป”

            “แล้วเจอกันเดฟ” แดเนียลยักคิ้ว “ฉันว่าอีกไม่นานเดี๋ยวนายก็ต้องเรียกใช้บริการฉัน”

            “แม่งพูดซะขนลุก” ทหารรับจ้างหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เพื่อน รอให้แดเนียลขึ้นรถแล้วขับออกไป เขาจึงขึ้นรถแล้วสตาร์ตเครื่อง

            “ขอโทษทีแม็กกี้” เดฟพูดกับหญิงสาวที่นั่งประจำอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินก็ตาม เขาดึงที่ปิดตาออกแล้วปัดผมยาวรุ่ยร่ายที่ปรกหน้าเธอออกให้เข้าที่เข้าทาง ปลดกุญแจมือออกให้ รวมทั้งดึงผ้าที่คาดปากเธอออก จากนั้นจึงคาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างเบามือ

            ทั้งที่รู้ดีว่าวิธีนี้ออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อย แต่ก็ดีและรวดเร็วที่สุดแล้ว อย่างน้อยแมคเคนซี่ก็ปลอดภัย แม้ว่าเขาจะตามไปทันและลงมือก่อนหน้า ‘พวกมัน’ เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม

            เดฟตัดสินใจพาแมคเคนซี่มาที่บ้านเก่าของเขาในเออร์วิงตันก่อน รอให้ติดต่อกับพวกกัสซาโนหรือได้ข้อมูลมากกว่านี้ค่อยคิดหาทางไปต่อ เขามาถึงบ้านตอนค่ำ เพียงแค่จอดรถที่หน้าบ้านก็เรียกสายตาสงสัยจากคนรอบข้างในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้เสียแล้ว ไม่ต้องนึกถึงตอนที่เขาแบกเธอออกจากรถเข้าไปในบ้านเลย เมื่อก่อนก็ถูกมองเป็นตัวอันตรายแล้ว ตอนนี้คงได้ข้อหาโจรบ้ากามฉุดคร่าผู้หญิงมาขังอีกแน่นอน

            ช่างหัวคนข้างบ้านเถอะ!

            ทหารรับจ้างหนุ่มเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านแล้วกลับมาที่รถ เห็นสายตาเจ้าของบ้านตรงข้ามมองมาด้วยความสงสัย พอเห็นเขาเปิดประตูรถแล้วแบกแมคเคนซี่ขึ้นบ่าก็ทำหน้าตกใจแล้วผลุบเข้าบ้านไปทันที ราวกับเห็นอาชญากรก็ไม่ปาน

            เดฟหัวเราะหึๆ แต่ไม่สนใจว่าพวกนั้นจะโทร. แจ้งตำรวจหรือไม่ เขารีบพาแมคเคนซี่เข้าบ้านไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้ใครเห็น แต่เขาอยากให้เธอได้พักผ่อนมากกว่า

            เขาวางสาวร่างบอบบางลงบนโซฟาเบดในห้องนั่งเล่นแล้วห่มผ้าให้อย่างเบามือ จากนั้นจึงเดินกลับไปปิดประตูบ้าน แล้วกลับมานั่งอ่านแฟ้มเอกสารข้อมูลที่แดเนียลหามาให้ ซึ่งหนามากเสียจนไม่แน่ใจว่าคืนนี้เขาจะอ่านจบก่อนที่แมคเคนซี่จะตื่นขึ้นมาอาละวาดหรือไม่

            เมื่อคืนแมคเคนซี่ฝันร้าย เธอฝันว่าถูกคุกคามโดยผู้ชายท่าทางน่ากลัวสองคนที่ตามคุกคามเอาชีวิต เธอหนีไปจนสุดขอบโลกและพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะแทนที่จะมีคนช่วย กลับถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ลักพาตัวมาขังไว้ในบ้านร้างที่มีผีสิง ไหนจะคนบ้าที่พยายามลวนลามเธออีก

            ความฝันน่ากลัวทำให้หญิงสาวกระสับกระส่ายแล้วสะดุ้งตื่น แมคเคนซี่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เหนื่อยหอบยิ่งกว่าวิ่งไตรกีฬาเสียอีก มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมตามไรผมบนหน้าผาก ทั้งที่อากาศเย็นแท้ๆ แต่ความฝันนั้นน่ากลัวเสียจนตอนนี้หัวใจของเธอยังเต้นแรงเหมือนตอนอยู่ในฝันไม่มีผิด

            แต่มันไม่ใช่ความฝัน...

            หญิงสาวร่างบอบบางสะดุ้งเมื่อคิดได้ว่าเมื่อวานเธอถูกตามตั้งแต่แยกกับเรนนี่ ทั้งยังถูกเดฟและเพื่อนของเขาลักพาตัวมาอีก จึงรีบก้มลงสำรวจตัวเองก็พบว่ายังสวมเสื้อผ้าชุดเดิม แต่รอบตัวเธอนี่สิ...บ้านที่สร้างจากไม้ทั้งหลัง เครื่องเรือนที่ส่วนมากยังคลุมผ้าไว้ มีเพียงโซฟาที่เธอนอนอยู่กับโต๊ะเตี้ยตรงหน้าเท่านั้นที่ไม่ถูกคลุมผ้า ไม่ได้หมายความว่านี่คือบ้านร้างแบบในฝันใช่ไหม

            เธอหยุดสายตาที่แฟ้มเอกสารสองแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหยิบมาดูอย่างรวดเร็ว ข้างในมีแต่รูปภาพและประวัติของผู้ชายที่มีช่วงวัยต่างกันไป แต่ละคนมีใบหน้าดุดัน ไว้หนวดเครารุงรัง และล้วนแต่มีประวัติอาชญากรทั้งนั้น เธอจึงรีบปิดแฟ้มแล้ววางมันลงทันทีราวกับต้องของร้อน

            คนพวกนี้เป็นใคร และเดฟเป็นใครกันแน่!

            ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นเอกสารหนึ่งแผ่นที่ตกลงมาจากแฟ้ม ไม่ใช่ภาพของผู้ชายคนไหน ไม่มีประวัติอาชญากรใดๆ แต่เป็นรูปถ่ายและประวัติตั้งแต่เกิดของเธอเลยก็ว่าได้

            อาชญากร เดฟต้องเป็นอาชญากร เป็นโจรบ้ากามลักพาตัวเธอมาเรียกค่าไถ่แน่ๆ!

            เพียงแค่คิด...ความหวาดกลัวก็กัดกินหัวใจของหญิงสาวเสียจนนั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูอย่างช้าๆ ใจหนึ่งคิดว่าถ้าเขาไม่อยู่จริงก็คงล็อกประตูจากทางด้านหน้า แต่ก็อดหวังไม่ได้ว่าอย่างน้อยเธอจะออกไปได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ความหวังเท่านั้น เดฟไม่ล็อกประตูก็จริง แต่เสียงโซ่ดังแกร๊กนั่นทำให้เธอรู้ทันทีว่าเขาคล้องกุญแจจากทางด้านหน้า

            ‘บ้าจริง’ แมคเคนซี่แทบหมดแรง แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดออก พยายามจะปีนหนีไป จนกระทั่งเห็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปั่นจักรยานผ่านมาพอดี

            “ช่วยด้วยค่ะ!” นักศึกษาสาวร้องขอความช่วยเหลือ

ชายคนนั้นมีท่าทางตกใจไม่น้อย เขาจอดรถ ลังเลว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยดี แต่สุดท้ายก็ปั่นจักรยานหนีไป

            “อ้าว!” แมคเคนซี่มองตามไปอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเห็นคนเดือดร้อนทำไมไมช่วย เธอก็ตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่แท้ๆ

            ในเมื่อขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ เธอจึงพยายามปีนหน้าต่างหนีอีกครั้ง พอดีกับได้ยินเสียงรถยนต์เข้ามาจอด และเห็นร่างสูงใหญ่เหมือนหมีป่าของเดฟเดินลงมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด จึงรีบผละออกจากหน้าต่างแล้วกลับไปแสร้งทำเป็นหลับเหมือนเดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูและปิดลง ตามด้วยเสียงวางของลงบนโต๊ะอย่างแรง

            “ถ้าตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาเถอะทูนหัว เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เสียงเขาดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แต่คำพูดคำจาของเขานี่สิ

            แมคเคนซี่ขมวดคิ้วกับสรรพนามที่เดฟใช้เรียกเธอ คำว่า ‘ทูนหัว’ นี่สำหรับคนรักเรียกกันไม่ใช่หรือ แต่เขาไม่ใช่ ระหว่างเขากับเธอมีแต่คำว่าหลอกลวงทั้งนั้น เขาไม่ควรใช้คำนี้กับเธอ

            เธอลืมตา ลุกขึ้นนั่งแล้วมองค้อนเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง ในขณะที่เดฟไม่สนใจเลยสักนิด เขายักไหล่ไม่แยแส ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาดุๆ ของเธอ

            “อะไร”

            “เลิกเรียกฉันแบบนั้นเสียทีเถอะ”

            “เรียกอะไร” เดฟยังทำไขสือ ยิ่งทำให้ดูน่าหมั่นไส้กว่าเดิมขึ้นไปอีก

            “ก็เรียกฉันว่าทูนหัวไง ฉันไม่ชอบ!” สาวร่างเพรียวบางลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิด โกรธจนลืมกลัวไปแล้ว จนกระทั่งเห็นดวงตาวับวาวของเขา แมคเคนซี่ถอยออกห่างทันทีเมื่อคิดขึ้นได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะใคร

            “ก็ได้” ชายหนุ่มยอมลงให้ แต่ก็ยังยิ้มมุมปาก

            “ก็แค่นั้น”

            “ที่รัก”

            “เอ๊ะ!” หญิงสาวขึงตาใส่ มองเขาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก คนอะไรหน้าตาไม่น่าคบแล้วนิสัยก็ยังไม่น่าคบยิ่งกว่าหน้าตาเสียอีก

            “เอาละๆ เราเลิกทะเลาะกันก่อน ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณนะทูนหัว”

            “แม็กกี้!” แมคเคนซี่เน้นเสียง “เรียกฉันว่าแม็กกี้ ไม่ต้องเรียกอย่างอื่น”

            “ผมพอใจจะเรียกแบบนี้ ถ้าคุณจะไม่ชอบมันก็เป็นปัญหาของคุณ”

คำพูดของเขาทำเอาแมคเคนซี่อ้าปากค้าง อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงได้กวนประสาทขนาดนี้ แล้วผู้ชายที่มาอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เดียวกันและคอยดูแลเธออย่างดีเมื่อหลายวันที่ผ่านมานั่นมันใครกัน

เดฟไม่รอให้หญิงสาวพูดหรือเถียงต่อ เขาหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาแล้วส่งให้เธอ

            “อะ...อะไร”

            “ช่วยดูทีว่าคนที่สะกดรอยตามคุณน่ะมีคนไหนบ้าง”

            “ฉันจำหน้าไม่ค่อยได้หรอกค่ะ”

            “เอาแค่คลับคล้ายคลับคลาก็ได้” เดฟยัดแฟ้มเอกสารทั้งสองใส่มือหญิงสาว “มันต้องมีสักคนนั่นแหละ”

            “นี่พรรคพวกของคุณหรือ” แมคเคนซี่ถามไปตามที่ใจคิด และผลคือถูกเขามองตาขวาง

            “คุณว่ายังไงนะแม็กกี้”

            “ก็พวกนี้ไง” เธอชี้ไปที่แฟ้ม “พรรคพวกของคุณใช่ไหม”

            “แล้วผมจะเอาพรรคพวกตัวเองมาให้คุณดูทำไมไม่ทราบ ถ้ามันเป็นพวกผมจริง ผมก็จำมันได้ทุกคนนั่นแหละ”

            “ก็...”

            “ดู!” เดฟมองเธอด้วยสายตาดุดันแล้วสั่งเสียงเฉียบ “แล้วบอกผมว่าคนไหนบ้างที่มันตามคุณ”

            นักศึกษาสาวยังยืนงงเพราะตั้งรับไม่ทัน ใจหนึ่งยังติดใจสงสัยว่าเขาเป็นพวกเดียวกับพวกที่สะกดรอยตามเธอ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วเขาจะให้เธอดูแฟ้มภาพพรรคพวกของตัวเองไปเพื่ออะไร

            ทหารรับจ้างหนุ่มถอนหายใจ เขากดบ่าแมคเคนซี่บังคับให้หญิงสาวนั่งลง ทั้งยังเปิดแฟ้มให้อีกต่างหาก จากนั้นจึงสั่งช้าๆ ชัดๆ เน้นทีละคำราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ

            “ค่อยๆ ดู แล้วบอกผมว่าคนไหนเป็นคนที่ตามคุณ เอาแค่คล้ายๆ ก็ได้ เข้าใจหรือเปล่า...ทูนหัว”

            กวน-ประ-สาท!

            พอเขาแกล้งพูดช้าๆ ชัดๆ ราวกับกำลังสั่งสอนเด็กน้อย แมคเคนซี่จึงขยับปากโต้ตอบเขาแบบไม่มีเสียงบ้าง ผลคือเดฟยิ้มกว้างและยีผมเธอเบาๆ

            “ดีมากเบบี๋ ทีนี้ก็บอกผมมาว่าอยากกินอะไรเป็นมื้อเช้า”

            “วอฟเฟิล ราดไซรัปกับบลูเบอร์รีนะ ขอแอปเปิลหั่นเป็นชิ้นด้วย”

            “ผมทำไม่เป็น” เขาบอกหน้าตาเฉย

            “แล้วจะถามทำไม” หญิงสาวมองเขาอย่างเหลือเชื่อ เธอยอมรับว่าไม่รู้จักเดฟคนนี้เอาเสียเลย คนอะไรกวนประสาทหน้าตาย แล้วก็ ‘น่าตาย’ มากด้วย

            “ก็...” ชายหนุ่มยักไหล่ “จะได้หัดทำให้กิน”

            “ขอบคุณ แต่ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานเลย”

            “อย่างนั้นหรือ” เดฟยิ้มกวนประสาท แล้วก้มลงมาหา ใกล้เสียจนปลายจมูกจะชนกันอยู่แล้ว

            “ชะ...ใช่” แมคเคนซี่ลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง กลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรพิเรนทร์ๆ อีก เห็นสายตาเจ้าเล่ห์เป็นประกายแบบนี้ทีไรมักจะมีเรื่องตามมาทุกครั้งไป

            “เสียใจด้วยแม็กกี้ เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลยละทูนหัว”

            หญิงสาวส่ายหน้าตั้งท่าจะเถียง แต่เดฟยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีเล็กบางน่าจูบของเธอเสียก่อน แล้วส่ายหน้าเบาๆ

            “อย่าเถียง แล้วนั่งดูรูปไปเถอะที่รัก เพราะถ้าคุณเถียงอีก คราวนี้ผมจะใช้ปากปิดปากคุณแทน”

            คำขู่จริงจังของเขาทำให้แมคเคนซี่เม้มปากแน่น มองเดฟที่ขยิบตาให้แล้วเดินผิวปากเข้าครัวไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้หญิงสาวได้แต่อารมณ์เสียเพราะสู้เขาไม่ได้สักอย่าง

ชายร่างสูงใหญ่เดินหายเข้าไปในครัวแล้ว แมคเคนซี่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วปิดแฟ้ม ไม่สนใจดูเลยสักนิด ก่อนวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือที่สุด แล้วค่อยๆ เดินย่องไปที่ประตูอย่างช้าๆ จดฝีเท้าลงไปอย่างเงียบกริบ อีกเพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเธอก็จะเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว มือบางเอื้อมไปหวังจะเปิดประตู แต่...

            “อย่าออกไปไหนเชียวนะแม็กกี้ คุณคงไม่อยากถูกผมลงโทษใช่ไหม”

            เดฟสั่งทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในครัว ทำเอาหญิงสาวแทบหมดแรงทรุดลงไปกองกับพื้น คนอะไรหูตาเป็นสับปะรด ขนาดมองไม่เห็นยังจะอุตส่าห์รู้ทันเธออีก

            “กลับมาทำตามที่ผมสั่งได้แล้ว” เขาสำทับเสียงเข้ม

            “รู้แล้ว!” แมคเคนซี่กระแทกเสียงตอบกลับไปด้วยความโมโห เธอไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย ปกติแล้วแมคเคนซี่ มนัชนัญ กรีน คือผู้หญิงใจเย็นเสียจนเพื่อนๆ คิดว่าไร้ความรู้สึก แต่ตั้งแต่เจอเดฟ ได้เจอความกวนประสาทและบ้าอำนาจชอบบังคับคนอื่นของเขา ทำเอาน้ำแข็งละลายไปหมดไม่มีเหลือ จากเจ้าหญิงน้ำแข็งผู้เย็นชาและเต่าน้อยผู้แสนเนิบนาบของเพื่อนๆ เปลี่ยนป็นคนหงุดหงิดตลอดเวลา และทั้งหมดนั่นมีสาเหตุมาจากเดฟคนเดียว

            หญิงสาวเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแรงๆ แล้วหยิบแฟ้มภาพใบหน้า ‘ผู้ร้าย’ ทั้งหมดขึ้นมาดูทีละภาพอย่างพินิจพิเคราะห์ พยายามเค้นความทรงจำว่าใช่คนที่ตามเธอมาหรือไม่ ระหว่างนั่งดูไปก็ได้ยินเสียงโครมครามเหมือนกำลังพังห้องครัวของเดฟ เธอถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดเพราะเสียงนั่นรบกวนสมาธิของเธอ

            แมคเคนซี่ยกมืออุดหูตัดรำคาญไปเสีย ตั้งสมาธิแล้วเปิดดูรูปผู้ต้องสงสัยไปเรื่อยๆ แต่เธอไม่มีสมาธิเลย แค่เสียงทำลายข้าวของของเดฟก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ยังจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีก

            สาวร่างบางปิดแฟ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ปกติดีนัก ทว่าเมื่อเปิดประตูแล้วพบว่าผู้มาเยือนคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความหวังที่เคยริบหรี่ก็สว่างไสวขึ้นมาทันที

            “ช่วยด้วยค่ะ ฉันถูกจับมาขังไว้ที่นี่” แมคเคนซี่ละล่ำละลักบอก เธอดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

            ตำรวจอ้วนพุงพลุ้ยหรี่ตาลงนิดๆ ดูไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูดเลยสักนิด แล้วยังเมียงมองเข้ามาในบ้านด้วยความสงสัย

            “ไม่ได้ถูกมัดไว้เสียหน่อย”

            “ก็...”

            “ใครมาหรือจ๊ะทูนหัว” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องครัวในสภาพที่มีผ้ากันเปื้อนคาดเอวอยู่ด้วย เดฟมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่หน้าประตูบ้าน

            “ตำรวจมาทำไมหรือจ๊ะเบบี๋”

            เขายิ้มกะล่อน นัยน์ตาทอประกายแบบที่แมคเคนซี่เกลียดที่สุด และตอนนี้เธอเริ่มกลัวแล้วว่าถ้าตำรวจไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูดเล่า

            “ดูไม่เหมือนการลักพาตัวนะครับ”

            “เขาลักพาตัวฉันมาที่นี่จริงๆ ค่ะ ดูข้อมือฉันสิคะ ยังมีรอยที่เขาใช้กุญแจมือกับฉันอยู่เลย” พูดอย่างเดียวก็กลัวตำรวจจะไม่เชื่อ แมคเคนซี่จึงยื่นข้อมือที่ยังมีรอยแดงให้เขาดู แล้วหันไปมองเดฟด้วยสายตาแบบผู้ชนะ

            ทหารรับจ้างหนุ่มมีสีหน้ารู้สึกผิดทันที เขาวางจานแซนด์วิชหน้าตาสุดแสนอัปลักษณ์ลงแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ หญิงสาว จากนั้นจึงรวบข้อมือแมคเคนซี่มาดูใกล้ๆ ใช้ปลายนิ้วไล้ลงบนรอยแดงนั่นอย่างอ่อนโยน

            “ผมขอโทษนะทูนหัว ผมไม่น่าใช้กุญแจมือกับคุณเลย คราวหลังผมจะหาแบบมีปลอกหนังนุ่มๆ เวลาเราจู๋จี๋กันนะจ๊ะ”

            “อะไรนะ!” สาวร่างเล็กสะดุ้งวาบ หันไปมองตำรวจแล้วรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่นะคะ ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันนะคะ”

            “ถ้าโกรธที่ผมรุนแรงกับคุณไปบ้าง คราวหน้าผมยอมให้คุณจับผมมัดกับเตียงแทนก็ได้”

            “เงียบนะเดฟ!” หญิงสาวหันไปแว้ดใส่อย่างลืมตัว

            “อ้าว...ผัวเมียทะเลาะกันหรอกหรือ” ตำรวจก็พลอยโกรธไปด้วยเพราะคิดว่าถูกหลอกเข้าแล้ว

            “ไม่ใช่นะคะ”

            “ใช่ครับ” เสียงเดฟดังกลบเสียงแมคเคนซี่ ทำเอาเสียงประท้วงของหญิงสาวไร้ความหมายไปในทันที

            “มีคนแจ้งว่ามีผู้หญิงถูกขังไว้ในบ้านนี้”

            “ฉันเองค่ะๆ” หญิงสาวรีบยกมือ ตำรวจคือความหวังสุดท้าย ถ้าตำรวจยังช่วยเธอไม่ได้ เธอไม่ต้องติดแหง็กอยู่กับเดฟไปจนกว่าเขาจะปล่อยหรือ

            “ผมผิดเองแหละครับ พอดีผมตื่นก่อนเพราะที่รักน่ะเพลียมาก แต่ลืมเขียนโน้ตไว้”

            “เขาโกหกค่ะ” แมคเคนซี่ชี้หน้าเดฟ เธอโกรธจนอยากจับเขาสับเป็นชิ้นๆ เลยก็ว่าได้ เธอไม่เคยโกรธใครขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

            “อย่าโกรธผมเลยนะทูนหัว” เดฟตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้อย่างแนบเนียน จนสุดท้ายตำรวจก็ยังได้แต่ถอนหายใจ แล้วส่ายหน้าเบาๆ

            “ผมว่าพวกคุณเคลียร์กันเองเถอะ” นายตำรวจชักอ่อนใจ ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จกันแน่ แต่ดูแล้วเทไปข้างฝ่ายชายมากกว่า

            “ต้องขอโทษจริงๆ ครับคุณตำรวจที่ทำให้ยุ่งยาก แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะตกลงกับภรรยาเอง” ไม่พูดเปล่า เดฟยกมือขึ้นโอบบ่าแมคเคนซี่ไว้หลวมๆ

            “ปล่อยฉันนะ” แค่นาทีนี้เท่านั้นที่เธอจะหลุดพ้น หญิงสาวจึงพยายามผลักร่างสูงใหญ่ออกไป แต่เดฟไม่ขยับเลยสักนิด ทั้งยังกดปลายนิ้วแน่นจนแทบจะจิกลงไปในข้อมือเธอ

            “เมียขี้งอนไปหน่อยน่ะครับ เธอยังเด็ก”

            “ผมไปละ” ตำรวจบอกลาเพราะดูแล้วจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าการลักพาตัวจริงๆ

            “ขอโทษที่ทำให้ยุ่งยากครับคุณตำรวจ” เดฟยิ้มกว้าง แล้วพยักหน้าให้ตำรวจที่ยังคิ้วขมวดและมีสีหน้าเคลือบแคลงอยู่นิดๆ

            แมคเคนซี่กระสับกระส่าย มองความหวังสุดท้ายที่กำลังห่างไกลออกไปอย่างแสนเสียดาย ตำรวจกำลังจะไปแล้ว ถ้าไปครั้งนี้คงอีกนานกว่าจะมีโอกาสดีๆ ที่จะรอดจากมือเดฟอีก หญิงสาวคิดแล้วตัดสินใจรวบรวมกำลังทั้งหมดแล้วผลักร่างสูงใหญ่ออกไปเต็มแรง

            แต่เดฟรู้ทัน!

            แค่แมคเคนซี่ออกแรงอันน้อยนิดของเธอดันตัวเขาให้ออกห่าง เดฟก็รวบต้นแขนเล็กไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ใช้อีกมือหนึ่งช้อนท้ายทอยเธอไว้ บังคับให้แหงนหน้าขึ้นมาหาเขา จากนั้นจึงประกบจูบลงไปอย่างแม่นยำ

            ในเมื่อดื้อนักก็ต้องปราบให้อ่อนลงเสียหน่อย!

            ความเยือกเย็นคือเสน่ห์แบบเฉพาะตัวของแมคเคนซี่ ทำให้เดฟไม่อาจละสายตาจากเธอมาแล้ว แต่ความดื้อดึงแสนพยศแบบเด็กๆ คือสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะได้เห็น ซึ่งมันจุดไฟบางอย่างในตัวเขาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเธอดื้อมากเท่าไร พยศมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เขาอยากเอาชนะ อยากรู้วิธีที่จะปราบเธอลงได้ ในเมื่อเคยข่มขู่สารพัดและแมคเคนซี่ก็เริ่มจับทางได้แล้วว่าเขาแค่ขู่ แต่ไม่ทำอะไรรุนแรงกับเธอ เธอจึงยิ่งดื้อมากขึ้นเรื่อยๆ และเดฟก็ชอบแมคเคนซี่ในแบบนี้มากกว่าตอนที่เธอเย็นชาเป็นไหนๆ เพราะเขาจะได้หาเรื่อง ‘จูบ’ ปราบพยศเธออย่างตอนนี้อย่างไรล่ะ

ครั้งหนึ่งเขาเคยจินตนาการว่าริมฝีปากของเธอจะหวานสักแค่ไหน และเจ้าหญิงน้ำแข็งผู้แสนเยือกเย็นจะหลอมละลายไปกับรสจุมพิตหรือไม่ แต่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วเดฟก็พบว่าคนที่หลอมละลายไปกับความหวาน...คือตัวเขาเอง

            ชายหนุ่มคลึงเคล้าริมฝีปากเล็กของหญิงสาวที่กำลังตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนเบาๆ ไม่เร่งร้อน แต่ไม่เปิดโอกาสให้เธอต่อต้าน หยอกเอิน หลอกล่อให้สาวน้อยของเขาค่อยๆ เรียนรู้ความใกล้ชิดในอีกแบบ อย่างที่เดฟมั่นใจว่านี่เป็น ‘จูบแรก’ แน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอไม่สั่นขนาดนี้ และนั่นก็ยิ่งทำให้ตอกย้ำข้อสงสัยที่ว่าแมคเคนซี่จะเป็นเมียเก็บของบรูซได้อย่างไร ในเมื่อเธอยังไร้เดียงสาจนกระทั่งมาถึงมือเขา

            ความคิดนี้ทำให้เดฟกระชับอ้อมแขนงแน่นขึ้น แล้วจูบซับไปตามหน้าผากและสองแก้มของแมคเคนซี่อย่างอ่อนโยน

            “คุณ...” สาวน้อยของเขามีท่าทีงุนงงในตอนแรก แต่พอได้สติ สองแก้มนวลหอมกรุ่นที่เขาเพิ่งพิสูจน์มากับตัวเมื่อครู่ก็แดงก่ำทันที เธอพยายามขยับถอยหลัง แต่เขากอดเอวเธอไว้แน่นจนแมคเคนซี่หนีเขาไปไม่ได้อีกแล้ว

            เดฟอมยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเห็นสีหน้าโกรธๆ ระคนเขินอายของหญิงสาว

            “คุณจูบฉัน”

            “ยังไม่ได้จูบ”

            “แต่...”

            “ไว้คราวหน้าจะสอนว่าจูบจริงๆ เป็นยังไง”

            คราวนี้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งขึ้นสีจัดกว่าเดิมเข้าไปอีก จนเดฟกลัวว่าเธอจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน จึงกอดเธอไว้อีกครั้ง แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับเธอซบอกเขาเสียเลย ดูเผด็จการไปนิด แต่ก็...รู้สึกดีเป็นบ้า

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น