6

ตอนที่ 6



 

 กระนั้นหัวใจของเธอก็ยังเต้นรัวเร็วด้วยความกดดันอย่างหนักทุกครั้งที่เผชิญหน้ากันอยู่ดี...

แมคเคนซี่ไม่มีเวลามองผลงานของตัวเองเท่าไรนักเพราะรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นต้องโกรธมาก ฟังจากเสียงสบถดังลั่นของเขานั่นปะไร ถ้าเขาลุกขึ้นมาได้เมื่อไรเธอแย่แน่ ไม่ต้องคิดเลยว่าเขาจะโต้กลับเธออย่างไรบ้าง หญิงสาวรีบวิ่งไปไปที่ประตูและพยายามเปิดมันออกทั้งที่สองมือสั่นเทา หวังจะออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะฟื้นตัวมาเล่นงานเธอ แต่ก็ยังช้ากว่าชายหนุ่มที่ตามมาคว้าเอวเล็กไว้ ลากเธอเข้าไปในห้องแล้วโถมน้ำหนักตัวกดให้ร่างบางล้มลงบนโซฟาเบดกลางห้อง พร้อมกับบีบข้อมือเธอแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้

            ดวงตาคมกริบเป็นประกายวาววับ ไอร้อนจากร่างสูงใหญ่ทำให้แมคเคนซี่ผวา เธอไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนเท่านี้มาก่อนเลย ลำพังผู้ชายธรรมดาๆ เธอก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว นับประสาอะไรกับผู้ชายโรคจิตที่ตามคุกคามเธอมาหลายต่อหลายวันอย่างเขา

            “ปล่อยนะ” หญิงสาวพยายามดิ้นรน ทว่ายิ่งดิ้นแรงบีบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเจ็บร้าวไปทั้งข้อมือ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งเตะทั้งถีบหวังจะให้เขาออกไปให้พ้นๆ เสียที

            “หยุดดิ้นได้แล้ว คุณหนีผมไม่พ้นหรอกจนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง” กระซิบขู่เสียงเข้ม

            “ต้องการอะไรกันแน่ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”

            “อย่าเพิ่งรีบตอบสิ” ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้กว่าเดิม

            ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเขาไล้ปลายจมูกลงบนนวลแก้มเบาๆ ข่มขู่ คุกคาม จงใจให้เธอหวาดกลัวและยอมจำนน แล้วก็ได้ผลเสียด้วย แค่เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เธอก็เกร็งจนตัวแข็ง หวาดกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า ต้องยอมจำนนทั้งที่ไม่อยากยอมเลยสักนิด แต่เธอสู้เขาไม่ได้

            เธอแพ้แล้ว...

            แมคเคนซี่ไม่เคยอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหนเกินความจำเป็น ต่อให้เป็นเพื่อนที่วิทยาลัยก็เถอะ เธอยังไม่เคยให้ความสนิทสนมถึงขนาดจะมาแตะตัวเธอได้ง่ายๆ เลย แล้วนี่เขาเป็นผู้ชายท่าทางน่ากลัว ถึงเนื้อถึงตัวอย่างรวดเร็ว กระตุ้นภาพความทรงจำในวันเก่าให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทำลายเปลือกนอกที่ห่อหุ้มหัวใจของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี เปิดเปลือยทุกความอ่อนแอออกมาจนหมดสิ้น

            เขาทำให้เธอกลัวเขา กลัวเหลือเกิน...

            น้ำตาแห่งความอัดอั้นค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ แมคเคนซี่เม้มปากแน่นและใช้สองมือยันแผ่นอกกว้างออกไปอย่างแรง แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหนาที่ไม่ขยับเขยื้อนเลย ไม่ว่าจะเพียรพยายามสักเท่าไรก็เสียแรงเปล่า

            “ปล่อยฉัน!” หญิงสาวสะกดกลั้นความหวาดกลัวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงเพราะความดิบเถื่อนของเขา

            “ผมปล่อย คุณก็ทำร้ายผมอีกน่ะสิ ผมแค่จะถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เขาพูดพร้อมทั้งกดข้อมือเธอแนบแน่น จนแมคเคนซี่กลัวว่าเขาจะหักแขนเธอเหลือเกิน แม้ว่าดวงตาคู่คมจะอ่อนแสงลงแล้วก็เถอะ แต่อย่างไรก็ยังน่ากลัวสำหรับเธออยู่ดี

            “ฉันไม่รู้” เธอตอบ แต่เขาไม่ฟังเสียงเลยสักนิด แล้วถามกลับ

            “คุณรู้จักบรูซมานานแล้วใช่ไหมแมคเคนซี่” ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธอย่างไรเขาก็ยังถามในสิ่งที่เขาต้องการรู้ และไม่สนใจคำปฏิเสธของเธออยู่ดี

            “ไม่ค่ะ” หญิงสาวเม้มปากแน่น เขากดดันเธอจนแทบหายใจไม่ออก เธอจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกไปอย่างแรง

            สงครามที่เพิ่งสงบลงเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อแมคเคนซี่ฮึดสู้ทั้งทุบทั้งข่วนชายตรงหน้าเต็มแรง ได้ยินเสียงเขาสบถอย่างหัวเสียหลายครั้ง จากนั้นจึงรวบข้อมือทั้งสองของเธอไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือก็แตะข้างแก้มที่ระคายไปด้วยหนวดเคราซึ่งเพิ่งถูกสาวเจ้าข่วนด้วยเล็บยาวเต็มแรง

            “ให้ตายเถอะ!” ชายหนุ่มตวาดเสียงเข้ม “ไม่อยากพูดกันดีๆ แล้วใช่ไหม”

            “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณทั้งนั้น”

            ชายร่างกำยำยิ้มเจ้าเล่ห์ ในเมื่อเธอดิ้นสู้เขาก็กดเธอไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา คลุกวงในกันอยู่อย่างนั้นนานสองนานจนแมคเคนซี่เริ่มหายใจหอบ ความใกล้ชิดเกินจำเป็นทำให้หัวใจหญิงสาวเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ไร้ผล

            “ฉันจะโทร. เรียกเก้าหนึ่งหนึ่ง” หญิงสาวบอกเสียงสั่นแต่แววตามุ่งมั่นเอาจริง เธอสู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาจะทำมิดีมิร้ายเธอตอนนี้ เธอก็ไม่มีทางสู้ ไม่มีใครช่วยเหลือ ในเมื่อจนตรอกแล้วก็ต้องหันหน้าสู้ เธอจะทำทุกอย่างเพื่อลากคอผู้ชายคนนี้ส่งตำรวจให้ได้

            คิดได้ดังนั้นสาวร่างบางก็หยุดดิ้นรนเมื่อพบว่าเหนื่อยเปล่าที่จะต่อต้านเขาด้วยแรงอันน้อยนิดของตัวเอง เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้ เธอเองก็เช่นกัน ตัวก็เท่านี้เองจะสู้เขาได้อย่างไร การมีสติเท่านั้นคือทางเดียวที่จะทำให้เธอผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายไปได้

            แมคเคนซี่มองชายร่างใหญ่ด้วยดวงตาวาววับอย่างที่บอกว่าไม่ยอม ต่อให้กลัวแค่ไหนก็จะไม่ยอมให้เขาทำอันตรายเธอมากไปกว่านี้

            ผู้หญิงคนนี้พยศใช่เล่น

            ทหารรับจ้างหนุ่มคิดขณะมองหญิงสาวใต้อาณัติที่กำลังจ้องตาเขาเงียบๆ จากที่ทีแรกดิ้นรนหนีแทบตาย แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้เธอก็เลือกที่จะ ‘ประณาม’ เขาด้วยสายตาแทน

            น่าสนใจ...

            สายตาเย็นชาของหญิงสาวทำให้เดฟนึกชมในใจ เธอกลัว...เขารู้ แต่เขาชอบการแสดงออกว่า ‘ไม่กลัว’ ของเธอที่อาจจะตบตาใครต่อใครได้ แต่ตบตาคนอย่างเขาไม่ได้

            เดฟมองคนหน้าเผือดสีแต่พยายามทำเก่งแล้วยิ้มมุมปาก จำต้องยอมปล่อยเธอไปอย่างแสนเสียดาย แล้วแสร้งยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้เมื่อเธอเอ่ยถึงตำรวจ เขาเชื่อว่าเธอทำแน่เพราะเคยทำมาแล้ว และเขาไม่คิดจะประมาทอีกเป็นครั้งที่สอง

            “เอาละ คุยกันดีๆ ก็ได้” ชายหนุ่มร่างสูงถอยหลังไปสามก้าว ให้แมคเคนซี่ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้ายับย่นให้เข้าที่ ระหว่างนั้นก็ลอบสำรวจเรือนร่างนุ่มนิ่มที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ไปด้วย

            ตัวบาง ร่างเล็ก ผิวขาว เรือนผมและดวงตาเป็นสีเข้ม โครงหน้าแบบชาวตะวันตกทั่วไป แต่เครื่องหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อยแบบสาวเอเชีย ประกอบกันเป็นความสวยงามที่ทั้งเย่อหยิ่งและอ่อนโยนละมุนตาระคนกัน สวยงามและน่าค้นหา มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ

            แต่...ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่หญิงสาวอายุยังน้อยแค่นี้กลับคิดสั้นมาเป็นเมียเก็บของผู้ชายแก่คราวพ่อ ทั้งยังเกี่ยวพันกับตนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรอย่าง บรูซ เกรย์สัน

            “คุณต้องการอะไรจากฉัน”

            “ผมแค่จะถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้น แต่คุณไม่ฟังเสียงเลย”

            แมคเคนซี่นิ่ง รอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

            “คุณเป็นเมียเก็บของบรูซใช่ไหม”

            ดวงตากลมโตของสาวคนฟังวาววับขึ้นมาทันที แต่ก็กลับมาสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็วราวกับชาชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว

            “เขาตายแล้ว”

            “ผมกำลังหาของบางอย่างจากเขา มันเป็นของสำคัญมาก ผมคิดว่ามันต้องอยู่ที่คุณ”

            “เขาไม่เคยให้อะไรฉันทั้งนั้น” เสียงหวานใสเจือไปด้วยความไม่พอใจ เธอเชิดหน้าขึ้นนิดๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น ท่าทางบ่งบอกว่าไม่ต้อนรับเขาเลยสักนิด

            “อย่างนั้นหรือ” เดฟแสร้งทำหน้าเครียดทั้งที่เดาได้อยู่แล้วว่าเธอต้องตอบแบบนี้ เขาไม่แน่ใจว่าแมคเคนซี่รู้เรื่องพวกกัสซาโนหรือเปล่า แต่เธอคงไม่มีวันพูดกับเขาแน่ ต่อให้เธอจะรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม

            ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเดินเกมใหม่ แบบที่ทั้งสุขุมนุ่มลึกและใจเย็น การเผชิญหน้ากันเมื่อครู่เป็นบทเรียนว่ารีบร้อนไปก็ไม่อาจต้านทานความนิ่งสงบของเธอได้ ไฟหลอมละลายน้ำแข็งได้ก็จริง แต่คงไม่อาจหลอมละลายความเยือกเย็นราวกับกำแพงน้ำแข็งแสนเย็นชาที่โอบล้อมหญิงสาวประหนึ่งเกราะป้องกันได้

            ดังนั้นเขาจึงต้องใจเย็นกว่านี้จนกว่าจะเข้าถึงตัวเธอได้

            คิดได้ดังนั้นทหารรับจ้างหนุ่มก็ตีสีหน้านิ่งเฉย มีแววผิดหวังเจืออยู่เล็กน้อย แล้วพยักหน้าเบาๆ ยอมรับในสิ่งที่เธอพูด ทั้งที่ในใจไม่เชื่อเลยสักนิดเดียว แต่ช่างเถอะ...เขาจะได้รู้ในอีกไม่นาน

            “ถ้าคุณ เอ่อ...” หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดออกไปอย่างที่ใจคิดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ถามออกไปจนได้    

            “ถ้าคุณติดค้างคดีกับเขา ฉันคิดว่าให้ไปที่สำนักงานทนายความของเขาจะดีกว่า”

            เดฟถอยหลังไปอีกก้าว ตีสีหน้าสลด เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วจนแม้แต่แมคเคนซี่ยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ อาจจะมีการเข้าใจผิด ขอโทษที่ทำให้คุณกลัว...แต่คุณจะไม่แจ้งตำรวจใช่ไหม”

            คนถูกถามเม้มปากแน่นแต่ไม่ยอมตอบ ดูแล้วเธอกำลังโกรธ ไม่พอใจ แต่ก็สับสนด้วย นั่นก็เข้าทางเขาพอดี เธอกำลังสับสน เขาก็ต้องยิ่งรุกต่อ แต่ก็ต้องให้แค่พอดีๆ เพราะถ้ามากไปก็จะเป็นการกดดันเธอมากกว่าเดิมเข้าไปอีก เขาจะไม่มีวันได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากเธอ

            “คราวก่อนผมแค่ไม่แน่ใจว่าใช่คุณหรือเปล่า เลยได้แต่แอบตามดูก่อน พอผมจะเข้ามาถามคุณก็ไม่ฟังอะไรเลย ผมก็เลยโมโห สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็รู้ว่าผมผิด ขอโทษที่ใช้อารมณ์มากไปหน่อย”

            “คุณทำให้ฉันตกใจ”

            “คุณมีสิทธิ์ที่จะแจ้งความครับ แต่ผมก็ลำบากเหมือนกัน กว่าเพื่อนจะมายืนยันตัวให้ผมได้ว่าผมไม่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์”

            “แต่คุณคุกคามฉัน”

            “สันดานเดิมมันแก้ไม่หายจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าเศร้า “ผมอยู่กองทัพมาหลายปี เลยติดนิสัยห่ามๆ ไปหน่อย ขอโทษที่ทำให้คุณกลัว”

            “เอาเถอะค่ะ” แมคเคนซี่ถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าอ่อนหวานแสดงอาการติดจะรำคาญนิดๆ แต่เดฟไม่สน เขายังพูดและแสร้งทำเหมือนกำลังแสดงเจตนาบริสุทธิ์ต่อไป

            “อย่าแจ้งตำรวจอีกเลยนะครับ” เขายิ้มกว้าง พยายามแสดงออกว่าจริงใจที่สุด แต่ทำเอาสาวเจ้าผงะนิดๆ แล้วรีบชี้มือไปที่ประตู

            “ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดก็ได้ค่ะ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญค่ะ ประตูอยู่ตรงนั้น” แมคเคนซี่บอกเสียงเรียบ เย็นชา ห่างเหิน เป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่ต้อนรับเขาแล้ว

            “ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่...”

            “ย้ายมาอยู่ที่นี่หรือคะ” แมคเคนซี่หรี่ตา สำรวจเดฟตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าด้วยความสงสัย

            ปกติเธอไม่ตัดสินคนจากภายนอกก็จริง และชายตรงหน้าก็ไม่ได้ดูแย่ เขาสวมเสื้อยืด กางเกงยีน แจ็กแกตหนัง ขับบิ๊กไบค์ สูบซิการ์ ท่าทางดิบเถื่อนแบบนี้หรือจะมาพักในที่พักราคาแพงแสนแพงในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ มันดูไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด

            “ผมรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อ แต่เจ้านายผมเพิ่งซื้ออะพาร์ตเมนต์ที่นี่ในขณะที่ตัวเองยังติดงาน เลยให้ผมมาดูแล” เดฟโกหกเป็นไฟด้วยข้ออ้างที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ แต่เขาก็คิดว่ามันแนบเนียนพอ

            “อย่างนั้นหรือคะ” ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย บ่งบอกว่าเธอไม่เชื่อเลยสักนิด

            “ครับ”

            “เอาละ...ฉันบอกทุกอย่างที่รู้ไปแล้ว คุณไปตามที่สำนักทนายความของเขาเถอะค่ะ”

            “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินตรงไปที่ประตู “ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้คุณกลัว หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้นะครับแมคเคนซี่”

            เดฟยื่นมือออกไปหวังจะสร้างสายสัมพันธ์อันดี

            แมคเคนซี่ไม่ตอบ เธอยังคงมองชายตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ไม่จับมือตอบและทำแค่พยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา

            “โชคดีค่ะ” เจ้าของเสียงหวานตัดบท ต้องการจบการสนทนานี้ให้เร็วที่สุด ให้เขาออกไปจากห้องของเธอเสียที เธอไม่ต้องการอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว

            แมคเคนซี่มองตามร่างสูงใหญ่ของคนที่ตามคุกคามเธอหลายวันเดินออกจากห้องไป แล้วรีบเดินไปปิดประตูลงกลอนแน่นหนาพร้อมทั้งถอนหายใจโล่งอก

            ผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้นออกไปแล้วก็จริง แต่หัวใจของแมคเคนซี่ยังเต้นรัวแรงราวกับกลอง การเผชิญหน้ากับเขาทำให้เธอกลัวแทบบ้า ยิ่งตอนที่เขาดึงเธอเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมแบบสปอร์ตกับกลิ่นอายของผู้ชายแท้ๆ ทำเอาหญิงสาวแทบหายใจไม่ออก นับตั้งแต่ที่เขาตามคุกคามเธอวันแรกจนถึงเมื่อครู่นี้ทำให้ความหวาดหวั่นตีรวนไปทั่วร่าง หวาดกลัวจนสติแตกกระเจิง

            แมคเคนซี่ยกมือขึ้นทาบอกแล้วพยายามหายใจให้เป็นปกติ ใบหน้าคมเข้มรกเรื้อไปด้วยหนวดเครายังติดตาจนต้องสะบัดศีรษะแรงๆ หลายครั้งเพื่อลืมไปเสีย แต่ก็พบว่าช่างยากเย็นเหลือเกิน นอกจากการเสียแม่ไปและเหตุการณ์ที่เกือบจะเป็น ‘ตราบาป’ ในชีวิตของเธอแล้ว เธอคิดว่าการเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ก็น่ากลัวไม่น้อยไปกว่ากันเลย

            ชีวิตที่เคยสงบมานานหลายปีกำลังปั่นป่วน แมคเคนซี่รู้ดีว่ามันไม่จบแค่นี้แน่ ง่ายเกินไปที่เขาจะยอมรามือ เธอยังจำนัยน์ตาวาววับไปด้วยความมุ่งมั่นของเขาได้ การเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วของเขาไม่ได้ทำให้เธอคลายความกังวลเลย ตรงกันข้าม กลับทำให้เธอยิ่งระแวงเขามากขึ้นไปอีก

            มันง่ายเกินไป...แมคเคนซี่นึกถึงตอนที่เขารวบตัวเธอเข้าไปแล้วคุกคามด้วยอารมณ์ร้อนแรงเหมือนทะเลบ้า คลื่นลมโหมกระหน่ำรุนแรงจะไม่มีวันสงบนิ่งได้เลยถ้ายังไม่ได้ทำลายล้างทุกอย่างลง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ๆ พายุอารมณ์ที่เคยโหมกระหน่ำจะหยุดลงง่ายๆ และเขาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ทั้งยังยิ้มให้เธอหน้าตาเฉย เขาไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ อย่างที่แสดงออก แต่เขากำลังทำให้เธอตายใจต่างหาก

            หญิงสาวเดินเข้าไปล้างหน้า กระจกเงาสะท้อนภาพผู้หญิงผิวขาวซีดคนหนึ่งที่กำลังหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ...

            ‘จะทำอย่างไรต่อไปดี’ นึกถึงตอนที่เขาบอกว่าจะอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้านายจะกลับมา นั่นหมายความว่าเธอจะต้องเจอเขาอีกหลายวัน เธอไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

            หญิงสาวได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ มัวแต่คิดถึงเรื่องของผู้ชายอันตรายคนนั้นจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่โทร. เข้ามาหลายครั้ง เธอพยายามข่มใจให้ลืมเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปเสีย ในเมื่อเขาบอกว่ามันคือการเข้าใจผิด เธอก็จะลองเชื่อว่ามันคือการเข้าใจผิด แต่ถ้ามีครั้งที่สองเมื่อไร เธอจะเอาเขาเข้าคุกให้ได้

            หลังจากแยกกับแมคเคนซี่แล้ว เดฟก็รีบกลับมาที่ห้องพักของตัวเองแล้วต่อสายหาพวกกัสซาโน

            “ครับ” ดิเอโกคนเดิมรับสายด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าถีบเหลือเกินในความคิดของเดฟ

            “ลอเรนโซล่ะ”

            “อยู่ แต่ผมอยากคุยเองมากกว่า ได้ความคืบหน้าอย่างไรบ้างล่ะเดฟ”

            “แมคเคนซี่ไม่รู้เรื่องนี้” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปอย่างนั้น แต่เดฟคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำหลายจุด ทั้งพวกกัสซาโน พวกเอฟบีไอ หรือแม้กระทั่งแม่สาวน้อยแมคเคนซี่ก็เถอะ เขาจึงเลือกที่จะทำอะไรลับๆ ตามใจตัวเองมากกว่า นี่ไม่ใช่งานของแบล็กวอเตอร์ ไม่มีสัญญาจ้าง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งทุกคำเหมือนตอนที่ทำงานให้บริษัท งานนี้เขาจะทำสัญชาตญาณที่บอก ในเมื่อทุกอย่างล้วนน่าสงสัย เขาก็จะค่อยๆ สืบสาวราวเรื่องพวกนี้เองแล้วค่อยตัดสินใจว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่

            “ผมเคยบอกคุณแล้ว...ว่าแต่เจอของที่ว่าไหม”

            “ผมยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร” เดฟหยั่งเชิง

            “คดีสุดท้ายของบรูซ”

            “ยังไม่เจออะไรทั้งนั้น ไว้ผมจะติดต่อไปเมื่อมีอะไรคืบหน้า”

            “คุณจะอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์นั้นใช่ไหม” ดิเอโกถาม

            “ใช่สิ สะดวกสบายกว่านี้หาที่ไหนได้ล่ะ” ทหารรับจ้างหนุ่มตอบกวนๆ ได้ยินปลายสายสบถเล็กน้อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร

            “ทำให้คุ้มค่าจ้างแสนแพงของคุณด้วยแล้วกัน”

            “อย่าได้พูดอย่างนี้อีกทั้งที่เป็นคนดั้นด้นไปขอร้องผมมารับงานนี้” เดฟตัดสายทิ้งแล้วสบถอย่างหัวเสีย ถ้าอยู่ใกล้กันเสียหน่อยเขาจะอัดมันให้น่วมเชียว

            หลังวางสายจากพวกมาเฟีย ทหารรับจ้างหนุ่มก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้าเนื้อนิ่มขายาวสบายๆ แล้วเดินออกมาสูบบุหรี่ที่ริมระเบียง พ่นควันสีหม่นออกมาช้าๆ พลางใช้ความคิดว่าจะจัดการกับแม่หนูน้อยแมคเคนซี่คนนี้อย่างไรดี

            เสียงเปิดประตูระเบียงจากห้องด้านบนที่อยู่เยื้องกันไปเรียกให้เดฟหันไปมอง เห็นหญิงสาวร่างเล็กบางถือแก้วนมสดออกมายืนเท้าแขนกับระเบียง เธอเหม่อมองฟ้าอยู่สักพักก็เดินกลับเข้าไป เดฟจะกลับเข้าห้องอยู่แล้วถ้าไม่เห็นเธอออกมาอีกครั้งและหยิบกระถางดอกไม้เล็กๆ ขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง

            คราวนี้เธอคงเข้าไปนอนแน่แล้ว เดฟจึงยืนสูบบุหรี่ต่อ แต่เพียงไม่นานเธอก็กลับออกมาอีกพร้อมกับเก้าอี้หนึ่งตัวกับจานสี ก่อนนั่งลงเพนต์กระถาง เขาเห็นเธอหลับตาอยู่สักพักจึงค่อยจดปลายพู่กันลากๆ ไปมั่วๆ ราวกับกำลังระบายอารมณ์มากกว่าตั้งใจจะทำงานศิลปะจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกมาทำในที่มืดทั้งที่ในห้องสว่างกว่าเป็นไหนๆ

            อีกมุมที่แปลกไปของหญิงสาวทำให้เดฟลอบยิ้มด้วยความสนใจ มองมือน้อยที่ตวัดพู่กันลงบนกระถางดอกไม้เคราะห์ร้ายอย่างเพลินตา มองริมฝีปากบางที่เม้มแน่นยามเธอใส่อารมณ์ลงไป มองคิ้วได้รูปสวยตามธรรมชาติขมวดเป็นปมราวกับกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ไม่ต้องเดาให้ยากเลย...เดฟคิดว่าเธอไม่พอใจเขา อาจจะเข้าขั้นเกลียดเลยก็ได้

            ‘คนเฮงซวย’

            เดฟได้ยินแมคเคนซี่ทำเสียงขึ้นจมูกแล้วพูดด้วยภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง น่าจะเป็นภาษาไทยอย่างที่โจเคยบอกว่าแมคเคนซี่เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย แต่ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้าของเธอแล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็นคำด่ามากกว่า

            น่าสน...

            น่าแปลกที่โทสะของเธอทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เดฟไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตที่ชอบทำให้คนอารมณ์เสียแล้วถึงจะมีความสุข แต่กับแมคเคนซี่นี่ต่างออกไปอย่างชัดเจน โทสะของเธอจุดไฟบางอย่างในตัวเขา ความไม่ยอมคนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเยือกเย็นปลุกเร้าสัญชาตญาณบางอย่างจากตัวเขาได้ ดึงดูดให้เดฟอยากเข้าไปใกล้และทำลายกำแพงแห่งความเย็นชานั้นออกไปเสีย

            ชายหนุ่มเฝ้ามองหญิงสาวแรกรุ่นระบายอารมณ์กับการเพนต์กระถางดอกไม้ เห็นเธอจิ้มๆ พู่กันลงไปแรงๆ แล้วก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ทั้งยังสำลักควันบุหรี่ที่สูบเองอีกต่างหาก

            เสียงไอโขลกของเขาทำให้แมคเคนซี่รู้ตัวและมองลงมา เดฟจึงถือโอกาสยิ้มให้เสียเลย พลันดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนเธอจะทำกระถางดอกไม้และจานสีตกพื้นด้วยความตกใจ

กระถางดอกไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนจานสีเจ้ากรรมตกลงไปที่พื้นข้างล่างเรียบร้อย

ให้ตาย!...แววตาตื่นตระหนกของเธอกระตุ้นไฟในตัวเขาได้อย่างง่ายดาย

            เดฟยิ้มเจ้าเล่ห์ มองร่างบางในชุดนอนเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวด้วยดวงตาวาววับ แล้วถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

            “ยังไม่นอนหรือครับ” ในเมื่อจะเล่นบทเพื่อนบ้านที่แสนดีต่อไปก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ แม้ว่าสาวเจ้าจะยังมีสีหน้าราวกับเห็นปีศาจก็ตาม เขาไม่สนอยู่แล้ว

            แมคเคนซี่เม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ เดฟพอเดาได้ว่าเธอไม่อยากพูดกับเขา แต่ไม่เป็นไร...นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น

            “คืนนี้ดาวสวยนะครับ...ว่าไหม” พูดเองแล้วก็อดด่าตัวเองในใจไม่ได้...แม่งโคตรเชย คิดได้ไงวะ

            ทว่าสาวเจ้าก็ยังไม่ยอมตอบ เอาแต่ยืนกำพู่กันแน่นมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันหลังกลับไปทันทีโดยไม่คิดจะตอบเขาสักคำเดียว

            ให้ตายเถอะ...เจ้าหญิงน้ำแข็งน้อยๆ คนนี้น่าปราบชะมัด!

            เดฟหัวเราะหึๆ เขาดับบุหรี่พลางมองตามหลังแมคเคนซี่ไปจนกระทั่งได้ยินเสียงเธอปิดประตูระเบียง จากนั้นจึงมองจานสีที่ตกไปด้านล่าง เขารู้แล้วว่าจะเข้าหาเธออีกครั้งได้อย่างไร

            เสียงเคาะประตูยามวิกาลทำให้แมคเคนซี่สะดุ้งด้วยความหวาดผวา คนแรกที่เธอนึกถึงคือผู้ชายหน้าหนวดคนนั้นแน่นอน แต่เธอจะไม่มีวันเปิดประตูให้เขาแน่ แค่ช่วงค่ำเขายังทำให้เธออกสั่นขวัญแขวนได้ขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่ายามวิกาลจะขนาดไหน

            แมคเคนซี่ทำหูทวนลมไม่สนใจเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกลัวว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่นหรือไม่ เขาก็ทู่ซี้เหลือเกินจนเธอทนไม่ไหว หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาอาวุธเหมาะมือ และไปจบที่ไม้เบสบอลกับสเปรย์พริกไทยที่พ่อซื้อไว้ให้เธอใช้ป้องกันตัว

            หญิงสาวกำไม้เบสบอลแน่น ซ่อนสเปรย์พริกไทยขวดเล็กไว้ในกระเป๋ากางเกงนอนเพื่อสะดวกแก่การหยิบใช้งาน แล้วเดินไปเปิดประตูอย่างช้าๆ

            ผู้ชายน่ากลัวคนนั้นจริงๆ ด้วย!

            ดวงตาทอประกายวาววับของเขาทำให้แมคเคนซี่นึกหวาด มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยสายตาหวาดระแวงแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ

            “มีอะไรคะ”

            “ใจเย็นแมคเคนซี่ ผมมาดีนะ” เขายกมือขึ้นสองข้างแสดงความบริสุทธิ์ใจ มือข้างหนึ่งถือจานสีเลอะๆ ของเธอไว้ด้วย

            “ขอบคุณค่ะ” แมคเคนซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วยื่นมือออกไปรับจานสีคืน แต่เขากลับชักมือหนีเสียอย่างนั้น ทำเอาสาวเจ้าหน้าตึงทันที

            “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณชอบงานศิลปะด้วย”

            หญิงสาวเม้มปาก ไม่ยอมตอบ

            “ผมเชื่อเดฟ ลิวอิส เปเรซ เรียกว่าเดฟก็ได้ครับ” เขายื่นจานสีคืนให้แล้วยิ้ม ‘ใสซื่อ’ ที่ดูอย่างไรก็ ‘เสแสร้ง’ มากกว่า

            แมคเคนซี่ไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้นแล้วรีบปิดประตู แต่เดฟยกขาขึ้นกันประตูไว้ไม่ให้ปิด ทำเอาสาวเจ้าผงะหนี

            “ใจเย็นๆ ผมแค่จะถามอะไรอีกนิดหน่อย”

            หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบ มองเขานิ่งๆ รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

            “แถวนี้มีร้านอาหาร มินิมาร์ตหรือซูเปอร์มาเกตบ้างไหมครับ” เดฟชวนคุยพลางยิ้มไปด้วย ทำให้ใบหน้าดุดันดูอ่อนลงเล็กน้อย

            แมคเคนซี่ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี มินิมาร์ตอยู่ห่างไปไม่กี่บล็อกแท้ๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ ร้านอาหารก็ไม่ไกลกันเลย

            “แม็กกี้...” เขาทำเสียงอ่อนใจ ทั้งยังเรียกชื่อเธอสั้นๆ อย่างสนิทสนมอีกด้วย

หญิงสาวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำตัวสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เมื่อไร

            “ผมรู้ว่าทำให้คุณไม่ไว้ใจ แต่ผมไม่คิดร้ายแล้วจริงๆ”

            “เรื่องนั้นฉันคิดเองได้” เจ้าของเสียงหวานตอบห้วนๆ ไม่อยากสานสัมพันธ์ใดๆ กับเขา ต่อให้จะเป็นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนก็เถอะ ที่ผ่านมาก็เกินพอแล้ว

            “เอาเถอะครับ” เดฟยกมือขึ้นปรามหญิงสาว ท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ “ไม่แปลกหรอกที่คุณจะยังไม่ไว้ใจผม ไว้ให้เวลาพิสูจน์ก็ได้ว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณจริงๆ”

            แมคเคนซี่ไม่ตอบ เธอเอาแต่มองเขาด้วยสายตาเย็นชาจนเดฟทำหน้าเจื่อน เขายิ้มให้อีกครั้งแล้วล่าถอยกลับไป เธอจึงรีบปิดประตูลงกลอน เก็บจานสีเข้าที่แล้วถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ต้องใช้อาวุธใดๆ กับเขา และการสนทนาก็จบลงด้วยดี

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น