8

ตอนที่ 8


 

             สองแก้มของแมคเคนซี่แดงก่ำ เธอหลบสายตาเขาเพราะรู้สึกถึงหัวใจที่ยังเต้นแรงเหมือนทะเลคลั่งของตัวเอง หญิงสาวพยายามถามตัวเองซ้ำๆ ว่าควรจะโกรธเขาไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเธอกลับพบว่า...เธอไม่รังเกียจสัมผัสเมื่อครู่เลย

แมคเคนซี่ตื่นแต่เช้า สวมชุดวอร์มและเสื้อคลุมแบบมีฮูด แล้วลงไปวิ่งออกกำลังกายที่หน้าอะพาร์ตเมนต์เลยไปสามสี่บล็อก แล้ววิ่งกลับมา เธอนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นเดฟก็วิ่งกลับมาเช่นกัน ในมือของเขามีแฮมเบอร์เกอร์ร้านดังที่อยู่ห่างออกไปเป็นสิบบล็อกอยู่ด้วย

            “มื้อเช้าครับ” เขายิ้มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แล้วส่งแฮมเบอร์เกอร์กับแซนด์วิชมาให้

            “อะไรคะ” หญิงสาวเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเขาจะส่งให้เธอทำไม

            “ผมซื้อมาเผื่อ”

            “ฉันไม่...”

            “รับไปเถอะครับ” เดฟทำท่าจะยัดถุงกระดาษใส่มือเธอเหมือนเมื่อคืน ทำเอาแมคเคนซี่ต้องรีบรับไว้ก่อนที่เขาจะจับมือเธออีก

            “ถ้าไม่เจอฉันแล้วคุณจะเอาของพวกนี้ไปไว้ที่ไหนล่ะคะ”

            “ก็แขวนไว้หน้าห้องคุณไงแม็กกี้” เขายักไหล่ “ผมยังรอฟังคำตอบเรื่องไปพิพิธภัณฑ์อยู่นะ”

            หญิงสาวไม่ตอบ เธอรับถุงแฮมเบอร์เกอร์ไว้แล้วเดินกลับขึ้นห้องไปโดยไม่เหลียวหลังไปมองเขาอีก เธอยังรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน แม้ว่าเขาจะทำตัวสบายๆ ไม่มีท่าทีคุกคามอีก แต่ก็ยังอดหวาดๆ ไม่ได้

            แมคเคนซี่พบว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เจอหน้าเขา แต่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะเธอกลัวใช่หรือเปล่า หรือมีอะไรมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แมคเคนซี่แน่ใจคือการปรากฏตัวของเขาทำให้ชีวิตที่นิ่งสงบของเธอปั่นป่วนราวกับถูกคลื่นลมโหมกระหน่ำเข้าใส่ ยามนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่เธอไม่หันกลับไปมองเขาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงดวงตาคมเข้มที่จ้องมองมาอย่างไม่ลดละ

            ประตูปิดลง นักศึกษาสาวยืนพิงประตูแล้วยกมือทาบอก ระงับอกระงับใจที่เต้นสั่นระรัวให้สงบนิ่ง เธอตั้งสติ มองข้ามสิ่งดีๆ ที่เขาพยายามทำหักล้างความผิดที่เคยตามคุกคามเธอ เวลาแค่ไม่กี่วันไม่อาจทำให้เธอลืมความหวาดกลัวในครั้งนั้นไปได้ง่ายๆ

            กลายเป็นว่านับตั้งแต่วันนั้นไปตลอดทั้งสัปดาห์ ทุกเช้าเดฟจะออกไปวิ่งพร้อมกับแมคเคนซี่เสมอ และพยายามพูดคุยด้วย ส่วนมากเดฟจะเป็นฝ่ายคุยคนเดียวเพราะเธอไม่เคยตอบ เอาแต่มองหน้าเขาเฉยๆ เวลาเขาซื้อมื้อเช้ามาให้ เธอก็ยกมือไหว้ขอบคุณตามนิสัยที่ติดมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็นั่งบนเก้าอี้สาธารณะข้างถังขยะ กินเงียบๆ โดยไม่พูดกับเขาเลยสักคำ แต่ก็ยอมให้เขานั่งด้วย ไม่รังเกียจเหมือนเมื่อก่อน

            ตลอดเวลาที่ผ่านมาแมคเคนซี่ยอมรับว่าตัวเองก็ ‘จับตา’ ดูท่าทีของเดฟเช่นกันว่า เขาแค่จะทำดีให้เธอตายใจเท่านั้นหรือไม่ แต่ก็ไม่เลย เขามักจะออกมาวิ่งทุกเช้าและช่วงค่ำ บางทีเธอก็เจอเขาหอบของพะรุงพะรังมาจากซูเปอร์มาเกตแล้วทำอาหารเอง บางทีเขาก็เอาอาหารมาส่งให้ และเล่าให้ฟังว่าต้องอยู่ดูแลห้องให้เจ้านายอีกสองสัปดาห์ เพราะเจ้านายเลื่อนกำหนดกลับ

            ความหวาดระแวงลดน้อยลงเรื่อยๆ กระนั้นเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเขา ยิ่งได้ยินเอมิลี่บ่นเรื่องแฟนคนปัจจุบันแล้วเอาแต่พูดถึงเดฟ เธอก็ยิ่งพยายามตีตัวออกห่างเขาไว้ เพราะไม่อยากผิดใจกับเพื่อน

            “แม็กกี้!” เสียงเรียกจากเรนนี่ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง มือปัดไปโดนหนังสือเรียนตกลงพื้น

            “อย่าเสียงดังสิเรนนี่ นี่มันห้องสมุด”

            “ฉันเรียกเธอมาสามครั้งแล้ว”

            “อ้าวเหรอ” สาวลูกครึ่งไทยหน้าเหลอ เพราะมัวแต่คิดเรื่อง ‘ไร้สาระ’ จนไม่ได้ยินเสียงเพื่อน

            “เธอแปลกๆ ไปนะแม็กกี้” ดวงตายาวรีของเรนนี่หรี่แคบลง มองเพื่อนสนิทด้วยสายตาจับผิด

            “เปล่านี่เรนนี่ ไม่มีอะไรเสียหน่อย”

            “เธอเหม่อในห้องเรียน”

            แมคเคนซี่ตัวเกร็งเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเลยว่าเอาเวลาเรียนที่แสนมีค่าไปนั่งนึกถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไร เธอก็ว่าเธอตั้งใจเรียนเหมือนเดิมนี่

            “เธอเหม่อบ่อยมาก ถามจริงเถอะนะว่ามีเรื่องอะไรให้คิดนักหนา”

            “ฉัน...”

            “หรือมีคนมาขอเดต” เรนนี่ดักคอ พอเห็นแมคเคนซี่หน้าเจื่อนยิ่งขึ้นไปอีกก็เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังคาดเดาอยู่นั้นมีมูลไม่น้อย

            “เธอว่าไงล่ะเรนนี่”

            “ก็ลองไปดูสิ ไม่น่ามีอะไรหรอก ว่าแต่เขาเป็นคนยังไง นิสัยเป็นยังไง มาจากไหน เจอกันที่ไหน” สาวชาวจีนรัวคำถามไม่ยั้ง จนคนถูกถามตั้งตัวไม่ทัน จึงได้แต่ยกมือปรามเพื่อนไว้ก่อนที่จะถามเธอมากกว่านี้

            “ใจเย็นนะเรนนี่”

            “ก็ฉันอยากรู้นี่ ตั้งแต่รู้จักกัน ฉันยังไม่เคยเห็นเธอมีเดตเลยสักครั้ง”

            “เธอก็เหมือนกัน”

            “มันคนละกรณีย่ะ” เรนนี่ปิดหนังสือที่กางไว้รอบตัว จ้องหน้าแมคเคนซี่ด้วยสายตาคาดคั้น จริงจังและพร้อมจับผิดทุกเมื่อ แล้วพูดต่อ “ฉันไม่เดตไม่สนใจผู้ชายเพราะฉันได้ทุนมาเรียน รู้ไหมว่ามันเข้มงวดแค่ไหน ดังนั้นจนกว่าจะเรียนจบฉันถึงจะคิดเรื่องเดตได้ เข้าใจหรือยัง”

            แมคเคนซี่พยักหน้า

            “และสอง...ฉันไม่ชอบผู้ชาย”

            “ว่าไงนะเรนนี่!” ดวงตากลมโตของแมคเคนซี่เบิกกว้างด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง คบกันมาก็นาน แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเรนนี่มีรสนิยมอย่างไร

            “ได้ยินไม่ผิดหรอก” เรนนี่ยักไหล่เบาๆ “แต่เธอนี่สิ ฉันไม่รู้หรอกนะแม็กกี้ว่าทำไมเธอถึงไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ แต่มันผ่านไปแล้ว การจะเปิดใจลองคบใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรงอะไรเลย แล้วก็ไม่ใช่ว่าผู้ชายทั้งโลกจะเป็นคนเลวเหมือนกันหมดเสียหน่อย”

            สาวชาวจีนหยิบหนังสือนิยายภาษาจีนที่มักจะพกติดตัวเสมอขึ้นมา แล้วยื่นให้แมคเคนซี่

            “อะไร”

            “เธอว่านิยายเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร”

            “ฉันอ่านไม่ออกหรอกนะเรนนี่”

            “ลองเดาดูก่อนสิ เห็นปกแล้วคิดยังไง”

            “ก็...” หญิงสาวมองหนังสือนิยายที่มีภาพวาดพู่กันจีน เป็นรูปหญิงสาวในชุดขาวเปื้อนเลือดนั่งอยู่บนเก้าอี้มุมห้อง ดูแล้วน่าหดหู่จนเกินกว่าจะเป็นนิยายรัก

            “ไม่น่ามองใช่ไหม ดูโหดร้ายใช่หรือเปล่า” เรนนี่ถาม

            “ใช่” แมคเคนซี่พยักหน้า “เหมือนนิยายฆาตกรรมสยองขวัญ”

            “ไม่ใช่เลยแม็กกี้” สาวชาวจีนส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ พยักพเยิดให้เปิดดูเนื้อในหนังสือที่มีภาพประกอบคั่นอยู่บ้างสองสามภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพความรักของหนุ่มสาวที่แสนสดใสและเต็มไปด้วยความสุข ขัดกับหน้าปกอย่างสิ้นเชิง

            “มันคือนิยายรักโรแมนติกเลยละแม็กกี้ ส่วนที่เห็นหน้าปกน่ะเป็นภาพวาดที่นางเอกวาดไว้ เธอเป็นคนปิดกั้นตัวเอง ส่วนพระเอกเป็นหัวขโมย พระเอกเจอภาพนี้แล้วชอบ อยากได้เอาไปขายเพราะนางเอกเป็นจิตรกรชื่อดัง เลยมาตีสนิทนางเอก แต่เมื่ออยู่ด้วยกันทุกวันก็ทำให้พระเอกรักนางเอกเกินกว่าจะทรยศเธอได้ เขาทิ้งความตั้งใจของตัวเองและกลับใจเป็นคนดีได้เพราะนางเอก” เรนนี่เล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ แล้วย้อนถามซ้ำ “เป็นไง โหดร้ายหรือเปล่า”

            “ไม่”

            “ก็ใช่ไงแม็กกี้” เรนนี่เริ่มเทศน์สั่งสอน “เธอตัดสินหนังสือเล่มนี้เพราะภาพปก ตัดใจไม่ศึกษามันเพราะเธออ้างว่าอ่านไม่ออก ทั้งๆ ที่เธอถามฉันได้ ฉันก็จะเล่าให้เธอฟัง ก็เหมือนที่เธอตัดสินผู้ชายทั้งโลกจากปัญหาหรือปมในใจที่มันผ่านมาแล้ว ทั้งที่ผู้ชายก็ไม่ได้เลวทั้งโลกเสียเมื่อไหร่ คนเราร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งคนดีและคนเลวต่างกันไป แล้วแต่ว่าเราจะเลือกศึกษาคนไหน เปิดใจให้คนไหน...หนังสือในโลกนี้มีมากมายไม่ซ้ำกันให้เธอได้เลือกอ่าน อยู่ที่เธอจะหยิบหนังสือเล่มไหนขึ้นมา คนก็เหมือนกันแม็กกี้ มีหลายแบบให้เราเลือกคบ เลือกศึกษา อยู่ที่เธอจะเลือกเปิดใจให้คนไหนก็เท่านั้นเอง”

            สาวชาวจีนหยุดพูดเล็กน้อย ยิ้มให้แล้วพูดต่อ “ความสุขอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ลองเปิดใจ ไม่ต้องกลัว”

            แมคเคนซี่เข้าใจในสิ่งที่เรนนี่ต้องการบอกทันที คนเราไม่ควรตัดสินใครต่อใครเพราะภาพลักษณ์ภายนอก ก็เหมือนกับที่เธอไม่ควรตัดสินหนังสือนิยายเล่มนี้เพียงเพราะภาพหน้าปกที่ดูโหดร้ายของมัน ทั้งที่มันก็เป็นแค่องค์ประกอบที่เป็นจุดกำเนิดเรื่องเท่านั้น

            “ขอบใจนะเรนนี่”

            “เธอตกลงจะเดตกับเขาไหมล่ะ”

            “ฉันยังกลัว...”

            “เป็นเพื่อนกันไปก่อนก็ได้นี่ ค่อยๆ ดูไป”

            “อย่าเพิ่งบอกใครนะ แม้แต่เอ็ม” นี่คือเหตุผลชวนให้กระอักกระอ่วนใจที่สุด เอมิลี่ไม่ถือเรื่องพวกนี้ก็จริง แต่สำหรับแมคเคนซี่แล้วมันคือเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆ คงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร

            “ไปเถอะแม็กกี้ ลองดู มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย มีอะไรก็โทร. หาฉันแล้วกัน”

            “ขอบใจนะเรนนี่”

            “ด้วยความยินดีจ้ะแม็กกี้” เรนนี่บอกยิ้มๆ และแมคเคนซี่ก็ยิ้มตอบ

            สองสาวอยู่ที่ห้องสมุดต่ออีกราวๆ สามชั่วโมงก็ถึงเวลาที่เรนนี่จะต้องไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารจีน ทั้งสองจึงแยกย้ายกันกลับ

            แมคเคนซี่เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินตรงถนนเจ็ดสิบเจ็ดแล้วมุ่งหน้าสู่ที่พัก ตลอดเวลาเธอเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของเดฟและคำพูดของเรนนี่ ลังเลว่าจะทำอย่างไรกับเขาดี จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าที่ด้านหน้าเป็นกระจก เห็นเงาสะท้อนของผู้คนมากมายที่อยู่ข้างหลัง และรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองเธอ ทำเอาแมคเคนซี่สะดุ้ง ทั้งที่เดฟไม่ได้ตามสะกดรอยเธอแล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังตลอดเวลา

หญิงสาวหันไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร แต่เมื่อเดินต่อไปก็ยังรู้สึกอยู่อย่างนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเธออาจจะเป็นโรคหวาดระแวงคนแปลกหน้าและคนรอบข้างไปแล้วก็ได้ ไม่มีใครเดินตามเธอทั้งนั้น เมื่อมองไปก็เห็นแค่ผู้คนมากมายที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตไปตามปกติ ไม่มีใครสนใจเธอสักคน

            สงสัยคงได้ไปปรึกษาจิตแพทย์ในไม่ช้านี้แน่ๆ...

            นักศึกษาสาวคิดพลางส่ายหน้าปลงๆ คิดโทษไปถึงเดฟที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอระแวงคนไปทั่ว ทั้งหมดเริ่มที่เขาคนเดียว

            “แม็กกี้”

            หญิงสาวสะดุ้งเบาๆ เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของเดฟ เมื่อหันไปก็เห็นเขากำลังเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม

            “กำลังรอคุณอยู่พอดี”

            แมคเคนซี่ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วคิดในใจว่าเขาจะรอเธอทำไม

            “คุณกินอะไรมาหรือยัง”

            นักศึกษาสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

            “ถ้าอย่างนั้นก็เอาของไปเก็บก่อน ผมจะพาไปกินที่ร้านนึง อร่อยมาก”

คำพูดของเขายิ่งทำให้เธองงเข้าไปอีก จะพาเธอไปทำไม ไม่สนิทกันถึงขั้นจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสียหน่อย

            “แต่ว่าฉัน...”

            “แค่ดินเนอร์มื้อเดียวเอง ผมไม่พาคุณไปขายที่ไหนหรอกแม็กกี้”

            “แต่ฉันคิดว่าฉันไม่อยาก...”

            “ไปเถอะ ผมเลี้ยงเอง เจ้านายให้เงินมาพอดี” พอแมคเคนซี่ทำท่าอิดออด เดฟก็คว้าข้อมือเธอทันที ส่งผลให้สาวเจ้าสะดุ้ง รีบดึงมือกลับแล้วยอมเดินนำเขาเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์แต่โดยดี

            “เรียนเป็นยังไงบ้างครับ” เดฟชวนคุย สีหน้ายิ้มแย้มต่างกับวันแรกๆ ที่เจอ และตอนนี้หนวดของเขาเริ่มขึ้นผมก็เริ่มยาวแล้ว แต่น่าแปลกที่ไม่ทำให้เธอกลัวเหมือนวันแรกที่เจอกัน ทั้งยังทำให้หัวใจเธอเต้นเป็นจังหวะแปลกไปกว่าเดิมอีกด้วย

            “ก็ดีค่ะ” ความประหม่าครอบคลุมทุกพื้นที่ในหัวใจจนพูดติดๆ ขัดๆ ไปหมดแล้ว แมคเคนซี่พบว่าสองมือของเธอสั่นเกินกว่าจะไขกุญแจห้องเข้าไปได้ เดฟจึงดึงกุญแจจากมือเธอเปิดเข้าไปเองหน้าตาเฉย

            “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับแม็กกี้” เขาถามเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยนทั้งยังเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่นั่นไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ยิ่งเขาทำดีกับเธอมากขึ้นเท่าไร หัวใจเธอก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น

            กลัวหรือ เพราะกลัวเขาใช่ไหม...แมคเคนซี่ถามตัวเอง แต่ก็พบว่าไม่เลย ไม่ใช่เพราะกลัว เธอไม่ได้ใจเต้นแรงเพราะกลัวเขา แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่นมากกว่า สาเหตุที่เธอพยายามปฏิเสธตัวเองมาตลอด แต่พอใกล้กันทีไรมันก็ยิ่งกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ

            “มะ...ไม่มีค่ะ”

            “รีบเก็บของเถอะครับ ลงไปหาอะไรกินกันดีกว่า ผมเลี้ยงเอง”

            “แต่ฉันคิดว่าเรายังไม่...”

            “แค่กินมื้อเย็นด้วยกันแค่นั้นเอง แค่นั้นจริงๆ ผมรับประกัน ถ้าไม่มั่นใจก็เอาเครื่องชอร์ตไฟฟ้าไปด้วยสิครับ”

            แมคเคนซี่ถอนหายใจแล้วคิดหนัก แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลง เธอเดินเอาของไปวางไว้มุมห้องทั้งที่ยังไม่เปิดไฟ แล้วเดินออกมา

            “ไม่ล้างหน้าล้างตาหน่อยหรือ”

            “ไม่เป็นไรค่ะ ไปเลยดีกว่า” การนึกถึงคำพูดของเรนนี่ทำให้แมคเคนซี่คิดจะ ‘เปิดใจ’ ลองมองเดฟในแง่ดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกล้าอยู่ตามลำพังกับเขาในที่รโหฐานลับตาคนเสียหน่อย

            หนุ่มสาวเดินออกจากอะพาร์ตเมนต์แล้ว ตรงมายังสถานีสตรีต 77 เหมือนเดิม แมคเคนซี่ได้แต่มองเดฟที่เดินเคียงข้างอย่างงงๆ ว่าเขาจะพาเธอไปกินอะไรที่ไหน ไหนว่าตอนแรกจะพาไปร้านแถวๆ ที่พักไม่ใช่หรือ

            แมคเคนซี่กำลังจะถามเดฟว่าจะพาไปที่ไหน แต่รถจอดที่สถานีกลางทางเสียก่อน ผลจากการไม่ทรงตัวให้ดีคือตัวเธอเซไปชนกับเดฟเต็มแรง ทั้งยังถูกคนอื่นเบียดเข้ามาอีก ดีที่ไม่ล้มลงไป โชคดีอ้อมแขนแข็งแรงของชายหนุ่มกอดตัวเธอไว้อย่างพอดิบพอดี

            หัวใจที่พอจะสงบลงไปบ้างแล้วเป็นอันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเพราะความใกล้ชิด จนกระทั่งได้ไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายที่คุ้นจมูก แมคเคนซี่รู้สึกราวกับตัวเองเป็นแค่เรือลำน้อยท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ เสน่ห์ของเดฟไม่ต่างจากมรสุม ก่อเกิดเป็นคลื่นลมแรงพัดกระหน่ำเข้าถาโถมจนไม่อาจต้านทาน แม้จะอันตรายแต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา จนเธอทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรจึงจะผ่านสถานการณ์ชวนหวั่นไหวนี้ไปได้

            “ขอโทษค่ะ” เธอบอกเสียงเล็กเก้อๆ สองแก้มแดงก่ำ และขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเดฟ แต่ก็ถูกคนที่เบียดมาชนเข้าอีกจนได้ เกือบจะล้มไปอีกครั้งแล้ว แต่เดฟก็ยังรับไว้ได้ทันเช่นเดิม

            “จับผมไว้ดีกว่า ช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้คนเยอะ” เดฟบอกยิ้มๆ แขนข้างหนึ่งยังโอบรอบเอวเธอไว้แน่น

            เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มแล้วแมคเคนซี่ก็ได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย จนไม่อาจมองสบตาคมกล้าของเขาได้อีก และได้แต่นิ่งเงียบตลอดทาง มือหนึ่งกำเสื้อของเขา อีกมือก็จับท่อนแขนกำยำไว้จนดูเหมือนคู่รักกันจริงๆ แต่นั่นไม่ทำให้เธอคิดหนักเท่าความจริงที่ว่า เธอไม่กลัวที่จะสัมผัสตัวเขาแล้วหรือ ไม่กลัวเวลาเขาสัมผัสตัวเธอแล้วหรือ...

            ช่วงเวลาไม่กี่นาทีบนรถไฟใต้ดินกลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของแมคเคนซี่ จนกระทั่งรถจอดที่สถานีไทม์สแควร์ เดฟจึงจับมือเธอไว้แล้วพาเดินออกจากสถานีไปตามถนนบรอดเวย์ จนมาถึงสตรีต 44 สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ The Lambs Club ร้านอาหารหรูที่ตั้งอยู่ในโรงแรมที่มิดทาวน์ตรงสตรีต 44 ซึ่งอยู่ระหว่าง อเวนิวที่ 6 กับถนนบอร์ดเวย์ ตกแต่งเรียบร้อยแต่หรูหราด้วยแสงไฟ ส่วนเรื่องรสชาติไม่ต้องกังวลเลย แต่ละจานปรุงด้วยฝีมือเชฟที่มีชื่อเสียง และราคาสูงเสียจนแมคเคนซี่ไม่กล้าเข้ามากินที่นี่ เธอไม่อยากรบกวนเงินของพ่อมากนักเพราะแค่นี้พ่อก็เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลามาเจอหน้าเธอมานานนับปีแล้ว

            “จะดีหรือคะ” สาวร่างบางชะงักอยู่หน้าประตูร้าน การแต่งตัวของเธอไม่เข้ากับห้องอาหารเอาเสียเลย แค่เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน และเสื้อโคตตัวใหญ่ ส่วนเดฟเองก็ไม่ต่างกับเธอ เขาแต่งตัวเรียบง่ายกว่าเธอเสียอีก

            “มาเถอะน่า ผมจองไว้แล้ว”

            “จองแล้วหรือคะ” นักศึกษาสาวนิ่วหน้า นี่เขาเตรียมทุกอย่างไว้แล้วหรอกหรือ

            “ครับ”

            “แล้วถ้าฉันไม่ตกลงมาล่ะ”

            “ผมก็แค่มากินคนเดียว”

            “ทีหลังไม่เอานะคะ มันแพง เราช่วยกันจ่ายดีกว่า” พูดจบก็เดินนำเข้าไปทันที แต่เดฟรั้งแขนเธอไว้เสียก่อน

            “ไม่เอาน่าแม็กกี้ ผมตั้งใจจะเลี้ยงคุณจริงๆ แค่คุณยอมออกมากับผม ผมก็ดีใจแล้ว”

            “แต่ว่ามัน...”

            “ถือเป็นการเลี้ยงขอโทษที่ผมเริ่มต้นกับคุณไม่ดีเท่าไหร่ แล้วยังทำให้คุณกลัวอีก...ตกลงนะ” เขายิ้มให้อย่างอบอุ่นเหมือนเคย ดวงตายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงจังจนไม่อาจปฏิเสธ

            แมคเคนซี่พยักหน้าแล้วเดินตามเดฟเข้าไปแต่โดยดี ยอมเป็นจุดสนใจบ้างเพราะการแต่งตัวที่ต่างออกไป แต่คนรอบข้างไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของเธอที่มีต่อคนที่อยู่ข้างหน้า ปกติกับคนอื่นเธอจะไม่ชอบให้มาแตะตัว แต่แมคเคนซี่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจสัมผัสของเขาเลย ทั้งยังปล่อยให้เขากุมมือเธอไว้เเน่น จับจูงพากันเดินเข้ามาในร้าน และเข้าไปนั่งที่โต๊ะตามที่บริกรบอก

            เมื่อต้องมานั่งประจันหน้ากันก็ไม่อาจหลบสายตาได้อีก และแมคเคนซี่เองก็ไม่อยากให้เดฟรู้ว่าเขามีอิทธิพลต่อจิตใจของเธอมากขนาดไหน จึงจำต้องมองสบตากับชายหนุ่มมาดเข้มมีหนวดที่กำลังยิ้มนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์ในแบบของเขา แบบ...ที่ทำให้หัวใจของเธอกระตุกอีกครั้ง

            “ผมดีใจที่คุณยอมมาด้วย”

            “คุณบอกฉันแล้ว”

            “ไม่รู้สิ” เดฟยักไหล่ “แค่ดีใจ...แต่ว่าคุณติดค้างคำตอบเรื่องพิพิธภัณฑ์กับผมนะ”

            “ฉันขอคิดดูก่อนนะคะ”

            “เป็นอาทิตย์แล้วนะแม็กกี้” เดฟยิ้มล้อเลียน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เร่งคำตอบเธออย่างจริงจัง แค่เย้าแหย่ให้เธออายเล่นเท่านั้น แล้วก็ได้ผลเสียด้วย

            “แล้วไม่สั่งอาหารหรือคะ”

            “ผมสั่งไว้แล้ว”

            แมคเคนซี่เลิกคิ้วทันที เขาเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วจริงๆ ด้วย ทั้งร้านอาหาร โต๊ะที่นั่ง รวมทั้งสั่งอาหารไปแล้ว มาถึงตรงนี้หญิงสาวชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าควรจะไว้ใจคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาต่อไปดีไหม

            “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

            “ฉันคิดว่าคุณน่ะไว้ใจไม่ได้...กำลังจะไว้ใจคุณแล้วแท้ๆ”

            “เชื่อเถอะแม็กกี้...ต่อจากนี้ผมจะไม่ทำให้คุณกลัวอีกแล้ว และผมจะคุ้มครองคุณเอง”

            “จากอะไรคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว คำพูดของเขาทำให้เธอนึกไปถึงตอนที่รู้สึกว่ากำลังถูกตาม หรือว่าความจริงแล้วเธอจะไม่ได้รู้สึกไปเอง

            เดฟไม่ตอบ ตาคมกริบของเขามองหญิงสาวแน่วแน่ และสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเธอ “มีอะไรหรือเปล่าแม็กกี้”

            “ไม่ค่ะ” แมคเคนซี่ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เธอสงสัยเรื่องที่กำลังถูกตามก็จริง แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น แม้แต่คนที่มาด้วยกันอย่างเดฟก็เถอะ อย่าลืมว่าเขาก็เคยตามเธอเหมือนกัน ดีไม่ดีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเขา หรือเขาอาจต้องการอะไรจากเธอก็ได้

            แต่ติดตรงที่แมคเคนซี่ไม่รู้เลยว่าเธอมีอะไรที่คนพวกนั้นต้องการ...

            หญิงสาวเอาแต่ครุ่นคิดจนลืมสนใจอาหารตรงหน้า แม้ว่าหนังเป็ดย่างฝีมือเชฟขึ้นชื่อจะอร่อยเลิศรสชวนให้ต่อมน้ำลายทำงานหนักเพียงไร แต่กลับมีเรื่องให้คิดเยอะเกินไปจนลืมทุกอย่างรอบตัวไปทันที

            มื้ออาหารจบลงเพราะความเงียบและนิ่งจนเกินไปของแมคเคนซี่ หญิงสาวหลุดจากภวังค์ตอนที่ได้ยินเสียงเดฟเรียกเคลียร์บิล และรู้ตัวว่าเธอกินน้อยมากทั้งที่อาหารก็แพงพอตัว

            “ขอโทษค่ะเดฟ” แมคเคนซี่รู้สึกผิดต่อเดฟจริงๆ ท่าทางเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน แต่เธอก็ยังกินทิ้งกินขว้าง

            “อย่าฝืนเลยแม็กกี้ กลับกันเถอะครับ”

            “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วเดินตามชายหนุ่มร่างสูงออกจากร้านแต่โดยดี

            “ดูคุณเครียดๆ นะแม็กกี้” เขาถามเสียงเข้ม สังเกตมานานแล้วว่าอยู่ๆ แมคเคนซี่ก็เงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรอย่างหนัก

            “มีอะไรให้คิดนิดหน่อยค่ะ”

            “เรื่องเรียนหรือเปล่า” เขายังซักไม่เลิก

            “ทำนองนั้น” แมคเคนซี่เลือกที่จะโกหกเพื่อให้จบๆ ไปก่อน ในเมื่อมันเป็นปัญหาของเธอ เธอก็ต้องแก้เองให้ได้

            “ถ้าอย่างนั้นไปกัน” จู่ๆ เดฟก็จับมือเธอแล้วพาเดินฝ่าฝูงชนไปตามถนนบรอดเวย์หน้าตาเฉย จนแมคเคนซี่ที่กำลังยืนงงไม่ตั้งตัวและไม่ทันปัดป้อง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาพาเธอเข้ามาอยู่ในแหล่งชอปปิงชื่อก้องโลกแล้ว

            “คนเยอะน่าเดฟ” หญิงสาวพยายามดึงมือออกจากอุ้งมือหนาที่แม้จะหยาบกร้านไปหน่อย แต่ก็ทำให้ชีวิตแสนเงียบเหงาในมหานครใหญ่ของเธอเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละน้อย จนเธอเริ่ม ‘เผลอใจ’ ไปทีละนิดๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ไม่ดีเลยจริงๆ

            “ดีแล้ว ผมจะพาคุณไปเดินเล่น”

            “ไม่ใช่หมานะ” เธอแว้ดใส่อย่างลืมตัว ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้สนิทกับเขาพอที่จะต่อปากต่อคำเล่นด้วยเสียหน่อย

            “คุณเล่นมุกแบบนี้ได้ด้วย”

            “ไม่ใช่มุกตลกเสียหน่อย ก็คุณพูดเหมือนฉันเป็นเจ้าตูบอย่างนั้นแหละ”

            “แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นคุณมีอารมณ์อื่นที่ไม่ใช่ความเย็นชาอย่างเดียวนะแม็กกี้”

            “ฉันมีอารมณ์อื่นแน่นอน อารมณ์โกรธฉันก็มีค่ะ”

            “อย่านะครับแม็กกี้ ผมยอมแล้ว” เขาพูดพลางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ยอมจำนนต่อหญิงสาว

            ท่าทางเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มทำให้แมคเคนซี่อดมองค้อนเขาไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยทันเลยสักครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน

            “อย่ามัวงอนผมเลย เราไปต่อกันดีกว่า”

            “ฉันไม่ได้งอน”

            “มาพิสูจน์กัน” ชายหนุ่มพูดพลางขยิบตาให้อย่างขี้เล่น จนแมคเคนซี่เผลอถอยหลังไปอีกก้าว ยอมรับว่าตอนนี้หัวใจเธอเต้นรัวเป็นกลอง ยิ่งเวลาที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เธอก็ยิ่งประหม่า

            “ไม่ต้องค่ะ งั้นฉันยอมรับว่างอนก็ได้” แมคเคนซี่ลนลานตอบ

            เดฟหัวเราะเบาๆ เขาเอื้อมมือมาจับมือเธอไว้แน่นแล้วจูงพาเดินข้ามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยแสงสียามราตรีและผู้คนมากมายของมหานครเอกของโลก

            เดฟจับมือน้อยของแมคเคนซี่ไว้ตลอดทางระหว่างเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยตึกสูง แสงไฟสว่างพราวพร่างไปทั่วจนไม่อาจมองเห็นแสงดาวได้เลย เดฟหันไปมองหญิงสาวที่ปล่อยให้เขาจูงมือไปเรื่อยๆ เพราะไม่ทันระวังตัว เธอเอาแต่แหงนหน้ามองฟ้าแล้วเดินตามหลังเขาเงียบๆ กระทั่งเขาหยุดเดินและหันกลับมาหาเธอ เธอยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผลคือปลายจมูกเล็กๆ ชนเข้ากับแผ่นอกเขาเต็มแรง

            “อูย...” เสียงหวานใสครางเบาๆ แมคเคนซี่คลำจมูกป้อยๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างช้าๆ

            เดฟอมยิ้ม เขาเฝ้าสังเกตท่าทางของแมคเคนซี่มานานแล้ว ทุกกิริยาเนิบช้าคล้ายคนเอื่อยเฉื่อยไม่คิดอะไรมากนั้นมีความหนักแน่นซ่อนอยู่ แต่อย่างไรเสีย แมคเคนซี่ก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เธอมีมุมขี้งอนนิดๆ ดื้อรั้นหน่อยๆ แต่ก็เล็กน้อยเหลือเกิน ถ้าไม่เผลอตัวก็คงไม่หลุดให้ใครเห็นได้ง่ายๆ อย่างเมื่อครู่ก็เช่นกัน อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่แล้ว แต่เดฟก็เพิ่งจะเคยเห็นหญิงสาวที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งหลุดมาดกลายเป็นเพียงแค่เด็กอยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งเท่านั้น

            “ยิ้มอะไรหรือคะ”

            “ไปดูวิวนิวยอร์กกันไหม” เขาถาม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่านึกอย่างไรถึงชวนเธอ แต่ภาพที่แมคเคนซี่เอาแต่แหงนหน้ามองฟ้าทำให้เขาสังเกตได้ถึงความเหงาในดวงตาของเธอ ก็เลยแค่อยากจะพาเด็กขี้เหงาคนนี้ขึ้นไปดูนิวยอร์กในอีกมุมบ้างก็เท่านั้น

            “บนเอ็มไพร์สเตตหรือคะ”

            “ใช่”

            “ค่าขึ้นแพงจะตาย ไม่ไปหรอก”

            “ผมจ่ายเอง”

            “ไม่เอาค่ะ” แมคเคนซี่ปฏิเสธเสียงหนักแน่น “คุณเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว”

            “ถ้าอย่างนั้นค่าขึ้นตึกก็จ่ายใครจ่ายมันก็ได้ คุณจะได้สบายใจ ตกลงไหม”

            หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่เดียวเท่านั้นก็พยักหน้าตกลง “ก็ได้ค่ะ”

            “งั้นไปกัน จับมือผมแน่นๆ นะ” ปากก็บอกว่าให้เธอจับมือเขา แต่ความจริงคือเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายจับมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

            ความใกล้ชิดที่นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เดฟรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สำหรับเขาแล้ว แมคเคนซี่คืองาน... งานที่เมื่อรับเงินมาแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ มันควรจะเป็นแค่นั้น ทว่าความจริงแล้วไม่เลย เมื่อแรกที่พบกัน เดฟเข้าหาเธอเพียงเพราะเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น แต่เมื่อนานวันผ่านพ้นไป เดฟค้นพบว่าเขาทำตามความต้องการของตัวเองน้อยลง และแสดงออกกับแมคเคนซี่ตามที่ใจสั่ง ไม่ใช่สมองสั่งอีกต่อไปแล้ว

            แต่เรื่องมันไม่ง่ายเช่นนั้น...

            ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่แทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างเขากับเธอจนหมดสิ้น ทีแรกเดฟคิดว่าก็แค่เรื่องบังเอิญที่มีคนเดินตามพวกเขาระหว่างทางไปร้านอาหาร แต่เมื่อเดินมาจนจะถึงทางเข้าที่ฝั่งถนนห้าแล้ว กลับยังมีคนเดินตามมาเหมือนเดิม ทั้งยังเป็นคนเดิมด้วย

            นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ...

            เดฟเหลือบมองชายคนนั้นจากทางหางตา เดาว่าฝ่ายนั้นก็คงจะรู้ตัวเช่นกันจึงแยกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรแน่แล้ว เขาจึงถอนหายใจเบาๆ

            “มีอะไรหรือเปล่าคะเดฟ” แมคเคนซี่ถาม

เขาก้มหน้าลงมองหญิงสาวแล้วยิ้มบางๆ ตัดเรื่องของชายที่สะกดรอยตามพวกเขาออกไปก่อน เดฟต้องจัดการแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะตอนนี้คนตรงหน้าเขาคือแมคเคนซี่ และเขาพบว่าตัวเองปรารถนาจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอยิ้มได้อย่างเมื่อครู่มากกว่า

            “ไม่มีหรอก เราขึ้นไปบนตึกกันดีกว่า”

            “คนเยอะมากเลยค่ะ ฉันว่าเรากลับก่อนดีกว่า” ใบหน้าอ่อนหวานฉายแววกังวล คนที่นี่เยอะมากจริงๆ แถวยาวอย่างที่คิดว่าอีกหลายชั่วโมงแน่กว่าจะได้ขึ้นไป

            “แต่ตึกปิดตั้งตีสอง เรายังมีเวลาอีกเยอะนะแม็กกี้”

            “แต่มันดึกแล้ว”

            “มาเถอะน่า ผมจัดการเอง” เดฟจูงมือแมคเคนซี่ไปเสียค่าเข้าชมที่แพงหน่อยแต่ไม่ต้องรอนาน

เพียงไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงลิฟต์ ความสูงนับร้อยชั้นเช่นนี้ทำเอาแมคเคนซี่เผลอบีบมือเดฟแน่นอย่างไม่รู้ตัว เธอคงจะกลัวความสูง เดฟอมยิ้มนิดๆ ปล่อยให้เธอบีบมือเขาหรือจะทำอะไรตามแต่ใจเธอต้องการ แรงแค่นี้ไม่ระคายผิวหนาๆ ของเขาหรอก แต่ระคายผิว ‘หัวใจ’ ของเขามากกว่า

            เดฟและแมคเคนซี่เดินออกมายังจุดชมวิวของตึกที่สูงที่สุดในนิวยอร์ก จากตรงนี้พวกเขามองเห็นเกาะแมนแฮตตันได้รอบทิศ ตึกสูงของมหานครนิวยอร์กยามค่ำคืนสูงๆ ต่ำๆ ลดหลั่นกันไป แสงไฟระยิบระยับแพรวพราว จากตรงนี้ทำให้มองเห็นทุกสรรพสิ่งเบื้องล่างมีขนาดแค่นิดเดียว

            แมคเคนซี่ยิ้มให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว แม้แต่เทพีเสรีภาพยังดูเล็กนิดเดียวเมื่อมองจากตรงนี้ บนที่ที่สูงที่สุด เธอกลางแขนออกเล็กน้อยรับลมที่พัดผ่านเข้ามา ให้ความรู้สึกอิสระราวกับเป็นนกตัวน้อยที่ได้โผบินอยู่บนฟากฟ้ากว้างใหญ่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้านบนแล้วยิ้มบาง ณ ที่ตรงนี้เธอมองเห็นดาวได้แล้ว เพราะไม่มีแสงสีจากตึกสูงของแมนแฮตตันบดบังอีกต่อไป

            แสงดาว พระจันทร์ สายลม คือสิ่งที่เธอรักที่สุดและมีความสุขยามได้มองจากตรงนี้

            “ฉันชอบนอนมองฟ้า” เจ้าของเสียงหวานพูดไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าเดฟจะฟังอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ เธอมีความสุขที่ได้มองท้องฟ้ายามค่ำคืน

            “นอนตรงนี้ไม่ได้นะแม็กกี้”

            “ฉันรู้น่า นอนตรงนี้คงได้โดนเหยียบตาย”

            “เดินมาทางนี้ดีกว่า” เดฟจับมือพาเธอเดินไปอีกด้าน จนกระทั่งเห็นสะพานบรูกลินอยู่ไกลๆ แสงไฟประดับสะพานยามค่ำคืนสวยงามตระการตา

            “ถ่ายรูปด้วยกันไหม” ชายหนุ่มถาม เขาหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเปลี่ยนเป็นกล้องหน้า แต่หญิงสาวยังบ่ายเบี่ยง

            “อย่าเลย คนเยอะ”

            “ไม่เกี่ยวเลยแม็กกี้” เดฟพูดพลางดึงเธอเข้าไปใกล้ๆ มือหนึ่งกอดเอวเธอไว้ให้แนบกับลำตัวเขา “ยิ้มหน่อยสิแม็กกี้ เดี๋ยวใครก็หาว่าผมบังคับคุณมากันพอดี”

            “ภาพเดียวพอนะคะ” แมคเคนซี่ก้มหน้าก้มตาบอกเขาเสียงเบา

            “ยิ้มหน่อยนะคุณผู้หญิง” ชายหนุ่มก้มลงกระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองคน ทำให้แมคเคนซี่ต้องเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะยิ้มให้กล้อง แต่เดฟกลับทำบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเธอตกลงไปอยู่ที่พื้นเบื้องล่าง แล้วกระดอนกลับขึ้นมาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

            เขาจูบแก้มเธอ!

            เรียกว่าจูบคงไม่เต็มปากนักเพราะเขาแตะริมฝีปากลงมาแค่แวบเดียวเท่านั้น

เสียงชัตเตอร์จากกล้องโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น แล้วเดฟก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว และเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ

            “คุณตกใจแล้วน่ารักมาก” เขาชมหน้าตาเฉย แล้วก้มหน้าสนใจรูปในโทรศัพท์เสียอย่างนั้น

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น