5

โศณะมนตรา

บทที่ ๕

โศณะมนตรา

ประสบการณ์ผีคุณตากับร้านขายของเก่าเกือบจะทำให้พรนารากลัวจนหัวโกร๋น อยากจะแจ้นไปเข้าร่วมไฟลต์บินสวดมนต์บนฟ้า 99 วัดอยู่เนืองๆ โชคยังดีที่ไม่ไกลจากตรงนั้นมีห้องน้ำสาธารณะ พันฤทธิ์จึงทำความสะอาดคราบอาเจียนที่เลอะเทอะบนเสื้อได้โดยมีพรนาราคอยช่วยเหลือและขอโทษขอโพยตลอดเวลา 

เธอกลัวผีจนอ้วกพุ่ง อกอีแป้นจะแตก ขืนใครมาได้ยินเข้า มีหวังโดนล้อไปยันลูกบวช...ถ้าหาผัวได้น่ะนะ!

ยังดีที่ผู้เคราะห์ร้ายเป็นพันฤทธิ์เพื่อนสนิทของเธอเอง หากเป็นคนอื่น เธอคงขายหน้าและรู้สึกผิดยิ่งกว่านี้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขาเพราะนอกจากจะไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแล้ว เขายังไม่พูดตอกย้ำให้เธอรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ด้วย ช่างเป็นคนดีจริงๆ คงเข้าใจว่าการที่คนเรากลัวหรือเครียดถีงขีดสุดจนระบบภายในรวนควบคุมไม่ได้ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ 

หลังจากนั่งพักและได้รับคำปลอบโยนจากเพื่อน อาการขายหน้าและหวาดกลัวจึงทุเลา หญิงสาวจึงเปลี่ยนความสนใจมาพิจารณาถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแทน ทว่าคิดทบทวนอย่างไรก็หาสาเหตุที่ฟังขึ้นไม่ได้อยู่ดี จนป่านนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าทำไมร้านขายของเก่าพร้อมคุณตาคนนั้นจึงอันตรธานหายไปในอากาศเสียดื้อๆ แม้พันฤทธิ์จะให้เหตุผลว่าเธออาจจะสับสนไปเอง แต่เธอไม่คิดอย่างนั้น เธอแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเองหรือฝันไปเพราะสมุดข่อยและกระดาษรายการที่คุณตาคนนั้นให้มายังอยู่ดี มันเป็นข้อพิสูจน์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง

พรนาราลูบมือไปบนสมุดข่อย รู้สึกใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็ควรได้อะไรจากการโดนผีหลอกบ้างสิ

“หายตกใจแล้วใช่ไหม” ในระหว่างอยู่ในรถของเพื่อนชายเพื่อจะมุ่งหน้ากลับบ้าน เขาก็ถามขึ้น คงจะเห็นอาการที่เธอลูบสมุดข่อยและยิ้มเพ้อๆ ได้สักพักแล้ว 

“อื้อ หายแล้ว ตอนนี้รู้สึกโอเคขึ้น”

แต่จะโอเคกว่านี้ ถ้าพิธีกรรมที่เธอคิดจะริเริ่มต่อจากนี้ประสบความสำเร็จด้วย...เธอเสริมต่อในใจ 

“ถ้าเธอรู้สึกดีขึ้นแล้ว งั้น...” พันฤทธิ์บีบพวงมาลัยที่กุมอยู่ด้วยน้ำหนักมือที่แรงขึ้น ราวกับกำลังจะเริ่มต้นกล่าวถึงเรื่องสำคัญ “คงไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าฉันจะบอกเรื่องสำคัญให้เธอรู้”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่ฉัน...”

“ชู่วว์ ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ แต่ขอฉันฟังข่าวนี้ก่อน” พรนาราใช้นิ้วจดริมฝีปากเป็นเชิงให้เขาเงียบก่อน เพราะตอนนั้นวิทยุในรถกำลังรายงานสกูปข่าวเรื่องปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดขึ้นมาพอดี ว่าคืนวันพรุ่งนี้ประเทศไทยจะสามารถมองเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ด้วยตาเปล่าทุกพื้นที่ของประเทศตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเป็นต้นไป โดยจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงนานประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในช่วงดึก ซึ่งจะส่งผลให้คนบนโลกมองเห็นพระจันทร์เป็นสีแดงทั้งดวงเหมือนสีอิฐหรือบางคนก็ว่าสีเลือด

พระจันทร์สีเลือด...มันคือคืนจันทร์โลหิตตามตำราโศณะมนตราใช่ไหม หากใช่ มันก็กำลังจะเกิดขึ้นคืนพรุ่งนี้แล้ว และเธอจำเป็นต้องเตรียมตัว!

พรนารารับฟังข่าวด้วยความตั้งใจที่สุด และเมื่อรายการจบลง เธอก็ง่วนกับการเช็กรายการของที่ต้องใช้จากกระดาษที่คุณตาให้มาอยู่ครู่ใหญ่ สิ่งของที่ต้องใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ ผ้านุ่งสีแดง เทียนแดง 8 คู่ ดอกไม้สีแดง 45 ดอก ธูป 95 ดอก และผลไม้รสหวานปอกใหม่ 1 ชนิด

“มีของที่ต้องใช้หลายอย่าง พรุ่งนี้เช้าฉันคงต้องตื่นมาเตรียมของแต่เช้า บางอย่างที่หาไม่ได้ก็คงต้องเข้าเมืองอีกรอบเพื่อไปซื้อด้วย งานช้างเลยนะเนี่ย”

“เตรียมของอะไรหรือ”

“ก็ของที่ต้องใช้ในพิธีขอพรน่ะสิ” หญิงสาวตอบอย่างจริงจัง ก่อนจะเงยหน้าจากกระดาษขึ้นมามองเพื่อนเหมือนเพิ่งนึกออกว่าพวกเธอยังค้างบทสนทนาอยู่ “แล้วเมื่อกี้จะบอกเรื่องสำคัญอะไรกับฉันล่ะ”

“อ้อ เรื่องนั้น...” บอดีการ์ดหนุ่มเงียบไปเล็กน้อย คงจะเห็นว่าตอนนี้บรรยากาศไม่โรแมนติกพอจะพูดเรื่องสำคัญจึงเปลี่ยนใจ “ฉันว่าตอนนี้คงไม่เวิร์ก เธอมาพบฉันวันพรุ่งนี้ที่ริมแม่น้ำโขงเพื่อคุยเรื่องนี้ได้ไหม ฉันอยากทำให้เธอประทับใจมากกว่านี้”

“ลับลมคมใน” แม้ปากจะแซวพอเป็นพิธี แต่เธอก็ไม่ขัดข้องกับนัดนี้ “วันพรุ่งนี้ใช่ไหม ได้สิ ริมแม่น้ำโขงที่เดิมตรงที่เราไปกันมาใช่ไหม พบกันกี่โมงดี”

“ฉันไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลาเตรียมเรื่องนี้นานแค่ไหน เดี๋ยวฉันนัดเวลาเธออีกครั้ง เราแลกเบอร์ใหม่กันไว้ก่อนกันดีกว่า จะได้ติดต่อกัน” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี

พรนาราพยักหน้า หยิบโทรศัพท์มาแลกเบอร์กับเขาตามที่ร้องขอ ก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะเตรียมตัวทำอะไร และไม่อยากจะคาดเดาด้วย เพราะสมองมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องพิธีกรรมอยู่ตลอดทางจนกลับถึงไร่ ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการขอพรอีกแล้ว

 

วันต่อมาเกษตรกรสาวก็วุ่นวายกับการทำงานในไร่และเตรียมข้าวของในพิธีกรรมตั้งแต่เช้าตรู่ ทีมงานกองละครคงจะแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะแทนที่จะอยู่เป็นเบ๊รับใช้ทุกคนตามปกติ เธอกลับวิ่งหน้าวิ่งหลังจัดการธุระของตนเองจนหนังหน้าที่โทรมอยู่แล้วโทรมหนักกว่าเดิม ไม่ว่าจะผิวกร้านแดดกระดำกระด่าง ขอบตาลึกโหลและผมมันเยิ้มที่ไม่มีเวลาสระ จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็การขอพรในคืนนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของเธอ ชีวิตเธอจะเจริญขึ้นหรือเลวลง ก็ขึ้นอยู่กับมันล้วนๆ

หญิงสาวไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่อยากตอบคำถามให้มากความ แม้กับคนในบ้านก็รู้เพียงแค่เธอกำลังจะทำพิธีอะไรสักอย่างเท่านั้นซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสายมูเตลูอย่างเธออยู่แล้ว เรียกว่าเป็นกิจวัตรที่เห็นจนชินตา จึงไม่มีใครสนใจถามรายละเอียดอะไร

พันฤทธิ์ทำงานรักษาความปลอดภัยให้นันทวดีตามปกติโดยยังไม่ได้นัดหมายเวลากับเธอ ยิ่งเขาไม่ได้เตือนนัด เธอก็ลืมเรื่องนี้ไปโดยปริยาย เพราะมัวแต่ยุ่งกับการตระเตรียมข้าวของต่างๆ จนอาทิตย์ตกดิน หากจะมีเวลาว่างเหลือบ้างเธอก็หมดเวลาไปกับการแอบมองชินกฤติอยู่ไกลๆ มากกว่า เธอรู้ว่ารุ่นพี่หนุ่มคงไม่เห็นเธออยู่ในสายตา เพราะในสายตาของเขามีแต่คู่หมั้นแสนเพอร์เฟ็กอย่างนันทวดีอยู่แล้ว แต่เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี คืนนี้ชินกฤตจะเดินทางกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และยังไม่รู้เลยว่าจะกลับมาเยี่ยมกองละครอีกเมื่อไร ดังนั้นนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นหน้าเขา แต่ถึงจะเรียกว่าโอกาสสุดท้าย เธอก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแอบมองตาละห้อย ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปบอกลาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เพราะมีนันทวดีคอยประกบอยู่ตลอด เธอไม่ได้กลัวหล่อน แต่รู้สึกต่ำต้อยจนไม่กล้าเข้าไปในจุดนั้นมากกว่าเพราะหล่อนเจิดจ้าเกินไป

สักวันถ้าเธอหนีพ้นจากชีวิตห่วยๆ และเจิดจ้ากว่านี้ เธอจะไปยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่นันทวดีและเคียงข้างเขาบ้าง

กองละครวันนี้เลิกกองค่อนข้างดึก ดังนั้นกว่าจะส่งแขกออกจากไร่เสร็จก็เกือบห้าทุ่มแล้ว ก่อนพันฤทธิ์ไปส่งนันทวดีกลับโรงแรมตามหน้าที่ เขาก็เดินมาแจ้งนัดหมายกับพรนารา เอาเข้าจริงหากเขาไม่แจ้ง เธอก็เกือบจะลืมนัดนี้ไปแล้ว

“เที่ยงคืนตรงพบกันที่ริมแม่น้ำโขงตรงที่เดิมนะ พอลลี่”

เที่ยงคืนตรงหรือ นั่นมันอยู่ในช่วงตติยยามที่เธอต้องทำพิธีไม่ใช่หรือไง ครั้นพอถามว่าทำไมต้องนัดดึกขนาดนี้ เขาก็เพียงยิ้ม แจ้งว่าเพราะมันเป็นช่วงเวลาจำเป็นและต้องเป็นคืนนี้

“ฉันอยากให้เธอได้เห็นอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า เวลานั้นน่าจะเหมาะที่สุด พบกันนะ”

เชื่อแน่ว่าหากนันทวดีไม่เหม็นขี้หน้าพรนาราจะไม่สามารถนั่งรถไปด้วยกันได้ พันฤทธิ์คงต้องหนีบเธอเข้าเมืองไปด้วยกันแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เขาจึงต้องเปลี่ยนเป็นการย้ำนัดหมายแทน ซึ่งก็ดีแล้วละ เพราะเธอยังไม่สะดวกออกไปไหนตอนนี้ เนื่องจากยังเตรียมตัวเรื่องพิธีกรรมไม่เสร็จดี แม้ไม่รู้ว่าเขาวางแผนจะทำอะไรแต่เธอก็รับปากกับเขาว่าจะไปตามนัด เพราะคิดว่าคงใช้เวลาจัดการธุระไม่นาน แต่ในความเป็นจริงกว่าจะเตรียมข้าวของครบถ้วนสมบูรณ์แบบก็กินเวลาไปมากโข ทำให้หญิงสาวต้องตัดสินใจรีบเดินทางไปวัดหลวงพ่อทันใจเพื่อทำพิธีให้เสร็จก่อน เพราะเกรงว่าจะเลยฤกษ์ที่ตำรากำหนด

เธอรู้ว่าตนนิสัยไม่ดีที่ปล่อยให้เพื่อนรอ แต่การขอพรครั้งมันสำคัญมาก เธอหวังจริงๆ ว่าเจ้าตัวเล็กจะเข้าใจความจำเป็นของเธอ

 

บะ...บรู๋ว~

เสียงสุนัขเจ้าถิ่นประจำวัดหอนยาวรับต่อกันเป็นทอดๆ ในความเชื่อของคนไทยเชื่อกันว่าสุนัขจะหอนก็ต่อเมื่อมันเห็นผี แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้หอนเมื่อเห็นผีทุกกรณีก็ได้ เพราะบางทีแค่ได้ยินเสียงผิดปกติหรือเห็นสิ่งที่ดูใกล้เคียงกับ ‘ผี’ มันก็อาจจะหอนได้เช่นกัน

ในคืนพระจันทร์สีเลือด ณ วัดหลวงพ่อทันใจอันเลื่องชื่อของจังหวัด พรนาราในชุดผ้านุ่งสีแดงสดดั่งเลือดเคลื่อนไหวตะคุ่มๆ ด้วยความรวดเร็วไปยังกำแพงวัดราวกับผียายสปีด เมื่อมาถึงแนวกำแพงวัด เธอก็แสยะยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงใบหู

หึหึหึ...ในที่สุดก็มาถึงแล้ว เป้าหมายในการมีชีวิตดั่งที่ใฝ่ฝันไว้ อยู่เพียงข้ามกำแพงนี้ไปนี่เอง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่ง ยังอยู่ในช่วงตติยยามอันเป็นฤกษ์งามยามดีในการทำพิธี

กลุ่มขาโจ๋สี่เท้ายังหอนไม่หยุด พอหญิงสาวหันไปส่งเสียงชู่ว์ให้พวกมันเงียบด้วยดวงตาขวางๆ พวกมันก็หางหด ครางหงิงๆ แล้วเผ่นป่าราบ คงจะคิดว่าเห็นผีแน่แล้ว 

ใครจะมาแข่งกับเธอก็เอาซี่ สวยพิฆาต...จนแม้แต่หมายังต้องยอมสยบ!

พอพ้นจากดงสุนัข พรนาราก็รีบหาทางแอบเข้าไปด้านในอุโบสถก่อนที่ใครจะมาเจอเธอเข้า เมื่อเห็นว่าทางสะดวก เธอจึงยกมือขึ้นประนมท่วมศีรษะเป็นเชิงขออภัย กระชับกระเป๋าเป้บนหลัง ก่อนจะโหนตัวเองปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพง แม้จะซ้อมฝีมือเรื่องปีนป่ายกับการเก็บผลไม้ที่สวนเป็นประจำ แต่พอถึงเวลาจริงกลับไม่ง่าย เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ตัวเปล่า ต้องแบกเป้ที่บรรจุของเซ่นไหว้มาเต็มอัตรา แล้วไหนจะผ้านุ่งที่สวมใส่อีก มันรุ่มร่ามเสียจนทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ เธอต้องทำตามที่ตำราและผู้ดูแลร้านบอกไว้ช่วงระหว่างหลังเที่ยงคืนไปถึงตีสามหรือที่เรียกแบบโบราณว่าตติยยาม ให้สวมผ้านุ่งสีแดงเพื่อทำพิธีกับหลวงพ่อทันใจ ในเมื่ออุโบสถของหลวงพ่อทันใจปิดตั้งแต่บ่ายห้าโมงเย็น เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้วิธีนี้

กราบขออภัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลูกช้างไม่ได้จะมาลบหลู่นะเจ้าคะ ลูกช้างแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะโกรธและลงโทษลูกช้างในข้อหานี้ ลูกช้างก็น้อมรับ จะสาปส่งให้ลูกช้างตายวันตายพรุ่งก็ได้ แต่ขออย่างเดียว ขอให้ส่งพ่อพันธุ์งานดีมาขยี้พรหมจรรย์ลูกช้างก่อนตายก็พอ!

ใต้แสงของดวงจันทร์สีแดงดั่งโลหิต พรนาราปีนข้ามฝั่งกำแพงวัดเข้ามาด้านในด้วยความทุลักทุเล เธอไม่ได้กระโดดลงมายืนบนพื้นแบบสวยๆ แต่หล่นตุบลงมานอนแอ้งแม้งเพราะเสียจังหวะจากน้ำหนักของกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลัง เล่นเอากัดฟันข่มความเจ็บแทบไม่ทัน เธอพยุงกายลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันเดินไปไหน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็สั่นรัวเสียก่อน จากที่เคยคิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่เมื่อปลายสายติดต่อมาอย่างต่อเนื่องก็เลยต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจสอบ 

‘เจ้าตัวเล็ก’

หญิงสาวปล่อยสายให้เรียกเข้าจนกลายเป็นมิสคอล และเมื่อเขาพยายามติดต่อมาใหม่อีกครั้ง เธอก็ตัดใจปิดโทรศัพท์มือถือ จริงๆ แล้วไม่ได้รังเกียจที่จะรับสายเพื่อน แต่เธอรู้สึกละอายใจมากกว่าที่หนีนัดเขามาที่นี่ ทั้งๆ ที่เขาย้ำว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอแท้ๆ

ขอโทษนะ...แต่ตอนนี้ฉันก็มีเรื่องสำคัญต้องทำเหมือนกัน คืนพระจันทร์สีเลือดมีแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงฤกษ์ดีตามตำรา ฉันปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปไม่ได้ เสร็จธุระเรื่องนี้เมื่อไร ฉันจะรีบไปหานาย  

เมื่อกล่าวขอโทษขอโพยเพื่อนในใจแล้ว ร่างบอบบางก็เดินต่อไปยังอุโบสถ หยิบคลิปหนีบกระดาษที่ดัดเตรียมไว้มางัดแงะแม่กุญแจที่ล็อกประตูอุโบสถ เมื่อแม่กุญแจถูกสะเดาะ เธอก็รีบเร้นกายเข้าไปเพื่อทำภารกิจ บรรยากาศในอุโบสถเงียบและมืดมิดจนทำให้เธอต้องหยิบไฟฉายออกมาใช้งาน เพียงแค่เข้ามาก็ได้กลิ่นหอมจากพวงมาลัยดอกมะลินับร้อยๆ พวงตลบอบอวล ดูจากจำนวนของไหว้แก้บนแล้ว คาดว่าหลวงพ่อทันใจคงศักดิ์สิทธิ์และให้พรสัมฤทธิ์ดีมาก

หญิงสาวคุกเข่าต่อหน้าองค์หลวงพ่อทันใจ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีทองอร่ามมีผ้าห่มพาดบนวรกาย เธอผลักถาดมะลิออกไปให้พ้นทาง เพื่อที่จะได้มีพื้นที่วางของไหว้ของตนเองบ้าง

เอาละ เทียนแดง 8 คู่ ดอกไม้สีแดง 45 ดอก ธูป 95 ดอก และผลไม้รสหวานปอกใหม่ต่อหน้าองค์พระ 1 ชนิด

มือเรียวหยิบข้าวของออกจากกระเป๋าออกมาจัดวาง เธอมีของทุกอย่างครบถ้วน ที่ยังขาดอยู่ก็คงเป็นผลไม้รสหวานซึ่งเธอต้องปอกใหม่เพื่อจะถวาย และนี่ละคือไฮไลต์ของคืนนี้...ทุเรียนภูเขาไฟ 100% หมอนทองพรีเมียมคัดพิเศษจากศรีสะเกษ!

ใต้แสงเทียนและควันธูปขโมงที่เพิ่งจุดไปตามพิธี แม้จะสำลักควันธูปจนไอค็อกแค็กแต่พรนาราก็ยิ้มออก

หากจะถามว่าเหตุใดจึงเลือกทุเรียนแทนที่จะเป็นผลไม้ชนิดอื่นที่ปอกง่ายกว่านี้ ก็ต้องตอบเลยว่า เพราะเธอโลภล้วนๆ ในเมื่อทุเรียนถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งผลไม้ มีทั้งความหวานและแคลอรี่สูงปรี๊ดจนหมอเบาหวานต้องถามหา ฉะนั้นหากเธอถวายมัน เชื่อได้ว่าพรที่เธอขอก็จะต้องส่งผลสัมฤทธิ์ยิ่งใหญ่ดั่งราชาตามไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดพรในโลกหล้าเป็นแน่แท้

หญิงสาวสวมถุงมือหนังที่มือซ้าย ส่วนมือขวาก็จับมีดไว้เพื่อชำแหละเจ้าสุดยอดของถวาย แต่เป็นกรรมอะไรก็ไม่ทราบที่เธอบังเอิญหยิบมีดมาผิดเล่ม แทนที่จะเป็นมีดคมๆ ซึ่งอุตส่าห์ฝนจนคมกริบ กลับเผลอหยิบมีดทื่อๆ มาเสียได้ ทำให้ต้องออกแรงปอกทุเรียนมากกว่าเดิม

ปัก! ปัก!

เสียงมีดกระทบพูทุเรียนเป็นจังหวะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต้องเห็นใจความพยายามของเธอวันนี้ละ เมื่อจัดการผ่าทุเรียนเสร็จแล้ว เธอก็นำเนื้อทุเรียนสีทองอร่ามไปวางบนพานเคียงข้างกับของถวายอื่น จากนั้นจึงวางสมุดข่อยไว้เบื้องหน้า

‘อ้ายอีทั้งหลายผู้กุมความโศกตรม คืนจันทร์โลหิต ตติยยาม ต่อหน้าองค์พระปฏิมา จงแลกสมบัติอันล้ำค่าเป็นที่สุด แลตั้งกัลยาณจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่ปรารถนา พรจักสำเร็จสมดังใจ’

หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าสมบัติอันล้ำค่าที่ตำรากล่าวถึงคืออะไร แต่ตอนนี้เธอไม่มีอะไรจะเสียแล้ว หากมันจะช่วยให้ชีวิตเธอได้ขึ้นได้ ต้องแลกสิ่งใดก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

พรนาราพนมมือ หลับตานึกถึงสิ่งที่ปรารถนา ถ้าจะถามว่าเธอต้องการอะไรบ้าง ให้ร่ายทั้งวันก็คงไม่หมดแน่ เธอเบื่อการเป็นเกษตรกร เธออยากร่ำรวย อยากโด่งดังคับฟ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ อยากมีแฟนไฮโซหล่อล่ำขยี้ทรวง หน้าซีกซ้ายเหมือนดาราแดนมังกร หน้าซีกขวาเหมือนดาราแดนกิมจิให้ชะนีทั่วประเทศอิจฉา พอกันทีกับตำแหน่งเทพีปักตะไคร้ประจำหมู่บ้าน เธอจะไม่ยอมซิงจนคานไปทั้งชีวิต

หนึ่ง...สอง...สาม..สี่...ห้า จะว่าไปทำไมความปรารถนาของเธอมันจึงได้มากมายนับไม่ถ้วนขนาดนี้ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับฟังคำขอทั้งหมดนี้ไหวไหมหนอ แม้จะหลับตาอยู่ แต่พรนาราก็รู้สึกได้ว่าหางตาของเธอเปียกชื้นด้วยความสะท้อนใจในโชคชะตาตน ภาพที่นันทวดีถากถางเธอ ภาพที่ทุกคนมองเธอด้วยความสมเพชมันยังชัดเจนและสร้างความเจ็บปวดมาก เธอเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะเดินต่อกับชีวิตที่ยากลำบากนี้ เธอเพียงอยากให้ชีวิตดีขึ้น และง่ายดายเหมือนกับชีวิตของนันทวดี

ใช่...นั่นละคำอธิษฐานของเธอ เธอแค่อยากหนีจากชีวิตที่เป็นอยู่และมีชีวิตเหมือนอย่างนันทวดี มีทุกอย่างอย่างที่หล่อนมี เป็นทุกอย่างที่หล่อนเป็น...ทุกๆ อย่าง!

ในคืนพระจันทร์สีเลือดเวลาตติยยาม หญิงสาวตั้งอธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระปฏิมา 

“โศณะบูชา มะหาเตชะวันโต โศณะบูชา มะหาปัญญะวันโต โศณะบูชา มะหาโภคะวะโห โอมนะโมพุทธายะ!”

สิ้นเสียงบริกรรมคาถาก็มีแต่ความเงียบงัน พรนาราไม่รู้ว่าเธอทำถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างรอบตัวก็ยังดูปกติ ที่จะไม่ปกติก็ตรงที่เธอได้ยินเสียงเด็กวัดซึ่งทำหน้าที่ตรวจตรารอบวัดกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ คงจะเห็นแสงวับแวมออกมาจากช่องหน้าต่างอุโบสถที่ปิดไม่สนิท

“เห็นบ่ กูบอกแล้วว่าบ่ได้หูฝาดไปเอง เมื่อกี้กูได้ยินเสียงแปลกๆ คือคนสับอิหยังสักอย่างอยู่ในอุโบสถ มึงเบิ่งแสงนั่นตี้ มีคนอยู่ในอุโบสถอีหลี (เห็นไหม กูบอกแล้วว่าไม่ได้หูฝาดไปเอง เมื่อกี้กูได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคนสับอะไรสักอย่างอยู่ข้างในอุโบสถ มึงดูแสงนั่นสิ มีคนอยู่ในอุโบสถจริงๆ)”

“แต่ไฟในอุโบสถมันเสียอยู่เด้ สิมีแสงไฟได้จั่งได๋ (แต่ไฟในอุโบสถมันเสียอยู่นะ จะมีแสงไฟได้ยังไง)”

“ปึกอีหลีเนาะมึงนิ แสงเทียนนั่นเด้ มีคนจุดเทียนในนั้น (โง่จริงมึงเอ๊ย แสงเทียนไง มีคนจุดเทียนในนั้น)”

“เอ๋า แล้วไผเข้าไปจุดเทียนในนั้น ค่ำมืดดึกดื่น (เอ๋า แล้วใครเข้าไปจุดเทียนในนั้นดึกๆ ดื่นๆ)”

“กูสิฮู้นำแม่มึงตี้! (กูจะไปรู้แม่มึงเรอะ!)”

“บ่แม่นแม่กูแท้ๆ แม่กูตายแล้ว! (ไม่ใช่แม่กูแน่ แม่กูตายแล้ว!)”

“ตลกตายห่าล่ะบักบอล กูสิบอกว่ากูสิไปตรัสรู้ติว่าในนั้นมีไผอยู่ กูว่างานนี้บ่โจรกะผี สองอย่างท่อนั้น เพราะวางแลงกูจำได้ว่ากูล็อกประตูอุโบสถแล้ว (ตลกตายห่าไอ้บอล ที่กูจะบอกก็คือกูจะไปตรัสรู้ได้ไงว่าในนั้นมีใครอยู่ กูว่างานนี้ไม่โจรก็ผี มีสองอย่างเท่านั้นแหละ เพราะตอนเย็นกูจำได้ว่าล็อกประตูอุโบสถแล้ว)”

“ผะ...ผีติ! ไผสั่งไผสอนให้มึงเว่าเรื่องผียามนี้ บักเวร กูขนลุกไปเบิดแล้วนิ (ผะ...ผีหรือ! ใครสั่งใครสอนให้มึงพูดเรื่องผีเวลานี้ ไอ้เวร กูขนลุกเกรียวแล้วเนี่ย!)”

“มึงปวดขี้สั้นติ? (มึงปวดขี้เรอะ?)”

“บ่แม่นโว้ย กูย่านผี พวกเฮาไปตามหลวงปู่มาดีบ่ กูว่าบรรยากาศมันหลอนๆ (ไม่ใช่โว้ย กูกลัวผี พวกเราไปตามหลวงปู่มาดีไหม กูว่าบรรยากาศมันหลอนๆ)”

“อย่าปอดแหกตี้ล่ะ ถ้าบ่แม่นผี แต่เป็นโจรมาลักเงินบริจาค มึงสิเฮ็ดแนวได๋ เข้าไปเบิ่งก่อนแหน่ บ่เสียหาย กูบักบาสศิษย์นายขนมต้ม ถ้าเป็นโจร กูนี่ล่ะสิซัดมันให้น่วมแล้วลากคอมันส่งตำรวจเอง! (อย่าปอดแหกสิวะ ถ้าไม่ใช่ผี แต่เป็นโจรมาขโมยเงินบริจาคล่ะมึงจะทำยังไง เข้าไปดูหน่อยไม่เสียหาย กูไอ้บาสศิษย์นายขนมต้ม ถ้าเป็นโจร กูนี่ละจะซัดมันให้น่วมแล้วลากคอมันส่งตำรวจเอง!)”

หายนะมาเยือนแล้วไงล่ะ! เสียงบทสนทนาของเด็กวัดที่หน้าอุโบสถ ทำให้สาวสายมูสะดุ้งเฮือก รีบเป่าธูปเทียนให้ดับและเคลียร์พื้นที่อย่างรีบร้อน หากใครมาเจอเธอตอนนี้คงต้องเกิดปัญหาแน่ งานนี้ถ้าไม่ถูกซัดจนน่วมก็คงถูกจับส่งตำรวจแน่เชียว แต่ต่อให้รีบอย่างไรก็ดูจะไม่ทันกาลแล้ว สุดท้ายเธอจึงทำได้เพียงคว้าเป้พร้อมสมุดข่อยแล้ววิ่งไปหลบหลังมุมต้นเสามืดๆ ทันเวลาก่อนที่เด็กวัดซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นสองคนจะเปิดประตูอุโบสถเข้ามา แต่ก็ใช่ว่าเธอจะโชคดีไปเสียทั้งหมดเพราะในจังหวะที่วิ่งออกมา เท้าของเธอดันไปเหยียบเศษเปลือกทุเรียนเล็กๆ ซึ่งยังเก็บไม่เรียบร้อย

บ้าเอ๊ย! หนามทุเรียนตำเท้าไปอีก!

สาวผู้โชคร้ายกัดฟันทุรนทุรายอยู่หลังต้นเสา ในขณะที่เด็กวัดเดินเข้ามาในอุโบสถ

“อิหยังกัน ประตูบ่ได้ล็อกนิ ไสมึงบอกว่าล็อกแล้ว (อะไรกัน ประตูไม่ได้ล็อกนี่ ไหนมึงบอกว่าล็อกแล้วยังไงล่ะ)”

“แปลกแถะวะ กูจำได้ว่าล็อกแล้วอีหลีเด้ (แปลกชะมัด กูจำได้ว่าล็อกแล้วจริงๆ นะ)”

“จำผิดสั้นติ ไสล่ะแสงเทียนมึงเมื่อกี้ บ่เห็นมีอีหยังสักอย่าง ในนี้มืดว่าแม่นตากูบอด (จำผิดน่ะสิ ไหนล่ะแสงเทียนของมึงเมื่อกี้ ไม่เห็นจะมีอะไรสักอย่าง ในนี้มืดยังกับตาบอด)” พูดเสร็จเด็กหนุ่มทั้งสองก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาฉายแสงไฟเพื่อสำรวจพื้นที่ “อ้าว แล้วคือเป็นแบบนี้ได้วะ เฮ้ย บักบาส มาเบิ่งหม่องนี้ดู้ มีคนมาถวายทุเรียนพูบักใหญ่เลย ลาภปากแล้วเฮา (อ้าว แล้วทำไมเป็นแบบนี้ได้วะ เฮ้ย ไอ้บาส มาดูตรงนี้สิ มีคนถวายทุเรียนพูใหญ่ๆ ด้วย ลาภปากแล้วเรา!)”

แต่เด็กหนุ่มชื่อบาสไม่สนใจเรื่องทุเรียนพูใหญ่แต่อย่างใด เพราะมัวสนใจกับธูปเทียนในกระถาง คงจะจับสังเกตได้ว่ามีธูปเทียนบางส่วนซึ่งยังดับไม่หมดและมีควันลอยคลุ้ง ทั้งยังมีดอกกุหลาบสีแดงวางถวายแบบไม่เข้าพวกอยู่ด้วย

โถ่ถัง! จะช่างสังเกตอะไรนักหนา รีบๆ ออกไปกันได้แล้ว ไม่รู้หรือไงว่าคนที่ออกแรงเป่าธูปเทียนเกือบร้อยดอกอย่างเธอกำลังหน้ามืดและเกือบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ ถ้าไม่รีบออกไปตอนนี้มีหวังความแตกแน่นอน และความกลัวนั้นก็เป็นจริง เมื่อเธอมีอาการหวิวๆ จนมือไม้ที่ถือกระเป๋าเริ่มอ่อนแรงเลยทำกระเป๋าหล่นบนพื้นดังตุบ

ครั้นพอได้ยินเสียงดัง เด็กวัดทั้งสองก็หันขวับมาตรงจุดที่เธอซ่อนตัวอยู่ คนหนึ่งมีทุเรียนคาปาก ส่วนอีกคนกำลังหยิบดอกกุหลาบสีแดงขึ้นมาพิจารณา

“นั่นไผ! (นั่นใคร!)”

แม้จะถูกตะโกนถาม แต่หญิงสาวก็ยังทำตัวไร้ตัวตัวตน ไม่ตอบอะไรอยู่ดี ใครจะไปตอบให้โง่ล่ะจริงไหม 

“นั่นไผ กูบอกให้ออกมา! (นั่นใคร กูบอกให้ออกมา!)”

“บักบาส กูหะ...เห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่หลังเสา! (ไอ้บาส กูหะ...เห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่ตรงหลังเสา!)” เด็กหนุ่มคนที่คาบทุเรียนคาปากร้องบอกเพื่อนเสียงสั่น รีบวางทุเรียนคืนบนพานแบบคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“เออ กูกะเห็น (เออ กูก็เห็น)”

“มึ้ง...ถ้าบ่แม่นคนแต่เป็นผี เฮาสิเฮ็ดแนวได๋! (มึ้ง...ถ้านั่นไม่ใช่คนแต่เป็นผีล่ะ เราจะทำยังไงดี!)”

“เว่าหมาๆ ก่อนอื่นมึงเซาเห็นแก่กินแล้วมาซอยกันเบิ่งให้ไว! (พูดหมาๆ ไอ้บอล ก่อนอื่นเลิกเห็นแก่กินแล้วมาช่วยกันดูเลย ให้ไว!)” แม้จะหันไปดุเพื่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้พูดเริ่มไม่มั่นใจแล้ว เด็กวัดทั้งสองเดินย่องเข้ามาในจุดที่เธอซ่อนตัวอยู่ ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที

และก่อนที่ผู้บุรุกจะทันคิดออกว่าควรจะเผ่นหนีหรือแกล้งตายดี เด็กหนุ่มก็ก้าวมาถึงตัวเธอแล้ว แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือสาดเข้าหน้าโทรมๆ ของเธอเข้าเต็มๆ เธอกรีดร้องเพราะแสบตา เช่นเดียวกับเหล่าเด็กวัดที่ร้องลั่นเพราะตกใจสุดขีดกับหนังหน้าและผ้านุ่งแดงของเธอ 

“ผีหลอก อีพ่ออีแม่ซอยข้อยแหน่...ซอยข้อยแหน่! (ผีหลอก พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยด้วย!)”

เป็นอันว่าต่างฝ่ายต่างก็กรีดร้องใส่กันแล้วก็วิ่งหนีกันไปคนละทางแบบไม่คิดชีวิต เด็กวัดกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง ส่วนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีผ้านุ่งแดงก็คว้าข้าวของแล้วหนีไปทางประตูหน้า ปีนป่ายกำแพงวัดกลับออกไปด้วยความเร็วราวพายุ 

เดชะบุญจริงๆ ที่เธอยังไม่ต้องไปคุยกับตำรวจ มิเช่นนั้นคงเกิดปัญหาตามมาแน่ เกษตรกรสาวกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่ยังหายใจไม่ทั่วท้อง ต่อเมื่อกำลังจะทิ้งตัวลงนอน เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไปบางอย่าง

ใช่...เธอลืมนัดกับพันฤทธิ์!

หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจ จึงตั้งใจจะโทรศัพท์ไปขอโทษเพื่อนทันที แต่เมื่อเหลือบมองนาฬิกาในห้องและเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เธอจึงรามือที่ถือโทรศัพท์ลง ดึกดื่นป่านนี้พันฤทธิ์น่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ เธอไม่ควรจะรบกวนเขา เพราะอย่างไรพรุ่งนี้เช้าพวกเธอก็ต้องเจอกันที่ไร่อยู่แล้ว เมื่อนั้นเธอค่อยขอโทษเขาด้วยตัวเองแล้วกัน 

นั่นสินะ พรุ่งนี้เธอยังมีโอกาส...พอคิดได้อย่างนั้นเกษตรกรสาวจึงปิดไฟและเข้านอน

ครั้นพอแสงไฟในกระท่อมหลังน้อยดับลง เงาร่างของชายหนุ่มที่ด้านนอกรั้วจึงขยับเคลื่อนไหว ไม่เพียงแต่แสงไฟเท่านั้นที่ดับลงแต่เป็นแสงในดวงตาสีน้ำผึ้งของเขาด้วย เขาทิ้งสายตาไปยังกระท่อมหลังนั้นนานครู่ใหญ่ ราวกับหวังจะเห็นหน้าเจ้าของบ้านโผล่ออกมาให้ชื่นใจ แต่สุดท้ายเขาก็ตระหนักว่าเขาอาจแค่...คาดหวังมากเกินไป

พันฤทธิ์ถอนหายใจ เดินกลับไปขึ้นรถยนต์และขับจากไปอย่างเงียบๆ

คืนนั้นพรนาราหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำขอโทษของเธออาจไม่มีวันไปถึงคนที่ต้องการเลยก็ได้ เพราะประโยคที่ว่า ‘พรุ่งนี้ยังมีโอกาส’ อาจมาไม่ถึง

 

 ‘เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์~’

เสียงเพลงเมาคลีล่าสัตว์จากนาฬิกาในโทรศัพท์ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาที่หญิงสาวต้องตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ประจำวันได้แล้ว พรนารางัวเงีย โผล่ศีรษะขึ้นจากกองหมอนและผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ มือเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือที่ข้างหัวเตียง ทั้งๆ ที่ตายังปิด สะลึมสะลือไม่ตื่นดี

“พอลลี่ ปิดเสียงเพลงนั่นหน่อยได้ไหม เราทำพี่หมดแรงเลยนะเมื่อคืน พี่อยากจะนอนต่ออีกหน่อย”  

“ค่ะ ขอโทษค่ะ”

พรนาราอู้อี้ รีบเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกอย่างเกรงใจ แล้วจึงฟุบหน้าลงกับหมอนต่อ

“ขอบคุณครับ คนสวยของพี่”

เสียงเซ็กซี่ชวนใจละลายนั้นเหมือนของชินกฤต รักแรกของเธอไม่มีผิด! 

“พี่ชินคะ พี่ชินขา”

“ครับ ว่าไง”

“อากาศเย้นเย็น พอลลี่หนาวจังเลยค่ะ”

“หนาวหรือ งั้นมานี่สิ พี่จะกอดให้หายหนาว” ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลิกกายมากอดก่ายเธอไว้จากทางด้านหลัง 

ดวงจันทร์สีแดงดั่งโลหิตหายไปจากฟากฟ้าแล้ว และเช้าวันใหม่ของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น เปลี่ยนไป...เพื่อนำพรซึ่งเฝ้าปรารถนามาสู่ผู้ที่รอคอยในแบบฉบับของนันทวดี!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น