1

ตอนที่ 1


“ปล้นรถขนโบราณวัตถุเหรอคะ”

ราวินทราเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ เรียวคิ้วโก่งงามตามธรรมชาติเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างประหลาดใจ ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วมองคู่สนทนาที่บังคับพวงมาลัยรถด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วเจ้าตัวกำลังพารถปาดซ้ายป่ายขวาฝ่าการจราจรอันติดขัดของกรุงไคโรไปเบื้องหน้าโดยไม่สนใจว่าจะเฉี่ยวชนหรือเบียดเข้ากับรถคันอื่นสักนิด มิหนำซ้ำยังทำเหมือนเส้นแบ่งเลนไม่มีความหมายอีกต่างหาก

“ใช่จ้ะ เมื่อวันสองวันก่อน ที่อะเล็กซานเดรีย” นริสสายักไหล่ “คนร้ายบุกปล้นพวกสมบัติที่ค้นพบเพิ่มเติมจากเฮราคลีออนอะไรสักอย่างที่ลูกตาลบอกพี่ว่าอยากเห็นนั่นละจ้ะ”

“เฮราคลีออน?” ดวงหน้าเรียวรีรูปไข่สว่างวาบขึ้นทันตา ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนหนาทอประกายวิบวับอย่างตื่นเต้นราวเด็กน้อยที่ได้ฟังนิทานถูกใจ “นครที่จมอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาพันกว่าปีใช่ไหมคะ”

“แหม รายละเอียดเป๊ะๆ ขนาดนั้น พี่คงจำไม่แม่นเท่าลูกตาลหรอกจ้ะ” นริสสากระเซ้าสาวรุ่นน้อง เรียวปากบางเฉียบคลี่ออกเป็นรอยยิ้มสดใส เธอเป็นคนยิ้มสวยมาก เมื่อประกอบเข้ากับดวงหน้าคมขำก็ยิ่งส่งให้ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง “นี่คงท่องตำราท่องเที่ยวอียิปต์มาทั้งเล่มเลยใช่ไหมเนี่ย”

“แหม...พี่สาก็...ไม่ขนาดนั้นเสียหน่อยค่ะ” ราวินทราทำปากยื่นอย่างแสนงอน “ตาลก็ต้องเตรียมตัวบ้างสิคะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตาลได้รับอนุญาตให้มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเลยนะคะ”

“นี่ขนาดอนุญาตแล้วนะ พี่ชายเรายังคอยโทร.เช็กแทบจะทุกชั่วโมง ถ้าสิงลูกตาลแล้วมาอียิปต์ด้วยกันได้ คงทำไปแล้วมั้ง” หญิงสาวพูดเสียงขึ้นจมูก ภาพของคนที่ชอบตีหน้ายักษ์ลอยแวบเข้ามาในสมอง

หากบอกว่าเอกตะวันและรวิกานต์เป็นพ่อแม่ผู้ห่วงและหวงลูกสาวยิ่งชีพแล้วละก็ ความห่วงใยของวราทิตย์ที่มีต่อน้องสาวนั้นก็เรียกได้ว่าเกินกว่าเหตุไปมากโข เขาอายุมากกว่าราวินทราเพียงสี่ปี แต่ชอบทำราวกับแก่กว่าสักครึ่งศตวรรษได้ แถมยังคอยประคบประหงมเธอประหนึ่งไข่ในหิน ทำให้รุ่นน้องของนริสสาคนนี้แทบไม่มีโอกาสได้เที่ยวเตร่อย่างอิสรเสรีเหมือนเพื่อนในรุ่นเดียวกันสักเท่าใดนัก นานๆ ครั้งจึงจะยอมปล่อยนกน้อยออกจากกรงมาเผชิญโลกเช่นนี้สักหน แต่ก็นับเป็นการปล่อยที่เหมือนติดจีพีเอสติดตามตัวอยู่ดี

จะว่าไปนริสสาก็พอเข้าใจอยู่เหมือนกันนั่นละว่าทำไมถึงได้ห่วงน้องสาวเป็นนักหนา...หญิงสาวลอบมองคนที่นั่งบนเบาะข้างกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลอบระบายลมหายใจยาว ราวินทราเป็นคนสวยสะดุดตา นอกจากจะมีดวงตากลมโตและริมฝีปากแดงอวบอิ่มแล้ว เธอยังมีผิวขาวจัดและเนียนละเอียดมากจนใครๆ ก็ตั้งฉายาให้ว่า ‘ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ’ แต่ถ้ารู้จักนิสัยที่แท้จริงของแม่เจ้าประคุณแล้ว ก็แทบจะเปลี่ยนฉายาให้เป็น ‘ตุ๊กตาเสียกบาล’ ทุกรายไป ทำไมน่ะหรือ...ก็เพราะความห้าวหาญผิดมนุษย์มนาของเจ้าตัวที่ทำให้คนรอบข้างต้องทึ้งศีรษะด้วยความเป็นห่วงได้ตลอดเวลานั่นละ

นริสสายังจำวีรกรรมของแม่ดาวคณะที่ปีนขึ้นต้นจามจุรีสูงเกือบห้าเมตรเพื่อช่วยลูกแมวได้ติดตา บรรดาเพื่อนร่วมคณะ คณาจารย์ และรปภ. พากันกรีดร้องด้วยความตกใจ มีแต่ราวินทรานั่นละที่ยังหัวเราะร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด ขนาดถูกอาจารย์เอ็ดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปสามโลกยังไม่มีอาการสลดแม้แต่น้อย หากเป็นสมัยโบราณคงถูกไม้ก้านมะยมหวดขาลายกันบ้างเป็นแน่ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายวันนั้นเจ้าเหมียวตัวต้นเรื่องก็ได้ไปเป็นสมาชิกของบ้านวายุระกุลและเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของราวินทราไปโดยปริยาย

“พี่ต้นชอบเห็นตาลเป็นเด็กอ่อนแบบนี้ทั้งปี ทั้งที่ตาลก็อายุปาเข้าไปยี่สิบสองแล้วแท้ๆ คอยดูนะ ตาลจะแกล้งไม่รับสายดูบ้าง” ราวินทราถอนใจ...รู้ว่าวราทิตย์รักเธอมาก แต่บางครั้งก็อยากมีอิสระและคิดทำอะไรเองโดยไม่ต้องมีเขาคอยกำกับทุกฝีก้าวดูบ้าง

“อย่าเชียว” นริสสาทำท่าขนลุก “เดี๋ยวพี่ต้นของลูกตาลได้โทร.มาโวยวายใส่พี่ว่าพาน้องสาวสุดที่รักเสียคนแน่ๆ พี่ยังจำตอนที่เราแอบไปกินไอศกรีมที่สยามกันได้นะ วันนั้นพี่ชายเรามองพี่ตาขวางเลย หาว่าพี่พาลูกตาลออกนอกลู่นอกทาง”

สมัยนั้นเธอเป็นนิสิตชั้นปีที่สามและราวินทราเป็นเฟรชชีปีหนึ่ง เธอเพียงอยากพาหลานรหัสไปเลี้ยงขนมเพื่อพูดคุยประสารุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทสนมกันธรรมดา แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ ‘ยักษ์’ โกรธจนควันออกหูที่พาน้องสาวของตนไปเที่ยวย่านวัยรุ่นอย่างสยามสแควร์โดยไม่ได้รับอนุญาต คนประสาท! ทำอย่างกับไปเดินเที่ยวเดี๋ยวเดียวจะมีหมีโผล่มากัดคอราวินทรากลางห้างอย่างนั้นละ น้องสาวออกจะน่ารักขนาดนี้ ทำไมพี่ชายถึงได้งี่เง่าขนาดนั้นไปได้ก็ไม่รู้!

“โอ้โห พี่สายังจำได้อีกเหรอคะ แค้นฝังหุ่นนะเนี่ย” ราวินทราหัวเราะเสียงใส นริสสาเป็นคนเดียวที่กล้าเถียงพี่ต้นของเธอฉอดๆ และทำให้เขาจนด้วยคำพูดได้

“จำไม่ได้ก็แปลกละ ถลึงตาใส่พี่แทบถลนออกมานอกเบ้าขนาดนั้น เล่นเอาฝันร้ายไปตั้งหลายคืน” ไม่พูดเปล่า นริสสายังทำตาพองล้อเลียนวราทิตย์ได้เหมือนชนิดถอดแบบกันมาไม่มีผิด

“แหม...พี่สาเก็บเอาพี่ต้นไปฝันด้วยเหรอคะ” หญิงสาวหรี่ตามองรุ่นพี่พลางทำเสียงเล็กเสียงน้อย ถ้าไม่นับเรื่องที่พี่ชายของเธอเป็นคนช่างบ่นและเจ้าระเบียบอยู่สักหน่อยละก็ เขาถือเป็นหนุ่มรูปหล่อเจ้าเสน่ห์อยู่ไม่น้อยเชียวละ

“โอ๊ย ไม่เอาละจ้ะ พี่ไม่อยากฝันร้าย...”

พูดยังไม่ทันจบประโยค นริสสาก็หันไปกดแตรรัวใส่รถคันหน้าที่ปาดแทรกเข้ามาในเลนโดยไม่สนใจว่าจะเฉี่ยวชนคันอื่นหรือไม่ และทำให้หญิงสาวต้องเหยียบเบรกจนตัวโก่ง รถที่ขับอยู่ด้านหลังพากันบีบแตรเสียงดังอื้ออึง

“คนที่นี่ขับรถกันน่าหวาดเสียวนะคะพี่สา”

ราวินทรากวาดตามองไปยังรถราที่ออกันอยู่รอบด้านอย่างหวาดๆ เธอเพิ่งมาถึงอียิปต์เมื่อวานเย็น ตอนออกจากสนามบินได้เห็นการจราจรของกรุงไคโรแล้วถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยเชียว หากเทียบกันแล้วรถติดที่ไคโรยังไม่ติดวินาศสันตะโรยาวสามสี่ชั่วโมงเหมือนที่กรุงเทพมหานครหรอก เพียงแต่การขับรถของผู้ใช้รถใช้ถนนที่อียิปต์ทำเอาเธอต้องตะลึงพรึงเพริดอย่างที่สุด

นี่มันแข่งแรลลีปารีส์-ดาการ์ข้ามทะเลทรายเหรอยะ ถึงได้ขับกันฉวัดเฉวียนเวียนหัวขนาดนี้!

วินาทีแรกที่อาลี คนขับรถที่นริสสาส่งไปรับเธอที่สนามบินพาเธอออกสู่ถนนอันจ้อกแจ้กจอแจของกรุงไคโร เธอก็เห็นรถบนท้องถนนพากันขับปาดซ้ายป่ายขวากันประหนึ่งกฎจราจรไร้ซึ่งความหมาย รถจากเลนขวาสุดหักข้ามมายังเลนซ้ายสุดได้โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงบีบแตรและเสียงตะโกนต่อว่าไล่หลังเลยสักนิด จึงไม่น่าแปลกใจที่ราวินทราจะเห็นอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง อาลีอธิบายให้เธอฟังว่า ส่วนมากหากเฉี่ยวชนกันนิดๆ หน่อยๆ ชาวอียิปต์มักไม่ค่อยเสียเวลาลงมาเจรจาเรื่องค่าเสียหายให้มากความ เพราะถึงอย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสียอยู่แล้ว ดังนั้นรถราที่เห็นในไคโรจึงเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากการเฉี่ยวชน บางคันประดับด้วยรอยบุบสองสามรอยแบบเดียวกับรถซีโทรแอนสีฟ้าของนริสสาที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้ไม่มีผิด เรื่องซ่อมเคาะปะผุน่ะหรือ...ลืมไปได้เลย ซ่อมเดี๋ยวเดียวก็ถูกเฉี่ยวอีกแล้ว ต่อให้จอดไว้เฉยๆ ก็อาจมีคนถอยมาชนแล้วหนีได้ คนอียิปต์ส่วนใหญ่จึงปล่อยผ่าน ไม่ค่อยซ่อมรถกันเท่าใดนัก

“ปกติก็ขับกันแบบนี้ละจ้ะ ชนกันขึ้นมาไม่ค่อยมีใครถือโทษโกรธกันจริงจังหรอก เอาน่า อยู่ๆ ไปสักเดือนเดี๋ยวก็ชินไปเอง อุ๊ย! เจอที่จอดแล้ว”

พูดจบนริสสาก็หมุนพวงมาลัยหักเลี้ยวปักหัวรถเข้าที่จอดริมทางเท้าด้วยลีลาสวิงสวายเสียจนราวินทราเผลอจิกมือลงไปบนเบาะนั่งอย่างหวาดผวา รุ่นพี่ของเธอมาประจำการที่สถานทูตไทย ณ กรุงไคโรได้เพียงปีเดียวแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะติดนิสัยขับรถแบบคนอียิปต์ไปเสียแล้ว

“ท่าจะชินยากอยู่นะคะ”

ราวินทราหัวเราะเสียงแห้ง ในขณะที่สารถีฉีกยิ้มกว้าง

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นน่า เรามาถึงตลาดข่านกันแล้ว ไปชอปปิงให้สนุกกันเถอะจ้ะ ไหนว่าอยากมาดูบรรยากาศตลาดตอนกลางคืนไงจ๊ะ”

นริสสาดับเครื่องพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวอย่างร่าเริง แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูลงจากรถก็มีชายหนุ่มชาวอียิปต์อายุราวยี่สิบต้นๆ วิ่งมาเคาะกระจกเสียก่อน หญิงสาวกดกระจกลงแล้วหยิบธนบัตรใบละสิบปอนด์ส่งให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“เจ้าถิ่นน่ะ มาเก็บค่าที่จอดรถ นี่ดีนะที่เราได้ที่จอดก่อน ไม่อย่างนั้นต้องทิ้งกุญแจไว้ที่เขาให้คอยเลื่อนรถให้” นริสสาหันกลับมาบอกราวินทราที่มองมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ทิ้งกุญแจ? แล้วไว้ใจได้เหรอคะพี่สา”

ราวินทราก้าวลงจากรถ พลางมองตามร่างสูงในชุดเสื้อแจ็กเกตกันหนาวและกางเกงยีนไปอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ยิ่งเห็นเขาเดินไปเก็บเงินจากรถคันอื่นๆ ที่พากันมาจอดข้างถนนด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาอาจเป็นมิจฉาชีพที่คอยหาประโยชน์จากคนแถวนี้ไปกันใหญ่

“ไว้ใจได้จ้ะ พี่ฝากกับเขาประจำนั่นละ แต่ที่พี่ไม่อยากฝากกุญแจรถไว้กับเขาก็เพราะกลัวเขาถอยไปชนคันอื่นมากกว่า แค่นี้รถพี่ก็มีรอยรอบคันแล้ว คนอียิปต์ขับรถกันแบบไหนลูกตาลก็น่าจะเห็นแล้วนี่จ๊ะ”

“นั่นสิคะ” ราวินทราหัวเราะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าขมุกขมัว สายลมเย็นยะเยือกทำให้สองมือต้องกระชับผ้าพันคอขนแกะแน่นเข้า “เพิ่งห้าโมงเย็นเอง แต่มืดตึ๊ดตื๋อเหมือนสักทุ่มสองทุ่มเลย”

แม้จะเพิ่งอยู่ในช่วงต้นเดือนธันวาคม แต่อุณหภูมิในช่วงพระอาทิตย์ตกดินก็ลดฮวบลงเหลือเพียงสิบสามหรือสิบสี่องศาเซลเซียสอย่างรวดเร็ว และอาจลดเหลือเพียงเก้าหรือสิบองศาช่วงกลางดึก นริสสาจึงย้ำนักย้ำหนาให้ราวินทราพกเสื้อหนาวหรือผ้าพันคอหนาๆ มาจากเมืองไทยด้วย ร่างกายจะได้อบอุ่นและไม่ล้มป่วยไปเสียก่อนได้เที่ยวทั่วอียิปต์ดังที่ตั้งใจไว้

“กำลังจะเข้าหน้าหนาวแล้วนี่นา ก็มืดเร็วแบบนี้นี่แหละ”

นริสสากดรีโมตล็อกรถแล้วขึ้นไปยืนบนทางเท้า เบื้องหน้าของหญิงสาวทั้งคู่คือประตูป้อมปราการขนาดมหึมาซึ่งล้อมรอบด้วยคูเมืองโบราณที่แห้ง ปราศจากน้ำ

“นี่ยังไม่เข้าหน้าหนาวอีกเหรอคะ ทั้งที่หนาวขนาดนี้เนี่ยนะ”

ราวินทราทำตาโตอย่างน่ารัก จนสาวรุ่นพี่อดส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“นี่เรียกว่าอากาศกำลังสบายต่างหากเล่าลูกตาล ถ้าเข้าเดือนมกราคมจะหนาวกว่านี้อีกนะ เผลอๆ อาจจะได้เห็นหิมะตกในไคโรด้วย จำได้ไหมเมื่อปี ๒๐๑๓ หิมะตกที่นี่เสียจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเชียวละ”

“แหม นั่นมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ ๑๑๒ ปีเลยนะคะพี่สา คงไม่ตกง่ายๆ อีกแน่ๆ” หญิงสาวยังจำพีระมิดและทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนในภาพข่าวได้อย่างแม่นยำ หิมะตกกลางทะเลทรายครั้งนั้นนับเป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ย้ำเตือนสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเพราะมลภาวะต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นอีกด้วย “โอกาสที่หิมะจะตกซ้ำอีกคงน้อยพอๆ กับที่ตาลจะมีโอกาสมีแฟนนั่นละค่ะ”

“แค่บอกพี่ต้นของตาลให้เลิกหวงน้องสาวก็พอจ้ะ เดี๋ยวเดียวได้มีแฟนแน่”

“โห เรื่องนั้นยากกว่ารอให้หิมะตกกลางทะเลทรายอีกค่ะ” ราวินทราพูดติดตลกพลางก้าวขาเดินตามนริสสาไปอย่างรื่นเริง “นอกจากผ่านด่านพี่ต้นแล้ว ยังต้องผ่านด่านคุณพ่อคุณแม่อีกต่างหาก”

“เออ ยากจริงๆ แฮะ สงสัยตาลคงต้องขึ้นคานกึ่งถาวรเหมือนพี่แล้วละ”

นริสสาส่ายศีรษะ นึกอึดอัดแทนราวินทราอยู่เหมือนกันที่คนในครอบครัวมักปฏิบัติต่อเธอเหมือนนกน้อยในกรงทอง ไม่อาจไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระดังใจนึก ขนาดเธอออกปากจะช่วยดูแลเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่อียิปต์ พ่อแม่และพี่ชายขี้หวงของหญิงสาวยังส่ายหน้าไม่ยอมอนุญาตท่าเดียว นี่ถ้าราวินทราไม่ลงทุนใช้ลูกอ้อนเอ่ยปากขอมาเที่ยวตามลำพังเป็นของขวัญที่เพิ่งเรียนจบด้วยเกียรตินิยมหมาดๆ ละก็ อย่าได้หวังเลย แต่ถึงกระนั้นอีตาพี่ชายใจโหดก็ยังคอยเช็กทุกระยะเหมือนผีติดหลังไม่มีผิด!

“กึ่งถาวร? ฮั่นแน่ แสดงว่ามีหนุ่มอียิปต์มาจีบพี่สาใช่ไหมเนี่ย” หญิงสาวโผเข้าไปกอดแขนรุ่นพี่ “หล่อไหมคะ นิสัยดีหรือเปล่า”

“ก็...ดีมั้ง...” นริสสาตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง เธอรีบชี้ขึ้นไปบนคานประตูขนาดมหึมา “ตลาดข่านมีประตูทางเข้าหลักๆ อยู่สองทางนะจ๊ะ ทางที่เรากำลังเดินเข้ามา เชื่อกันว่าสมัยโบราณเวลารบชนะ นายทัพนายกองจะเดินเข้าประตูนี้กัน จะมีผู้คนคอยโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดีด้วย”

“แต่ตอนนี้เงียบมากเลยค่ะ”

ราวินทราหัวเราะคิกคักเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย แต่ถึงนริสสาไม่พูด เธอก็รู้อยู่ดีว่าคนน่ารักนิสัยดีอย่างรุ่นพี่ของเธอคนนี้มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบไม่เคยว่างเว้นแน่ๆ หากวราทิตย์ยังทำเป็นปากแข็ง ชอบทำฮึ่มๆ แฮ่ๆ ใส่สาวที่ตนแอบชอบไปเรื่อยๆ เช่นนี้ หนุ่มไทยจะต้องเสียดุลให้หนุ่มต่างชาติล้านเปอร์เซ็นต์

“รอให้ลูกตาลรบชนะพี่ต้นก่อนสิ พี่จะปีนขึ้นไปบนหอคอยตรงจัตุรัสแล้วโปรยดอกไม้ลงมาแสดงความยินดีเลย”

หลังจากเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้านในซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแล้ว นริสสาก็พยักพเยิดไปยังหอคอยที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ลานเบื้องหน้า หอคอยนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมสูงประมาณตึกสามชั้น ด้านหน้าเจาะเป็นประตูทรงโค้งมีกระจกใสและครอบด้วยโครงเหล็กดัดทรงโบราณ เป็นศิลปะแบบอิสลามที่ดูอ่อนช้อยทว่าแข็งแกร่งอยู่ในที ตัวกำแพงด้านนอกก่อด้วยหินก้อนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ค่อนข้างขรุขระ และเต็มไปด้วยร่องรอยกระดำกระด่างบ่งชัดว่าผ่านกาลเวลามายาวนานนับร้อยปีไม่แพ้ตลาดแห่งนี้ น่าแปลกนักที่ร่องรอยเหล่านั้นกลับเพิ่มความสวยงามเข้มขลังให้หอคอยแห่งนี้มากกว่าจะทำให้ดูด้อยค่าลง

“คงต้องรอจนชาติหน้าตอนบ่ายๆ นั่นละค่ะพี่สา พี่ต้นโหดจะตาย”

ราวินทราล้วงกล้องดิจิทัลจากกระเป๋าสะพายออกมาถ่ายภาพหอคอยที่ด้านในเปิดไฟสีม่วงอ่อนดูสวยงามเอาไว้พลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น แม้จะเคยอ่านจากหนังสือนำเที่ยวมาบ้างแล้วว่าตลาดข่านหรือที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Khan El-Kalili แห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษในยามราตรี แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยสองตาเช่นนี้ก็อดรู้สึกรื่นเริงเหมือนเด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นอยู่ในร้านขายขนมหวานไม่ได้ ภาพร้านรวงที่เปิดไฟสว่างไสวสองข้างทางนั้นช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่ละร้านฝังตัวอยู่ในอาคารทรงโบราณที่ตั้งเรียงรายอยู่บนถนนที่ปูด้วยหิน นอกจากจะมีเหล่าผู้คนที่ออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันแล้ว ยังมีเด็กวัยรุ่นชาวอียิปต์ที่ออกมารวมตัวกันนั่งเล่นอยู่ตามขั้นบันไดมัสยิดหรือยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส กลางถนนมีรถเข็นขายพวกข้าวโพดย่างหรือมันอบกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ

นี่กระมัง...ที่นริสสาบอกเธอว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตกันแบบ ‘อาหรับราตรี’ กิน เที่ยว สังสรรค์กันหลังพระอาทิตย์ตกดินไปจนถึงตีสองตีสามของวันใหม่ ชาวอียิปต์ส่วนมากจึงตื่นค่อนข้างสาย บางครั้งพวกเขาอาจเริ่มต้นอาหารเช้ากันราวสิบเอ็ดนาฬิกา เลื่อนเวลาอาหารเที่ยงไปเป็นช่วงสามหรือสี่โมงเย็น และจบมื้อเย็นกันที่เที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง เรียกว่ากินแล้วก็นอน ไม่รอให้อาหารเรียงตัวลงกระเพาะเสียด้วยซ้ำ แถมสัดส่วนของอาหารแต่ละมื้อที่นริสสาเรียกว่า อีจิปเชียน พอร์ชันส์ (Egyptian Portions) นั้นยังมากกว่าปริมาณที่คนไทยรับประทานกันหลายเท่า จนราวินทราได้แต่นั่งมองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าผู้หญิงอียิปต์ตัวเล็กๆ จะสั่งพิซซาถาดใหญ่กันมาคนละถาด และสามารถกวาดลงท้องหมดภายในเวลาชั่วพริบตา

ก่อนมาถึงอียิปต์ ราวินทราจินตนาการถึงประเทศแห่งนี้ไว้อีกแบบ ภาพจากสารคดีและหนังสือท่องเที่ยวทำให้เธอเข้าใจผิดไปไกลว่าผืนแผ่นดินของที่นี่คงแห้งแล้ง ถูกปกคลุมอยู่ใต้ผืนทราย ผู้คนคงสวมชุดกาลาเบยาหรือชุดคลุมยาวเดินกันขวักไขว่เหมือนในภาพยนตร์ แต่เมื่อออกมาจากสนามบินแล้วได้เห็นไคโรเต็มๆ ตา จึงรู้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้เจริญมาก ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพมหานครเลยแม้แต่นิด หากไม่ใช่พวกพ่อค้าแม่ขายหรือคนจูงอูฐตามโบราณสถานแล้ว ชาวอียิปต์กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยแบบเดียวกับชาวยุโรป ทั้งแจ็กเกต กางเกงยีน และรองเท้าบูต ยิ่งเป็นช่วงย่างเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ยิ่งแต่งกายกันอย่างเต็มที่ จนเธอเผลอนึกไปว่ากำลังเดินอยู่บนถนนสายแฟชั่นแถบยุโรปหรือมิลานเสียอีก

นริสสาไม่ยอมให้ราวินทราซื้อของจากบรรดาพ่อค้าที่พยายามเชิญชวนอย่างกระตือรือร้น แต่กลับพาเดินผ่านตลาดขายเครื่องหนังแล้วเลี้ยวขึ้นบันไดอาคารในตรอกที่ทั้งมืดและแคบไปยังชั้นสอง

“จำไว้เลยนะจ๊ะ เวลามาตลาดข่าน ให้มาซื้อของที่ร้านจอร์ดีก่อน ร้านนี้เป็นร้านเดียวที่ขายของด้วยราคาจริง ไม่ได้บอกผ่าน ไม่จำเป็นต้องต่อเลย เผลอๆ ได้ของแถมด้วยนะ ส่วนมากเวลามีแขกมาจากเมืองไทยพี่ก็จะส่งให้มาซื้อของที่ร้านนี้แหละ ถูกดี แถมเวลาถือถุงร้านนี้ลงไปข้างล่าง พวกพ่อค้าคนอื่นๆ เห็นจะไม่กล้าขายของแพงมาก เพราะคิดว่าเรารู้ราคาจริงอยู่แล้ว”

นักการทูตสาวพูดเจื้อยแจ้วประสาคนช่างอธิบาย

“ข้างบนนี้วังเวงพิกลนะคะพี่สา”

ราวินทรามองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าบนชั้นสองของอาคารเก่าแก่แห่งนี้เป็นระเบียงทางเดินทรงสี่เหลี่ยมที่มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ บางร้านเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่า บางร้านก็ขายพวกน้ำหอม ขวดแก้ว ผ้าคลุมสวยๆ และของที่ระลึก ไม่ต่างจากร้านนับร้อยด้านล่างมากนัก จะต่างก็ตรงที่ด้านบนนี้ดูซอมซ่อกว่า และผู้คนที่คาดเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านก็ออกมานั่งสูบชิชาหรือดื่มชารับลมหนาว พลางสนทนากันอย่างออกรสมากกว่าจะคิดขายสินค้าของตนอย่างจริงจัง

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงคนแน่นกว่านี้เยอะจ้ะ แต่อย่างที่รู้กันนั่นแหละ สถานการณ์ในอียิปต์ยังไม่ค่อยสงบ เดี๋ยวก็มีระเบิด เดี๋ยวก็มีพวกบ้าๆ ยิงกราดใส่นักท่องเที่ยว พวกฝรั่งทางฝั่งยุโรปที่เคยเป็นขาประจำก็เลยไม่ค่อยกล้ามากัน ฝรั่งเซนซิทิฟเรื่องความปลอดภัยกันจะตายไป ตอนนี้เศรษฐกิจอียิปต์ก็เลยย่ำแย่ ค่าเงินตกต่ำมาก จากเมื่อก่อนอีจิปเชียนปอนด์ละเจ็ดบาท ทุกวันนี้เหลือแค่ปอนด์ละสองบาทเอง”

“ตาลเกือบไม่ได้มาหาพี่สาเพราะเรื่องระเบิดเหมือนกันค่ะ แต่ตาลก็บอกคุณพ่อกับพี่ต้นตามที่พี่สาบอกมานั่นละค่ะว่า ถ้าตรงไหนระเบิดแล้วมักไม่ค่อยระเบิดซ้ำที่เดิมอีก ใกล้ๆ บ้านพี่สาระเบิดไปแล้วครั้งหนึ่ง กว่าจะวนมาตูมอีกทีคงอีกนาน”

หญิงสาวหัวเราะเสียงสดใสเมื่อนึกถึงสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของบิดาและพี่ชาย เธอเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงเพราะภาพความรุนแรงในอียิปต์ที่สื่อต่างๆ นำเสนอให้เห็นอยู่เนืองๆ นั้นดูน่ากลัวกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหลายเท่า เรียกว่าถูกใส่สีตีไข่จนเกินเลยไปมาก จนก่อให้เกิดความหวาดกลัวในใจของผู้คน ทั้งที่สถานการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างสงบพอที่จะท่องเที่ยวในประเทศได้แล้วด้วยซ้ำ

“แหม ถ้าสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจจริงๆ พี่ก็ไม่ชวนลูกตาลมาหรอก พี่ทำงานสถานทูตนะจ๊ะ มีอะไรก็ต้องรู้ก่อนอยู่แล้ว...”

“Va te faire foutre, putain de connard!”

(ไปลงนรกเถอะวะ ไอ้ระยำหมา!)

เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างกราดเกรี้ยวที่ดังออกมาจากร้านขายของเก่าที่อยู่ทางซ้ายมือ ทำเอาสองสาวที่กำลังจะเดินผ่านไปยังร้านที่อยู่ติดกันสะดุ้งโหยง ราวินทราเป็นคนแรกที่ถอยกรูดในขณะที่ร่างสูงใหญ่ชนิดเกือบชนคานประตูโผล่พรวดออกมา แวบแรกที่เห็น เขามีผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ และมีผิวสีแทนคล้ามแดดจนหญิงสาวนึกว่าเขาเป็นชาวอาหรับ แต่เมื่อได้เห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวราวท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเต็มตาจึงรู้ว่าเขาเป็นฝรั่ง

เสียดาย...ที่เป็นท้องทะเลแสนงามยามมีพายุทอร์นาโด!

ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงพูดรัวเร็วเป็นชุดอีกหลายประโยค ความรู้ภาษาฝรั่งเศสของราวินทราอยู่ในระดับงูๆ ปลาๆ เธอจึงฟังเขาไม่เข้าใจ แต่พอเดาได้จากท่าทางโกรธเกรี้ยวจนควันออกหูของชายชาวอียิปต์ที่เดินตามเขาออกมาจากร้านได้ว่าน่าจะเป็นคำสบถด่าที่ค่อนข้างหยาบคายเอาเรื่อง

“มาทางนี้เถอะลูกตาล ไม่ต้องไปสนใจหรอก พ่อค้ากับลูกค้าฝรั่งคงทะเลาะกันน่ะ” นริสสาตรงเข้ามาคว้าข้อมือของรุ่นน้องเอาไว้ แล้วรีบลากเข้าไปในร้านจอร์ดีที่อยู่ข้างๆ “คนอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาหล่อลากดินแท้ๆ แต่พูดออกมาแต่ละคำหยาบจนฟังแทบไม่ได้เลย”

“หยาบคายมากเลยเหรอคะ”

ราวินทราหันกลับไปมองชายหนุ่มอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเห็นด้วยกับนริสสาเรื่องที่เขา ‘หล่อลากดิน’ โครงหน้าของเขาโดดเด่นชนิดหาตัวจับยาก โดยเฉพาะโหนกแก้มและแนวกรามสวยได้รูปราวสลักเสลา แต่พายุอารมณ์ที่ฉายชัดอยู่ในแววตาทำให้เขาดูดุดันน่ากลัวเหมือนรูปจำหลักเทพเจ้ายามพิโรธไปอย่างน่าเสียดาย ขนาดสวมแจ็กเกตหนังทรงนักบินสีน้ำตาลที่เก่าจนสีบริเวณตะเข็บและข้อศอกถลอกจนเป็นสีครีมแล้ว เขาก็ยังดูดีประหนึ่งหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นไม่มีผิด

เขาทำให้นึกถึงอินเดียนา โจนส์ขึ้นมานิดๆ แฮะ...

“แปลให้ฟังแล้วจะหนาว ฝรั่งพวกนี้นิสัยไม่ดี ได้ทีเป็นโวยวายเสียงดังตลอด เพราะรู้ว่าคนที่นี่ไม่ค่อยลงไม้ลงมือกันถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะถ้าถึงตำรวจมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” หญิงสาวทำหน้าเบ้ “อย่าไปสนใจเลยลูกตาล ไปซื้อของเถอะ เดี๋ยวก็มีคนมาห้ามเองนั่นละ”

ยามมีคนทะเลาะเบาะแว้งกัน เหล่าอียิปต์มุงที่เห็นเหตุการณ์มักจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ แต่ชอบเข้าไปมีส่วนร่วมห้ามปรามประหนึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเสียเอง ประเดี๋ยวเดียวก็ไกล่เกลี่ยกันจนจบไปเองก่อนจะแยกย้ายทางใครทางมัน นริสสาอยู่ที่นี่มานานพอที่จะรู้ว่าเหตุกระทบกระทั่งกันเช่นนี้ในอียิปต์นั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่อย่างใด แทบไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด

ราวินทราเหลือบมองชายหนุ่มอารมณ์ร้อนคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินเข้าไปเลือกซื้อของในร้านตามคำชวนของเพื่อนรุ่นพี่โดยไม่สนใจเขาอีก

 

“พี่สา ตาลล้มละลายแล้ว”

ราวินทราโอดครวญขณะเดินไปตามถนน สองมือหอบถุงข้าวของพะรุงพะรัง ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาเพียงชั่วโมงเศษเธอจะละลายทรัพย์ในกระเป๋าได้รวดเร็วอย่างน่าใจหาย แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังสอดส่ายสายตามองสินค้าในร้านรวงสองข้างทางไม่ยอมเลิก

“ซื้อเยอะขนาดนี้ ไม่ล้มละลายสิแปลก ถ้าบ่จี๊ก็บอกพี่ได้ เดี๋ยวพี่จะให้กู้ คิดดอกไม่แพง” นริสสาหัวเราะ “ว่าแต่ลูกตาลจะจำได้ไหมเนี่ยว่าซื้ออะไรมาบ้าง เล่นกวาดมาทุกสิ่งอย่างแบบนี้”

“แหม ก็ตาลมีคนที่ต้องซื้อของไปฝากเยอะนี่คะ ทั้งคนที่บ้านแล้วไหนจะเพื่อนๆ อีก ทุกคนขู่กันทั้งนั้นเลยว่าถ้าไม่ซื้อของกลับไปฝากละก็จะงอน ตาลก็ต้องสนองนโยบาย” ราวินทราทำปากยื่น “เดี๋ยวคืนนี้ตาลจะไปรื้อดูค่ะว่าซื้ออะไรมาบ้าง แล้วจดโน้ตเลยว่าชิ้นไหนซื้อฝากใคร ถ้าโทร.ไปไถเงินพี่ต้นเพิ่มแล้วพี่ต้นไม่ให้ ตาลค่อยกู้พี่สานะคะ”

“กู้พี่ท่าจะง่ายที่สุดแล้วละจ้ะ พี่ต้นของลูกตาลน่าจะหาทางตัดค่าขนมมากกว่า ลูกตาลหมดตัวจะได้รีบกลับไวๆ ไง”

 พื้นเพดั้งเดิมของครอบครัววายุระกุลอาจไม่ใช่ผู้ลากมากดี แต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคมอยู่ไม่น้อย ด้วยธุรกิจรีสอร์ตทั้งในประเทศและแถบประเทศเพื่อนบ้านประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรื่องฐานะทางการเงินจึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อมอย่างน่าอิจฉาทีเดียว สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งคือเอกตะวันและรวิกานต์ไม่เคยตามใจลูกๆ จนเสียคน ทั้งคู่พร่ำสอนลูกชายลูกสาวให้จับจ่ายใช้สอยเท่าที่จำเป็นและรู้จักประหยัดอดออม หากอยากได้อะไรนอกเหนือจากที่พ่อแม่จัดหาให้ต้องไปช่วยงานที่รีสอร์ตเพื่อหารายได้พิเศษเอาเอง ราวินทราจึงเป็นลูกคุณหนูที่ติดดินที่สุดที่นริสสาเคยรู้จักมา และเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเอ็นดูรุ่นน้องคนนี้ยิ่งนัก

“ถ้าอย่างนั้นตาลคงต้องฝากท้องไว้กับพี่สาทุกมื้อแล้วละค่ะ”

ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังเอียงศีรษะซบไหล่ของรุ่นพี่อย่างประจบประแจง ดังเช่นที่เคยทำมาตลอดครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน

“ไม่ต้องขอพี่ก็เลี้ยงทุกมื้ออยู่แล้วน่า ว่าแต่ของเยอะขนาดนี้ให้พี่ช่วยถือบ้างดีไหม จะได้เดินสบายขึ้น”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่สา ตาลฟิตจะตาย” ราวินทราชูถุงในมือขึ้น ทำท่าทางเลียนแบบนักกีฬายกน้ำหนักแล้วยิ้มกว้าง “นี่มีแต่ของเบาๆ ทั้งนั้นเลย ต่อให้เดินชอปทั้งคืนก็ไหว...”

ปัง!

ราวินทราและนริสสาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ผู้คนบนถนนในตลาดพากันหยุดยืนนิ่ง คล้ายยังไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงอะไรกันแน่ แต่เมื่อเสียงแบบเดิมดังขึ้นติดๆ กันอีกสามครั้ง ฝูงชนที่เดินอยู่บนท้องถนนก็พากันกรีดร้องแล้ววิ่งแตกฮือเหมือนนกแตกรัง ก่อให้เกิดคลื่นมนุษย์อันบ้าคลั่งที่พัดพาสองสาวให้ไหลแยกจากกันไปคนละทิศ

“ลูกตาล!” นริสสายื่นมือออกไปหมายคว้าตัวราวินทราเอาไว้ แต่หญิงสาวถูกคลื่นมนุษย์ดันไปในทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว “หาที่หลบก่อน แล้วโทร.หาพี่ ได้ยินไหมลูกตาล โทร.หาพี่ แล้วพี่จะไปรับ!”

“พี่...พี่สา!”

ราวินทราพยายามทรงตัวไม่ให้ถูกคนชนล้มขณะไหลไปตามฝูงชน เธอรีบตั้งสติอย่างรวดเร็วพลางเงี่ยหูฟังว่าเสียงปืนดังขึ้นอีกหรือไม่และมาจากทางไหนเพื่อจะแทรกผู้คนหนีไปทางอื่น แต่เสียงกรีดร้องและตะโกนโหวกเหวกของคนรอบด้านก็ดังอื้ออึงจนไม่อาจจับเสียงอื่นใดได้ จะกระโดดเข้าไปซ่อนตัวในร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีคนคิดแบบเดียวกันนับสิบชีวิตกรูกันเข้าไปอัดกันจนแน่นร้านหมดแล้ว เธอจึงจำใจต้องสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปเบื้องหน้าอย่างไร้ทางเลือก

“ระวัง!”

เสียงตะโกนเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นในวินาทีเดียวกันกับปลายเท้าของราวินทราลอยหวือขึ้นจากพื้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ส่งของพุ่งผ่านหน้าไปด้วยความเร็วสูง เหมือนไม่สนใจว่าจะเฉี่ยวชนผู้คนที่กำลังวิ่งด้วยความสับสนอลหม่านบนท้องถนนเลยสักนิด หากเมื่อครู่เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นละก็ เธอก็คง...

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

เสียงทุ้มต่ำติดจะกระด้างนิดๆ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังชิดหูเสียจนหญิงสาวต้องผินหน้ากลับไปหาต้นเสียงเพียงเพื่อจะพบว่าสิ่งที่ ‘ชิด’ กับเธอนั้นไม่ใช่แค่เสียง แต่เป็นลมหายใจและกายสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นที่แนบสนิทอยู่กับแผ่นหลังของเธอ โดยมีวงแขนแข็งแรงโอบกระชับรอบเอวบอบบางไว้แน่น และนั่นคือสาเหตุที่ปลายเท้าของเธอไม่ติดพื้น...เขาอุ้มเธอเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว!

ผู้ชายคนนี้...คือคนเดียวกับที่สบถเสียงดังแถวๆ หน้าร้านจอร์ดี!

หัวใจของราวินทราเต้นรัวยามเห็นใบหน้าเจ้าของวงแขนชัดถนัดตา เธอเคยเห็นฝรั่งตาสีฟ้ามามาก แต่ไม่เคยเห็น เฉดสีฟ้างดงามแปลกตาแบบนี้มาก่อน...เหมือนสีอมเขียวของท้องทะเลที่สะท้อนภาพผืนฟ้าปราศจากเมฆของอียิปต์เอาไว้ ทว่าเมื่อต้องแสงจากโคมไฟสีส้มนวลตานับร้อยดวงจากร้านค้าทางด้านหลังกลับปรากฏสีเหลือบม่วงจางๆ ผสมอยู่ประหนึ่งสีของพลอยอะเลกซานไดรต์

สวย...

“เฮ้ คุณได้ยินผมไหม หรือว่า...เป็นใบ้?”

คำพูดซึ่งล่วงพ้นริมฝีปากหยักลึกออกมานั้นทำเอาคนฟังต้องกะพริบตาปริบๆ สติสตังที่หลุดลอยหายไปในตอนแรกกลับคืนเข้าร่างในจังหวะเดียวกันกับชายหนุ่มปล่อยเธอลงยืนบนขั้นบันได หญิงสาวเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าเขาคว้าตัวเธอเข้ามาหลบใต้โค้งประตูใหญ่โตที่เชื่อมระหว่างถนนสองด้านของตลาดเข้าด้วยกัน ตรงกลางเป็นเวิ้งขนาดย่อมที่มีร้านขายโคมไฟแบบอาหรับและของที่ระลึกสองร้านตั้งอยู่ด้านใน แสงจากโคมแก้วหลากสีสะท้อนกับกำแพงหินและโค้งเพดานปลายแหลมตามแบบฉบับของศิลปะอิสลามก่อให้เกิดแสงเงางดงามแปลกตา

“น้อยๆ หน่อยคุณ ฉัน...ฉันไม่ได้เป็นใบ้”

“หลบมาทางนี้ก่อน”

เขาคว้าข้อมือของราวินทราแล้วดึงให้เข้าไปในร้านโคมไฟ เหมือนไม่ใส่ใจฟังสักนิดว่าเธอกำลังจะพูดอะไร พอเธออ้าปากจะท้วง เขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นจดริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ เสียงของความโกลาหลบนถนนด้านนอกยังคงดังอยู่เป็นระยะ หญิงสาวโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ไม่ได้ยินเสียงปืนแล้ว แต่ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินเสียงหัวใจใต้แผงอกกว้างของคนที่ยืนชิดกันในระยะเกินคำว่าพอดี...ชิดจนได้กลิ่นใบยาสูบเจือกลิ่นหวานอ่อนๆ ของยางไม้หอมลอยกรุ่นมาจากกายเขา น่าแปลกที่บุคลิกดิบห่ามของเขากลับไม่ขัดกับกลิ่นหอมนุ่มนวลนั้นแม้แต่นิดเดียว

“ฉัน...ฉันต้องโทรศัพท์บอกเพื่อน...”

ราวินทราถอยหลังจากชายหนุ่มไปสองสามก้าว จนเกือบชนกับเจ้าของร้านชาวอียิปต์ที่ชะโงกหน้าออกมาดูเหตุการณ์อยู่ทางด้านหลัง เธอหันไปผงกศีรษะขอโทษเขาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ก่อนจะรีบควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าอย่างทุลักทุเลเพราะถุงข้าวของที่อยู่ในมือ

“มา ผมช่วย”

ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีแปลกถือวิสาสะดึงถุงบรรจุสินค้าที่ระลึกไปจากมือของราวินทราโดยไม่รอคำอนุญาตจากนั้นก็เดินถอยหลังกลับเข้าไปยืนในมุมอับของร้านโคมไฟเสียดื้อๆ หญิงสาวขมวดคิ้วนิดหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อนึกได้ว่าเขาเป็นคนช่วยเหลือเธอเมื่อครู่ ความขุ่นเคืองใจบางเบาจึงจางหายไปอย่างรวดเร็วราวลมพัด

“ฉัน...” ราวินทราเหลือบมองคนตัวสูงที่ยืนขมวดคิ้วพิงผนังร้านครู่หนึ่งก่อนจะพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง “ฉันยังไม่ได้ขอบคุณที่คุณช่วยฉันไว้เลย คุณ...”

“แอรอน” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น ดวงตาของเขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง “ผมชื่อแอรอน”

“ฉันชื่อราวินทราค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วย...”

“เรื่องเล็กน้อย เรเวน” แอรอนยักไหล่ เขาไม่สนใจที่จะฟังเธอพูดจนจบประโยคเสียด้วยซ้ำ “คุณจะโทรศัพท์ก็รีบโทร.สิ”

“เรเวน? ฉันชื่อราวินทรา ไม่ใช่เรเวน”

ราวินทราขึงตาใส่ชายหนุ่ม นึกฉุนขึ้นมาติดหมัดเมื่อถูกเรียกว่าเรเวน นกสีดำตัวโตในตระกูลอีกา ถึงจะจัดว่าเป็นหนึ่งในนกที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่ก็เกกมะเหรกเกเรสร้างความเดือดร้อนติดอันดับต้นๆ เช่นกัน!

“ก็ชื่อคุณออกเสียงยาก มีชื่อเล่นที่เรียกง่ายกว่านี้ไหมเล่า”

ออกเสียงไม่ได้ก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้เสียเลยอย่างนั้นเรอะ! บ้าหรือเปล่า!

“ลูกตาล”

“ลูกทัน...ลูกทาน...ถัน?”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะพยายามออกเสียงเพี้ยนสุดกู่จนคนฟังต้องกลอกตามองเพดาน...อยากจะบ้าตาย ถันมันแปลว่าเต้านมต่างหากเล่า!

“ถ้ามันลำบากนัก ก็ลืมๆ มันไปเถอะค่ะ” หญิงสาวไม่อยากได้ยินชื่อของตนในเวอร์ชันพิสดารมากไปกว่านั้นจึงรีบตัดบททันที อีกประการหนึ่ง...หลังจากคืนนี้ เธอคงไม่ได้พบหน้าเขาอีกแล้ว และคงไม่มีวันสนิทสนมถึงขนาดยอมให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอด้วย! “เอาเป็นว่าฉันขอบคุณเรื่องเมื่อครู่มากนะคะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่รบกวนคุณ”

เธอเดินตรงไปคว้าถุงคืนจากคนตัวสูงกว่า แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย ดวงตาคมกล้าหลุบมองถุงพลาสติกที่บรรจุของที่ระลึกเหล่านั้นครู่หนึ่งคล้ายลังเล ก่อนจะยอมคลายมืออย่างเสียไม่ได้ ราวินทราสะดุดใจกับท่าทางแปลกๆ ของเขาอยู่บ้าง แต่อคติที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจทำให้เธอไม่อยากสนทนาพาทีกับคนตรงหน้าอีกต่อไป...คุยกันไม่กี่คำก็รู้แล้วว่ากวนประสาท!

“บอกแล้วว่าแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องขอบคุณก็ได้ ใครอยู่ตรงนั้นก็ต้องทำแบบผมทั้งนั้น” แอรอนมองออกไปนอกร้านด้วยแววตาครุ่นคิด “คุณว่าจะโทรศัพท์หาเพื่อนไม่ใช่เหรอ ผมว่ารีบโทร.เถอะ ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ คุณควรรีบกลับที่พักให้เร็วที่สุด หรือ...จะให้ผมไปส่งคุณกับเพื่อนก็ได้นะ ผมจะได้สบายใจด้วยว่าคุณปลอดภัยแล้วจริงๆ”

“หา?” ราวินทราปรับอารมณ์ไม่ถูกเมื่อจู่ๆ คนที่แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรนักในคราแรกเสนอตัวเป็นบอดีการ์ดให้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย “คุณมีน้ำใจมาก แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนฉันขับรถมา พวกเรากลับกันเองได้ ที่จริง...คิด...คิดอีกที ฉันเดินไปรอที่รถเลยดีกว่า แล้วค่อยโทร.บอกเพื่อนระหว่างทางเอาก็ได้”

ตอนแรกหญิงสาวไม่ค่อยชอบหน้าเขา แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่น่าไว้ใจขึ้นมาตงิดๆ ยิ่งเห็นสายตายามเขามองถุงในมือของเธอด้วยแล้ว เธอก็เผลอหนีบกระเป๋าแน่นเข้าโดยอัตโนมัติ คิดๆ ดูแล้วเธอแทบไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลยสักนิด การที่เขาช่วยเธอไว้ไม่ได้หมายความว่าจะไว้ใจเขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียเมื่อไหร่กันเล่า บางที...เขาอาจจะเป็นโจรก็ได้!

“ถ้าคุณสบายใจจะทำอย่างนั้นผมก็ไม่ขัด แต่อย่างน้อยให้ผมเดินไปส่งคุณที่รถเถอะ ผมจะได้หมดห่วง”

ปากเอ่ยว่าห่วง แต่แววตาของเขากลับชืดชา เหมือนพูดส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง

เดี๋ยวนะ...ห่วง? ทำไมเขาต้องเป็นห่วงเธอด้วยเล่า...

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่รบกวนคุณจะดีกว่า ฉันเกรงใจ” ราวินทราส่ายหน้ารัว แล้วรีบเดินจ้ำพรวดออกจากร้านโคมไฟ ในขณะที่อีกฝ่ายก้าวตามมาประชิดอย่างรวดเร็ว

“ไม่รบกวนหรอกน่า ผมว่าง...”

“ลูกตาล!”

เสียงตะโกนเรียกนั้นเปรียบเสมือนระฆังช่วยสำหรับราวินทรา

“พี่สา!” เธอหันไปเห็นสาวรุ่นพี่ยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูโค้ง จึงรีบปรี่เข้าไปกอดแขนอย่างยินดี

“พี่ตามหาลูกตาลเสียทั่วเลย ทำไมไม่โทร.หาพี่ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราแทบแย่”

“ตาลขอโทษค่ะพี่สา แต่ตอนนี้เรารีบกลับกันก่อนเถอะค่ะ มีอะไรไว้คุยกันทีหลัง” ราวินทราฉุดนริสสาให้ออกเดินอย่างเร่งร้อน

“เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ” นริสสาหันไปมองชายหนุ่มชาวต่างชาติที่มองตรงมายังพวกตนแล้วเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ “นั่นมัน...ผู้ชายฝรั่งเศสที่เราเจอหน้าร้านจอร์ดีนี่นา เขามาจีบลูกตาลเหรอ”

“จีบอะไรกันล่ะคะ ท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าหั่นศพตาลละไม่ว่า” ราวินทราทำหน้าปั้นยาก เธอไม่แน่ใจนักว่าผู้ชายที่ชื่อแอรอนเป็นคนฝรั่งเศสจริงๆ หรือแค่พูดภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะภาษาอังกฤษที่เขาใช้สนทนากับเธอนั้นไม่ติดสำเนียงฝรั่งเศสเลยแม้แต่น้อย ออกจะเป็นสำเนียงแบบบริติชจ๋าเสียด้วยซ้ำ หากบอกว่าเขามาจากสหราชอาณาจักรเธอก็เชื่อ

“หา?”

นริสสากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง แต่สาวรุ่นน้องกลับไม่ยอมพูดอะไรอีก เอาแต่ลากเธอให้เดินไปตามถนนทั้งที่ตนเองไม่รู้จักเส้นทางสักนิด

ดวงตาคมกริบของแอรอนมองตามร่างของหญิงสาวทั้งสองไปอย่างเงียบเชียบ พลางถอดเสื้อแจ็กเกตตัวนอกออกมาพาดไว้บนท่อนแขน หลังจากนับหนึ่งถึงสิบในใจ เขาก็เดินตามพวกเธอไปโดยไม่ลืมทิ้งระยะห่างเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยนัก ฝูงชนที่ยังวิ่งวุ่นกันอย่างสับสนอลหม่านถือเป็นโล่กำบังชั้นดีที่จะช่วยพาเขาออกจากที่นี่ได้โดยเร็วที่สุด

“ฉิบหายแล้ว!” แอรอนสบถอย่างหัวเสียเมื่อเดินตามหญิงสาวชาวเอเชียทั้งสองออกมาถึงรถแล้วเห็นสีเขียวบนป้ายทะเบียน นั่นมัน...รถสถานทูต! ยุ่งแล้วไหมเล่า!

ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาซูมถ่ายภาพทะเบียนจากระยะไกล แล้วกดส่งข้อความอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นต่อสายหาคนที่ตนเพิ่งส่งข้อความให้หมาดๆ

“ยังไม่ตายอีกเหรอวะ”

ประโยคแรกที่คนปลายสายเอ่ยทักได้รับการตอบรับเป็นเสียงสบถยาวนับสิบคำ

“นั่นปากเรอะไอ้เวร” แอรอนแยกเขี้ยว เขาหลบเข้าไปอยู่ในหลืบข้างกำแพงทันทีที่เห็นกลุ่มคนกรูกันออกมาจากประตูทางเข้าตลาด “เช็กทะเบียนรถให้ฉันหน่อย อเล็กซ์ ฉันส่งรูปไปให้แล้วเมื่อกี้”

“เออ เดี๋ยวทำให้” อเล็กซ์หัวเราะร่วน “เห็นหายไปเป็นเดือนไม่ติดต่อมา ก็นึกว่าถูกไอ้ฌอง-ลุคยิงเจาะกะโหลกตายไปแล้ว”

“ฉันยังอยู่ดีน่า ส่วน ‘ของ’ ก็ ‘ฝาก’ เอาไว้ในที่ปลอดภัย ไอ้สารเลวฌอง-ลุคไม่มีวันหาเจอแน่”

“หือ? ของไม่ได้อยู่กับแกเหรอวะ แสดงว่าการเจรจาล้มเหลวสิท่า”

“แค่ผิดแผนนิดหน่อยน่า แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฉันยังควบคุมสถานการณ์ได้” แอรอนทำเสียงฮึ่มๆ แฮ่ๆ อยู่ในลำคอ “ถ้าแกรีบย้ายก้นไปเช็กทะเบียนรถให้ฉันว่าใครเป็นเจ้าของ ไม่เกินพรุ่งนี้ฉันก็กลับอะเล็กซานเดรียไปจิบไวน์กับแกแล้ว!”

“ง่ายขนาดนั้นเชียว”

เจ้าของเสียงแหบต่ำปลายสายกระเซ้าอย่างอารมณ์ดี แต่คนฟังกลับยิ่งอารมณ์บูด

“มันจะไปยากอะไร แค่เด็กผู้หญิงเอเชียไร้พิษสงคนเดียว ฉันรับมือได้สบายอยู่แล้ว เปิดไวน์ขวดที่แพงที่สุดของไอ้อองเซลรอไว้เลย”

“แกรอดจากไคโร แต่จะมาตายที่อะเล็กซานเดรียก็เพราะไปยุ่งกับไวน์ของมันนี่ละ” อเล็กซ์ทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอ “ระวังตัวหน่อยนะโว้ย ไอ้ฌอง-ลุคกับไอ้มิเชล ดูวาล อาจารย์เก่าของแกมันร้ายไม่ใช่เล่น งานรับทรัพย์อื้อแบบนี้เสียด้วย พวกมันไล่ฟัดแกไม่ปล่อยแน่ จนว่าจะได้ ‘อาร์สิโนเอ’ ของแก”

“อาร์สิโนเอเป็นของพ่อฉัน” ดวงตาของแอรอนลุกวาบตามแรงอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น “ฉันไม่มีวันให้สองคนนั้นชุบมือเปิบไปได้เป็นอันขาด โดยเฉพาะไอ้มิเชล ดูวาล!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น