4

ตอนที่ 4


“ปล่อย!”

เมื่อตั้งสติได้ราวินทราก็ดิ้นพราด แต่อีกฝ่ายตัวใหญ่และมีแรงเหนือกว่าเธอมาก ไม่ว่าจะทุบจะถองอย่างไรเขาก็ไม่สะทกสะท้านสักนิด มิหนำซ้ำมือหนาที่ตะปบริมฝีปากของเธออยู่ยังกดแน่นเสียจนเสียงกรีดร้องเหลือเพียงเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

“ถ้าไม่อยากตายก็หยุดดิ้นเสียที!”  แอรอนคำรามลอดไรฟัน ท่อนแขนรัดร่างนุ่มนิ่มแนบแน่นจนแทบจมหายไปในแผงอกของตน แล้วลากเธอไปด้านหลังซากปรักหักพังของมาสตาบาที่อยู่ใกล้ที่สุด “นรกเรียกหาอยู่รอมร่อแล้ว ยังสะดีดสะดิ้งอยู่ได้ แหกตาดูหน่อยเถอะแม่คุณว่าออกไปทางนั้นจะเจอกับอะไร!”

ชายหนุ่มจับใบหน้าของราวินทราหันไปยังทิศที่เธอเพิ่งถูกเขาลากมา เธอจึงเห็นชายฉกรรจ์สองคนวิ่งตรงมาสมทบกับเจ้าหน้าที่คนที่เธอพบในตอนแรก พวกเขาดูหัวเสียและโวยวายใส่กันเป็นภาษาอาหรับซึ่งเธอฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว ชายผู้มาใหม่ทั้งสองคนไม่ได้สวมเครื่องแบบทหารหรือกาลาเบยา แต่เป็นเสื้อผ้าทันสมัยตามแบบฉบับตะวันตก ประกอบเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนและแจ็กเกตผ้าเนื้อหนา ซึ่งในยามที่พวกเขาชี้มือชี้ไม้ด้วยความโกรธ เสื้อแจ็กเกตนั้นก็เปิดออก เผยให้เห็นปืนที่เหน็บอยู่ด้านใน!

“พวกมันพกอาวุธเข้ามาได้ทั้งที่ตรวจตราเข้มงวดขนาดนี้ ต้องมีคนในเล่นด้วยแน่” แอรอนยอมคลายมือปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ เมื่อเห็นว่าเธอยุติการดิ้นรนโดยสิ้นเชิงแล้ว

“คนใน? คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ...” ราวินทราหันกลับไปหาชายหนุ่มทันควัน ดวงหน้าของเธอซีดเผือดไร้สีเลือด คำพูดที่หลุดพ้นริมฝีปากออกมานั้นสั่นพร่าและฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “คน...คนพวกนั้นเป็นใคร แล้ว...แล้วคุณ...คุณ...ตามฉันมา...”

“อยากเล่านิทานก่อนนอนยาวๆ ให้ฟังอยู่เหมือนกันละนะ แต่ดูเหมือนเราไม่มีเวลาแล้ว เรเวน!”

แอรอนตวัดตามองไปยังกลุ่มคนที่เริ่มแยกย้ายกันออกตามหาแม่สาวน้อยเจ้าปัญหา แล้วฉุดข้อมือเธอให้ออกวิ่งลัดเลาะตามแนวของสุสานโบราณไปด้วยกันอย่างชำนาญทาง ในขณะที่หญิงสาวสะดุดก้อนหินเกือบหน้าคะมำอยู่เป็นระยะ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ชายหนุ่มคอยฉุดแขนไว้ไม่ให้ล้ม ก่อนจะลากถูลู่ถูกังพาเธอวิ่งหลุดออกมาจากมาสตาบาฝั่งตะวันออกไปสู่ลานทรายกว้างไร้ที่กำบัง  ณ วินาทีนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มคนดังไล่หลังมา

“อย่าหันกลับไปมอง! พวกมันไม่ยิงคุณแน่ ถ้าจะยิงคงยิงไปตั้งแต่แรกแล้ว มันน่าจะต้องการจับเป็นมากกว่า”

ชายหนุ่มฉุดแขนหญิงสาวให้วิ่งเร็วขึ้นอีก แต่การวิ่งบนพื้นทรายที่ทั้งนุ่มและเม็ดละเอียดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย ยิ่งต้องประคองตัวไม่ให้ล้มตามแรงกระชากของคนตัวใหญ่เป็นยักษ์ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลก!

“ฉันควรจะดีใจไหม!”

คำพูดคล้ายจะปลอบของเขาไม่ได้ทำให้ราวินทรารู้สึกดีขึ้นสักนิด ตรงกันข้าม ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ!

“ก็ควรอยู่ อย่างน้อยก็ยังไม่ตายใช่ไหมเล่า” รู้...ว่าแม่เจ้าประคุณประชด แต่ถามว่าสนไหม บอกเลยว่าไม่ กำไลบนข้อมือเธอน่าสนกว่าเยอะ! “ข้างหน้ามีนักท่องเที่ยว มาเร็ว!”

กลุ่มคนที่ยืนถ่ายรูปอยู่ลิบๆ บนถนนที่อยู่ระหว่างพีระมิดคูฟูกับพีระมิดคาเฟรทำให้หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง ระยะทางที่ดูไกลเพราะความหวาดกลัวในตอนแรกดูจะหดสั้นลงไปเกือบครึ่ง ถึงกระนั้นการที่ต้องออกแรงวิ่งเอาชีวิตรอดอย่างสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นนี้ก็ดูดพลังงานไปจากเธอจนสิ้น หัวใจของเธอทำงานหนักหน่วงจนหน้าอกข้างซ้ายเจ็บร้าวไปหมด ลมหายใจขาดช่วงจนต้องหอบหายใจทางปาก อยากทิ้งตัวลงนอนแผ่เสียเดี๋ยวนั้น

“มาทางนี้!”

แอรอนเหวี่ยงตัวข้ามกำแพงหินกั้นขอบถนนที่สูงเลยระดับเอวของตนไปอย่างง่ายดายราวไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก่อนจะหันกลับมาคว้าเอวของหญิงสาวแล้วยกข้ามกำแพงตามไปติดๆ ด้วยความเร็วที่เธอเองไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยปากปฏิเสธ...รู้ว่าไม่ใช่เวลาจะมัวมาเคอะเขินที่ถูกเขาแตะต้องเนื้อตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ชินอยู่ดี! นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ที่ยืนเก็บภาพพีระมิดและสฟิงซ์อยู่ในบริเวณนั้นหันกลับมามองสองหนุ่มสาวกันอย่างงุนงงแกมประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจเมื่อเห็นทหารในเครื่องแบบแบกปืนวิ่งไล่ตามทั้งคู่มาจากระยะไกล มิหนำซ้ำยังมีชายฉกรรจ์หน้าตาถมึงทึงถึงสองคนติดสอยห้อยตามมาด้วย

“เรา...เราจะไปไหน...” ราวินทราพูดเสียงปนหอบ การวิ่งหนีคนที่มีปืนก็เรื่องหนึ่ง แต่การจะแล่นตามผู้ชายแปลกหน้าไปง่ายๆ เหมือนคนไร้สติคงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำนัก แม้เขาเพิ่งช่วยเธอจากเงื้อมมือ ‘ฝ่ายโน้น’ ซึ่งเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไว้ใจเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังประหนึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากสุสานเช่นนี้ จะบอกว่าเป็นเหตุบังเอิญก็ไม่น่าใช่ เว้นแต่เขาแอบตามเธอมาจากพิพิธภัณฑ์!

นี่เธอ...กำลังหนีเสือปะจระเข้อยู่หรือเปล่า...

“ปลอดภัยกว่าที่นี่ก็แล้วกัน อย่าถามมากนักเลยน่า”

แอรอนคว้าข้อมือของหญิงสาวแล้วกระชากให้ออกวิ่งอีกครั้ง เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด จินตนาการเอาเองว่าถ้ากระดูกเธอไม่เคลื่อน เนื้อหนังที่ถูกมือแข็งปานกรงเล็บเหล็กของเขาบีบเอาก็คงช้ำจนเขียวไปหมดแล้ว

“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าปลอดภัย”

สองขายังคงวิ่งตามชายหนุ่มไปอย่างไม่มีทางเลือก ทว่าดวงตาเหลือบมองเขาอย่างหวาดระแวงอยู่เป็นระยะ

“พูดอย่างกับมีทางเลือกที่ดีกว่านี้อย่างนั้นแหละ บอกไว้เลยนะคุณหนู ผมนี่ละทางรอดเดียวของคุณ” แอรอนหันมาแยกเขี้ยวใส่สาวน้อยข้างกาย นึกโกรธตนเองนักที่กระเตงยายเด็กตัวถ่วงมาด้วยแบบนี้ แต่จะให้ฉกกำไลแล้วทิ้งเจ้าหล่อนให้เผชิญชะตากรรมตามลำพังก็ทำไม่ลง ในเมื่อเขาเป็นคนลากเธอมาเจอเรื่องนี้เอง ถึงจะไม่เจตนาก็ควรต้องรับผิดชอบ...อย่างน้อยก็ควรเห็นกับตาก่อนว่าเธอปลอดภัย

“ฉัน...ฉันมากับไกด์ ฉันควรติดต่อเขา...”

ราวินทราสะดุ้ง เมื่อเขาบีบข้อมือของเธอแน่นเข้าอีกคล้ายกลัวว่าเธอจะสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนี

“ออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ รับรองว่าได้ติดต่อกับทุกคนในโคตรเหง้าศักราชของคุณครบแน่”

แอรอนชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาชมสฟิงซ์หน้าพีระมิดคาเฟรหนาตากว่าอีกฝั่งมาก เป็นการเปิดโอกาสให้เขาแทรกตัวปะปนไปกับผู้คนได้สะดวกขึ้น “อีกอย่าง ถ้าอยากให้ไอ้ไกด์โคตรเจ๋งของคุณปลอดภัยละก็ อยู่ห่างๆ มันเอาไว้เป็นดี”

“หมาย...หมายความว่ายังไง” ราวินทราเกร็งไปทั้งตัว เมื่อชายหนุ่มละจากข้อมือแล้วเปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่รั้งให้เธอแนบไปกับเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อของเขาแทน “ช่วย...อธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยเถอะ”

“อธิบายแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

แอรอนพยายามไม่หันไปมองด้านหลังด้วยกลัวว่าจะดูมีพิรุธมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงได้แต่เหลือบตามองเป็นพักๆ เขาเห็นว่าทหารเก๊นายนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงชายชาวอียิปต์สองคนที่สวมชุดปกติธรรมดาดูกลมกลืนไปกับคนรอบข้างจ้ำเท้าตามมาห่างๆ เหมือนกำลังจ้องหาจังหวะปลอดคนอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มกวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็ว แล้วแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าบริเวณประตูทางเข้าออกของจุดชมสฟิงซ์มีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกลุ่มเล็กๆ เดินปะปนอยู่กับนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารราวสามสี่นายยืนถือปืนคุมเชิงอยู่

ไม่อยากให้กระโตกกระตากใช่ไหม...ได้...จัดให้!

“โอ-มาย-ก๊อด!” จู่ๆ แอรอนก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่น แล้วชี้นิ้วไปทางชายสองคนที่เดินตามมาข้างหลัง “สองคนนั้นมีปืน! พวกเขามีปืนจริงๆ ด้วย! หนีเร็ว!”

ทันทีที่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปผู้ขึ้นชื่อเรื่องห่วงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินยิ่งชีพได้ยินคำว่า ‘ปืน’ ก็เริ่มกรีดร้องและพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น ส่วนนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่จับสำเนียงภาษาอังกฤษท้ายประโยคได้อย่างงูๆ ปลาๆ กลับได้ยินผิดไปว่ามีบอมบ์หรือระเบิด จึงร้องบอกเพื่อนฝูงเป็นภาษาของตน ในชั่วพริบตาเดียวความโกลาหลก็บังเกิด นักท่องเที่ยวแตกฮือวิ่งหนีตายกันราวผึ้งแตกรัง ไม่สนแม้กระทั่งเสียงตะโกนเตือนขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบของเจ้าหน้าที่แม้แต่นิด

“สองคนนั้น หยุดเดี๋ยวนี้!”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเล็งปืนไปยังสองหน่อที่ถูกชี้เป้า พวกเขาหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะแยกกันวิ่งหนีไปคนละทิศเพื่อไม่ให้ถูกจับได้พร้อมกัน

ราวินทราอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าวิธีเด็กๆ แบบนี้ของแอรอนจะได้ผลด้วย

“งงละสิ” แอรอนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างตัว แม่เด็กคนนี้อ่านง่ายที่สุดในโลก ไม่ว่าจะคิดอะไรก็แสดงออกทางใบหน้าและแววตาจนสิ้น เขาฉวยโอกาสที่ผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวายพาหญิงสาววิ่งออกจากประตูไปยังถนนด้านนอกอย่างรวดเร็ว “อียิปต์ผ่านเหตุการณ์รุนแรงในประเทศมาหลายครั้ง ถึงตอนนี้จะสงบลงมาก แต่นักท่องเที่ยวก็ยังหวาดผวากันอยู่ดี แค่ได้ยินคำว่าปืน ระเบิด หรือไอซิส ก็เผ่นหนีตายกันไม่คิดชีวิตแล้ว”

“คุณกฤษณ์!”

คำอธิบายของเขาแทบไม่เข้าหูราวินทราเลยสักคำ เมื่อเธอหันไปเห็นกฤษณ์ยืนกดโทรศัพท์อย่างละล้าละลังอยู่ในลานจอดรถข้างประตูเข้าออกของจุดชมสฟิงซ์ เขาคงกำลังพยายามติดต่อเธออยู่แน่!

“คุณกฤษณ์คะ ฉันอยู่นี่!”

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น หญิงสาวตั้งท่าจะล้วงมือลงไปกดรับ แต่แอรอนคว้ามือเธอเอาไว้ทันควัน ดวงตาของเขาดุกร้าวจนเธอสะดุ้งโหยง

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง บอกแล้วว่าไม่ปลอดภัย จะติดต่อใครให้รอจนพ้นเขตนี้ก่อน!”

“ฉัน...ฉันแค่...”

ถ้าเป็นในยามปกติ ราวินทราคงไม่ยอมให้เขาเอ็ดเธอเหมือนเด็กเล็กๆ ข้างเดียวเช่นนี้เป็นแน่ แต่หลังจากต้องเผชิญเหตุสะเทือนขวัญมาหมาดๆ และยังตั้งสติได้ไม่มั่นคงนัก เธอจึงเถียงเขาไม่ออกแม้แต่คำเดียว และได้แต่ปล่อยให้โทรศัพท์มือถือเงียบเสียงไปเองในที่สุด

“มาเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

แอรอนย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นใบหน้าไร้สีเลือดของหญิงสาว มือหนึ่งจูงเธอฝ่าฝูงชนที่กำลังแตกตื่นไปยังรถโฟร์วีลที่จอดอยู่ริมถนนด้านนอก ส่วนอีกมือล้วงโทรศัพท์มือถือออกมากดส่งข้อความด้วยนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวอย่างคล่องแคล่วราวกับทำเป็นประจำ

“ไหนบอกว่าไม่ปลอดภัย ห้ามติดต่อใครไง”

“ผมหมายถึงคุณคนเดียวต่างหาก นี่แบล็กโฟนนะหนู แฮ็กไม่ได้ ดักฟังไม่ได้ ขนาดส่งข้อความยังสั่งให้ลบตัวเองทิ้งได้เลย ปลอดภัยพอไหม” ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าด้านในแจ็กเกตแล้วกดรีโมตเปิดประตูรถ “ขึ้นไปได้แล้ว มัวโอ้เอ้อยู่แบบนี้เดี๋ยวพวกมันก็แห่กันมาอีกพอดี เอ้า! ทำหน้าแบบนั้น กลัวผมละสิท่า”

“ไม่ได้กลัว” ราวินทราโกหกคำโต...กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัว “แต่...ฉันไม่ไว้ใจคุณ”

“ไม่ไว้ใจผม แต่ไว้ใจไอ้เจ้าหน้าที่เก๊นั่น ก็เลยเดินตามมันไปที่เปลี่ยวๆ หน้าตาเฉยว่างั้นเถอะ แล้วเป็นไงเล่า ช่างมีเซนส์ในการดูคนเหลือเกินนะแม่คู้น” แอรอนพูดเสียงขึ้นจมูก “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ คนเดียวในที่นี้ที่คุณไว้ใจได้ก็มีแต่ผมเท่านั้น แล้วก็ผมอีกนั่นละที่เป็นทางรอดเดียวของคุณ ฉะนั้นย้ายก้นขึ้นรถไปได้แล้ว!” 

ไม่พูดเปล่า เขายังถือวิสาสะดันร่างเพรียวระหงขึ้นไปบนรถอย่างไม่ออมแรง ราวินทราเม้มปากแน่นพลางตวัดตามองคนที่ปิดประตูรถดังโครมอย่างขุ่นเคือง

“ฉันรู้แค่ชื่อคุณอย่างเดียว จะให้ไว้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยได้ยังไงกันเล่า”

“แต่ก็รอดมาจนถึงตอนนี้ได้เพราะคนที่รู้แค่ชื่อใช่ไหมเล่า ฉะนั้นเรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้”

แอรอนย้อนเข้าให้ เขายักไหล่แล้วสตาร์ตรถด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ที่สุด เป็นอีกครั้งที่ราวินทราเถียงไม่ออก ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ข่มอารมณ์ โมโหจนแทบลืมความกลัวจากเหตุการณ์ที่ประสบมาจนสิ้น...ผู้ชายคนนี้ร้ายนัก ขนาดพูดซึ่งๆ หน้ายังเลี่ยงบาลีไม่ยอมปริปากบอกรายละเอียดส่วนตัวแม้แต่แอะเดียว

“เลิกทำหน้าหงิกแล้วคาดเข็มขัดซะ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่สถานทูตไทย ไปหาเพื่อนคุณที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุด” ชายหนุ่มพูดพลางหมุนพวงมาลัยขับพารถหนีห่างจากความโกลาหลรอบๆ บริเวณมหาพีระมิด

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเพื่อนฉันทำงานที่สถานทูตไทย ฉันไม่เคยบอกคุณนี่”

เขารู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นคนไทย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะพาเธอไปส่งที่สถานเอกอัครราชทูตไทยเพื่อหลบภัย แต่เขาไม่มีวันรู้แน่ว่านริสสาทำงานที่ไหนโดยที่เธอไม่บอก...ทั้งแอรอนและเจ้าหน้าที่ตัวปลอมคนนั้นรู้เรื่องส่วนตัวของเธอได้อย่างไรกันเล่า...

คนพวกนี้เป็นใคร!

ปึ้ก!

เสียงระบบเซ็นทรัลล็อกทำงานก่อนที่มือของหญิงสาวจะทันได้เอื้อมไปเปิดประตู

“กระโดดลงจากรถตอนที่มันกำลังแล่นอยู่คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอกนะเรเวน ไอ้แก่คันนี้มันเก่ามากแล้ว ระบบไฟรวนอยู่เรื่อย ออโตล็อกก็ห่วยต้องกดปุ่มเอง เบรกก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าคุณเกิดกลิ้งตกจากรถไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะเหยียบเบรกก่อนมันทับคุณทันหรือเปล่า”

สองตาของแอรอนจับจ้องไปบนถนน ไม่ได้มองมาทางราวินทราสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาจับตามองเธออยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

“เลิกเรียกฉันว่าเรเวนได้แล้ว ฉันชื่อราวินทรา” หญิงสาวซุกตัวแนบไปกับประตูรถ พยายามปลอบใจตนเองว่าอาการสั่นสะท้านของร่างกายนี้ไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัว แต่เป็นการสั่นสู้ต่างหากเล่า! “คุณกับคนพวกนั้น...ทำไมถึงรู้เรื่องฉัน พวกคุณเป็นใครแล้วต้องการอะไร หรือว่าต้องการเงิน ฉันไม่ใช่พวกลูกเศรษฐีเงินถุงเงินถังพันล้านหมื่นล้าน จับฉันไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่ได้ราคาที่ต้องการหรอก เผลอๆ ได้ไม่คุ้มเสียด้วย”

“แหม...คิดไปโน่น” แอรอนหัวเราะ เขาหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือเอื้อมมาคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้แล้วชูขึ้น “ก่อนอื่น ถอดกำไลนี่มาให้ผมก่อน แล้วผมจะอธิบายทุกเรื่องให้คุณฟัง”

“กำไล?” ราวินทรากระชากมือกลับแล้วห่อตัวจนลีบ หากมุดซอกหลืบหนีไปได้เธอคงทำไปแล้ว “อย่าบอกนะว่าที่คุณตามฉันมาเพราะฝังใจกับกำไลของฉัน...”

“ของผม” ชายหนุ่มแก้ทันควันโดยไม่รอให้หญิงสาวพูดจบประโยค “กำไลนั่นเป็นของผมแต่แรกแล้ว ผมเป็นคนยัดใส่ลงไปในถุงชอปปิงของคุณเอง”

“หา?” ราวินทรากะพริบตาปริบๆ “ดะ...เดี๋ยวก่อนนะ กำไลของคุณ...คุณยัดใส่ไปในถุงชอปปิงของฉัน...แล้วคุณทำแบบนั้นทำไม...”

เมื่อนึกย้อนไปถึงท่าทางแปลกๆ ของแอรอนในคืนที่พบกันที่ตลาดข่าน ทั้งสายตาที่คอยวนเวียนอยู่แต่กับถุงข้าวของในมือเธอด้วยแล้ว เธอก็เริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันได้

“นี่...นี่หมายความว่า เมื่อเช้าที่คุณไปเจอฉันที่พิพิธภัณฑ์ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม คุณตั้งใจตามฉันไปเอากำไลวงนี้แต่แรกแล้ว...” หญิงสาวครางเสียงเบาหวิว “อย่าบอกนะว่าที่คุณ...ช่วยฉันออกมาจากมาจากสุสานมาสตาบาเมื่อกี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผน...คุณร่วมมือกับคนพวกนั้น...”

“ไม่ใช่ ผมไม่รู้จักคนพวกนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่าใครส่งมาด้วย แต่ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นพวกของฌอง-ลุค พูดไปคุณก็ไม่รู้จักอยู่ดี”

แอรอนบีบแตรไล่รถคันหน้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาขับรถสวิงสวายกว่านริสสาเป็นสิบเท่า นึกจะเบรกก็เบรกจนราวินทราแทบหัวทิ่มคอนโซลหน้ารถ ต้องจิกเบาะเพื่อทรงตัวไว้

“เลิกลีลาเสียที ในเมื่อรู้แล้วว่าไม่ใช่กำไลของตัวเอง ก็ส่งคืนให้เจ้าของตัวจริงได้แล้ว”

“คุณยังตอบคำถามของฉันไม่ครบ” ราวินทราเม้มปากพลางหลุบตามองฝ่ามือใหญ่โตที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างกรุ่นโกรธ “อีกอย่างนะ ถ้าฉันส่งกำไลคืนให้คุณไป แล้วคุณเกิดผิดคำพูดขึ้นมาฉันจะทำยังไง คุณอาจทำร้ายฉันแทนที่จะไปส่งที่สถานทูตก็ได้”

“ถ้าผมจะทำร้ายคุณจริงๆ ผมคงทำตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเขตมาสตาบาและป้ายความผิดให้ไอ้พวกนั้นไปแล้ว ไม่ต้องลำบากลำบนพาคุณหนีให้เหนื่อยแบบนี้หรอก” แอรอนแค่นเสียงเยาะหยัน “ถามจริง คาราเต้ ยูโด ไอคิโด มวยไทย คราฟมากา ศิลปะป้องกันตัวทั้งหมดที่พูดมาเนี่ยเป็นกับเขาสักอย่างไหม”

“มะ...ไม่...” ตอบออกไปแล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเองตาย ในสถานการณ์เช่นนี้เธอไม่ควรบอกจุดอ่อนของตนเองให้เขารู้ไม่ใช่หรือ ยายลูกตาล ยายโง่!

“แถมยังไม่มีอาวุธติดตัวด้วย ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นการแย่งกำไลจากคุณก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียวสำหรับผม แต่ที่ผมไม่ทำก็เพราะผม ‘โคตร’ เป็นสุภาพบุรุษ ผมพยายามเจรจาขอซื้อกำไลจากคุณอย่างคนมีอารยธรรมเขาทำกันแล้ว แต่คุณพูดไม่รู้เรื่องเอง”

สุภาพบุรุษ? มีอารยธรรม? ตรงไหนไม่ทราบยะ!

“คุณจะโทษว่าเป็นความผิดของฉันได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่รู้ว่ากำไลวงนี้เป็นของคุณ” ราวินทราส่งค้อนให้เขาวงโต “คุณยังไม่ตอบฉันเลยนะว่าคุณยัดกำไลวงนี้ใส่ถุงชอปปิงของฉันแต่แรกทำไม ถ้าท้ายที่สุดแล้วคุณต้องมาตามเอาคืนอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้”

“ก็...” ชายหนุ่มลากเสียงยาว “ผมเอากำไลออกมาจากเขตตลาดเองไม่ได้ ถึงต้องฝากคนอื่นเอาออกมาไง”

“ไม่ได้ฝาก! คุณยัดเยียดมันให้ฉันอย่างหน้าด้านๆ ต่างหาก!” ในคราแรกหญิงสาวอยากตะโกนใส่หน้าเขานัก แต่ความคิดบางอย่างก็ลอยผ่านเข้ามาในสมองเสียก่อน “เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ ที่มีคนยิงกันคืนนั้น...อย่าบอกนะว่า...”

“คนที่อยากได้มัน ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนี่”

คำยอมรับกลายๆ ของเขาทำเอาราวินทราอ้าปากค้าง...นี่หมายความว่ากำไลแสนสวยวงนี้ไม่ใช่ของแถมจากร้านจอร์ดีอย่างที่เธอเข้าใจ แต่เป็นของแถมที่มาพร้อมเรื่องวุ่นวายของผู้ชายคนนี้ต่างหาก!

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นน่า ผมใช้คุณฟรีๆ ที่ไหนกัน เสนอเงินค่าแบกของให้ตั้งเยอะ ถ้าคุณรับไปแล้วให้กำไลผมมาดีๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าก็จบเรื่องไปนานแล้ว”

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก นี่หมายความว่าที่ฉันต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ก็เพราะคุณใช่ไหม!”

ยิ่งได้ยินชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉยแบบนี้ ราวินทราก็ยิ่งโกรธ อยากกระโจนเข้าไปข่วนหน้าเขาให้ยับ แต่รู้ว่าคงสู้แรงเขาไม่ได้แน่ จึงได้แต่ข่มอารมณ์ไว้จนหน้าดำหน้าแดง

“โอเคๆ ผมขอโทษที่เรื่องมันผิดแผนไปหน่อย แต่นี่ผมก็รับผิดชอบด้วยการช่วยคุณออกมาได้แล้วไม่ใช่หรือไง แถมยังจะพาคุณไปส่งที่สถานทูตด้วย แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนี่ หรืออยากได้ค่าทำขวัญก็ว่ามา”

รู้ว่าผิดถึงได้พยายามรับผิดชอบอยู่นี่ไงเล่า ผู้หญิงนี่ขี้โวยวายเหมือนกันหมด พับผ่าเถอะวะ!

“เก็บเงินไว้ฝังศพตัวเองเถอะ!” ราวินทรากรีดร้องอย่างเหลืออด ความโกรธทำให้เธอโยนยิ้มสยามและมารยาทอันดีงามทิ้งไว้ที่พีระมิดชนิดไม่เหลือหลอ

“อยากช่วยสมทบทุนทำหลุมศพให้ผมขนาดนั้นเชียว” แอรอนลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สม โถ...สำหรับคนหนังหนามาตั้งแต่เกิดอย่างเขา คำด่าเด็กๆ แค่นี้ไม่สะกิดผิวเสียด้วยซ้ำไป “ก็ตามใจ ผมถือว่าเสนอแล้วคุณไม่สนองเอง อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน เอาละ ทีนี้ก็ส่งกำไลมาให้ผมได้แล้ว”

“ไม่!” หญิงสาวซุกมือข้างที่สวมกำไลไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ดูจากพฤติการณ์และคำพูดที่ผ่านๆ มาแล้ว เธอไม่ควรไว้ใจคนอย่างเขาที่สุด “ฉันจะให้กำไลคุณก็ต่อเมื่อคุณไปส่งฉันที่สถานทูตแล้วเท่านั้น”

“อย่างี่เง่าได้ไหม ก็รับปากแล้วไงว่าจะไปส่ง” ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือไปคว้ากำไลจากราวินทรา แต่การที่ต้องใช้อีกมือประคองพวงมาลัยรถท่ามกลางการจราจรชวนเวียนหัวของกรุงไคโรนั้น ทำให้เขาไม่อาจยื้อแย่งของคืนมาจากหญิงสาวได้ดังใจ จึงได้แต่สบถเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียดอย่างอารมณ์เสีย “ส่งกำไลมาเดี๋ยวนี้เรเวน ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน!”

“ไม่ จนกว่าคุณจะไปส่งฉันที่สถานทูต” หญิงสาวยืนยันความคิดเดิมอย่างหนักแน่น ดวงตาของเธอเต้นระริก ทั้งโกรธทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยึดหลักประกันชีวิตเดียวที่มีเอาไว้ก่อน...อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงสถานทูตก่อน “ถามจริงๆ เถอะ กำไลวงนี้สำคัญอะไรนักหนา พวกคุณถึงอยากได้กันนัก”

“สำคัญชนิดที่ผมฆ่าคนได้เพื่อมันเชียวละ” แอรอนคำรามฮึ่มแฮ่อยู่ในลำคอ เขาหันกลับไปมองหน้าราวินทราด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์ “ส่งมันมาให้ผม เรเวน ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นคุณได้เจอปัญหาใหญ่แน่!”

“ตอนนี้ก็เจออยู่แล้วนี่!” ราวินทราเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะกลัวคำขู่ ‘ฆ่า’ กลายๆ ของเขาอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำเป็นเก่งพลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากเขาให้ครบสามสิบสองให้ได้ “คุณรู้ข้อมูลส่วนตัวของฉัน คนพวกนั้นก็ต้องรู้เหมือนกัน ต่อให้คุณไปส่งฉันที่สถานทูตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะปลอดภัยอยู่ดี ที่ฉันต้องซวยแบบนี้ก็เพราะคุณล้วนๆ แล้วยังจะมีหน้ามาข่มขู่ฉันอีกเหรอ!”

“ถ้าพวกมันเช็กข้อมูลส่วนตัวคุณเพิ่มเติม ก็จะรู้ว่าคุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แน่นอน คุณคงไม่ซวยมากไปกว่านี้แล้วน่า อย่าสำคัญตัวผิดนักเลย สิ่งที่มันอยากได้จริงๆ คือกำไลวงนี้ต่างหาก ไม่ใช่ตัวคุณ!” แอรอนแสร้งทำเสียงดังเข้าข่ม ใช่ว่าไม่รู้สึกผิดที่ทำให้เรื่องบานปลายมาถึงขนาดนี้ แต่เขามาถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว มีแต่ต้องบุกตะลุยจนกว่าจะถึงเป้าหมายเท่านั้น!

“คุณนี่มัน...” ราวินทราไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาด่าทอต่อว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยถึงจะสาสม แต่ก่อนที่จะคิดออก เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น

“รับสิ ผมอนุญาต” ชายหนุ่มพยักพเยิด เขาพยายามเลี้ยวรถไปตามตรอกซอกซอยเพื่อหลีกหนีการจราจรอันหนาแน่นบนถนนสายหลัก “แต่ต้องพูดภาษาอังกฤษนะ ผมจะได้เข้าใจ”

“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของคุณ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ของวราทิตย์อยู่บนหน้าจอ...ช่างเหมาะเจาะเสียจริง ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างละก็ รับรองว่าได้กักบริเวณเธอจนถึงชาติหน้าแน่!

“ลูกตาล อยู่ที่ไหน”

พอกดรับสายปุ๊บ วราทิตย์ก็พูดประโยคเดิมที่ใช้แทนคำว่า ‘ฮัลโหล’ มานานเกือบสิบปี

“ทำไมเงียบแปลกๆ อยู่ในรถเหรอ”

“พี่ต้น ตอนนี้ตาล...”

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับกระสุนพุ่งทะลุกระจกหลังมาเจาะกระจกหน้าจนเป็นรู ราวินทรามองรอยร้าวและเศษกระจกที่ร่วงกราวต่อหน้าต่อตาแล้วอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

“ฉิบหายแล้วไหมเล่า!” แอรอนสบถเสียงต่ำขณะเหลือบมองกระจกมองหลัง เขาขบกรามแน่นจนขึ้นนูนเป็นสันทันทีที่เห็นว่ามีปืนยื่นออกมาจากรถเก๋งบุโรทั่ง ซึ่งขับตามหลังมาในระยะประชิดทั้งที่อยู่ในซอยแคบเพียงเท่านี้ “นี่มันพวกไหนกันอีกวะ!”

“นั่นเสียงอะไรน่ะลูกตาล ใช่เสียงปืนหรือเปล่า!”

ปลายสายกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์มาอย่างร้อนรน ทว่าคำตอบของหญิงสาวกลับเป็นเสียงกรีดร้องยาวเมื่อสารถีร่างยักษ์หักพวงมาลัยเลี้ยวกะทันหัน แรงเหวี่ยงทำให้โทรศัพท์หลุดกระเด็นจากมือของเธอหล่นลงพื้น

“ลูกตาล ได้ยินพี่หรือเปล่า! ลูกตาล! เกิดอะไรขึ้น...”

เสียงตะโกนข้ามทวีปของพี่ชายดังไปไม่ถึงหูของน้องสาว ยิ่งเมื่อกระสุนนัดที่สองพุ่งเข้าเจาะกระจกด้านหน้าจนแตกกระจายทั้งบาน เธอก็ไม่มีเวลาฟังอีกต่อไป

“เรเวน หมอบ!”

แอรอนกดศีรษะของหญิงสาวลงแนบตักตนเอง ก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วกระทืบเท้าบนคันเร่งเต็มแรง พารถพุ่งไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง

“คุณจะทำอะไรน่ะ แอรอน!” ราวินทราหวีดสุดเสียง

“ก็หาทางรอดให้คุณกับผมไงเล่า!”

“หา!”

โครม!

รถโฟร์วีลพุ่งถอยหลังชนรถที่ขับตามมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงกระแทกอันรุนแรงจากด้านหลังรถนั้นพาร่างของหญิงสาวลอยขึ้นจากเบาะ เข็มขัดนิรภัยทำงานโดยอัตโนมัติ รัดร่างเธอเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปกองที่พื้น แต่ถึงกระนั้นก็รัดแน่นเสียจนเจ็บซี่โครงแปลบๆ หูอื้อตาลาย สมองเหมือนหยุดสั่งการไปชั่วขณะ

“เรเวน มาเร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว!”

แอรอนกระชากราวินทราขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเธอ แล้วช้อนร่างบอบบางอุ้มออกจากรถอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกหญิงสาวเกือบร้องห้ามเขาแล้ว แต่รู้สึกเจ็บแปลบที่ขาขวาเสียก่อน เมื่อก้มลงดูจึงเห็นว่าถูกกระจกบาดทะลุกางเกงยีนเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาอย่างน่ากลัว

“ไม่ต้องกลัวนะเรเวน คุณต้องปลอดภัยแน่”

ราวินทราเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขน น้ำเสียงของเขาจริงจังเสียจนเธอนิ่งอึ้งไปหลายวินาที...นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรับรู้ได้ว่าเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ใช่เพื่อกลบเกลื่อนเจตนาแอบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น

ครั้งนี้...เธอจะเชื่อใจเขาได้จริงๆ หรือเปล่า...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น