6

ตอนที่ 6


ราวินทรายืนโก่งคออาเจียนใต้ต้นไม้ริมทางจนแทบหมดไส้หมดพุง ในขณะที่แอรอนเทน้ำจากขวดน้ำดื่มพลาสติกชะล้างคราบเลือดและเศษสมองที่ติดบนกระจกรถลวกๆ

หลังจากแน่ใจว่าอยู่ในระยะปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มก็สั่งให้หญิงสาวจอดรถข้างทางเพื่อเปลี่ยนให้เขาเป็นคนขับเนื่องจากเธอไม่รู้เส้นทาง และเริ่มขับรถเป๋ไปเป๋มาประสาคนที่ไม่ชินกับการขับรถพวงมาลัยซ้าย แต่พอจอดรถปุ๊บ ราวินทราก็เปิดประตูพุ่งออกจากรถปั๊บ ก่อนจะขย้อนทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกระเพาะจนสิ้น

“เอ้า บ้วนปากซะ”

แอรอนเปิดขวดน้ำดื่มที่ยังเหลืออยู่ท้ายรถแล้วส่งให้หญิงสาว เธอยันมือข้างหนึ่งไว้กับต้นไม้เพื่อพยุงกาย ส่วนอีกข้างยื่นมารับขวดไปอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เนื้อตัวของเธอสั่นเทาอย่างเสียขวัญ ภาพสยดสยองที่เกิดขึ้นเมื่อราวสี่สิบนาทีก่อนยังติดตาเธออยู่ไม่หาย และคง...จะตามหลอกหลอนเธอไปจนชั่วชีวิต

“แค็กๆ”

บ้วนปากไปเพียงครั้งสองครั้ง หญิงสาวก็สำลักจนไอโขลกๆ มือของเธอสั่นระริกจนแทบถือขวดน้ำไว้ไม่อยู่ แอรอนเห็นดังนั้นจึงดึงขวดไปจากมือเล็กแล้วเทน้ำที่เหลือราดลงบนใบหน้าของเธอจนเปียกปอนไปหมด

“นี่...นี่คุณ...คุณจะบ้าเหรอ!”

“ตั้งสติหน่อย!”

ชายหนุ่มโยนขวดเปล่าทิ้งแล้วคว้าต้นแขนดึงราวินทราให้หันมาประจันหน้ากัน ในขณะนั้นเป็นยามโพล้เพล้แล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มที่ต้องแสงอาทิตย์อัสดงจึงดูดุดันกว่าในยามปกติเป็นสองเท่า ความตึงเครียดและความหวาดกลัวที่เผชิญมาตลอดทั้งวันบีบคั้นให้หญิงสาวระเบิดเสียงร้องไห้โฮออกมาอย่างสิ้นอาย เธอถอดกำไลออกจากข้อมือแล้วขว้างใส่อกเขาเต็มแรง

“อยากได้ก็เอาไปเลย! ฉันไม่อยากได้มันแล้ว!”

ราวินทราผลักคนตัวโตให้ออกห่าง แต่เรี่ยวแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เขาจึงไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย

“ไม่มีมันเป็นหลักประกันแล้ว ไม่กลัวว่าผมจะทิ้งคุณไว้ตรงนี้หรือไง” แอรอนก้มลงเก็บกำไลทองที่ตกอยู่บนพื้น แรงกระแทกทำให้หินที่แกะเป็นสการับหลุดกระเด็นออกจากตัวเรือน

“อยากทิ้งก็ทิ้งสิ ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว!”

หยาดน้ำตาที่ร่วงเผาะๆ จากดวงตากลมโตทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหน่วงๆ พิกล ทั้งที่ได้อาร์สิโนเอมาอยู่ในมือดังปรารถนามาเกือบตลอดชีวิต แต่กลับ...ไม่รู้สึกดีใจเท่าที่ควรเป็นเลยสักนิด

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทั้งมืดทั้งเปลี่ยวขนาดนี้ ลองผมทิ้งคุณไว้ตรงนี้แค่ห้านาที ก็ถูกไอ้พวกหื่นกามลากเข้ารกเข้าพงไปถึงไหนๆ แล้ว” แอรอนพูดเสียงเย็นพลางกดสลักเปิดฝาครอบตัวเรือนทองคำเพื่อใส่สการับสีเหลืองอ่อนกลับเข้าไปราวกับรู้จักทุกส่วนของเครื่องประดับชิ้นนี้เป็นอย่างดี “เงินติดตัวก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มี จำเบอร์โทร.ใครก็ไม่ได้อีก แล้วจะกลับไปที่สถานทูตยังไง อย่าบอกนะว่าจะเรียกตำรวจ มองไปรอบๆ สิว่าแถวนี้มีบ้านคนไหม”

“ก็...บอกแล้วไงว่าไม่สน...”

ราวินทราสะอื้นฮัก ถึงปากบอกว่าไม่สน แต่หัวใจกลับหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าของเธอหล่นหายไปตั้งแต่ตอนที่หลบหนีการไล่ล่าครั้งแรก จึงไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อใครในอียิปต์ทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุซ้ำสองจึงไม่ได้ขอร้องให้แอรอนช่วยติดต่อทางสถานทูตให้ ในเมื่อเขาได้กำไลไปแล้ว เขาก็คงไม่สนใจสวัสดิภาพของเธออีกต่อไป

เธอพลาดแล้ว!

“เริ่มกลัวแล้วใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้บอกให้คุณตั้งสติ” แอรอนยัดกำไลใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้าไปประชิดหญิงสาว จากนั้นจึงเลิกชายเสื้อยืดของตนขึ้นแล้วใช้เช็ดคราบน้ำตาผสมน้ำเปล่าออกจากแก้มนุ่มนิ่มของเธออย่างไม่รังเกียจรังงอน “โชคดีของคุณนะเรเวน ที่ผมเป็นคนรักษาสัญญา ไม่ว่าคุณจะงี่เง่าแค่ไหนผมก็จะพาคุณไปส่งเอง”

ราวินทราเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันควัน รู้สึกเหมือนหูฝาดไป แต่เมื่อเห็นว่าดวงตาของเขาทอประกายหนักแน่นจริงจัง น้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาไม่ขาดสาย คำพูดคำจาของเขาฟังไม่รื่นหูเอาเสียเลย เสื้อเขาก็ไม่สะอาดสักนิด มีทั้งคราบเลือดและเจือกลิ่นเหงื่อจางๆ เขายังกล้าเอามาเช็ดน้ำตาให้เธออีก แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกอุ่นใจกับกิริยาท่าทางห่ามๆ ชนิดนี้ของเขาได้กันหนอ

“หยุดร้องไห้ได้หรือยัง เสื้อผมเปียกไปหมดแล้วนะ”

น้ำเสียงของเขาห้วนสั้น ตรงกันข้ามกับมือที่กดชายเสื้อยืดซับไปบนดวงหน้าหวานละมุนของเธออย่างนุ่มนวลโดยสิ้นเชิง

“ฉัน...ฉันกลัว...”

เสียงของราวินทราสั่น ภาพชายชาวยุโรปถูกระเบิดสมองต่อหน้าต่อตายังคงผุดวาบขึ้นมาในสมองอยู่เป็นระยะ

แอรอนละมือจากพวงแก้มเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเธอ แล้วเปลี่ยนเป็นรั้งศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมยุ่งเหยิงเข้ามาแนบอก ในตอนแรกหญิงสาวขืนตัวไว้จนแข็งทื่อ แต่ไออุ่นจากกายแกร่งและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอใต้แผงอกกว้างค่อยๆ ละลายกำแพงน้ำแข็งที่กางกั้นระหว่างเธอกับเขาทีละน้อย...เธอรู้ว่าเขาเองก็อาจไม่ต่างอะไรกับคนร้ายพวกนั้น ทว่า...เขาก็เป็นคนเดียวที่เธอพึ่งพาได้ในยามวิกฤตินี้ไม่ใช่หรือ...

“ผมรู้” ชายหนุ่มตบฝ่ามือบนศีรษะของเธอเบาๆ “เจอเรื่องขนาดนั้นแล้วไม่เป็นลมหมดสติก็ถือว่าเก่งมากแล้ว”

ว่ากันตามจริงแล้ว เธอยังตั้งสติได้มากกว่าตอนที่เขาเห็นพ่อนอนตัวแข็งทื่อไร้ลมหายใจอยู่บนเตียงเสียอีก

“คุณ...ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ คนตายต่อหน้าต่อตาทั้งคน...”

“ผมชินแล้ว”

คำตอบราบเรียบของเขาฟังแล้วเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ไม่กล้าถามถึงเหตุผล...ต้องใจหินขนาดไหนกันหนอถึงกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า ‘ชิน’ กับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้

“ถ้าคุณดีขึ้นแล้วก็ไปกันเถอะ ก่อนไปส่งคุณ ผมต้องแวะไปเปลี่ยนรถอีกคันก่อน พวกมันเห็นรถคันนี้แล้ว ผมไม่อยากเสี่ยง”

โดยไม่รอคำตอบจากหญิงสาว ชายหนุ่มก็ตวัดเธอขึ้นอุ้มกลับไปที่รถ เธอเองก็อ่อนแรงเกินกว่าจะทัดทานจึงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่ตีวนอยู่ในช่องท้อง...คล้ายมีผีเสื้อล่องหนกำลังกระพือปีกอยู่ด้านในอย่างบ้าคลั่ง

“คุณมีรถทั้งหมดกี่คันกันเนี่ย”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยนับพวกรถใช้แล้วทิ้งสักที” แอรอนยักไหล่ก่อนจะวางราวินทราไว้บนเบาะหลังที่เธอควรอยู่แต่แรก สองสามปีมานี้ เขาเปลี่ยนรถเป็นว่าเล่นจนจำไม่ได้แล้วเคยใช้รถยี่ห้อใดมาบ้าง

“แล้ว...ถูกกฎหมายหรือเปล่า”

“หมายถึง...ขโมยมาหรือเปล่าใช่ไหม” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วคิดว่าไงล่ะ”

“ฉัน...ไม่รู้จะคิดยังไงแล้ว”

ในสมองของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่อยากเชื่อเลยว่าภายในหนึ่งวันจะเกิดเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ เธอเคยคิดว่าอยากเป็นอิสระ ได้ผจญภัยในโลกกว้าง...แต่ไม่ใช่ถูกไล่ยิงจนต้องหนีตายแบบนี้!

“ก็ดีแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มเคาะข้อนิ้วชี้บนหน้าผากกลมมนเบาๆ “จบเรื่องวันนี้แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ ลืมทุกเรื่องให้หมด รวมถึงผมด้วย”

เขากลับไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้วสตาร์ตรถ

“คุณก็พูดง่าย” ราวินทราพยายามประสานมือที่ยังคงสั่นเทาเข้าด้วยกันเพื่อตั้งสติ

“ส่วนไหนที่ยากกันล่ะ ลืมเรื่องทั้งหมด หรือว่าลืมผม”

“เจอมาขนาดนี้ลืมลงก็แปลกแล้ว โดยเฉพาะตัวต้นเหตุอย่างคุณ”

ทั้งที่รู้ว่าคำพูดท้ายประโยคเป็นเพียงการกระเซ้าเล่น แต่กลับทำให้ใจเต้นรัวจนเจ็บแปลบไปทั้งอก หรือนี่จะเป็นอาการขั้นต้นของโรคสต็อกโฮล์มซินโดรม!

“ปากเก่งเหมือนเดิมแบบนี้ค่อยคุ้นหน่อย” แอรอนมองใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาเกาะเต็มสองแก้มผ่านกระจกมองหลัง “ถ้าจะให้ดี อย่าร้องไห้อีกตลอดชีวิตเลยนะ หน้าตาคุณเวลาร้องไห้ดูไม่ได้สักนิด”

สิ่งที่เขาพูดตรงข้ามกับใจ ความจริงแล้วเธอร้องไห้ได้น่าเอ็นดูมากเสียด้วยซ้ำไป น่าเอ็นดูเสียจน...ไม่อยากให้คนอื่นเห็นนอกจากตนเอง

บ้าน่า...นี่เราคิดอะไรอยู่วะ!

“ไม่อยากดูก็ไม่ต้องดูสิ” หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่เหลืออยู่ออกจากใบหน้า ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดยียวนไร้ความอ่อนโยนในบทสนทนาของเขาจะทำให้เธอคลายความหวาดกลัวลงไปกว่าครึ่ง

“ก็อย่าร้องให้เห็นสิ”

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเลี่ยงถนนสายหลักและเลือกที่จะเข้า-ออกตามตรอกซอกซอยแทนอย่างคล่องแคล่ว แม้จะเสี่ยงถูกดักซุ่มเล่นงาน แต่ยังดีกว่าต้องไปติดแหง็กท่ามกลางการจราจรอันเลวร้ายของไคโรแล้วกลายเป็นเป้านิ่งรอการโจมตีหลายเท่านัก

“คุณรู้เส้นทางในไคโรเยอะจัง”

หญิงสาวทึ่งไม่น้อยที่เขาขับวนซ้ายวนขวาอยู่ในตรอกอย่างชำนิชำนาญ ไม่ถึงสิบห้านาทีก็หลุดจากตรอกออกมายังถนนที่การจราจรจอแจน้อยกว่าได้อย่างง่ายดาย

“ผมเกิดและโตที่นี่ ไคโรเป็นถิ่นของผมอยู่แล้ว”

“คุณเกิดที่นี่เหรอคะ” เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างประหลาดใจ ก่อนจะนึกได้ว่าในเมื่ออะพาร์ตเมนต์ของตากับยายเขาอยู่ที่นี่ จึงไม่น่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดที่เขาจะถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้

“ทั้งเกิดและโตที่นี่เลยละ พอพ่อตายตอนผมอายุสิบสาม แม่ก็พาผมกลับไปอยู่บ้านยายที่ฝรั่งเศส ผมอยากเป็นนักอียิปต์วิทยาเหมือนพ่อ ก็เลยเลือกกลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยไคโร”

แอรอนชะงักเมื่อรู้ว่าตนพูดมากเกินความจำเป็นอีกแล้ว เขาแปลกใจตนเองไม่น้อยที่รู้สึกคุ้นเคยกับแม่สาวน้อยแปลกหน้าคนนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีสาเหตุ บางทีอาจเพราะความเป็นธรรมชาติไร้การปรุงแต่งของเธอทำให้เขาลืมตัวและลดความระมัดระวังตัวลงกระมัง

“งั้น...คุณก็เป็นนักอียิปต์วิทยา...”

มหาวิทยาลัยไคโรเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของอียิปต์เชียวนะ แถมยังมีชื่อเสียงเรื่องโบราณคดีและอียิปต์วิทยาอย่างที่สุด...มิน่าเล่าเขาถึงรู้เรื่องโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ดีถึงขนาดนั้น...

“ก็คงได้เป็นถ้าเรียนจบ แต่น่าเสียดายที่ผมมันไม่เอาไหน” ชายหนุ่มพูดโดยไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยจบประโยคแล้วเงียบไป

...แอรอน...‘อาฮารอน’ ของพ่อ...

จู่ๆ เสียงของอาร์เธอร์ก็ดังขึ้นในโสตประสาท สีหน้าอมทุกข์และดวงหน้าซูบตอบด้วยความตรอมใจของบิดาคือตะกอนความทรงจำที่ไม่เคยจางหาย ไม่ว่าจะพยายามสลัดมันออกไปอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนแม้คนที่เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดในครั้งนั้นถูกยิงทิ้งต่อหน้า ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกว่ามวลความทุกข์ที่ถ่วงถมอยู่ในอกมานานแรมปีบางเบาลงแม้แต่น้อย

“ฉัน...ฉันขอโทษ...”

ราวินทราโน้มตัวมาด้านหน้า ดวงตาของเธอฉายแววกังวลระคนรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม

“ขอโทษทำไม คุณไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเสียหน่อย” แอรอนคอยจับตามองสีหน้าของหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังอยู่ตลอด อย่างที่รู้นั่นละ หากเธอเป็นหนังสือก็คงเป็นประเภทหนังสือนิทานเด็กที่อ่านง่ายที่สุดในโลก แต่ไม่นึกว่าการมองอารมณ์ต่างๆ บนใบหน้าเล็กๆ น่ารักของเธอนั้นจะสนุกเหมือนกำลังดูการ์ตูนแอนิเมชันโลกสวยของวอลต์ดิสนีย์อีกด้วย “แต่ถ้ารู้สึกผิดจริงๆ ก็เลิกถามซอกแซกได้แล้ว”

“คุณเป็นคนชวนฉันคุยเองนะ มาว่าฉันได้ยังไง” หญิงสาวหน้าง้ำ ทิ้งตัวลงพิงเบาะแล้วเงียบไปครู่ใหญ่ ดวงตาเหม่อมองไปยังความมืดนอกรถด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ในอก “นี่คุณ กำไลวงนั้น...เป็นกำไลต้องสาปหรือเปล่าคะ”

“เพิ่งบอกให้เลิกถามซอกแซกไปหยกๆ เอาอีกแล้วเรอะคุณ นี่ผมกำลังคุยกับเด็กสามขวบอยู่หรือไงถึงพูดไม่รู้เรื่อง” แอรอนส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“ก็คุณบอกว่ามีคนตายเพราะกำไลวงนั้นเยอะแล้ว แล้ว...แล้ว...วันนี้ก็เพิ่งมีคน...ตายไปอีกคน...” ราวินทราย่นคอ หลับตาปี๋ แค่นึกถึงเศษสมองที่กระเด็นมาติดอยู่บนกระจกรถฝั่งคนขับ เธอก็แทบอาเจียนออกมาอีกรอบ

จริงสิ...มีคนตายด้วย เธอควรแจ้งตำรวจทันทีที่ไปถึงสถานทูต แต่ถ้าแจ้งแล้วแอรอนจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า...

“เพ้อเจ้อน่า คำสาปบ้าบออะไรมีจริงที่ไหน” ชายหนุ่มแค่นยิ้มหยัน

“ก็...ก็แบบคำสาปฟาโรห์ที่เอิร์ลแห่งคาร์นาร์วอนกับ ฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ พบจารึกในหลุมพระศพของตุตันคามุนไง ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ มรณะจักโบยบิน...”

“มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์ ใช่ไหมเล่า จะบอกอะไรให้นะ เผาหนังสือเฮงซวยเล่มนั้นทิ้งไปได้เลยหนูน้อย หลอกลวงกันชัดๆ ในหลุมหมายเลข KV 62 ของตุตันคามุนไม่มีคำสาปที่ว่านั่นจารึกไว้ตรงไหนเลย นักข่าวสมัยนั้นแค่เต้าข่าวขึ้นมาเพื่อขายข่าวเท่านั้นเอง คนก็บ้าเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ”

“แต่...แต่...ก็มีคนตายจริงๆ ไม่ใช่เหรอ ทั้งท่านเอิร์ลที่เป็นคนออกเงินให้ทีมขุดค้น ทั้งคาร์เตอร์ แล้วไหนจะคนอื่นๆ ที่เป็นสักขีพยานวันที่เปิดหลุมพระศพอีก”

“คนถึงเวลาตายก็ตายทั้งนั้นละน่า เอิร์ลแห่งคาร์นาร์วอนตายเพราะยุงกัดแล้วติดเชื้อต่างหาก ในวันที่เปิดหลุมฝังพระศพมีคนเป็นพยานตั้งยี่สิบหกคน แต่ม่องเท่งไปแค่หกคนในช่วงสิบปีหลังจากนั้นเพราะแก่มากแล้วเท่านั้นเอง ส่วนคาร์เตอร์นี่เรียกว่าหนังเหนียวที่สุด อยู่ต่อมาอีกตั้งนานกว่าจะแก่ตายตอนอายุหกสิบกว่าๆ ถ้าจะมีใครตายเพราะคำสาปสักคน ผมว่าดอกเตอร์ซาฮี ฮาวาสส์ น่าจะตายเป็นคนแรกเสียมากกว่า ขุดหลุมศพมัมมี่มาเป็นร้อย ไม่เห็นเป็นอะไรเลยสักนิด ทุกวันนี้ก็ยังไปพูดเจื้อยแจ้วตามงานสัมมนานานาชาติอยู่เลย”

คำอธิบายยาวเหยียดของเขาทำเอาหญิงสาวหน้ามุ่ย

“เฮ้อ หมดกัน รู้ตัวไหม นอกจากคุณจะทำลายความโรแมนติกเรื่องบัลลังก์ทองของฟาโรห์ตุตันคามุนแล้ว คุณยังทำให้คำสาปฟาโรห์ของฉันเสื่อมความขลังด้วย”

“ก็ดีแล้วไง จะได้ฉลาดขึ้นมาหน่อย รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วคำสาปที่จารึกไว้ตามสุสานฟาโรห์น่ะตลกเป็นบ้า ‘ใครก็ตามที่บังอาจบุกรุกเข้ามาในสุสานของข้า มันผู้นั้นจะไร้ทายาทสืบสกุล’ ถามจริงเถอะ คุณเคยเห็นหลักฐานว่าคนที่เข้าไปในสุสานฟาโรห์แล้วออกมาเป็นหมันด้วยเรอะ ไร้สาระสิ้นดี ผมคนหนึ่งละที่เข้าออกสุสานจนปรุ แต่ชีวิตเซ็กซ์ก็ยังปกติดีอยู่”

“พอเลย ฉันไม่อยากรู้ลึกขนาดนั้นเสียหน่อย”

ราวินทราทำหน้าเหย ไม่นึกว่าเขาจะหนังหนากล้าพูดอะไรแบบนี้ให้เธอฟังหน้าตาเฉย

“อ้าว ก็เห็นถามจริ๊ง ผมก็นึกว่าอยากรู้ทุกเรื่อง คุณนี่เอาใจยากนะ ไม่ตอบก็บ่น พอตอบก็ไม่อยากรู้เสียอย่างนั้น จะเอายังไงกันแน่” สีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของเธอเรียกรอยยิ้มขบขันขึ้นมาแตะแต้มบนเรียวปากหยักลึก “กำไลวงนี้เป็นของเก่า แต่ไม่ได้มีอาถรรพ์หรือคำสาปอะไรหรอก มันก็แค่...ดึงดูดคนโลภแบบพวกผมเข้ามาหามันเท่านั้นเอง”

“คนโลภ?” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ กำไลเล็กๆ วงเดียวมีค่าถึงขนาดต้องฆ่าแกงเพื่อแย่งชิงกันจริงๆ น่ะหรือ

“ใช่...คนโลภ” แอรอนระบายลมหายใจยาว หวังว่างานครั้งนี้จะคุ้มค่าสมกับที่เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมันจริงๆ ก็แล้วกัน “เอาละ เลิกถามเรื่องที่คุณไม่มีวันเข้าใจได้แล้ว ถ้าต่อจากนี้อยากมีชีวิตปกติสุขละก็ อย่ารู้อะไรเลยจะดีกว่า”

 

หลังจากเปลี่ยนรถเป็นครั้งที่สาม แอรอนก็พารถโฟร์วีลสีขาวกลางใหม่กลางเก่าแล่นมาจอดชิดริมทางเท้าหน้าธนาคารในย่านด็อกกีซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของนริสสาไปราวสองสามช่วงตึก ถนนสองข้างทางค่อนข้างมืดด้วยเป็นอาคารสำนักงานเสียเป็นส่วนใหญ่ หลังเวลาเลิกงานแล้วผู้คนมักตรงกลับบ้านหรือไปกระจุกรวมตัวกันตามย่านที่เป็นร้านค้าหรือร้านอาหารมากกว่า ทำให้ย่านนี้ค่อนข้างเงียบสงบหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว

“คงต้องเดินกันหน่อย ผมเสี่ยงให้ใครเห็นรถไม่ได้ คุณไหวใช่ไหม”

ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของตนเองออกแล้วก้าวลงจากรถ เดินอ้อมไปประคองราวินทราลงจากรถ ทันทีที่เท้าแตะพื้น หญิงสาวก็รีบดันตัวออกห่างจากเขา

“คุณ...ส่งแค่นี้ก็พอ ฉันเดินเองได้”

แผลที่ขาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินมากนัก แม้จะเจ็บแปลบๆ ยามขยับ แต่เธอก็พอเดินกะเผลกไหว เธอนึกดีใจไม่น้อยที่เขาเห็นว่าดึกแล้วจึงเปลี่ยนใจมาส่งเธอที่บ้านของนริสสาแทนที่จะเป็นสถานทูตอย่างที่บอกไว้แต่แรก เพราะสภาพของเธอยามนี้เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิสงครามโลกมาหมาดๆ หากคนอื่นเห็นเข้าอาจคาดเดาไปต่างๆ นานาในทางเสียหายได้ สู้ไปตั้งหลักกับนริสสาก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ปรึกษากันก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป

“ผมจะเดินไปส่ง” แอรอนปิดประตูรถ เขาทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูด

“ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะบอกเรื่องคุณกับกำไลนั่นให้ตำรวจฟังหรอก ตอนเปลี่ยนรถ ฉันรับปากคุณแล้วนี่ หรือว่าคุณไม่ไว้ใจฉัน คิดจะฆ่าฉันหมกถังขยะแถวนี้หรือไง”

พอเห็นสีหน้านิ่งขรึมของเขา ความหวาดระแวงที่คิดว่าหายไปแล้วก็เริ่มบินกลับเข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง

“แหม...ที่จริงก็คิดว่าจะหักคอคุณทิ้งไว้แถวนี้อยู่เหมือนกัน แต่วันนี้เหนื่อย ไม่มีอารมณ์จะฆ่าคนแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” แอรอนหัวเราะพลางถอดเสื้อแจ็กเกตคลุมบนบ่าบอบบางของหญิงสาว “ใส่ไว้ก่อน คืนนี้ลมแรง อากาศก็หนาว เดี๋ยวค่อยถอดคืนผมก็ได้”

“งกเหลือเกินนะคุณ” ราวินทราตวัดตาค้อน

“ไม่งกไม่ได้หรอก นี่เป็นเสื้อของพ่อผม ผมเหลือของดูต่างหน้าท่านอยู่แค่นี้”

แววตาของเขาอ่อนแสงลงเมื่อนึกถึงภาพบิดายามสวมเสื้อแจ็กเกตตัวเก่งออกไปขุดค้นตามโบราณสถานต่างๆ ในอียิปต์ เมื่อครั้งยังเด็ก เสื้อตัวนี้หลวมนัก หยิบมาสวมทีไร พ่อก็หัวเราะทุกที แต่เมื่อเขาสูงใหญ่จนสวมใส่มันได้พอดี พ่อก็ไม่ได้อยู่เห็นเสียแล้ว

“เอ๊ะ...ของสำคัญขนาดนี้...”

หญิงสาวทำท่าจะถอดเสื้อคืนให้ แต่เขากลับวางมือบนศีรษะเธอแล้วขยี้แรงๆ จนเส้นผมยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก

“นี่คุณ!”

“มัวเอ้อระเหยอยู่ได้ คิดว่ามาปิกนิกกันหรือไง มาได้แล้ว หลังจากนี้ผมต้องหนีเอาชีวิตรอดอีกนะคุณ อ๊ะๆ! หรือนี่เป็นแผนเรียกร้องอยากให้ผมอุ้ม ติดใจละสิท่า”

“ติดใจกับผีอะไรเล่า ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกด้วยซ้ำ!”

ราวินทราถอยกรูดเมื่อเห็นเขาทำท่าจะช้อนเธอขึ้นอุ้ม แล้วรีบกัดฟันข่มความเจ็บเดินกะเผลกนำหน้าไปก่อน แอรอนหัวเราะ แต่ยังไม่ทันจะสาวเท้าตามเธอไป โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเตือนว่ามีสายเข้าเสียก่อน ทันทีที่เห็นหมายเลขบนหน้าจอ เรียวปากหยักลึกก็แย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง รีบกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างอารมณ์ดี

“ฉันได้ของมาแล้วนะอเล็กซ์ คืนนี้เจอกันที่อะเล็กซานเดรีย ต้องฉลอง”

“ฉลองบ้าบออะไรกันเล่า แกดูข่าวหรือยังวะแอรอน ความซวยมาเยือนแกแล้วนะโว้ย”

“ซวย? แกพูดเรื่องอะไรของแกวะอเล็กซ์”

แอรอนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ น้ำเสียงเคร่งเครียดของอเล็กซ์ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาตงิดๆ คนอย่างไอ้หมอนี่ ถ้าไม่ ‘ซวย’ จริงๆ ไม่มีวันพูดเป็นอันขาด

“ฉันส่งลิงก์ข่าวไปให้แกแล้ว ข่าวเพิ่งออกเมื่อสิบนาทีก่อนนี้เอง”

“ลิงก์ข่าว?” ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดปุ่มเลื่อนดูลิงก์ข่าวที่เพื่อนซี้ส่งมาให้ หลังจากกวาดตามองพาดหัวข่าวและเนื้อหาท่อนแรกคร่าวๆ เขาก็กัดฟันกรอดแล้วกรอกเสียงกลับไปหาคนปลายสาย “นี่มันเรื่องระยำอะไรกัน โกหกทั้งเพ!”

น้ำเสียงเหมือนอยากฆ่าคนของแอรอนทำให้ราวินทราชะงักฝีเท้า แล้วเดินกะเผลกกลับไปหาเขา

“แอรอน เกิดอะไรขึ้นคะ”

แทนคำตอบ ชายหนุ่มหันหน้าจอโทรศัพท์กลับไปให้หญิงสาวดู ดวงตากลมโตเต้นระริกเมื่อเห็นภาพถ่ายครึ่งตัวของชายชาวยุโรปวัยกลางคนอยู่ใต้ตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดง

สุดสยอง ศาสตราจารย์มิเชล ดูวาล ถูกอดีตลูกศิษย์ยิงตายคาบ้าน คาดปมขัดแย้งเรื่องโบราณวัตถุ

ราวินทรานึกออกในตอนนั้นเองว่าเคยเห็นหน้าของชายเคราะห์ร้ายคนนี้จากช่องสารคดีต่างประเทศ เขาคือศาสตราจารย์ด้านอียิปต์วิทยาชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบหลุมศพและโบราณวัตถุสำคัญๆ ของอียิปต์หลายต่อหลายชิ้น!

“เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน ทำไมพบศพที่บ้านพักของเขาล่ะ เขาไม่ได้ถูกยิงที่นั่น...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขึ้งเคียดของแอรอนทันควัน “ในเนื้อข่าวบอกว่า แอรอน วินสตัน อดีตนักศึกษาที่...ถูกไล่ออก เพราะขโมยโบราณวัตถุจากไซต์ขุดค้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นคนบุกเข้าไปฆ่า แล้วแขวนคอเขาไว้กลางห้องรับแขก...ไม่จริง คุณไม่ได้ทำ”

“ผมถูกจัดฉาก” แอรอนขบกรามแน่น เขากดปิดหน้าเว็บไซต์แล้วแนบโทรศัพท์กับหูอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ทำ”

“เออ ฉันรู้ว่าแกไม่มีวันทำแน่ แต่คนอื่นอีกค่อนโลกที่ดูข่าวนี้ไม่รู้ ถ้าแกไม่มีพยานหลักฐานมายันก็จบเห่”

“ฉัน...” เขาหันกลับไปมองราวินทราแล้วเอ่ยเสียงเครียดเป็นภาษาฝรั่งเศส “ฉันคิดว่าฉันน่าจะมีพยาน”

“อย่าพูดว่า ‘คิดว่า’ สิวะ นี่เรื่องใหญ่นะโว้ย” อเล็กซ์ถอนใจหนักหน่วง “ฉันคงไม่ต้องถามใช่ไหมว่าไอ้สารเลวตัวไหนจัดฉากให้แกใหญ่โตยิ่งกว่าละครบรอดเวย์แบบนี้”

“แกก็รู้ว่าคงไม่พ้นหมาลอบกัดตัวเดิมนั่นละ”

ไอ้ฌอง-ลุค!

“จะยังไงก็แล้วแต่ รีบเผ่นออกมาจากไคโรเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะตั้งด่านตรวจ ไม่อย่างนั้นชีวิตแกบรรลัยแน่ แล้วไอ้เวรนั่นต้องหาทางบีบให้ตำรวจวิสามัญแกแล้วชิงกำไลร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวเจอกัน” แอรอนกดตัดสายแล้วคว้าข้อมือราวินทราเอาไว้แน่น “เราคงต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยแล้วเรเวน”

“เปลี่ยนแผน? เดี๋ยว...เดี๋ยวสิ คุณพูดเรื่องอะไร...ฉันไม่เข้าใจ...” หญิงสาวขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมให้เขาลากไปง่ายๆ

“ผมต้องเช็กอะไรบางอย่างก่อนเพื่อความปลอดภัยของเราทั้งคู่”

ชายหนุ่มช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มโดยไม่สนใจเสียงร้องทัดทาน เมื่อเขาเริ่มก้าวขากึ่งเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปทางตรอกด้านหลัง เธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นยึดบ่าของเขาไว้ต่างที่พึ่งอย่างไร้ทางเลือก...นี่เขาอุ้มเธอบ่อยเกินไปแล้วนะ!

“คุณพูดเรื่องอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก เกี่ยวกับข่าวเมื่อกี้หรือเปล่า”

สีหน้าถมึงทึงของเขาทำให้เธอเริ่มกลัวขึ้นมาจับใจ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ยอมอธิบายให้เธอเข้าใจสักแอะ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวมีเรื่องใหม่มาให้ปวดหัวอีกแล้วหรือ รอบตัวผู้ชายคนนี้มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นตลอดเวลาเลยหรือยังไงกันนะ!

“เดี๋ยวก็รู้”

แอรอนปล่อยหญิงสาวลงยืนเมื่อมาถึงตรอกเยื้องกับอาคารสิบชั้นอันเป็นที่พักของนริสสา เขาดันเธอให้หลบอยู่ในเงามืดพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

“หมายความว่ายังไงที่ว่าเดี๋ยวก็รู้ ก่อนหน้านี้ถูกลากไปเสี่ยงตายยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วครั้งนี้ฉันจะรู้อะไรได้ยังไง”

“ครั้งนี้ไม่เสี่ยงตายหรอก แต่ตายแน่ๆ ถ้าทะเล่อทะล่าออกไปไม่ดูตาม้าตาเรือ”

ชายหนุ่มใช้สองมือประคองศีรษะของคนตัวเล็กกว่าให้หันไปทางซ้ายมือ

“เห็นสองคนที่สูบบุหรี่อยู่หน้าตึกนั่นไหม นั่นเป็นคนของฌอง-ลุค”

“ฌอง-ลุค? ฌอง-ลุคคือใคร”

“เป็นอีกคนที่อยากได้กำไล” แอรอนกระซิบ “ไอ้เวรนั่นคือคนที่ส่งลูกน้องแฝงตัวไปฆ่าไอ้มิเชล ดูวาล แล้วก็น่าจะเป็นมันอีกนั่นละที่จัดฉากใส่ร้ายว่าผมเป็นคนทำ”

หัวใจของคนฟังแทบหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

“แล้ว...คนของเขามาทำอะไรที่นี่”

“คุณอ่านข่าวเมื่อกี้แล้วเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม”

เขาทำท่าบุ้ยใบ้ให้เธอดูว่าทางด้านขวามือก็มีสมัครพรรคพวกของคนที่ชื่อฌอง-ลุคยืนคุมเชิงอยู่ที่ปากทางอีกสามคน ทุกคนล้วนแต่แต่งกายด้วยชุดรัดกุมสีทึมๆ กลืนไปกับบรรยากาศมืดสลัวรอบกาย

“แล้วมันมีอะไรปกติด้วยเหรอคุณ เรื่องลวงโลกทั้งนั้น จริงอย่างเดียวก็เรื่องที่ผู้ชายคนนั้น...ตาย”

ราวินทราพยายามไม่นึกถึงภาพความตายอันน่าสยดสยองของนักอียิปต์วิทยาผู้เลื่องชื่อ

“ลูกน้องของฌอง-ลุคเห็นหน้าคุณแล้ว พวกมันรู้ว่าคุณอยู่กับผม แต่ในเนื้อข่าวกลับไม่เอ่ยถึงคุณสักนิด มองเผินๆ ก็อาจเป็นเพราะว่าคุณไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกมัน ก็เลยไม่สนใจ แล้วทำไมตอนนี้พวกมันถึงมาเฝ้าอยู่ที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ของเพื่อนคุณกันเล่า”

“ถ้ารู้แล้วฉันจะถามคุณทำไมล่ะ”

“เห็นๆ กันอยู่ว่ามันต้องการจัดฉากให้สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยการกำจัดพยาน”

“หา? พยาน?” ราวินทราหน้าซีดเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้จากการชักนำของเขา “หมายถึงฉันเหรอคะ คน...คนพวกนั้นมาเพื่อฆ่าฉันอย่างนั้นเหรอคะ”

“ทำนองนั้นละ พวกมันคงได้ข้อมูลเรื่องคุณมาจากไอ้มิเชลนั่นละ มันนึกว่าคุณเป็นผู้ซื้อของผม ถ้าเก็บคุณซะ ก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ผมจะไม่มีผู้ซื้อซึ่งก็เท่ากับไม่มีเงินทุน แล้วก็ไม่มีพยานยืนยันด้วยว่าผมไม่ได้ฆ่าไอ้ศาสตราจารย์นั่น มันต้องการกระตุ้นให้ตำรวจออกล่าตัวผมอีกแรงจะได้หาทางชิงกำไลไงเล่า”

“ผู้ซื้อ? ผู้ซื้อคืออะไรคะ แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันเป็นผู้ซื้อได้”

หญิงสาวทำหน้างุนงง รู้สึกเหมือนเซลล์สมองตายไปหมดแล้ว

“ดูเหมือนเราจะลงเรือลำเดียวกันแล้วละนะหนูน้อย” แอรอนถอนใจ “เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้คุณฟังทั้งหมดหลังจากเราออกจากไคโรก็แล้วกัน ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

“หา?”

“คุณคงต้องไปอะเล็กซานเดรียกับผมแล้วละ เรเวน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น