8

ตอนที่ 8


ราวินทราลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกคล้ายเปลือกตากลายเป็นแผ่นหินแข็งๆ และหนักอึ้งเกินกว่าจะขยับได้ จึงจำต้องหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนแรง เธอคลำมือสะเปะสะปะไปรอบตัวขณะพยายามบังคับให้สมองอันว่างเปล่าประมวลผล แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงหมอกสีเทาหนาทึบที่บดบังทุกห้วงความคิดให้จมอยู่ในความมืดอันเวิ้งว้างและวังเวงเสียจนเธอต้องฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพแรกที่ปรากฏต่อสายตาอันพร่าเลือนนั้นคือเงาของวัตถุขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาที่ลอยอยู่กลางอากาศ

นั่น...อะไร...

หญิงสาวกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อขับไล่ความง่วงงุนและปรับโฟกัสภาพให้ชัดขึ้น จึงเห็นว่าสิ่งที่คิดว่าลอยอยู่กลางอากาศนั้น แท้ที่จริงแล้วคือโคมระย้าคริสตัลช่อโตที่ห้อยอยู่กลางห้องต่างหาก

เดี๋ยวนะ...โคมระย้าอย่างนั้นหรือ ในห้องนอนของเธอไม่มีโคมระย้านี่นา...

คิดถึงตรงนี้ ราวินทราก็ลืมตาโพลง ภาพความทรงจำอันน่าสะพรึงเริ่มไหลบ่ากลับเข้ามาในสมองเร็วเสียยิ่งกว่ากระแสธารในฤดูน้ำหลาก...

ชายฉกรรจ์หน้าตาถมึงทึง เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เสียงปืน กลิ่นคาวเลือด และ...เศษชิ้นส่วนของสมอง!

ไม่!

ร่างบางลุกพรวดขึ้นนั่ง เนื้อตัวของเธอสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ จริงอยู่ว่าเธอเห็นหน้าของศาสตราจารย์ผู้โชคร้ายไม่ชัด เนื่องจากต้องเหยียบคันเร่งหนีออกมาจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด แต่เงาร่างที่ล้มตึงกระแทกพื้นที่เห็นในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นกลับยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำไม่รู้เลือน เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก แถมยังสยดสยองอย่างที่สุดเสียด้วย

‘ไม่ต้องกลัวนะ เรเวน คุณต้องปลอดภัยแน่...’

น้ำเสียงปลอบประโลมดังแว่วขึ้นมาในโสตประสาทก่อนที่ภาพใบหน้าคมคายของเจ้าของเสียงจะแจ่มชัดขึ้นในห้วงความคิดคำนึง น่าแปลก...ที่อาการสั่นเทาของร่างกายลดลงเมื่อผิวเนื้อจดจำได้ว่าไออุ่นยามเขาโอบรัดเธอไว้นั้นแนบแน่นเพียงใด แต่ความซาบซึ้งยังไม่ทันกำซาบเข้าไปในใจ ภาพตอนที่เขายื่นแก้วกระดาษบรรจุเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ก็ลอยขึ้นมาทับภาพอื่นในความทรงจำไปจนสิ้น

โกโก้ร้อน...ร้านออนเดอะรัน...

ความเจ็บปวดที่แล่นปลาบจากขาบังคับให้เธอต้องลืมตาขึ้นมอง และพบว่ามีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่อย่างเรียบร้อยและประณีตกว่าที่จำได้ เหมือนเพิ่งเปลี่ยนใหม่หมาดๆ

เดี๋ยวนะ...

หัวใจของหญิงสาวหล่นวูบลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสังเกตเห็นว่าผ้าพันแผลไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถูกเปลี่ยนใหม่ แต่ชุดเดิมของเธอก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดผู้ชายตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นที่ใหญ่เกินขนาดตัวไปหลายไซซ์จนต้องใช้หนังยางรัดผมมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

คะ...ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ!

มือเล็กเรียวลูบไปตามเนื้อตัวอย่างตื่นตระหนก แล้วมองไปรอบๆ อย่างหวาดผวา แสงสลัวจากโคมไฟบนโต๊ะข้างหัวเตียงส่องให้เห็นว่าเธออยู่ภายในห้องนอนที่ค่อนข้างกว้างขวางและตกแต่งด้วยเครื่องเรือนน้อยชิ้นทว่าดูเรียบหรูและมีรสนิยมดีเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอไม่มีเวลาชื่นชมโทนสีขาวสะอาดตาของห้อง เตียงหนานุ่มหรือแม้แต่ผ้าปูที่นอนทอจากผ้าฝ้ายอียิปต์ชั้นเลิศทั้งสิ้น เธอสนใจแต่รอยแดงช้ำบนข้อมือซึ่งช่วยกระตุ้นให้สมองปะติดปะต่อภาพความทรงจำต่างๆ เข้าด้วยกันได้เร็วขึ้น เมื่อเมฆหมอกที่บดบังห้วงคำนึงค่อยๆ จางลง ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาพร้อมความโกรธเคืองนั้นทำเอาเธอแทบร้องกรี๊ดดังลั่น

แอรอน วินสตัน!

ชื่อของผู้ชายวายร้ายที่ดึงเธอให้มาตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายจนแทบเอาตัวไม่รอด!

ราวินทราฉลาดพอที่จะไม่ส่งเสียงดังโวยวาย เธอสลัดความง่วงงุนที่ยังหลงเหลืออยู่แล้วพยายามตั้งสติมองสำรวจไปรอบห้องอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างยังคงมืดสนิทจึงพอเดาได้ว่าเข็มของนาฬิกาติดผนังเรือนทองที่ชี้ไปยังเลขสามนั้นน่าจะเป็นเวลาตีสาม

คำถามคือ...เธออยู่ที่ไหน จะใช่อะเล็กซานเดรียตามที่แอรอนบอก หรือเป็นแค่เรื่องโกหกพกลมอีกเรื่องของเขากันแน่ และ...เธออยู่ในห้องนี้มานานแค่ไหนแล้ว...

เมื่อสติค่อยๆ กลับคืนสู่ร่าง ประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ ก็เริ่มทำงาน หญิงสาวมองไปยังบานประตูที่เปิดแง้มอยู่ มีแสงไฟจากด้านนอกลอดเข้ามาพร้อมเสียงพูดคุยพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เธอข่มความเจ็บจากบาดแผลแล้วรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่ เดินโซซัดโซเซลงจากเตียง เธอดึงบานประตูให้เปิดออกอย่างเบามือที่สุดแล้วแทรกตัวออกไปนอกห้องอย่างเงียบเชียบ

ราวินทราพบว่าตนเองยืนอยู่กลางโถงทางเดินขนาดกว้างราวเมตรครึ่ง ผนังทั้งสองด้านติดวอลล์เปเปอร์สีเหลืองมัสตาร์ดและมีโคมไฟติดผนังดัดเป็นลวดลายเครือเถาคอยให้ความสว่างอยู่เป็นระยะ ที่สุดทางเดินมีประตูบานหนึ่งเปิดค้างไว้อยู่ทำให้ได้ยินเสียงสนทนาดังชัดเจนขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ว่าจะเงี่ยหูฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจด้วยเป็นภาษาฝรั่งเศสรัวเร็ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีตาคนต้นเรื่องแห่งความโชคร้ายต้องอยู่ในนั้นด้วยแน่!

โทรศัพท์...ต้องหาโทรศัพท์ก่อน...ถึงจำเบอร์โทรศัพท์ของนริสสาในอียิปต์ไม่ได้ แต่เธอจำเบอร์โทรศัพท์ของพี่ชายที่เมืองไทยได้อย่างแม่นยำ อย่างน้อยก็ยังพอติดต่อขอความช่วยเหลือเบื้องต้นได้บ้างละน่า...

หญิงสาวยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่พบโทรศัพท์แต่อย่างใด แม้แต่บนโต๊ะติดผนังสไตล์บาโรกก็มีเพียงกระดาษโน้ตและของจัดวางประดับไว้สองสามชิ้นเท่านั้นเอง เธอตัดสินใจเดินกะเผลกไปยังทิศตรงข้ามกับห้องที่เสียงพูดคุยดังลอดออกมา แสงสลัวทำให้โถงทางเดินนี้ดูยาวกว่าความเป็นจริงเกือบสองเท่า ประกอบกับฤทธิ์ยาที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายทำให้ทุกอย่างรอบกายพลอยดูใหญ่โตกว่าที่ควรเป็นไปด้วย

เสียงแก้วกระทบกันและเสียงกุกกักจากห้องที่อยู่สุดทางเดินบังคับให้ราวินทราต้องรีบเปิดประตูบานที่อยู่ใกล้มือที่สุด แล้วผลุบเข้าไปด้านในซึ่งมืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด เธอจำต้องยืนนิ่งอยู่ราวนาทีเศษเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดรอบกาย สิ่งแรกที่ลอยมาเตะจมูกคือกลิ่นอับแปลกๆ ชวนขนลุกคล้ายซากสัตว์หรือพืชตากแห้งเคล้ากลิ่นสีและกลิ่นน้ำมันลินสีด หญิงสาวกะพริบตาสองสามครั้งจนเห็นเงาตะคุ่มๆ ของเครื่องเรือนน้อยชิ้นที่ตั้งอยู่ในห้องชัดเจนขึ้น หัวใจของเธอเต้นรัวเร็วด้วยความยินดีเมื่อเห็นโต๊ะทำงานตัวเขื่องที่ตั้งอยู่มุมห้องและมีเส้นสายระโยงระยางห้อยลงมาคล้ายสายโทรศัพท์ เธอจึงรีบลากขาเดินกะเผลกไปยังโต๊ะตัวนั้นอย่างมีความหวัง พลางป่ายมือสะเปะสะปะไปด้านหน้าเพื่อหาหลักยึดไม่ให้สะดุดล้ม ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกับบางสิ่งที่ทั้งแห้งและแข็งคล้ายกิ่งไม้บนโต๊ะ

เดี๋ยว...มันคืออะไร...

ขนอ่อนบนหลังคอของหญิงสาวลุกเกรียวทันทีที่วางฝ่ามือลงไป สิ่งที่คิดว่าเป็นกิ่งไม้ด้านล่างกลับมีผิวสัมผัสแปลกประหลาด และแขนงเล็กๆ ของมันประสานเข้ากับนิ้วมือทั้งห้าของเธออย่างพอดิบพอดีคล้ายมีคนกำลังจับมือเธอตอบกลับมา! ไวเท่าความคิด เธอรีบกดสวิตช์ของสิ่งที่น่าจะเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะ วินาทีที่แสงไฟสว่างขึ้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าวัตถุที่มือสัมผัสอยู่นั้นไม่ใช่กิ่งไม้ดังที่เข้าใจ แต่เป็นท่อนแขนสีน้ำตาลแห้งกรังที่พันไว้ด้วยผ้าลินินขาดวิ่นสีขมุกขมัว ข้างๆ กันมีผงสีน้ำตาลแดงที่ดูเหมือนจะป่นมาจากแขนท่อนนั้นกองอยู่บนจานผสมสี

“กรี๊ด!”

โครม!

เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างระหงล้มหงายหลังกระแทกพื้นเต็มรัก แม้จะเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ราวินทราก็ยังกระเสือกกระสนคลานหนีจนศีรษะไปชนเข้ากับหนังสือกองโตที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าถล่มลงมาฝังเธอไว้ข้างใต้

“เรเวน!”

ไฟในห้องสว่างพรึ่บ หญิงสาวได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นเป็นอันดับแรก แต่จุกเกินกว่าจะขยับตัวได้ แถมยังเจ็บจนเห็นดาวจึงได้แต่ปล่อยให้คนที่นั่งชันเข่าอยู่ด้านข้างคุ้ยตัวเธอออกมาจากกองหนังสืออย่างทุลักทุเล

“คุณไม่ควรเข้ามาในห้องทำงานของคนอื่นโดยพลการนะหนูน้อย ที่นี่มีของ ‘อันตราย’ สำหรับเด็กอยู่เยอะเชียวละ”

นั่น...ไม่ใช่เสียงของแอรอน...

น้ำเสียงนุ่มนวลทว่าติดจะเย็นชานิดๆ เรียกให้หญิงสาวต้องหยีตามองย้อนแสงไฟเพื่อมองหน้าเจ้าของเสียง ก่อนที่หัวใจของเธอจะเต้นผิดจังหวะไปเพราะเสี้ยวหน้าที่ปรากฏต่อสายตา

สวย...

เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เธอรู้ว่าไม่ควรใช้คำนี้กับผู้ชาย แต่สำหรับคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคงไม่มีคำอื่นใดเหมาะมากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่มีผิวขาวจัดเหมือนไม่เคยต้องแดด มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีเชื้อผสมทางเอเชียค่อนข้างชัดเจน ดวงตาของเขามีสีดำขลับและเป็นประกายสดใสเช่นเดียวกับเส้นผมตรงยาวระดับกลางหลัง ปีกคิ้วเข้มของเขารับกับจมูกโด่งคมและริมฝีปากบางเฉียบทว่าสีสดราวผลเชอร์รีเป็นอย่างดี ทุกองค์ประกอบบนใบหน้านั้นเหมาะเจาะและงดงามราวถูกรังสรรค์จากปลายพู่กันของจิตรกรชั้นเอกอย่างเหลือเชื่อ

“มองตาค้างแบบนี้ทุกรายสิน่า หน้าแกนี่เหมาะกับการล่อลวงผู้หญิงจริงๆ พับผ่า อองเซล”

แอรอนเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างหงุดหงิดก่อนจะช้อนร่างบอบบางจนลอยหวือขึ้นจากพื้น หญิงสาวอุทานเสียงแผ่ว สองแขนวาดขึ้นโอบรอบบ่ากว้างของชายหนุ่มโดยอัตโนมัติ ถ้อยคำภาษาอังกฤษกึ่งเหน็บแนมของคนปากร้ายทำเอาเธอหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย บ้าจริง...นี่เธอเผลอมองคนแปลกหน้าจนลืมความตกใจก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท!

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะ เรเวน ผมชื่อ อองเซล หลง เป็นเพื่อนกับไอ้เวรนี่”

อองเซลลุกขึ้นยืน เขาสูงไม่แพ้แอรอนเลยสักนิด ราวินทราคงชื่นชมเขาอย่างเต็มใจกว่านี้หากในมือของเขาไม่ได้ถือซากมือแห้งๆ ที่ทำให้เธอร้องกรี๊ดเสียงหลงเอาไว้ด้วย!

“ส่วน ‘นี่’ เป็นของสำคัญสำหรับงานผม รู้ไหม กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น คราวหน้าอย่าเอามาเล่นอีกเชียว ไม่อย่างนั้นไอ้แอรอนต้องจ่ายค่าชดใช้แทนคุณอานแน่”

ไม่พูดเปล่าเขายังแสดงให้เห็นว่าทะนุถนอมสิ่งที่อยู่ในมือเพียงใดด้วยการวางมันกลับลงไปบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล

“ให้มันน้อยๆ หน่อย ไอ้เพื่อนเวร แกมีอยู่ทั้งตัว จะงกอะไรนักหนาวะ!”

แอรอนทำท่าพยักพเยิดไปทางผนังห้องที่อยู่ด้านขวามือ ราวินทรามองตามไปแล้วกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าตรงนั้นมีโลงไม้ผุๆ ตั้งอยู่โลงหนึ่ง ด้านในมีซากมัมมี่แห้งๆ ที่เหลือแขนพาดอยู่บนอกเพียงข้างเดียวยืนอยู่ ปากของซากศพนั้นอ้ากว้างคล้ายกำลังคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ทีนี้เธอก็รู้แล้วว่าแขนอีกข้างของมัมมี่อยู่ที่ไหน!

“ของดีมีน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ฉันจ่ายแพงนะโว้ยกว่าจะได้มาทั้งตัวแบบนี้”

อองเซลยักไหล่แล้วกระตุกยิ้มชืดชา ในขณะที่ราวินทราซุกหน้าแนบกับแผงอกของแอรอนอย่างหวาดผวา เนื้อตัวของเธอสั่นเทาจนเขารู้สึกได้

“เป็นไง อยากรู้อยากเห็นมากก็ลงเอยแบบนี้นี่ละ จุ้นจ้านดีนัก”

แม้ปากจะพูดออกไปเช่นนั้น ทว่าวงแขนแกร่งกลับโอบกระชับรอบลูกกวางตัวน้อยที่กำลังสั่นสะท้านไว้แนบแน่นอย่างปลอบประโลม อองเซลมองภาพตรงหน้าแล้วผิวปากหวือ ...เพิ่งเคยเห็นแอรอนนุ่มนวลกับผู้หญิงเป็นครั้งแรกแฮะ...

“ฉัน...ฉันไม่ได้จุ้นจ้านนะ ฉันแค่...อยากโทรศัพท์ไปหาพี่ชาย ใครจะไปคิดว่าพวกคุณจะเก็บอะไรแบบนี้ไว้เป็นของแต่งบ้านกันเล่า...” หญิงสาวเถียงเสียงเบา ไม่กล้ามองไปยังซากที่ยังอ้าปากประกาศศักดาอยู่ที่ผนังห้องตรงๆ

“ไม่ใช่ของแต่งบ้านหรอก ก็แค่ส่วนผสมสีวาดรูปน่ะ”

อองเซลหัวเราะก่อนจะเดินนำหน้าออกไปจากห้อง โดยมีแอรอนอุ้มราวินทราตามออกไปติดๆ

“ส่วน...ส่วนผสมสีวาดรูป?”

นี่เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม

“เขาเรียกสีน้ำตาลมัมมี่หรือมัมมี่ บราวน์ เป็นเฉดสีน้ำตาลแดงอมม่วงที่นิยมใช้กันช่วงศตวรรษที่สิบหกที่ศตวรรษที่สิบแปด พวกศิลปินก็เพี้ยนๆ กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบหาสีสันใหม่ๆ มาใช้วาดภาพกัน อย่างในกรณีนี้ก็บดมัมมี่มาทำผงสีเสียเลย แล้วก็น่าตลกที่มีแต่มัมมี่เท่านั้นที่ให้สีเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ได้ โชคดีที่สมัยนี้สังเคราะห์สีนี้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีมัมมี่เหลืออยู่ในอียิปต์แน่” แอรอนอธิบายด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นอย่างจงใจแขวะคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าว่าเป็นพวก ‘ศิลปินเพี้ยนๆ’

“แหม เลกเชอร์ประวัติศาสตร์ศิลปะตอนตีสามเชียวเหรอวะ แอรอน”

อองเซลพูดพลางผลักประตูเข้าไปในห้องที่อยู่สุดทางเดินที่พวกตนนั่งสนทนากันอยู่ตั้งแต่แรก ราวินทราเพิ่งเห็นเดี๋ยวนั้นเองว่าเป็นห้องครัวกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูและมีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเคาน์เตอร์ประกอบอาหารทำจากแผ่นลามิเนตลายหินอ่อน เตาไฟฟ้าและเตาอบรุ่นล่าสุด ในขณะที่คิ้วบัวปูนปั้นทาสีทองบนเพดานและผนังเป็นลวดลายเครือเถาแบบคลาสสิกซึ่งไม่น่าจะเข้ากันได้กับเครื่องครัวสมัยใหม่ ทว่ากลับทำให้ห้องครัวสีฟ้าอ่อนห้องนี้ดูลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

“แล้ว...แล้วทำไมพวกคุณถึงได้เอามัมมี่มาทำสี ในเมื่อ...คุณบอกว่าสมัยนี้สังเคราะห์สีได้แล้วล่ะคะ”

ผงสีน้ำตาลที่เธอเห็นแวบๆ บนโต๊ะนั่น...จะต้องเป็นเศษซากที่ถูกนำมาบดเพื่อเตรียมผสมสีเป็นแน่

“ปีมันไม่ได้น่ะ” อองเซลพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทรงกลมมีพนักพิงตัวที่ใกล้ที่สุด เบื้องหน้าเขาเป็นโต๊ะกินข้าวทำจากไม้เมเปิลสีขาวคุณภาพเยี่ยมขัดจนเนียนเรียบแทบมองไม่เห็นตาไม้เลยสักนิด บนโต๊ะนั้นมีแก้วไวน์วางอยู่สองใบและมีจานใส่ชีสฝานเป็นชิ้นพอดีคำวางคู่อยู่ด้วย

“ปีไม่ได้?” ราวินทราทวนคำเสียงแผ่วอย่างไม่เข้าใจ

“จะเลียนแบบภาพวาดของศิลปินยุคไหน ก็ต้องใช้วัสดุในยุคนั้นมันถึงจะสมจริงแล้วก็ไม่มีใครจับได้ไงเล่า” แอรอนวางหญิงสาวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอองเซล ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มคั้นออกมาเทใส่แก้วจนเต็ม “สมมุติจะเลียนแบบศิลปินในยุคศตวรรษที่สิบเก้า ก็ต้องใช้ผ้าใบที่มีภาพวาดของศิลปินโนเนมในยุคนั้นมาวาดทับลงไป ต้องศึกษาเรื่องสีสันรูปแบบต่างๆ ที่ศิลปินที่เป็นเป้าหมายใช้ให้แนบเนียนที่สุดด้วย”

“หมายถึง...ปลอมแปลงศิลปะ? นี่คุณเป็นนักปลอมแปลงศิลปะ?” ราวินทราหันไปมองชายหนุ่มหน้าสวยด้วยแววตาตื่นตกใจ “นี่...นี่หมายความว่าพวกคุณเป็นโจรกันทั้งก๊กเลยใช่ไหมเนี่ย”

แถมยังเป็นก๊วนโจรที่เพี้ยนที่สุดอีกด้วย คนหนึ่งก็วิ่งไล่ล่าหากำไล ส่วนอีกคน...หาซากศพมาบดทำสี!

เธอเคยได้ยินเรื่องการปลอมแปลงศิลปะมาบ้าง โจรในคราบจิตรกรบางคนมีฝีมือเป็นเลิศ สามารถปลอมแปลงได้แนบเนียนชนิดผู้เชี่ยวชาญยังดูไม่ออกว่าภาพใดเป็นของจริง ภาพใดเป็นของปลอม ขนาดตรวจอายุด้วยคาร์บอน-๑๔ แล้วยังไม่สามารถระบุอายุที่แท้จริงของภาพวาดได้ เพราะความเจ้าเล่ห์แสนกลของโจรตัวร้ายที่ใช้วัสดุจากยุคเดียวกันมาเป็นตัวหลอก นักสะสมมือทองบางคนกว่าจะรู้ว่าซื้อภาพปลอมมาก็สูญเงินไปนับล้านดอลลาร์แล้ว

 “ก็...แล้วแต่จะเรียก”

อองเซลยิ้ม เขายกแก้วไวน์ที่เหลืออยู่ขึ้นจิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจต่อคำเรียกขานของหญิงสาวเลยสักนิด

“ยังจะปากดีอีก” แอรอนยื่นแก้วน้ำส้มให้ราวินทรา เธอเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่งแล้วเบือนหน้าหนี ไม่ยอมรับแก้วเครื่องดื่มจากเขา “แก้วนี้ดื่มได้ ไม่ได้ใส่อะไรไว้หรอกน่า”

ชายหนุ่มยักคิ้วล้อเลียน ก่อนจะดื่มน้ำส้มไปหนึ่งอึกแล้วส่งแก้วให้หญิงสาว เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างคับแค้นใจ ภาพความทรงจำตอนที่ถูกเขาวางยาในโกโก้ร้อนลอยกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง ต่อจากนี้เธอจะไม่มีวันรับของกินหรือเครื่องดื่มจากมือของอีตาคนนี้เป็นอันขาด!

“ไม่กินก็ตามใจ”

เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังนั่งเชิดหน้านิ่งอย่างแสนงอน เขาจึงกระดกน้ำส้มรวดเดียวจนหมดแล้วกระแทกแก้วลงบนโต๊ะดังโครมทำเอาราวินทราสะดุ้งโหยง

“เสียงดังเอะอะอะไรกันวะ หนวกหูฉิบ”

เสียงเนือยๆ ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องครัว ก่อนที่ร่างสูงในชุดเสื้อคลุมลายเสือดาวจะเดินลากเท้าเปลือยเปล่าเข้ามาด้านใน ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มที่มีรูปโฉมโดดเด่นสะดุดตาไม่แพ้ชายหนุ่มทั้งสองคนที่อยู่ในห้อง แม้เรือนผมสีทองของเขาจะยุ่งเหยิงและใบหน้ายังยับย่นเพราะถูกปลุกให้ตื่นก่อนเวลา แต่กลับไม่ได้ทอนความหล่อเหลาที่มีให้ลดลงไปเลยสักนิด

“อ้าว...ตื่นแล้วเหรอเรเวน มิน่าล่ะ เสียงดังอึกทึกเชียว”

“ฉันไม่ได้ชื่อเรเวน ฉันชื่อราวินทรา” หญิงสาวพูดอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนคนพวกนี้จะเรียกเธอด้วยชื่อที่แอรอนตั้งให้กันทุกคน แถมยังเรียกอย่างสนิทสนมอีกด้วย!

“เรียกยาก เรียกเรเวนน่ะดีแล้ว”

แอรอนพูดแทรกหน้าตาเฉย ราวินทราหันไปตวัดตาค้อน เขาก็ไม่สนใจ ทำเพียงยักไหล่ด้วยท่าทางรวนๆ กลับมาเสียอย่างนั้น

“ผมชื่ออเล็กซ์” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ยามริมฝีปากหยักสวยได้รูปแย้ม ดวงตาสีเขียวราวมรกตน้ำงามของเขาก็พลอยยิ้มตามไปด้วย “ส่วนนั่น... คุณชื่ออะไรนะ...”

เขาทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางประตู ซึ่งราวินทราก็เพิ่งเห็นว่ามีหญิงสาวรูปร่างอวบอัดในชุดรัดรูปอวดหน้าอกหน้าใจทะลักทะเล้นยืนกอดเสื้อโคตอยู่

“ฉันชื่อซินเธียย่ะ บอกตั้งหลายทีแล้ว”

สาวผมบลอนด์พูดกลั้วหัวเราะแกมต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก ดวงตาของเธอยามมองชายหนุ่มผมทองนั้นเป็นประกายวิบวับยั่วเย้า แฝงความนัยชนิดที่ทำให้ราวินทราหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ...ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันตอนกลางดึกในสภาพที่เสื้อผ้าไม่ค่อยเรียบร้อยแบบนี้ จะให้คิดเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรกันเล่า

“ดูท่าพวกคุณคงมีธุระต้องคุยกันยาว ฉันกลับก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยสนุกกันใหม่นะรูปหล่อ” ซินเธียส่งจูบให้อเล็กซ์แล้วโบกมือลาคนอื่นๆ ก่อนจะก้าวฉับๆ เดินจากไปอย่างอารมณ์ดีเป็นที่สุด

“อา...ใช่ นั่นคือซินเธีย เป็นคนเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณตอนที่มาถึง” อเล็กซ์หันไปขยิบตาให้แอรอนด้วยรู้ดีว่าคนอย่างไอ้หมอนี่ไม่มีทางอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจได้แบบปกติมนุษย์แน่ว่าตนเองไม่ได้ล่วงเกินเธอแม้แต่น้อย “ขอโทษด้วยที่ไม่มีเสื้อผ้าผู้หญิงให้คุณเปลี่ยน ทุกอย่างมันฉุกละหุกมาก แต่เดี๋ยวสายๆ ผมจะให้คนไปจัดการให้ก็แล้วกัน”

สามหนุ่ม สามบุคลิก...ช่างแตกต่างกันเสียจนเธอมองไม่ออกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร คนหนึ่งดิบเถื่อนเหมือนม้าอาหรับจอมพยศ โผงผาง พูดจาแต่ละคำฟังแทบไม่ได้ คนหนึ่งก็นุ่มนวล เยือกเย็นเหมือนภาพวาดพู่กันจีน แต่ความคิดความอ่านดูท่าจะวิปริตผิดมนุษย์ ส่วนอีกคนก็เป็นเพลย์บอย ช่างพูดช่างคุย ทว่าไม่รู้จริงใจเพียงไหน

“ฉัน...คงไม่รบกวนพวกคุณถึงขนาดนั้น...” ราวินทรามองผู้ชายทั้งสามคนด้วยสายตาหวาดระแวง แต่อย่างน้อยก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่แอรอนไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ๆ “แค่...แค่พาฉันกลับไปส่งก็พอ...ได้โปรด...”

“บอกแล้วไงว่าไปส่งแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ผมอธิบายเหตุผลให้ฟังไปหมดแล้วนี่ มีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือไง” แอรอนเอ่ยเสียงเรียบ เลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ข้างหญิงสาวพลางนั่งลงกอดอก เขาลอบสบตากับเพื่อนอีกสองคนแล้วระบายลมหายใจยาวคล้ายรำคาญเธอเต็มแก่

“คุณพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ไม่ถามความเห็นฉันสักคำ!” ราวินทราพูดขึ้นเสียงอย่างเหลืออด

“ก็ถ้ามัวแต่ถามความเห็นคุณ ป่านนี้เราทั้งคู่คงได้เป็นซากมัมมี่เฝ้าไคโรไปนานแล้ว” ชายหนุ่มสวนทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นอีกระดับ เขาอุตส่าห์ลงทุนปกป้องเธอขนาดนี้เพื่อไถ่โทษแล้ว ยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีกอย่างนั้นหรือ

“ฉันว่าแกติดค้าง ‘คำอธิบาย’ เธออยู่นะ”

อองเซลหยิบชีสเข้าปากเคี้ยวแกล้มไวน์อย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เจ้าของชื่อนั่งตีหน้าขึงถลึงตาใส่คนพูด เหมือนอยากกระโจนข้ามโต๊ะไปหักคอแทบทุกวินาที

“รู้แล้วน่า ก็บอกแล้วไงว่าจะอธิบายพรุ่งนี้ ใครจะไปคิดว่าฟื้นขึ้นมาก็ก่อเรื่องเลยแบบนี้กันเล่า” แอรอนกระชากเสียงอย่างเสียไม่ได้

“เรื่องนี้แกผิดเต็มประตูนะโว้ย แอรอน หัดมีความรับผิดชอบหน่อย” อเล็กซ์เดินตรงมาขยี้ศีรษะเพื่อนซี้ด้วยความมันเขี้ยว ทำให้เรือนผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วยิ่งกระเซอะกระเซิงมากขึ้นไปอีก “จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะ แต่ตอนนี้แกลากเธอมาลงเรือเฮงซวยลำเดียวกับแกแล้ว ฉันคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะรู้นะว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร”

และ...อันตรายแค่ไหน...

“ถ้าไม่รับผิดชอบจะทนวุ่นวายอยู่แบบนี้หรือไงวะ” แอรอนปัดมือของอเล็กซ์ทิ้ง

“พวกคุณอย่าทำเหมือนฉันเป็นมนุษย์ล่องหนได้ไหม ฉันก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยนะ” ราวินทราลอบกลอกตามองเพดานอย่างระอาใจ เริ่มเห็นความคล้ายคลึงของทั้งสามหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว ตรงที่...ไม่มีมารยาทเหมือนกันเปี๊ยบ!

“รู้ว่านั่งอยู่ ไม่ได้ตาบอด” แอรอนหยิบซองบุหรี่ยับๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วจุดสูบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “หิวหรือเปล่า เมื่อหัวค่ำกินไปนิดเดียวเอง”

“ไม่หิว!”

ราวินทราทำหน้าคว่ำเป็นภควัมในขณะที่อีกสองหนุ่มที่เหลือหันไปสบตากันอย่างประหลาดใจ ใช่ว่าแอรอนจะเป็นคนไม่สังคมโลก เขาเพียงแต่อยู่ในโลกของตนเองเป็นส่วนใหญ่ และแทบไม่เคยใส่ใจไยดีใครนับตั้งแต่บิดากับมารดาเสียชีวิตไป สิ่งเดียวที่อองเซลและอเล็กซ์เคยเห็นไอ้ตัวดีประคบประหงมเอาใจใส่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ก็คือ...อูฐ ดังนั้นการที่เจ้าตัวทำท่าเหมือนเป็นห่วงแม่สาวน้อยคนนี้จนออกนอกหน้าจึงค่อนข้าง...เป็นเรื่องน่าพิศวงระดับหิมะตกกลางทะเลทรายเลยเชียว

“เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา” อเล็กซ์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อองเซล เขาทำเหมือนไม่สนใจสาวน้อยที่นั่งหน้าซีดอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่าใดนัก ทว่าดวงตาคอยลอบสำรวจเธออยู่ตลอดเวลา “ผมคงไม่ต้องย้ำใช่ไหมว่าตอนนี้คุณกำลังเจอกับเรื่องอันตรายมากอยู่”

“มีคนย้ำให้ฉันฟังมาทั้งวันแล้ว อีกอย่างฉันเจอกับตัวเองมาเกินพอแล้วด้วย” หญิงสาวตวัดตามองค้อนไปยังคนตัวโตที่นั่งสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยอย่างขุ่นเคือง แล้วเม้มริมฝีปากแน่น “แต่ที่ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ก็คือ ตัวเองถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมทุกคนต้องฆ่าแกงกันเพื่อกำไลเล็กๆ วงเดียวด้วย”

นั่นเป็นคำถามที่ไม่ว่าเธอพยายามขบคิดอย่างไรก็มองไม่เห็นคำตอบ

“คุณรู้จักอาร์สิโนเอไหม” อองเซลหนีบก้านแก้วไวน์ไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง ก่อนจะหมุนแก้วเบาๆ จนน้ำด้านในหมุนวนกระทบกับแสงจากโคมไฟเป็นสีทับทิมชวนมอง

“ไม่รู้จักค่ะ” ราวินทราส่ายหน้า ฟังคุ้นๆ อยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด

“หึ ก็แน่ละ จะไปรู้อาไร้” แอรอนแค่นเสียงเยาะหยันอยู่ในลำคอ

“อาร์สิโนเอเป็นน้องสาวของคลีโอพัตรา” อองเซลเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง “คุณน่าจะรู้จักคลีโอพัตรา ราชินีผู้โด่งดังในแถบอะเล็กซานเดรียนี้มาบ้างใช่ไหม อย่างน้อยก็คงต้องเคยรู้จักหนังเก่าที่ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เล่นมาบ้างละน่า”

“ฉันรู้จักพระนางคลีโอพัตราค่ะ”

ต่อให้ไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องที่ว่า คนค่อนโลกก็ต้องรู้จักตำนานรักระหว่างราชินีอียิปต์เชื้อสายมาซิโดเนียกับ จูเลียส ซีซาร์ และ มาร์ก แอนโทนี สองผู้ทรงอำนาจแห่งอาณาจักรโรมันอยู่แล้ว แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าพระนางคือหนึ่งในสตรีผู้มีโฉมงามที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น

“หลายคนอาจไม่คุ้นชื่ออาร์สิโนเอนัก เพราะถ้าเทียบกับพระนางคลีโอพัตราผู้ครองหน้าประวัติศาสตร์แล้ว อาร์สิโนเอก็เป็นเหมือนเชิงอรรถเล็กๆ ในหนังสือ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมายเท่าไหร่”

“แต่สำหรับนักโบราณคดีบางกลุ่มแล้ว เรื่องของอาร์สิโนเอเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ชนิดอาจพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของอียิปต์ได้เลย และหนึ่งในคนพวกนั้นก็คือพ่อของผม” ดวงตาของแอรอนเข้มขึ้นยามจำเป็นต้องเอ่ยถึงบิดาของตน “ลองคิดดูนะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของพี่สาวผู้ยิ่งใหญ่ของตนมาตลอดชีวิต เป็นเจ้าหญิงที่แทบไม่มีความสลักสำคัญใดๆ ในราชบัลลังก์ จู่ๆ วันหนึ่งก็บ้าเลือดลุกขึ้นมาก่อกบฏ ตั้งกองทัพ ขับไล่พี่สาวตัวเองจนกระเด็นตกบัลลังก์ได้ยังไง แน่ละว่าอาจมีแรงสนับสนุนจากกานิมีดีสผู้เป็นอาจารย์และได้พันธมิตรจากแม่ทัพโรมันที่ชื่ออาคิลาส แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นายทหารระดับนั้นจะยอมลงมาเล่นในศึกด้วยถ้าไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกัน”

“โอเค...ก็เป็นเลกเชอร์ประวัติศาสตร์โลกตอนตีสามที่น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่ฉันไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันถูกลากมาเกี่ยวข้องตรงไหน” ราวินทรามองหน้าชายหนุ่มทั้งสามคนสลับกันไปมาอย่างอึดอัดใจ

“แหม ใจร้อนเสียจริงเชียว อดทนนิดน่า ถ้าจะรู้ก็ควรรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดสิครับคุณหนู เวลาถูกไล่ยิงขึ้นมาอีกจะได้รู้แน่ชัดไงว่าทำไม”

อเล็กซ์หัวเราะ นึกทึ่งไม่น้อยที่แม่สาวน้อยคนนี้แข็งแกร่งกว่ารูปลักษณ์บอบบางเหมือนตุ๊กตาแก้วของตน เขาดูออกว่าเธอยังคงหวาดกลัวและเสียขวัญอยู่มากจากการผจญภัยสมบุกสมบันและเสี่ยงชีวิตมาทั้งวัน แต่ก็ยังกล้าหาญพอที่จะค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ เป็นผู้หญิงอื่นเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าบ้างคงช็อกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวลงจากเตียงแม้แต่ก้าวเดียว

“สรุปเหตุการณ์ง่ายๆ แบบให้เด็กปัญญาอ่อนยังเข้าใจได้ก็คือ อาร์สิโนเอกบฏไม่สำเร็จเพราะดันทะเลาะกับอาคิลาสก็เลยสั่งประหารทิ้ง ให้อาจารย์ตัวเองขึ้นมาคุมแทน กองทัพของอาคิลาสไม่เล่นด้วย เจรจาส่งตัวนางให้ทาง จูเลียส ซีซาร์ ซึ่งคุ้มกะลาหัวคลีโอพัตราอยู่ ตามหลักแล้ว อาร์สิโนเอต้องถูกฆ่ารัดคอตายในงานฉลองชัยชนะของซีซาร์ แต่อย่างที่รู้ๆ กันนั่นละว่านางเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ปโตเลมี แถมยังได้ครองอียิปต์ช่วงสั้นๆ ถือเป็นราชินีอนาถาองค์หนึ่ง การฆ่าทิ้งก็ดูจะเป็นการกระตุ้นข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างอียิปต์กับโรมมากเกินไป ก็เลยเนรเทศให้ไปอยู่ที่วิหารของเทพีอาร์เทมิสที่เอเฟซูส ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตุรกีแทน” แอรอนแสยะยิ้มใส่ ‘เด็กปัญญาอ่อน’ ที่ทำได้แค่ตวัดตาค้อนและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาอย่างเดียว “แต่ก็รอดมาได้ไม่กี่ปีหรอก สุดท้ายแล้วว่ากันว่าอาร์สิโนเอก็ถูกฆ่าตายตรงบันไดวิหารตอนอายุราวยี่สิบปีด้วยฝีมือการบงการของคลีโอพัตรานั่นเอง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันการมีตัวตนของนางมีน้อยมาก เว้นก็แต่...กำไลสการับซึ่งมีชื่อของนางสลักอยู่”

ชายหนุ่มหยิบกำไลออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางบนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ ด้วงสการับแกะจากหินน้ำตาสวรรค์สีเหลืองอ่อนที่กระทบแสงไฟดูเปล่งประกายคล้ายมีชีวิตจนน่าขนลุก

“กำไลวงนี้...” ราวินทราอ้าปากค้าง “คุณจะบอกว่ากำไลวงนี้เป็น...โบราณวัตถุอายุเป็นพันปีอย่างนั้นเหรอ เป็น...กำไลของอาร์สิโนเอ...อย่าล้อเล่นน่า...”

“ก็ทำนองนั้น” แอรอนยักไหล่ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกทางจมูกเหมือนสิ่งที่เพิ่งพูดไปเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไม่มีสิ่งใดต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

“แล้วคุณก็เอาของสำคัญขนาดนี้มายัดใส่ถุงชอปปิงของฉันเนี่ยนะ สติยังดีอยู่หรือเปล่า!”

คนที่สติไม่สมประกอบยิ่งกว่าเขาก็เธอนี่ละ ที่ตาถั่วดันนึกว่าวัตถุโบราณล้ำค่าเป็นแค่ของเลียนแบบราคาถูก!

“แล้วใครใช้ให้ใส่อวดคนค่อนเมืองแบบนั้นกันเล่า เป็นเรื่องจนได้” แม้จะรู้ว่าตนเองผิด แต่อัตตาในตัวของแอรอนสูงเกินกว่าจะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“ฉันไม่ใช่นักโบราณคดีที่ไม่มีใบอนุญาตอย่างคุณนี่ จะได้ดูออกว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม!” ราวินทราแยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิด เธอพยายามข่มความโกรธและไม่ต่อปากต่อคำกับคนช่างแขวะอีก ด้วยกลัวว่าจะต้องทนฟังเลกเชอร์ประวัติศาสตร์ของอียิปต์เหนือจดอียิปต์ใต้ของเขาต่อจนถึงเช้า “ฉันก็พอเข้าใจอยู่นะคะว่ากำไลวงนี้เป็นของที่มีค่ามาก แต่มันก็ไม่ได้ดูมีราคามากไปกว่าสมบัติชิ้นอื่นๆ ของฟาโรห์ตุตันคามุนที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เลย ทำไมใครต่อใครถึงได้อยากได้มันนัก”

“เพราะคุณค่าของมันมากกว่าเป็นแค่โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์นับร้อยเท่าน่ะสิ หนูน้อย” อองเซลเปิดปากหาวหวอด แต่ยังคงกระดกไวน์จิบต่อไปเรื่อยๆ ราวกำลังอยู่ในห้วงสุนทรีย์ “เมื่อยี่สิบปีก่อน พ่อของแอรอนพบบันทึกบนกระดาษปาปีรุสกล่าวถึงเรื่องความลับของอาร์สิโนเอ แต่กลับกลายเป็นเรื่องโจ๊กในแวดวงของนักอียิปต์วิทยา เพราะทุกคนรวมหัวกันสรุปว่าเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง”

“ความลับของอาร์สิโนเอเหรอคะ”

ดวงตาคู่งามหลุบมองกำไลบนโต๊ะโดยอัตโนมัติ หัวใจเต้นรัวในจังหวะแปลกๆ ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กจิ๋วเพียงนี้จะมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่

“ใครจะหัวเราะเยาะยังไงพ่อก็ไม่สนหรอก พ่อสนแต่จะพิสูจน์ความจริงให้โลกรู้เท่านั้น” แอรอนยิ้มขื่น เขาขยี้ก้นกรองลงในจานรองคริสตัลที่อเล็กซ์ส่งให้ ก่อนจะจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบอย่างต่อเนื่อง “พ่อใช้เวลาค้นคว้าอยู่นานจนได้หลักฐานที่ทำให้แน่ใจได้ว่าบันทึกบนม้วนกระดาษปาปีรุสเป็นของกานิมีดีส อาจารย์ผู้สมรู้ร่วมคิดก่อกบฏของอาร์สิโนเอ และบอกที่ซ่อนของ ‘สิ่ง’ ที่นางใช้รวบรวมกองทัพและจูงใจแม่ทัพโรมันให้ร่วมขบวนการด้วย”

ภาพดวงตาเปล่งประกายอย่างมีชีวิตชีวาของอาร์เธอร์ในมาดของนักอียิปต์วิทยาหนุ่มไฟแรงยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของแอรอนเสมอ ในห้วงความคิดของเขา...พ่อยังคงเป็นคนเดิมที่เขารักและเคารพเสมอมา ไม่ใช่ชายขี้เหล้าที่นอนสิ้นลมหายใจอยู่บนเตียงเพราะถูกพรากความฝันไปต่อหน้าต่อตาในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต

“คุณหมายถึง...ทรัพย์สมบัติเหรอคะ”

“ไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติหรอกเรเวน” ประกายหม่นเศร้าที่ฉายอยู่ในแววตาของแอรอนจางหายไปอย่างช้าๆ “แต่เป็นอภิมหาขุมทรัพย์ต่างหาก กำไลวงนี้คือจิกซอว์ชิ้นสำคัญที่จะนำเราไปสู่ขุมทรัพย์นั่นได้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น