7

ตอนที่ 7


ตอน 7

ถังจื่อเจิงตามลิ่นเส้าเยวียนเข้าไปในตำหนักหลังหนึ่ง

พอก้าวเข้ามาด้านในก็รู้สึกได้ถึงไอน้ำร้อนที่อบอวลไปทั่วบริเวณ เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ริมสระ ก่อนจะวักน้ำนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตกใจว่า “ฝ่าบาท น้ำร้อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนมองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม “จื่อเจิง น้ำในสระเฉิงเฟิงเป็นน้ำอุ่น หนึ่งปีสี่ฤดูจะอุ่นตลอดเวลา เจ้ารีบถอดเสื้อผ้าออกเร็ว พวกเราจะได้แช่น้ำด้วยกัน”

ลิ่นเส้าเยวียนโบกมือไล่นางกำนัล ตอนที่กำลังจะถอดฉลองพระองค์ออก ก็เห็นถังจื่อเจิงถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วและรอจะเข้าไปในสระน้ำอยู่แล้ว

ตอนที่เห็นร่างเปลือยเปล่า ติดจะผอมบางไปนิด ทว่าก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้รูปที่มองเห็นอย่างชัดเจน หลังจากมองอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด จู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น ลิ่นเส้าเยวียนลูบอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป” ถังจื่อเจิงสังเกตเห็นอาการผิดปกติของอีกฝ่ายก็เดินกลับมาหยุดอยู่ข้างๆ

“ไม่มีอะไร” ลิ่นเส้าเยวียนบอกให้จื่อเจิงลงสระก่อนด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากนั้นก็หันกลับมาถอดฉลองพระองค์ออกช้าๆ พอรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลงถึงได้ก้าวลงสระตาม

“ฝ่าบาท สบายมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” ท่ามกลางไอน้ำที่เกาะกลุ่มบางๆ ถังจื่อเจิงหรี่ตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย

ลิ่นเส้าเยวียนมองข้างแก้มแดงระเรื่อบนใบหน้าขาวนวลนั้น ขนตางอนยาวที่สั่นพลิ้วเบาๆ ดูเหมือนจะชุ่มฉ่ำไปด้วยละอองน้ำ ทำให้ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจของเขาทั้งเต้นเร็วทั้งสั่นระรัว

เขาเป็นอะไรไปกันแน่

“ฝ่าบาทกังวลว่าท่านพ่อของกระหม่อมจะโกรธขึ้งใช่หรือไม่” ถังจื่อเจิงมองสบสายตา

ลิ่นเส้าเยวียนเบนสายตาหนีอย่างกระอักกระอ่วนพลางเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง

“เอ่อ…เจิ้นกลัวว่าพระปิตุลาจะขัดเคืองใจที่เจิ้นชิงชัยมาด้วยกลโกง ไม่รู้ว่าพระปิตุลาจะคิดเช่นไรกับเจิ้น” วิธีการเช่นนั้นก็ต่ำช้าสามานย์เกินไปนิดจริงๆ แต่ว่าเขาอยากให้จื่อเจิงอยู่ด้วยกันที่นี่

“วางใจเถอะ ท่านพ่อของกระหม่อมแม้จะโกรธ แต่ก็โกรธไม่นาน อีกอย่าง...ทังเสี่ยนก็ทำสัญญาณมือบอกกระหม่อมแล้ว กระหม่อมรู้ว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธเคืองเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยิ้มหรอกพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนว่ารอยยิ้มของท่านพ่อแฝงความหมายเอาไว้มากมาย แต่ว่าทังเสี่ยนเข้าใจท่านพ่อเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารายนั้นบอกว่าไม่เป็นไรก็หมายความว่าท่านพ่อขุ่นเคืองที่ตนเองถูกปั่นหัว ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเพราะกับดักที่ว่านั่น

“สัญญาณมืออะไร” เวลานั้นเขามองไม่เห็นเพราะแผ่นหลังของอีกฝ่ายบังสายตาเอาไว้

ถังจื่อเจิงยื่นสองนิ้วออกมาหาแล้วกวักลง “เพราะบางครั้งพวกเราทำผิดและต้องถูกลงโทษ คนที่ไม่ถูกลงโทษก็จะคอยสืบข่าวคราวให้ หากเห็นว่าท่านพ่อยิ้มก็จะทำสัญญาณมือให้คนที่ถูกลงโทษเบาใจลง ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษนาน นี่เป็นสัญญาณลับระหว่างเราพี่น้อง”

“ฟังแบบนี้ เจิ้นก็กลายเป็นคนนอกสินะ” ขลุกอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ แต่เพิ่งจะมาบอกเรื่องสัญญาณมือกับเขาเอาไว้ในเวลานี้อย่างนั้นหรือ

พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าขุ่นเคืองใจ ถังจื่อเจิงก็เขยิบเข้าไปใกล้แล้วยิ้มประจบ “ฝ่าบาท นี่เป็นสัญญาณมือที่จะใช้กันก็ต่อเมื่อพวกเราพี่น้องทำให้ท่านพ่อโมโห ฝ่าบาทหาได้ทรงทำให้ท่านพ่อโมโหเสียหน่อย”

“สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าวันนี้เจิ้นทำให้พระปิตุลาโมโหหรือไม่ พระปิตุลาอาจไม่เอาเรื่องเอาราวกับพวกเจ้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่คิดแค้นเจิ้น” พอคิดถึงสีหน้าเดือดดาลของพระปิตุลา จนถึงกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด

“ฝ่าบาทวางใจเถิด หากท่านพ่อของกระหม่อมไม่เห็นฝ่าบาทเป็นคนในครอบครัว เขาไม่มีทางคัดง้างกับฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนหันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มสดใสออกมา ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวโครมคราม

“อีกอย่าง...ช่วงที่ผ่านมานี้ท่านพ่อของกระหม่อมก็ให้ความสำคัญกับฝ่าบาทยิ่งนัก ท่านพ่อมักจะบอกว่าพระวรกายของฝ่าบาทผอมบาง ดูนุ่มนิ่มอ่อนแอ ต้องฝึกกำลังมากๆ” เพราะเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดเลยต้องตามมาฝึกพละกำลังเป็นเพื่อนอีกฝ่าย

“เจิ้นผอม?” ลิ่นเส้าเยวียนอดจ้องมองถังจื่อเจิงไม่ได้ “เจ้ามากกว่าที่ผอมบาง”

ช่วงนี้เขาฝึกฝนวรยุทธ์กับพระปิตุลาเป็นประจำ รู้สึกได้ว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาก ผอมแห้งแรงน้อยเสียที่ไหนกันเล่า

“กระหม่อมผอมตรงไหนกัน” ถังจื่อเจิงเชิดหน้าแล้วยืดอกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะตบหน้าอกตัวเอง “อย่างกระหม่อมเรียกว่ารูปร่างกำลังดี ใช่ว่ากระหม่อมจะอวดตัว กระหม่อมทำไร่ทำนากับท่านแม่มาหลายปีแล้ว มีเด็กในวัยเดียวกันคนใดบ้างที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งเช่นกระหม่อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงนี้ที่กระหม่อมขยันฝึกฝนพละกำลังอย่างหนักหน่วง”

ราวกับถูกภูตผีปีศาจสิงสู่ก็มิปาน ลิ่นเส้าเยวียนยื่นมือออกไป ทำท่าราวกับต้องการจะลูบไล้แผงอกของอีกฝ่าย...

“ฝ่าบาท ควรขึ้นจากสระแล้ว หากแช่สระน้ำร้อนนานไปจะทรงวิงเวียนได้พ่ะย่ะค่ะ” ฝูจื้อที่อ

ยู่ด้านนอกเอ่ยทักขึ้น

พริบตานั้น ลิ่นเส้าเยวียนก็ชักมือกลับ ก่อนจะรู้สึกฉงนกับอาการสติหลุดลอยของตนเองเมื่อครู่ หลังจากตอบรับไปคำ เขาก็ดึงถังจื่อเจิงให้ลุกขึ้น

“ฝ่าบาท ไว้วันหลังเรามาแช่กันอีกนะ”

“ได้ ขอเพียงเจ้าอยากมาก็มาได้ทุกเมื่อ”

ทั้งคู่ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างรวดเร็ว เดิมทีคิดว่าจะกลับไปที่ตำหนักก่วงฝูพร้อมกัน ทว่าระหว่างทางมีขันทีเข้ามารายงานว่ามีขุนนางต้องการเข้าเฝ้า ลิ่นเส้าเยวียนจึงจำต้องให้ขันทีผู้นั้นนำทางถังจื่อเจิงกลับตำหนักก่วงฝูไปก่อน จากนั้นตนเองก็ตรงไปยังตำหนักอวี้เสียนเพียงลำพัง

เสียเวลาอยู่ที่ตำหนักอวี้เสียนครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสร็จราชกิจแล้วจึงกลับไปยังตำหนักก่วงฝู เพลานี้ก็ได้เวลาจุดโคมยามค่ำแล้ว พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นถังจื่อเจิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาและหันมายิ้มกว้างให้เขา

“ฝ่าบาท กระหม่อมเกิดน้ำลายสอขึ้นมา เพราะเหตุนี้ก็เลยบอกนางกำนัลว่าต้องการทานขนมเปี๊ยะหัวผักกาด ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนยิ้มไปถึงดวงตา “ได้อยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ เจ้าเป็นน้องชายของเจิ้น อยากได้อะไรก็บอกกับนางกำนัลได้ แต่ว่าเดี๋ยวต้องเสวยกระยาหารแล้ว เจ้ายังกินไหวหรือ”

“ไหวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังโต หากไม่กินให้เยอะๆ ต่อไปถ้าไม่สูงพอจะทำเช่นไรเล่า”

ลิ่นเส้าเยวียนยิ้มจนดวงตาหรี่เรียว ก่อนสั่งให้นางกำนัลเตรียมโต๊ะเสวย

หลังจากอิ่มหนำสำราญก็จับมือถังจื่อเจิงไปเดินชมดอกเหมยในอุทยานหลวงด้วยกัน จากนั้นค่อยกลับตำหนักก่วงฝู เขาอ่านฎีกา ส่วนถังจื่อเจิงก็อ่านหนังสืออยู่ข้างๆ

เมื่อราตรีกาลมาเยือน ทั้งคู่นอนอยู่บนเตียงบรรทมขนาดใหญ่ด้วยกัน เขามองใบหน้าที่หลับพริ้มของถังจื่อเจิง รู้สึกเต็มตื้นในใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้หมด

อันที่จริง สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้มากมายอะไร แค่มีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างก็พอ

 

ฮ่องเต้พระองค์น้อยและสหายคู่พระทัยอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา

นอกจากช่วงออกว่าราชการตอนเช้ากับเวลาที่ขุนนางขอเข้าเฝ้าแล้ว ทั้งคู่ก็แทบจะกลายเป็นเงาตามตัวของกันและกัน จนกระทั่งเข้าสู่เดือนสิบในปีถัดมา ลิ่นเส้าเยวียนก็เตรียมตัวเข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

“ฝ่าบาท ซ่านเอ้อหลีนำขบวนบุตรีสกุลซุนมาถึงที่พำนักนอกเมืองหลวงแล้ว พรุ่งนี้ก็คงถึงเมืองหลวง นางจะอยู่ที่จวนน้องสาวของมารดาของนางชั่วคราวก่อน ก็เท่ากับว่านางเป็นคนจากจวนของรองเจ้ากรมยุติธรรม” ลิ่นจ้งซวินเดินทางมารายงานเรื่องการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของบุตรีสกุลซุน ณ ห้องทรงพระอักษร “พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกำหนดเอาไว้ในอีกสองวัน กระหม่อมคิดว่าหากส่งองครักษ์วังหลวงกองหนึ่งไปดูแลจวนรองเจ้ากรมยุติธรรมก็เหมาะสมอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

“พระปิตุลาคิดว่าจะมีคนลงมือกับบุตรีสกุลซุนอย่างนั้นหรือ” ลิ่นเส้าเยวียนครุ่นคิดอยู่เป็นครู่

“หาใช่ ‘คิดว่า’ ไม่ แต่ลงมือไปแล้วต่างหาก แต่กระหม่อมสั่งให้คนป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา” พอเห็นสีหน้าที่ชะงักไปของลิ่นเส้าเยวียน ลิ่นจ้งซวินก็หัวเราะหึออกมา จากนั้นก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “ตลอดหนึ่งปีมานี้ สกุลซุนแห่งเมืองซูอิ่งประสบกับเหตุยุ่งยากได้ไม่ขาด ประเดี๋ยวก็เกิดเหตุ

กับคุณชายสี่สกุลซุน ประเดี๋ยวบ่าวในจวนก็หลอกล่อบุตรีสกุลซุนไปพบกับบุรุษ ประเดี๋ยวก็เกือบมัวหมองเพียงเพราะเข้าวัดวาอารามไปสักการะสิ่งสิทธิ์…สารพัดเรื่องราวเกิดขึ้นได้ไม่ขาด ดีที่กระหม่อมส่งคนไปพบกับผู้บัญชาการซุนไว้ก่อน และให้คนจับตาดูลูกน้องสกุลซุนเอาไว้ เพราะเหตุนี้จึงพอจะกลบเรื่องสกปรกเหล่านั้นไปได้บ้าง”

ลิ่นจ้งซวินเอ่ยออกมาง่ายๆ ทว่าลิ่นเส้าเยวียนเกือบจะอ้าปากค้าง เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีคนวางแผนร้อยแปดพันเก้าเพื่อป้ายมลทินให้แก่บุตรีสกุลซุนและยับยั้งเรื่องการเดินทางเข้าวังหลวงของนาง

“หึ! นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น รอให้ทรงรับสนมเข้าวังเสียก่อน พระองค์จะได้รู้ว่าละครสนุกๆ นั้นจะตามมาทีหลัง” ลิ่นจ้งซวินแนะนำขึ้นอย่างผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน “แต่อันที่จริงเรื่องนี้ก็หาได้จัดการยากไม่ หากพระองค์จะทรงเมตตา แบ่งโชคลาภวาสนาอย่างถ้วนหน้า ก็จะทรงใช้ชีวิตท่ามกลางความสมัครสมานสามัคคีของเหล่าขุนนาง แต่หากพระองค์ทรงเลือกที่จะโปรดผู้ใดผู้หนึ่ง วังหลังก็มีอันต้องลุกเป็นไฟ หรือจะทรงปล่อยให้วังหลังท้าทายราชสำนักก็ยังได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ขึ้นอยู่กับฝ่าบาททั้งสิ้น” เขาไม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้ เพราะเขารับผิดชอบเพียงแค่ช่วยพระองค์บริหารราชกิจบางส่วนเท่านั้น ราชสำนักนี้เป็นของฮ่องเต้พระองค์น้อย อยากจะทรงทำเช่นไรก็ได้ทั้งสิ้น

ลิ่นเส้าเยวียนไม่เอ่ยคำใดออกมา แม้พระปิตุลาจะไม่เอ่ยออกมาว่าใครเป็นผู้ยุยงก่อเรื่องอยู่เบื้องหลัง ทว่าเรื่องนี้ยังจะต้องเดาอีกอย่างนั้นหรือ

ราชสำนักนี้มีสิ่งใดเย้ายวนหัวใจนักหนอ ไฉนถึงทำให้ใจของคนผันแปรได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ สมคบคิดกันแบ่งพรรคแบ่งพวก ใช้การอภิเษกสมรสของเขาเป็นหมาก ถึงขั้นสับปลับหน้าไหว้หลังหลอก หวังจะกำจัดสตรีที่เขาหมายจะแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแห่งวังหลวง ยังเห็นฮ่องเต้อย่างเขาอยู่ในสายตาอีกหรือไม่ หรือว่าเห็นเขาเป็นตัวอะไรไปแล้ว

พอเห็นลิ่นเส้าเยวียนสีหน้าทะมึนลง ลิ่นจ้งซวินปั้นหน้านิ่งและไม่ได้คิดจะปลอบใจอีกฝ่าย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเส้นทางที่ฮ่องเต้ทุกพระองค์จะต้องก้าวผ่าน อีกฝ่ายต้องเรียนรู้และคุ้นเคยให้ได้ไม่ช้าก็เร็ว

“ฝ่าบาท การจะสยบปวงชนได้นั้น นอกจากความสามารถส่วนพระองค์แล้ว สิ่งที่ต้องมีก็คือพลานุภาพ สิ่งที่เรียกว่าพลานุภาพแห่งจักรพรรดินั้นต้องผ่านการสะสมยาวนานหลายปี หาใช่จะครอบครองได้โดยง่ายไม่ พระองค์ต้องทรงก้าวเดินไปตามขั้นตอนด้วยความอดทน หากร้อนพระทัยก็มีแต่จะทำให้ตนเองต้องเหนื่อยหนักยิ่งขึ้น” ในฐานะพระปิตุลา ลิ่นจ้งซวินคิดว่าตนเองเอ่ยออกมาอย่างตรงจุดมากพอแล้ว

“พระปิตุลา เจิ้นเข้าใจ” เขาแค่ขุ่นเคืองว่าเหตุใดอำนาจถึงได้ทำให้ผู้คนคิดฉ้อราษฎร์บังหลวงได้เร็วถึงเพียงนี้

“ในเมื่อฝ่าบาททรงเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็ขอทูลลา” เพราะพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของฝ่าบาททำให้เขามีงานจุกจิกล้นมือไปหมด เขาต้องรีบสะสางธุระจะได้กลับบ้านเร็วๆ เสียที

ทว่าจังหวะที่ผุดลุกขึ้น ลิ่นจ้งซวินก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลังเลอยู่ครู่

“อ้อ ฝ่าบาท พระองค์…” ลิ่นจ้งซวินอ้าปาก สัญชาตญาณบอกว่าเรื่องนี้ต้องพูดออกไป แต่เนื่องจากเป็นปัญหาที่ยากจะจัดการ ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไรดี

“พระปิตุลาพูดออกมาเถิด” พอเห็นพระปิตุลาทำท่าจะเอ่ยแต่ก็หยุดไปอย่างที่นานๆ ครั้งจะ

เห็น ลิ่นเส้าเยวียนก็คาดว่าลิ่นจ้งซวินอาจเอ่ยถึงความผิดอุกฉกรรจ์ละเมิดศีลธรรมจรรยา ใครจะคิดว่า...

“ฝ่าบาท ทรงเคยประกอบกามกิจหรือไม่”

“…เอ๋?”

ลิ่นจ้งซวินจุ๊ปาก ก่อนจะเอ่ยว่า “ความหมายของข้าพระองค์ก็คือฝ่าบาททรงเคยร่วมหลับนอนกับอิสตรีหรือไม่”

ลิ่นเส้าเยวียนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างกระอักกระอ่วน

ก็ว่าแล้วเชียว! ลิ่นจ้งซวินกุมศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่เคยคิดอยากจะสอนเรื่องพรรค์นี้เลยสักนิด แต่ฝ่าบาทก็มีเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ซ้ำยังเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ต้องทำหน้าที่ขุนนางสนองเบื้องพระยุคลบาทเสียด้วย!

ใคร่ครวญอยู่ครู่ ความคิดก็ผุดแว่บขึ้นมา ลิ่นจ้งซวินดีดนิ้วเปาะ “ฝ่าบาท ด้านในสุดฝั่งตะวันออกของห้องทรงพระอักษรมีตู้ลิ้นชักอยู่หลังหนึ่ง ลิ้นชักด้านล่างสุดมีตำรากามสูตรอยู่หลายเล่ม พระองค์ก็หยิบกลับไปศึกษาดูก็แล้วกัน” ตำรากามสูตรเหล่านั้นสืบทอดมาแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ในที่สุดก็ได้ใช้เสียที

“เอ่อ…” ลิ่นเส้าเยวียนอับอายจนแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้น

“อ้อ เรียกเจ้าซาลาเปามาศึกษาด้วยกัน หากเขาไม่เข้าใจตรงไหน พระองค์ก็ทรงให้คำแนะนำด้วยแล้วกัน” เขาช่างฉลาดแท้ๆ เช่นนี้แล้วพอถึงเวลาที่เจ้าซาลาเปาจะแต่งเมียเมื่อไร เขาก็ไม่ต้องสอนซ้ำอีก! “อีกอย่าง...ทรงจำไว้ว่าอย่าติดพระทัยเนื้อหนังมังสาจนไม่ใส่ใจพระวรกายแล้วกัน ไม่เช่นนั้นมีหวังได้วุ่นวายเป็นแน่”

อ๊ะ! ถ้าอย่างไรก็ยกหน้าที่สั่งสอนเจ้าลูกทั้งสามคนให้แก่ฝ่าบาทเลยก็แล้วกัน

ลิ่นจ้งซวินคิดใคร่ครวญเอาไว้อย่างแยบยล หลังจากพระปิตุลาจากไป ลิ่นเส้าเยวียนก็สลัดเรื่องไม่สบายใจออกไป จากนั้นก็เดินไปยังห้องทรงพระอักษรเงียบๆ ก่อนจะค้นหาตำรากามสูตรตามที่ลิ่นจ้งซวินกำชับ

เขาพลิกดูสองสามหน้า สีหน้ายังเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ เดิมคิดว่าจะหยิบมาส่งๆ สักเล่ม แต่กลับเห็นว่าด้านในเก็บตำราเหล่านั้นเอาไว้นับสิบ เขาจึงหยิบเล่มที่อยู่ด้านล่างสุดออกมา ก่อนจะตกใจที่เห็นว่ามันคือตำรากามสูตรบุรุษ เขารีบวางมันกลับไปด้วยความตกใจ ทว่าท้ายที่สุดก็ยังคว้าติดมือกลับห้องบรรทมมาด้วย

“กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ถังจื่อเจิงที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนแท่นบรรทม พอเห็นรอยยิ้มเฝื่อนของเขาก็ลุกขึ้นแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือฝ่าบาท”

“ไม่มีอะไร เมื่อครู่พระปิตุลามาหาเจิ้น บอกว่าซ่านเอ้อหลีนำขบวนบุตรีสกุลซุนมาถึงที่พำนักนอกเมืองหลวงแล้ว พอคิดถึงเรื่องราชาภิเษกสมรสก็เลยกระวนกระวายขึ้นมานิดๆ” ลิ่นเส้าเยวียนเดินมาที่ชั้นหนังสือภายในห้องบรรทม ก่อนจะหยิบตำรากามสูตรในอกเสื้อวางแทรกเข้าไปในนั้น

“มีอะไรต้องกระวนกระวายกัน การแต่งงานเป็นเรื่องมงคล ไม่แน่ว่าปีหน้าพระองค์อาจได้เป็นเสด็จพ่อแล้วก็ได้” ถังจื่อเจิงถามขึ้นอย่างซื่อๆ “รอให้ฝ่าบาททรงมีพระโอรส มีครอบครัวเป็นของพระองค์เอง พระองค์ก็จะไม่ต้องการให้กระหม่อมคอยอยู่เคียงข้างอีก”

“หาใช่ไม่ เจ้ายังต้องอยู่ที่นี่ต่อไป”

“แบบนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนฉุดมือของถังจื่อเจิงให้ลุกขึ้น หลายเดือนมานี้พวกเขาอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา เขาชินกับการมีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างกาย และจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายแต่งงาน เพราะไม่เช่นนั้นถังจื่อเจิงก็จะไม่อยู่ในวังหลวงอีก

“จื่อเจิง เจ้าไม่ชอบอยู่ในวังหลวงอย่างนั้นหรือ”

“อืม…ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ” แน่ละ ถ้าฉู่ไท่ฟู่แสดงสีหน้าไม่พอใจเขาให้น้อยลงได้ก็คงดี

ท่านพ่อบอกว่าฉู่ไท่ฟู่หาใช่คนดีอะไรไม่ ให้เขาระมัดระวังขุนนางที่อยู่ข้างกายฉู่ไท่ฟู่ ทั้งยังบอกว่าหากเขาอยู่ในวังหลวงก็ย่อมช่วยดูแลฝ่าบาทได้ไม่มากก็น้อย

เฮ้อ! ฝ่าบาททรงอ่อนโยน พระทัยดีมีเมตตา ไม่แปลกที่จะถูกข่มเหงรังแก แต่ท่านพ่อก็บอกว่ารอให้ผ่านไปอีกสักสามสี่ปี หากฝ่าบาททรงเจริญพระชนม์พรรษากว่านี้ ปัญหาก็จะหมดไปเอง เขาก็หวังเอาไว้แบบนั้นเหมือนกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ต่อไป”

“ก็คงต้องเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เป็นแบบนี้ละ” เขากลัวเหลือเกินว่าจื่อเจิงจะหันหลังกลับแล้วทิ้งเขาไว้ในวังหลวง เขาเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ ชิงชังบรรดาขุนนางที่ภายนอกทำทีว่าคล้อยตาม แต่ในใจกลับปรามาสและหัวเราะหยันเขา ในสายตาของคนเหล่านั้น เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กทารก ไม่ยอมรับว่าเขาคือฮ่องเต้

หากมิใช่ว่าเพราะมีพระปิตุลาอยู่ทั้งคน เกรงว่าเขาตกเป็นหุ่นเชิดไปนานแล้ว!

“ฝ่าบาท ดูสีพระพักตร์ไม่สู้ดี ถ้าอย่างไรคืนนี้ก็อย่าเพิ่งทอดพระเนตรฎีกาเลย รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ถังจื่อเจิงเอ่ยอย่างเป็นกังวล เขารู้ดีว่าฝ่าบาททรงบากบั่นกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการในยามเช้า หรือว่าจะเป็นการฝึกวรยุทธ์ ขี่ม้า ยิงธนู พระองค์ก็ไม่เคยหย่อนยานในหน้าที่มาก่อน ทั้งยังทรงต้องว่าราชการกับบรรดาขุนนางทั้งหลาย ตกดึกก็อ่านฎีกา พักผ่อนไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำไป

มิน่าหลายเดือนมานี้พระวรกายสูงขึ้นมาก แต่กลับไม่มีเนื้อหนังมังสาเอาเสียเลย

“ไม่ได้หรอก เวลานี้แถบชายแดนมีแว่นแคว้นอื่นที่หวังจะฉวยโอกาสเพื่อก่อความปั่นป่วน เจิ้นต้องตรวจสอบดูว่ากองกำลังทหารตระเตรียมไว้พร้อมเพรียงหรือไม่ ทหารที่รักษาชายแดนกินอิ่มนอนหลับดี มีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบถ้วนหรือไม่…เจ้านอนก่อนเถิด”

“กระหม่อมอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทแล้วกัน เราสองคนช่วยกันดูจะเร็วกว่า” แม้ว่าเขาจะแสดงความเห็นใดไม่ได้ แต่ให้ช่วยจับสังเกตบางเรื่องก็น่าจะพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง

“จื่อเจิง…”

“ที่ผ่านมากระหม่อมอาศัยอยู่ในวังหลวง กินของฝ่าบาท ใช้ของฝ่าบาท กระหม่อมรู้บุญคุณและต้องตอบแทนพระองค์บ้างไม่มากก็น้อย” ถังจื่อเจิงหัวเราะพลางจูงมือลิ่นเส้าเยวียนมาหยุดอยู่หน้าแท่นพระที่นั่ง ก่อนจะช่วยจัดที่ทางอย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ จากนั้นก็วางฎีกาลงแล้วจึงนั่งเคียงคู่กันพลางช่วยกันอ่านฎีกา

ลิ่นเส้าเยวียนอ่านฎีกา เผลอใจลอยเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นบางครั้ง พอเห็นว่าถังจื่อเจิงเท้าคางนิ่วหน้าพลางอ่านฎีกาจากบรรดาขุนนางด้วยสีหน้ายากจะเข้าใจ เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

เขารู้ว่าถึงต่อให้เขาเป็นเสด็จพ่อแล้วก็ตาม เขาก็ยังจะรั้งจื่อเจิงเอาไว้ข้างกายอยู่ดี

บางทีอาจเป็นเพราะผู้ที่ชี้ทางสว่างในชีวิตให้เขาก็คือถังจื่อเจิง เพราะเหตุนี้เขาจึงได้เกาะติดและวางใจในตัวอีกฝ่ายถึงเพียงนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น