5

ตอนที่ 5 ตามหา



ตอนที่ 5 
ตามหา

 

ฟ้าวันใหม่ที่บ้านดงหลวงสดใส สายลมพัดเอื่อยพายอดไม้กระดิก กอไผ่เสียดสีอีออเหมือนคนสีซอ ทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องเลวร้าย

ท้ายหมู่บ้าน จันทร์และพันแสงจ้องไปยังหญิงสาวที่ถูกมัดมือมัดเท้า หลังจากคำป้อนำผ้ามาคลุมร่างเธอที่กำลังงัวเงียตื่น อาการบาดเจ็บหายเป็นปลิดทิ้ง นางเสือเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับก็ถอยร่นระแวงตน

“สูเป็นเสือ หรือว่าเป็นผี” หญิงชราตะล่อมถาม แต่คนถูกมัดกลับแยกเขี้ยวใส่

“นางเสือผี แม่เฒ่าเปิ้นถามดีๆ ยังจะสวกใส่ หรือจะหื้อข้าปาดคอ” พันแสงชักมีดออกมาขู่ แต่หญิงสาวก็มองหน้าอย่างไม่กลัว

“ถ้าเป็นเสือเย็นแต้ ข้าว่ามันคงท่องคาถาแก้เชือกไปตั้งแต่ตะคืนแล้ว” คำป้อสันนิษฐาน เสือเย็นคือคนที่มีวิชาอาคมกล้าแกร่ง ยามของขึ้นจะแปลงร่างเป็นเสือได้ เหตุเพราะโดนของเข้าตัว หรือไม่ก็ลบหลู่ของสูงครูบาอาจารย์ 

พันแสงพิศมองหญิงสาว มันเป็นเสือได้หรือ...ทำไมเวลานี้เขารู้สึกว่ามันเป็นแค่...แมวน้อย จิตใจของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นางเสือมีขนตางอน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวอมชมพู แขนขาเรียวยาว งามกว่ารูปปั้นนางอัปสรในวัดเสียอีก

“บางทีมันอาจจะเสือ ที่แปลงร่างมาลวงตาเฮา แม่เฒ่า” ชายหนุ่มยังไม่ไว้ใจ

คำป้อ จึงยื่นมือไปจับแขน เสือสาวสะบัดแต่ก็ดิ้นไม่หลุดเพราะเชือกที่มัด

“เนื้อหนังมังสาก่อดูเป็นคน” แม่เฒ่าตอบ

“ตุ๊ปู่มา” เสียงของจันทร์ดังมาก่อนตัว หลังไปนิมนต์เจ้าอาวาสมาจากวัด สีหน้าของหลวงปู่ประหลาดใจที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ชายชราเล่า เสือที่พันแสงจับขัง กลายเป็นผู้หญิง

“สูเป็นไผ” หลวงปู่ถามอย่างใจเย็น ทว่านางเสือกลับเบือนหน้าหนี

“บ่ต้องกลัว หมู่ข้าบ่เยียะอะหยังหื้อสู” 

คนถูกมัดยังนิ่ง ไม่ยอมเจรจา

“บอกมาว่าหมู่สู จับคนของเฮาไปที่ไหน บ่อั้นข้าจะฆ่าสู” พันแสงยังใจร้อน จนหลวงปู่ต้องยกมือห้าม

“ขอหื้อข้าอู้กับมันตามลำพัง นางเสือตัวนี้มีสองร่างในตัว” 

ทุกคนจึงถอยห่างออกมา นานพอสมควร ที่เห็นเจ้าอาวาสนั่งสนทนากับนางเสือผี 

พันแสงกระสับกระส่าย อยากรู้ความเป็นไป ไม่นานหลวงปู่จึงเรียกให้เข้ามาได้ 

“นางบ่แม่นเสือเย็น”

ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจกันเป็นแถว โดยเฉพาะพันแสงที่ไม่อยากให้เธอเป็นสัตว์ร้าย

“นางเป็นคนกาตุ๊ปู่” จันทร์รีบถาม

“แม่นแล้ว แต่จะกลายเป็นเสือ เพราะโดนคำสาป”

“โดนสาป ไผสาป” คำป้อถามบ้าง

“เมืองของนางอยู่ในป่าสวรรค์ ตอนกลางคืนคนทั้งเมืองจะกลายเป็นเสือ เพราะมียักษ์ตนหนึ่งสาปไว้ และบังคับหื้อหมู่เขาต้องหาอาหารมาหื้อ พอของกินในป่าหายากขึ้น เลยต้องมุ่งมาที่บ้านดงหลวง”

“แสดงว่าบัวชุมกับลูกสาวนายอำเภอ ก็คืออาหารของหมู่มันกา” พันแสงถาม 

“แม่ญิงทั้งหลายที่ถูกจับไป บ่ได้เอาไปฆ่า แต่จะเอาไปบูชาสังเวยหื้อเจ้านายยักษ์ใหญ่ในคืนเดือนดับ”

“แล้วเฮาจะยะจะใดดี” จันทร์ถามต่อ

“ข้าบอกหื้อมันว่า จะหื้อพันแสงไปช่วยฆ่ายักษ์ แต่มันบอกว่าบ่มีทางเป็นไปบ่ได้”

“ข้าฆ่ามันได้ บอกนางเสือผีว่าข้าพอมีวิชา จะฆ่ายักษ์ที่เมืองสาปหื้อ” พันแสงมั่นใจ เจ้าอาวาสหันไปยังนางเสือที่นั่งก้มหน้า

“ว่าไดล่ะนางเสือ จะยอมตายอยู่นี้ หรือจะลองทางเลือกสุดท้าย เผื่อว่าเมืองสูจะพ้นคำสาป”

หญิงสาวยังนิ่ง แต่แววตาสั่นยิ่งกว่าเทียนต้องลม เพราะตัดสินใจไม่ถูก พันแสงรีบเดินเข้าไปใกล้ 

“บ่ต้องกลัวข้า ถ้าข้าจะฆ่าจะสู ข้าฆ่าตั้งแต่ตะคืนแล้ว พาข้าไปที่เมืองสูเต๊อะ ข้าช่วยสูได้ หรือว่าสูจะยอมหื้อมันเป็นหยังอี้ไปตลอด” แววตาของชายหนุ่มทำให้เสือผีรู้สึกปลอดภัย

“ไว้ใจมันเต๊อะ พันแสงมันพอมีวิชา ถ้าสูฮักปี้ฮักน้องที่อยู่ในเมือง ควรหื้อพันแสงไปช่วย” ตุ๊ปู่จูงใจ

“มันบ่ใช่เรื่องง่าย...” ที่สุดนางเสือก็ปริปากออกมา สีหน้ายังตระหนก แต่เธอไม่มีทางเลือกแล้ว 

“บ่มีไผฆ่าเจ้าเขี้ยวแก้วได้” เธอหมายถึงยักษ์ที่กุมชะตาเมือง

“ทำไมถึงฆ่าบ่ได้” พันแสงถามต่อ

“ข้าบ่รู้”

ทุกคนต่างเงียบกริบ นางเสือตัวสั่นเหมือนจะร้องไห้ “เจ้าเขี้ยวแก้วเป็นยักษ์หลวง มีฤทธิ์นัก ไผก่อฆ่าบ่ได้”

“บ่ต้องกลัว ข้าช่วยได้ ข้าจะพาสูไปถามวิธีฆ่ายักษ์ตนนั้น จากแม่เฒ่าลัวะ”

จันทร์และคำป้อตกใจที่ได้ยินชายหนุ่มเอ่ย “พันแสง ถ้าสูไปถามแล้วสูจะบ่ฮู้เรื่องตัวเก่าแล้วเน้อ” 

พันแสงกำลังใช้สิทธิ์ของตัวเองที่มีเพียงครั้งเดียวให้กับเสือผี

“บ่เป็นหยังป้อเฒ่า แม่เฒ่า การที่ได้ช่วยคนอื่นย่อมสำคัญกว่า ข้าอยากจะช่วยนางเสือ ข้าอยากช่วยบัวชุม”

หลวงปู่ยิ้ม นึกไม่ผิดที่มองพันแสงว่าเป็นคนดีมาตลอด 

“ว่าจะไดล่ะนางเสือ ถ้าจะหื้อพันแสงมันช่วย ก่อต้องออกเดินทางทันที ก่อนที่ป้อหลวงและนายอำเภอจะมาหันสูแล้วฆ่า หากสูตาย ก่อบ่มีไผช่วยเมืองสูได้แล้วเน้อ”

คนถูกถามตัวสั่น ค่อยๆ เงยหน้ามองทุกคน จนมาหยุดที่หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น 

“ข้าตกลง...” ที่สุดก็ตอบออกไป

หลวงปู่ยินดี หันไปบอกคนอื่นๆ “เตรียมตัวออกเดินทางทันที ส่วนสูเขาสองคน เก็บข้าวของหื้อเหมือนเดิม อย่าหื้อป้อหลวงฮู้ ว่าเฮาจับเสือผีได้”

ทุกคนทำตาม เร่งมือแข่งกับแสงสุริยันที่กำลังเปล่งแสงเหนือฟากฟ้า

 

เสียงเครื่องยนต์ที่ดังอื้ออึงมาจากซุ้มประตูเข้าหมู่บ้าน ทำให้นายอำเภอลุกขึ้นมอง รถของทหารมาถึงแล้ว...

เมื่อคืนหลังเหตุการณ์สงบ ครรชิตสั่งให้ลูกน้องไปขอความช่วยเหลือจากค่ายทหารที่ใกล้บ้านดงหลวงที่สุด เพื่อช่วยตามหาผู้หญิงที่หายตัวไป

คำแก้วนั่งร้องไห้อยู่หัวบันได บัวชุมเหย...จะเป็นตายร้ายดีอย่างใดพ่องหนอ...

เธอและชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างขวัญหาย ไม่น่าเชื่อว่างานบุญจะกลายเป็นงานอาถรรพ์ นักรบชายแดนจึงเป็นอีกความหวังในการตามหาให้ทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย 

นายทหารหนุ่มร่างใหญ่ลงจากรถมาเป็นคนแรก เขายกมือวันทยหัตถ์นายอำเภอ 

“ผมร้อยตรีภาคภูมิ รายงานตัว พร้อมช่วยเหลือตามที่ได้รับเรื่องครับ” นายทหารพูดเสียงดังฟังชัด 

“ขอบคุณมากๆ นะครับหมวดภาคภูมิที่มาตามร้องขอของผม”ครรชิตยินดี ก่อนจะแนะนำให้กลุ่มทหารรู้จักกับผู้ใหญ่บ้าน

“การช่วยเหลือประชาชนคือหน้าที่ของเราอยู่แล้วครับ ว่าแต่พวกเราจะออกเดินทางตอนไหนครับ”

“กินข้าวเช้าเสร็จ เราจะเดินทางทันที โดยมีผม ผู้ใหญ่บ้าน ลูกน้อง และชาวบ้านอีกสิบคน” นายอำเภอแจง 

“ผมพาลูกน้องมาด้วย รวมกันก็สี่คนพอดี  น่าจะพอนะครับ เพราะป่าแถบนี้มันไม่อันตรายนักหรอก” คนในเครื่องแบบมั่นใจ

พ่อหลวงบ้านลุกขึ้นค้าน “ป่าแถบนี้มันลึกลับนะครับหมวด ขนาดคนบ้านดงหลวงยังไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวว่าจะหลงเข้าไปในเขตป่าสวรรค์ที่ชายแดนพม่า”

‘ภาคภูมิ’แลตามองก่อนจะกระตุกมุมปาก “ผมเป็นทหารนะครับผู้ใหญ่ เราถูกฝึกเดินป่ามาทั่ว อาวุธเราก็มีพร้อม ไว้ใจพวกเราเถอะ”

“งั้นก็ดีเลย กินข้าวกินน้ำกันก่อน พวกผู้หญิงกำลังเตรียมเสบียง เราอาจจะต้องเดินทางอีกหลายวัน” นายอำเภอเอ่ย

ภาคภูมิรับทราบ แต่เมื่ออยู่ตามลำพังจึงสบโอกาสถามเรื่องราวจากครรชิต

“มันเป็นเรื่องจริงเหรอครับ ที่ว่าเสือมาเป็นร้อยมาขโมยสัตว์ และลักพาตัวผู้หญิง”

“มีคนตายมีสี่คน หายไปอีกสิบสาม และผมก็เห็นกับตาว่าเสือมันบุกหมู่บ้านจริงๆ” คนแก่กว่ายืนยัน

ภาคภูมิพยักหน้าเข้าใจและหันมองรอบๆ “เราต้องขับรถไปทางไหนครับ” 

“ในป่าไม่มีทางรถ ต้องเดินไปเท่านั้น”

“ได้ครับ”

กำลังจะสนทนากันต่อ ทองก็โวยวายเสียงดัง

“จ๊าดง่าว!” สีหน้าของผู้นำบ้านดงหลวงดูหงุดหงิด

“มีอะไรเหรอทอง” นายอำเภอตะโกนถาม

พ่อหลวงบ้านพ่นลมหายใจฮึดฮัดและเดินมารายงานนายอำเภอ 

“ลูกน้องผมมันบอกว่า ไอ้พันแสงมันหนีไปแล้วครับ”

“เป็นไปได้ยังไง” ครรชิตบีบขมับ

“สองเฒ่านั้นบอกว่า ไอ้พันแสงเจอเสือตัวหนึ่งเมื่อเช้ามืด มันเลยวิ่งตามเข้าป่าและไม่กลับออกมาอีกเลย”

นายอำเภอถอนหายใจ “ใจเย็นๆ พันแสงอาจจะเจอมันแล้ว และรอเราอยู่”

“หึ ผมกลัวว่า มันจะเป็นพวกเดียวกับเสือเหล่านั้นมากกว่า ไม่แน่ อาจจะจับบัวชุมกินแล้วก็ได้”

“บ่ดี อู้จะอั้นสู อย่าแช่งลูกเฮา” คำแก้วแย้งทั้งน้ำตา

“ก่อเพราะสูนั้นแหละ ที่เอ็นดูไอ้พันแสง หันหรือยังว่ามันพาเรื่องขึดเรื่องจามาบ้านเฮา” ทองเกรี้ยวกราด

“เอาล่ะๆ ” นายอำเภอรีบห้ามทัพ “อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตอนนี้เรายังมีหวังแต่ก็ต้องทำเวลา เตรียมตัวให้พร้อม อ้อ คำแก้ว ถ้าเธอไม่สบายใจ ก็ไปไหว้พระ ไหว้ผีปู่ผีย่าอะไรของเธอให้ช่วยคุ้มครอง เชื่อฉัน บัวชุมและยุวดีจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”

คำแก้วปาดน้ำตา รีบทำตามที่นายอำเภอแนะนำ ภาคภูมินั่งกอดอกมองพวกเขาแล้วได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะกระซิบกับลูกน้องทหาร

“ตลกฉิบหาย มีอย่างที่ไหน เสือมาลากผู้หญิงเข้าป่า มึงดูดิ นายอำเภอก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่เอาเถอะถือว่าได้ล่องป่าล่าสัตว์ เผื่อจะได้หนังเสือมาทำเป็นพรมซักผืนสองผืน” 

กลุ่มทหารหัวเราะเสียงดังโดยไม่สนว่าคนอื่นๆ กำลังทุกข์ใจ

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเร่งรีบ เสบียงอาหารยารักษาโรคถูกขนไว้บนหลังม้าสี่ตัว ชาวบ้านลูกหาบนั่งรอความพร้อม

“เร่งมือกันหน่อยทุกคน” คนมีอำนาจหันไปสั่งอย่างร้อนใจ กลุ่มของนายทหารน่าจะเป็นกลุ่มที่พร้อมที่สุด ด้วยประสบการณ์ในการอยู่ป่าแถมอาวุธก็มีครบมือ ชาวบ้านเมื่อเริ่มรู้ข่าวว่านายอำเภอและพ่อหลวง จะเข้าไปบุกรังเสือในป่า ต่างช่วยกันขนเสบียงมาให้ บ้างก็มาส่งแรงใจให้การทำงานครั้งนี้สำเร็จ

“ตุ๊ปู่มา นิมนต์ครับท่าน” พ่อหลวงทองยกมือพนม เมื่อเห็นพระชราและลูกศิษย์เดินเข้ามาในเขตบ้านอย่างสำรวม นายอำเภอรีบลุกเข้าไปหาพร้อมกับคนอื่นๆ 

“ข้ามาหื้อพร แคล้วคลาดจากสัตว์ร้าย หื้อปิ๊กมาปลอดภัยกันทุกคนเน้อ” หลวงปู่เอ่ย แต่ไม่ยอมปริปากถึงเสือดำที่เพิ่งเจอตอนเช้าตรู่ ทุกคนพนมมือนั่งลง เจ้าอาวาสสวดมนต์และประพรมน้ำมนต์ให้เป็นขวัญกำลังใจ 

“เจ็บใจขนาด ไอ้พันแสง มันหนีไปแล้วตุ๊ปู่” พ่อหลวงทองยังมองแง่ไอ้คนหลงทาง

“จ้างมันเต๊อะป้อหลวง อะหยังที่มันเกิด มันมีเหตุและผลเสมอ การเดินทางไกลครั้งนี้อาจจะเป็นเวรเป็นกรรมที่สูเขาทั้งหลายได้ร่วมทำกันมาก่อได้”

ทองจำเป็นต้องยกมือไหว้แบบผ่านๆ

“ตะคืน ข้านั่งสมาธิดูทางใน แม่ญิงที่ถูกจับตัวไป ยังปลอดภัยกันดีเน้อ” ชาวบ้านเมื่อได้ยินต่างโห่ร้องมีกำลังใจ

“แล้วเฮาต้องไปตามทางตางใด” ทองถามต่อ

“ตามฮอยตีนมันไปเต๊อะ เสือเหล่านั้น เป็นเสือจากเมืองใหญ่ อยู่ในป่าสวรรค์ เขาจับเอาแต่แม่ญิงเพื่อไปเป็นเชลย” พระแก่บอกได้เท่าที่จำเป็น “พันแสงมันล่วงหน้าไปก่อน มันกลัวว่าจะบ่ทันกาล” 

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัวก่อนนะครับ หลวงปู่” นายอำเภอกราบลา หันไปสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม แล้วกระโดดขึ้นหลังม้า เช่นเดียวกับพ่อหลวงทอง ส่วนคนอื่นก็เดินตามกันเป็นขบวน คนบ้านดงหลวงรวมแล้วได้สิบคนพอดี นายทหารอีกสี่คนพร้อมอาวุธครบมือ คงเพียงพอที่จะสู้รบกับฝูงเสือ...

ชาวบ้านร้องตะโกนอวยพรให้ทุกคนโชคดี นายอำเภอพยักหน้าขอบใจ 

จันทร์และคำป้อ แอบมองขบวนปะปนกับชาวบ้าน ก่อนจะหลบหน้าหายไปในฝูงชน

“ผมละเจ็บใจนัก ทำไมหลวงปู่ถึงได้เข้าข้างไอ้พันแสงมันนัก ทำยังกับมันเป็นคนวิเศษอย่างนั้นแหละ” ทองขี่ม้ามาฟ้อง 

“ตอนนี้ฉันอยากให้พันแสงมีพลังวิเศษจริงๆ แหละทอง” ครรชิตมองไปข้างหน้า

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว “ทำไมละครับ”

“ก็ถ้าไอ้พันแสงมีพลังวิเศษ มีแรงมหาศาล  มันอาจจะช่วยยุวดีและบัวชุมได้” นายอำเภอหายใจลึก กระตุกเชือกม้าให้ออกเดินทาง

“เดี๋ยวก่อนครับท่านนายอำเภอครรชิต” มีเสียงตะโกนมาจากซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน นายอำเภอบังคับม้าให้หันหลังกลับ

หนุ่มวัยกระทงสองนาย ที่เพิ่งลงจากรถกระบะ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วไม่น่าจะเป็นคนแถวนี้

“พวกนายเป็นใคร”

สองหนุ่มพักหายใจเหนื่อย แล้วรีบยกมือไหว้คนอาวุโส “ผมชื่อนิรุต และนี่เพื่อนผมพงษ์ธาดา พวกเรามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อมาตามหายุวดีครับ” 

เพื่อนของลูกสาว...นายอำเภอมองสองหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ยุวดีกับผมทะเลาะกัน แล้วเธอก็หนีมาที่นี่”

“พวกนายขับรถมาถึงบ้านดงหลวงเลยเหรอ”

“พวกผมออกเดินทางตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ แต่ไม่ชำนาญทางจึงค้างคืนที่หมู่บ้านใกล้ๆ พอเช้าก็รีบมาที่นี่เลย” เขาบอก “แล้วยุวดีอยู่ไหนล่ะครับ ผมอยากจะคุยกับเธอ” คนพูดหันซ้ายแลขวา ทำเอาทุกคนทำสีหน้าไม่ถูก 

“ยุวดีหายไปในป่า เรากำลังจะไปตามหา ถ้านายเป็นห่วงเธอ จะไปกับพวกเราไหมล่ะ อ้อ! เตรียมตัวเตรียมเสบียง ดูแลตัวเองให้พร้อม เดินป่านะ ไม่ใช่เดินห้าง” ครรชิตเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะกระตุกเชือกม้าเดินทางต่อ

 

ป่าไม้สีเขียวชอุ่ม ยิ่งเดินเข้าลึกก็ยิ่งแน่นหนา หนุ่มสาวสองคนเดินทางออกจากหมู่บ้านดงหลวงได้นานพอสมควรแล้ว พันแสงจึงเสนอว่าควรจะแวะพักสักครู่ก่อน

“ตรงข้างหน้า มีถ้ำและธารต้นน้ำ” ‘สร้อยคำ’ เอ่ยอย่างคนรู้ทาง ก่อนจะเดินนำไป

พันแสงมองตามแล้วแอบอมยิ้ม ตั้งแต่เดินเข้าพงป่า นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอปริปากพูด

ม่อนหินสูงชันตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะแน่น มีน้ำตกลงมาจากผาสู่แอ่ง ไหลต่อเนื่องเป็นทางยาว มองเพลินตา ชื่นใจ พันแสงวางสัมภาระ นั่งพักเหนื่อย กำลังว่าจะลงไปล้างหน้าเพื่อคลายร้อน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเสือสาวกำลังมองเขา

ชายหนุ่มหันไปสบตา นางเสือรีบหลบหน้า 

“แล้วถ้ำอยู่ไหน” เขาแกล้งถามเธอไปแบบนั้น เพราะสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว

สร้อยคำชี้มือไปเหนือแอ่งน้ำ ในป่าไผ่อันหนาทึบมีรูถ้ำซ่อนตัวอยู่ 

“น่าแปลก ถ้ำนี้อยู่ในป่าลึก ยะหยังถึงมีรอยเท้าคนอยู่นะ” ชายหนุ่มถามต่อ ไม่เพียงแต่รอยเท้าคน...มันยังมีรอยล้อเกวียนและรอยเท้าของเสืออีกด้วย!

“ข้าบ่รู้” เธอตอบ

“ข้าชื่อพันแสง เรียกอ้ายพันแสงก็ได้ สูน่าจะอายุน้อยกว่าข้า” เขาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

สร้อยคำพยักหน้า

“ทำไมสูบ่อู้บ่จาอะหยังเลย” ชายหนุ่มยังขี้สงสัย

“จะถามอะหยังข้านักหนา” หญิงสาวหลับตาค้อน

“เฮาสองคนต้องเดินทางไปตวยกันแหมหลายวัน สูควรจะบอกความจริงกับข้า” 

ตาชั้นเดียวนั้นเหมือนจับผิด จนสร้อยคำไม่กล้ามอง

“ข้าก่ออู้ตามความจริงทั้งหมด ท่านจะจับผิดอะหยังข้าแหม” 

พันแสงถอนหายใจ ก่อนจะลุกเดินไปสำรวจรอบๆ “สูอู้บ่หมด” 

เพื่อนร่วมทางยังเงียบ ชายหนุ่มหันไปมอง นางเสือกำลังไปที่แอ่งน้ำกวักน้ำเย็นมาล้างหน้า แสงแดดลอดมาจากปลายไม้กระทบผิวหน้าเนียนใสไฝฝ้าสักเม็ดก็หาไม่เจอ เธอปล่อยผมที่รวบตึงให้ยาวสยายเพื่อคลายร้อน ก่อนจะเก็บมันรวบอีกคราเพื่อความเป็นระเบียบ และเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องสร้อยคำจึงลุกขึ้นและทำเป็นสำรวจเนื้อตัวเสีย

เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กสมส่วน ผมยาวถึงกลางหลัง คำป้อให้เธอยืมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวและซิ่นตาก่าน พอได้แต่งตัวเหมือนคนเมือง สร้อยคำก็เป็นคนสวย น่าจะสวยกว่าแม่หญิงที่บ้านดงหลวงด้วยซ้ำ

“ความรู้สึกของท่าน ก่อเหมือนกับข้า” เธอเอ่ยขึ้นมา เธอเองก็ไม่ไว้ใจตัวเขาเช่นกัน 

ดวงตากลมโตกล้าที่จะจ้องหน้าชายหนุ่ม เล่นเอาเขาเองต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสีย ตอนแรกเขาคิดว่าตาของเธอเหมือนเสือ แต่เอาจริงๆ มันเหมือนตาของกวางน้อยมากกว่า

“ถ้าจะอั้นก่อบอกข้ามา นี่คือฮอยตีนของหมู่สูที่จับคนบ้านข้ามาแม่นก่อ” เขาถามเข้าเรื่อง

สร้อยคำไม่ตอบ หากแต่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แถมยังร้องตะโกนลั่น

“ระวัง!” 

พันแสงตอบสนองไวกว่า เขากระโดดขึ้นบนต้นไม้ตรงหน้า หมุนตัวกลับมามองด้านล่าง

หมียักษ์ตัวมหึมาเดินงุ่นง่านไปมา คาดว่าเมื่อครู่มันคงอ้ากรงเล็บตะปบใส่เขา สร้อยคำจึงร้องบอก 

เมื่อเห็นเหยื่อกระโดดหนีขึ้นบนต้นไม้ หมีตัวใหญ่ก็โมโห พุ่งตัวเข้าชนต้นไม้จนสั่นสะเทือน พยายามผลักให้มันล้ม แต่ไม้ใหญ่ลำต้นหนายากจะที่ล้มได้ มันจึงเบี่ยงเป้าหมายมายังเหยื่ออีกคน

“สร้อยคำ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น