๑๐
พ่อคน...ไม่จริง
น้องเสือหลับไปด้วยความเพลียคาอ้อมอกของพรรณวษาขณะที่เธอกินข้าวแกงกะหรี่อย่างเอร็ดอร่อย หญิงสาวใช้แค่มือเดียวตักอาหารเพราะอีกมือต้องโอบร่างเล็กไว้ไม่ให้เอนตกจากตัก ข้าวจานนี้เดือนธันวาเป็นคนไปซื้อมาให้ โดยใช้บัตรของเธอจ่าย เนื่องจากเธอเมื่อยทั้งแขนทั้งขาจนลุกไปไหนไม่ไหว ไหนจะต้องดูแลเด็กอีก
“เพ้นท์อยากเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์จังเลยค่ะ น่าเสียดายที่น้องเสือยังเด็ก ไม่อย่างนั้นจะพาเล่นทั้งไวกิง ทอร์นาโด สไลเดอร์ลงน้ำ อยู่ที่นี่สักสามวันสองคืน”
แค่ได้ฟังเดือนธันวาก็อยากจะอ้วกแทนแล้ว รายการเครื่องเล่นที่เธอชอบมีแต่อะไรผาดโผนทั้งนั้น
“แล้วเพ้นท์ก็จะพาน้องเสือไปเที่ยวสวนสนุกต่างประเทศ เก็บให้ครบทุกที่ ลูกชายคนเดียวของเพ้นท์ต้องมีประสบการณ์เยอะแยะไว้อวดเพื่อน”
“อย่าให้เขาเป็นพวกขี้อวดเลยครับ เดี๋ยวจะถูกหมั่นไส้เอา” ชายหนุ่มโต้ตอบโดยใช้มีดหั่นสเต๊กหมูไปด้วย “สังคมสมัยนี้ว่าอยู่ยากแล้ว ในอนาคตน่าจะอยู่ยากกว่านี้ คุณต้องสอนให้เขาอยู่เป็น”
เมื่อกินหมด หญิงสาวรวบช้อนไว้บนจานแล้วมองเขากินเรื่อยๆ มุมปากมีรอยยิ้มบางที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พอน้องเสือโตแล้ว เพ้นท์อยากให้เขารู้จักคุณนะคะ ให้เขารู้ว่าคุณเลี้ยงเขามาหนึ่งปีกว่า”
อีกฝ่ายเลื่อนสายตาขึ้นมองแวบหนึ่งก่อนจะหลุบลงสนใจอาหารต่อ
“อย่าดีกว่าครับ ผมไม่สำคัญกับเขาหรอก”
“แต่ในอนาคตเขาต้องรู้จักทั้งคุณและภรรยาของคุณนะคะ ชื่อพวกคุณยังอยู่ในสูติบัตรอยู่เลย”
“ก็ให้เขารู้จักแค่ชื่อ ไม่ต้องพยายามตามหาตัวผม”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพรรณวษาถึงรู้สึกใจหายอย่างแปลกประหลาด เธออาจจะรู้สึกแทนน้องเสือที่จะต้องเสียเขาไปอย่างถาวร เพราะถ้าเด็กชายโตจนรู้ความคงนึกสงสัยว่าทำไมคนที่เลี้ยงมาตั้งปีกว่าถึงตัดขาดได้อย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้
“เพ้นท์กับลูก...ไปเยี่ยมคุณที่เชียงรายก็ไม่ได้เหรอคะ”
“อย่าให้เขารู้จักคนอย่างผมเลย”
คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาขอร้องอย่างจริงจัง ใช้สายตาเน้นย้ำว่าไม่ขออะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว เธอจึงพูดอะไรไม่ออกอีก จำต้องเก็บความรู้สึกดำดิ่งในใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
หญิงสาวอุ้มลูกที่หลับปุ๋ยเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเคียงข้างร่างสูงที่ถือข้าวของตามมา ของทุกอย่างในมือเขาเป็นของเธอทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อให้น้องเสือไว้เล่นไว้กิน
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันเท่าไรเพราะต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง จู่ๆ พรรณวษาก็นึกสงสัยว่ารังสิมาเป็นคนอย่างไร ถึงได้แต่งงานกับเดือนธันวาที่ดูเป็นคนเข้าถึงยาก แล้วสามีภรรยาคู่นี้รักกันมากแค่ไหน เขาเจ็บปวดมากไหมตอนที่รู้ว่าเธอตั้งครรภ์กับคนอื่น
ความสงสัยเรื่องนี้ติดอยู่ในหัวเธอจนแทบไม่ไปคิดเรื่องอื่นเลย
“ผมว่าเรากลับดีกว่าครับ ดูคุณจะเมื่อยแล้ว” เดือนธันวาเสนอหลังจากที่เห็นว่าเธอเงียบไป ไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนเข้ามา แม้นั่งพักที่โต๊ะกินข้าวแล้วก็ยังไม่หายอ่อนเพลีย
“ก็ได้ค่ะ”
เธอว่าง่ายเพราะไม่มีแรงเดินแล้วจริงๆ สุดท้ายทั้งคู่จึงพากันกลับไปที่รถ ทันทีที่น้องเสือตื่นก็ให้ดูดนมขวดที่พกมาด้วย ดูแลเด็กอยู่อย่างนั้นจนไม่ทันสังเกตว่าทางที่อีกคนขับไปคือบ้านของตน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่รถอยู่บนถนนใหญ่ก่อนถึงบ้านห้านาที
“ทำไมไม่ไปคอนโดคุณล่ะคะ”
“ผมกลับเองได้ครับ”
“อ้อ ขอบคุณนะคะ” สงสัยว่าเธอจะดูอ่อนแรงเกินไปจนเขาสงสาร เลยอาสามาส่งให้ถึงบ้านแม้จะรู้ว่าไม่มีใครอยากต้อนรับเขาสักเท่าไร ขนาดแตนกับอ้อยที่เคยกรี๊ดกร๊าดเขายังเงียบไปเมื่อมีคนพูดถึงเขาในแง่ร้าย
ศุกลนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาหน้าบ้านพอดีและเป็นคนแรกที่เห็นรถแล่นเข้ามา ชายวัยกลางคนเดินไปรอรับหลานชายเพราะคิดว่าลูกสาวเป็นคนขับรถเอง ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าคนที่ลงมาจากตำแหน่งคนขับคือเดือนธันวา
“สวัสดีครับคุณศุกล”
“อ้าว คุณมาได้ยังไง”
วินาทีที่เห็นบิดาทำหน้าไม่เข้าใจ พรรณวษานึกออกทันทีว่าตัวเองหลอกคนที่บ้านไว้ว่าไปกับน้องเสือเพียงลำพัง อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหายวับ แทนที่ด้วยอาการลุกลี้ลุกลนเนื่องจากถูกจับได้โดยไม่ทันตั้งตัว
“เดือนธันวา!” อัมพิกาเดินตามออกมาอีกคน เห็นชายหนุ่มเข้าก็เรียกชื่อเสียงดังก่อนจะตวัดสายตามองคนที่เพิ่งอุ้มเด็กลงมาจากรถ “อะไรกันยายเพ้นท์ ไหนว่าพาน้องเสือไปคนเดียว”
เดือนธันวาเข้าใจทันทีว่าทำไมทุกคนถึงทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีคนไปโกหกไว้นี่เอง
“คือว่า...อะ...อ๋อ! คือเพ้นท์เพิ่งไปรับคุณเดือนธันวามาจากคอนโดค่ะ จะชวนมากินข้าวที่บ้าน”
“หา?”
คำบอกเล่าของหญิงสาวทำให้ผู้เป็นแม่หลุดอุทานด้วยความไม่เข้าใจระคนประหลาดใจว่าเหตุใดต้องชวนเขามา แถมยังลงทุนไปหาถึงที่คอนโด
ชายหนุ่มปรายตามองเธออย่างไม่เข้าใจเช่นกันว่าจะให้เขาอยู่กินข้าวเย็นด้วยทำไม หรือว่านึกคำโกหกอื่นไม่ทัน...
“เขาจะได้สัมผัสความอบอุ่นของครอบครัวเราไงคะ และวางใจที่จะปล่อยน้องเสือไว้กับเรา” พรรณวษาให้เหตุผลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะเชิญคนที่มาด้วยเข้าบ้าน “เชิญข้างในก่อนค่ะคุณเดือนธันวา”
“จะอบอุ่นหรือไม่อบอุ่น เขาก็ตัดสินใจทิ้งลูกไว้กับเราอยู่แล้ว” อัมพิกาเอ่ยกับลูกสาวเสียงเข้ม เหลือบมองคนที่กำลังพูดถึงอย่างไม่ถูกชะตาด้วยหางตา ติดจะเกลียดขี้หน้าจากการกระทำคราวนั้น ไหนจะท่าทางไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใดของเขาอีก
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเสาวนีย์ไม่พูดถึงเขาในเชิงลบบ้างเลยตอนที่หล่อนโทร. ไปถาม บอกแต่เพียงว่า
‘พี่ว่าที่เขาเป็นเขาอยู่ตอนนี้เพราะมันมีเหตุ ตัวจริงไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรหรอก อย่าไปอคติเลย’
จะไม่ให้อคติได้อย่างไร ดูวิธีการจ้องตอบของเขาสิ!
“คุณแม่คะ เขายกให้เพ้นท์เป็นผู้ดูแลค่ะ อย่าใช้คำว่าทิ้งเลย” พรรณวษาช่วยแก้รูปประโยคให้ดูดีขึ้น ทว่ามารดายังยึดเอาคำเดิมอย่างไม่เกรงใจ
“แต่ความจริงคือจงใจทิ้ง จงใจขาย เปลี่ยนคำพูดยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเจตนามันคืออะไร” หล่อนสาดเสียงใส่ตามอารมณ์ที่พุ่งทะยาน สายตาจิกมองชายหนุ่มที่ยังคงวางท่านิ่งเฉย “กลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าเราจะเลี้ยงเด็กคนนี้ไม่ดี เราจะอุปการะแกให้มีชีวิตที่ดีที่สุด ถึงเวลาแกโตอย่ากลับทวงบุญคุณจากแกแล้วกัน!”
“คุณแม่!” พรรณวษาเบิกตาโตกับถ้อยคำรุนแรงที่หลุดออกมา ก่อนจะมองหน้าคนที่รับไปเต็มๆ
แต่เขากลับยิ้ม...ยิ้มแบบที่สามารถยั่วโมโหคู่สนทนาได้
“ไม่ต้องห่วงเช่นกันครับคุณอัมพิกา ผมได้ไปเยอะแล้ว ได้มากกว่าสามแสนด้วยซ้ำ”
“ได้จากอะไร”
ทันทีที่คนเป็นแม่ถาม หญิงสาวตัวชาวาบ จะภาวนาไม่ให้เขาพูดยังช้าไป
“คุณพรรณวษาจ่ายเงินค่าตัวผมเรื่อยๆ เพื่อให้ผมมาใกล้ชิดกับเด็กคนนี้ แม้กระทั่งวินาทีนี้ ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ คุณพรรณวษาก็ต้องจ่ายให้ผม”
เขาเปิดเผยความจริงอย่างชัดถ้อยชัดคำจนคนฟังทุกคนเบิกตากว้าง ทั้งอัมพิกาและศุกลหันขวับไปมองลูกสาวตัวดีที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เดือนธันวาไม่หยุดแค่นั้น ยังคงสร้างความวายวอดให้เธอได้อีกเพียงแค่อ้าปากพูด นัยน์ตาวาววาบจ้องเพียงแต่หญิงวัยกลางคนที่กล่าวหาว่าเขาเป็นพวกเกาะเด็กกินอย่างไม่ไว้หน้า
“ความจริงผมอยากจะจบกับเด็กคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่ยกให้คุณพรรณวษาไปแล้ว แต่พวกคุณไม่ใช่เหรอที่เรียกผมกลับมา ฉะนั้นสิ่งที่พวกคุณร้องขอจากผมต้องมีค่าตอบแทน แต่ถ้าพวกคุณเลิกยุ่งกับผม ผมก็จะไม่ขออะไร ไม่มาให้ใครเห็นหน้าอีก”
“ถ้าอย่างนั้นออกไปเดี๋ยวนี้เลย! แล้วจำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดี” อัมพิกาชี้ไปทางประตูรั้วเป็นการไล่แขกก่อนจะกระชากเสียงสั่งลูกสาวบ้าง “ยายเพ้นท์พาเด็กเข้าบ้านไป!”
“แอะ แหะ แง...ฮือออ”
อารมณ์เกรี้ยวกราดของหล่อนทำให้น้องเสือตกใจร้องไห้ พรรณวษารีบเขย่าตัวโอ๋ทั้งที่ตกใจไม่แพ้กัน เดือนธันวากัดฟันแน่น ก่อนจะก้มหัวไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งคู่แล้วหมุนตัวเดินจากไป
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังของเขาที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยใจเจ็บแปลบพิกล เพราะว่าเขา...คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกชายของเธอร้องไห้
เย็นวันนั้นพรรณวษาถูกดุเป็นการใหญ่เรื่องใช้เงินไม่รู้เรื่อง เธอไม่ตอบโต้อะไร ผิดวิสัยคนที่มักจะเถียงข้างๆ คูๆ ไปก่อน ผิดถูกค่อยว่ากัน
เด็กชายได้รับการดูแลจากอ้อยที่กลับมาบ้านก่อนแตน กว่าจะปลอบให้หยุดร้องได้เล่นเอาเหนื่อยหอบ หลังจากถูกบิดามารดาเทศนาเสร็จแล้วเธอก็ตามมาสมทบในห้องนอน เจออ้อยกำลังดูซีรีส์เกาหลีในมือถือ ส่วนน้องเสือนอนดูดนมอยู่ในเปล
“คุณเพ้นท์ดูเพลียๆ นะคะ นอนพักไหม”
“แม่จะนอนก่อนลูกได้ยังไง” เธอตอบสาวใช้เสียงเอื่อย มองหน้าตนเองในกระจกเมื่อครู่ต้องยอมรับว่าจืดชืดมาก “วันนี้เอาอาหารเย็นขึ้นมาที่ห้องนะ ฉันคงพาน้องเสือลงไปกินไม่ไหวแล้ว”
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นอ้อยลงไปช่วยแม่กับป้าทำอาหารก่อนนะคะ”
“อื้อ”
อ้อยลุกเดินออกไปและปิดประตูให้อย่างดี เมื่อเหลือแค่สองแม่ลูก หญิงสาวก็เดินไปเกาะขอบเปลแล้วโยกไปมา นัยน์ตาประสานกับตากลมโตของลูกชายคนเดียว
“แม่เพ้นท์เสียใจเรื่องคุณเดือนธันวาด้วยนะคะน้องเสือ ต่อจากนี้คงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว”
เธอเริ่มเหม่อลอย เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่ไกวเปลอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เจ้าของห้องจึงไปเปิดประตูเพื่อให้อ้อยยกถาดอาหารเข้ามาให้ ทีแรกเธอว่าจะเป็นคนดูแลทุกอย่างเอง ทว่าพอยกตัวลูกแค่นิดเดียวก็ต้องปล่อยทันที
“ไม่ไหว ฉันปวดแขนไปหมด อ้อยอุ้มน้องเสือออกมาจากเปลให้หน่อยสิ เดี๋ยวฉันป้อนเอง”
คนพูดบีบแขนตัวเองไปด้วยเพราะปวดระบมจากการอุ้มเด็กทั้งวัน สาวใช้ตัวเล็กจึงช่วยอุ้มเด็กออกมาและคอยดูแลตอนเจ้านายป้อนอาหารไปด้วย ตามปกติแล้วพรรณวษาจะคุยเล่นกับน้องเสือตลอด ทว่าวันนี้ทำเพียงแค่ป้อนเฉยๆ อ้อยจึงต้องคอยสร้างความบันเทิงให้สองแม่ลูกเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป
คืนนี้อัมพิกาไม่เข้ามาหา คนเป็นแม่จึงต้องเปิดเพลงกล่อมลูก รอให้ลูกหลับทั้งที่ตัวเองง่วงจนตาปิดเองหลายหน ตั้งแต่มีน้องเสือเธอก็พักผ่อนน้อยลง ซ้ำร้ายยังเป็นสัปดาห์ที่ทำงานหนัก พาให้ร่างกายอ่อนล้ากว่าปกติ สุดท้ายก็หลับไปก่อนเด็กด้วยอาการปวดหัวและตัวรุมๆ
ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ พรรณวษารู้ตัวทันทีว่าตัวเองป่วย...
อาการของเธอคือปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และตัวร้อน แต่ยังมีสปิริตความเป็นคุณแม่ที่ต้องลุกมาทำกิจวัตรตอนเช้าให้ลูก วิธีการป้องกันไม่ให้น้องเสือติดไข้คือการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และต้องคอยเบี่ยงหน้าหลบเจ้าตัวน้อยเวลาพยายามจะดึงหน้ากากของเธอออกด้วยความสงสัยว่าคืออะไร
หลังแต่งตัวเสร็จเธอก็พาลูกชายลงไปกินข้าวข้างล่าง เจอหน้าบิดามารดายังรู้สึกว่ามองหน้าไม่ค่อยติดเท่าไร แต่เนื่องจากวันนี้เธอมีธุระข้างนอกจึงต้องฝากน้องเสือเอาไว้กับทั้งสอง
“คุณพ่อคะ วันนี้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนน้องเสือหน่อยนะคะ เพ้นท์ต้องไปเอาผลดีเอ็นเอที่แล็บ พอดีไม่ได้บอกให้เขาส่งมาบ้าน”
“ทำไมฝากพ่อล่ะ แม่ก็อยู่” อัมพิกาถามพลางยกชาจิบ ใจคิดว่าลูกสาวโกรธหล่อนเรื่องเมื่อวานจึงทำหมางเมิน
“มีคนบอกมาว่าลูกชายควรได้ใกล้ชิดผู้ชายในบ้านบ้างค่ะ ถ้าคุณพ่อสนิทกับเขาบ้าง เวลาเขาโตขึ้นคุณพ่อจะได้เป็นที่ปรึกษาให้เขาได้” พรรณวษาตอบด้วยเสียงแหบแห้ง สองสามีภรรยาดูออกตั้งแต่หญิงสาวอุ้มลูกลงมาแล้วว่าเธอป่วย เหตุเพราะเจ้าตัวใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
“อืม ก็จริง” ศุกลพยักหน้าเห็นด้วย “เอาสิ พ่อดูให้เอง ส่วนเพ้นท์ถ้าไม่ไหวก็ไปหาหมอซะนะ เดี๋ยวน้องเสือติดไข้จะลำบาก”
“ค่ะ ก็ว่าจะไปอยู่ ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะคะ” เธอไหว้ลาทั้งคู่ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมจากไป ทันใดนั้นน้องเสือร้องขึ้นขัด
“แมะเป๊น อ๋อมมม”
“อะไรนะคะ ให้แม่เพ้นท์หอมเหรอ” เธอหันขวับไปมองเด็กน้อยที่อ้าแขนสองข้าง ตามปกติเธอต้องหอมแก้มนิ่มเพื่อล่ำลา แต่วันนี้ใส่หน้ากากอนามัยอยู่จึงไม่สามารถทำได้ ซึ่งการถูกทวงหอมทำให้หัวใจคนป่วยพองโต
“อ๋อมๆๆ”
“มาๆ หอมหนึ่งทีก็ได้” ด้วยความรักจึงตามใจ เข้าไปหอมลูกโดยมีหน้ากากอนามัยคั่นกลาง เงยหน้าขึ้นก็เห็นศุกลและอัมพิกาพากันยิ้มขำ ทั้งเอ็นดูหลานชายและตลกลูกสาว
เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่า พรรณวษาท่าจะเริ่มอินกับการเป็นแม่คนขึ้นทุกที
‘เดือน ลูกแน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะแต่งงาน’
‘แน่ใจสิแม่ ผมแต่งงานไปจะได้มีครอบครัวของตัวเอง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมต้องอยู่คนเดียว’
‘แม่ว่าลูกคิดให้ดีๆ ก่อนไหม ตอนพ่อกับแม่แต่งงานกัน หย่ากัน จนแต่งงานใหม่แล้วทั้งคู่มันใช้เวลานะ เราคิดกันละเอียดถี่ถ้วนมาก’
‘ผมคิดดีแล้ว แม่รู้ไหมว่าสิงสาราสัตว์แถวนี้มันเยอะ ขืนมัวแต่คิด แฟนผมคงถูกคาบไปกินแน่ๆ’
เสียงโทรศัพท์ปลุกให้เดือนธันวาหลุดออกจากภวังค์ ภาพในอดีตหายวับ สติกลับมาอยู่ในปัจจุบันและพบว่าตัวเองเปิดกระเป๋าเดินทางค้างไว้ ตั้งใจจะเก็บของใส่แต่ยังไม่ได้เริ่มเพราะมัวแต่ใจลอย
เขาหันไปสนใจโทรศัพท์บนหัวเตียง นิ่งงันไปครู่เมื่อเห็นว่าใครโทร. มา ปล่อยให้มันดังไปอีกห้าวินาทีก็กดรับสาย
“ครับ คุณพรรณวษา”
แวบหนึ่งแปลกใจตอนได้ยินเสียงราบเรียบของตัวเองซึ่งแตกต่างจากคนในอดีตสุดขั้ว เดือนธันวาคนนั้นมั่นใจไปหมดทุกอย่าง น้ำเสียงขึ้นลงบ่งบอกอารมณ์ในทุกประโยค หากดีใจเสียงจะสดใส หากโมโหจะทุ้มหนัก และสายตาของเขาแปรผันตามอารมณ์เช่นกัน
“คุณเดือนธันวาอยู่ที่คอนโดหรือเปล่าคะ” ปลายสายทักด้วยระดับเสียงที่เบากว่าปกติ ซ้ำยังฟังดูอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ”
“อีกสิบนาทีเพ้นท์จะไปหานะคะ”
“ครับ? คุณไม่ได้นัดผมนี่” ชายหนุ่มพูดพลางนึกไปด้วย เผื่อว่าเธอนัดแต่เขาลืม แต่นึกแล้วนึกอีกก็นึกไม่ออก
“จะเอาผลดีเอ็นเอไปให้ดูค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ เพ้นท์ขับรถก่อน”
สายถูกตัดในวินาทีต่อมา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเนื่องจากแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ร่าเริงสดใสอย่างปกติ ก่อนจะเปลี่ยนไปคิดเรื่องผลดีเอ็นเอแทน
วันนี้จะได้มีหลักฐานชัดเจนสักที ถึงจะมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
เดือนธันวาลงไปรอด้านล่างคอนโด สั่งกาแฟแก้วใหญ่มาดื่มไปด้วย ประมาณสิบห้านาทีพรรณวษาก็ปรากฏตัวพร้อมหน้ากากอนามัยคาดปาก กอปรกับนัยน์ตาที่ไม่สุกสว่างทำให้คนมองเดาออกว่าอาการไม่ค่อยดี
ในมือเธอมีซองเอกสารฉบับหนึ่ง มาถึงโซฟาที่เขานั่งรออยู่ก็หย่อนตัวนั่งห่างๆ และวางซองลงบนโต๊ะกลาง เขาหยิบมันขึ้นมาแต่ไม่ได้เปิดดูทันทีเพราะสายตายังคงสังเกตอีกฝ่ายอยู่
“คุณไม่สบายเหรอครับ”
เธอพยักหน้าช้าๆ
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
“ปวดหัว ตัวร้อน เมื่อยตัวไปหมดเลยค่ะ แต่อยากเห็นผลดีเอ็นเอเลยขับรถไปเอา” นิ้วเรียวชี้สิ่งที่อยู่ในมือเขา “เปิดดูสิคะ”
เขาสนใจของในมืออีกครั้ง ก่อนจะแกะซองที่ไม่ได้ถูกปิดสนิทและหยิบเอกสารออกมาดู บนนั้นมีทั้งตาราง ตัวเลข และตัวอักษรภาษาอังกฤษมากมาย แต่ส่วนล่างที่ถูกไฮไลต์ไว้มีเพียงแค่เลขศูนย์
“คุณไม่ใช่พ่อของน้องเสือนะคะ” พรรณวษาสรุปหลักฐานออกมาเป็นคำพูด ทำให้ความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น
เดือนธันวาเงยหน้ามองเธออีกครั้งขณะเก็บมันเข้าซองอย่างเดิม
“ผมขอสำเนาหนึ่งฉบับได้ไหมครับ หรือคุณส่งไฟล์มาให้ผมทางอีเมลก็ได้ น่าจะสะดวกกว่า”
“ค่ะ จะรีบจัดการให้” เธอบอกพลางเปิดกระเป๋าและหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเอห้าที่ค่อนข้างหนาออกมาให้ “นี่เป็นค่าเสียเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพ้นท์ติดคุณไว้ค่ะ”
เธอเบิกเงินสดมาให้เขา เพราะคิดว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบกัน
ชายหนุ่มรับมาจากมือเธอและแกะออกดู ซองนี้ปิดผนึกแน่นหนาเนื่องจากด้านในมีเงินสดอยู่จำนวนหนึ่ง ประเมินด้วยสายตาอาจจะถึงแสน ความจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่าจ้างของตัวเองเท่าไร แต่เธอได้สรุปมาให้ในกระดาษที่พับอยู่ในซองเรียบร้อยแล้ว
ทั้งหมดเจ็ดหมื่นบาทปลายๆ แต่เธอปัดให้เป็นแปดหมื่นบาทถ้วน
“มีปากกาไหมครับ จะเซ็นรับเงิน”
พรรณวษานิ่งไปชั่วครู่เพราะไม่คิดว่าแค่จ่ายเงินจะต้องเป็นพิธีรีตองขนาดนี้ แต่เห็นเขาจริงจังเธอจึงหยิบปากกาจากกระเป๋ามาให้ อีกฝ่ายรับไปและเขียนข้อความบางอย่างลงบนนั้น ลงท้ายด้วยลายเซ็นของตัวเองพร้อมวันที่ จากนั้นทั้งเงินและผลดีเอ็นเอก็ถูกส่งคืน...
คืนผลดีเอ็นเอยังพอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือคืนเงินมาทำไม
แทนที่จะถาม หญิงสาวเลือกที่จะหยิบกระดาษรวบรวมรายการค่าจ้างของเขามาอ่านข้อความที่ถูกเขียนลงบนนั้น
เงินจำนวนแปดหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน เป็นของเด็กชายพยัคฆ์ กวินทร์เทวา
“คุณเดือนธันวา” เธอเงยหน้ามองคนเขียนอีกครั้ง พบว่าเขายื่นธนบัตรสีเทาให้อีกหนึ่งใบ
“แทนคำขอโทษแล้วกันครับ ผมรู้ว่าผมทำอะไรแย่ๆ กับเขาไว้เยอะ ฝากคุณเก็บให้เขาด้วยนะครับ หนึ่งพันบาทนี่คุณให้ผมวันแรก” แววตาของเขามีแต่ความหนักแน่น ไม่ลังเลแม้แต่นิด
พรรณวษารับเงินมาทั้งที่ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยกเงินทั้งหมดนี่ให้ลูกของเธอ เธอนึกว่าเขาต้องการเงินจำนวนนี้เสียอีก แต่นี่เขาไม่เสียดายมันสักนิด
“หมดธุระแล้ว ผมขอตัวนะครับ คุณควรรีบกลับบ้านไปพักผ่อน ฝากคนที่บ้านช่วยดูแลลูกก็ได้ถ้าคุณไม่ไหวจริงๆ ลูกของคุณจะได้ไม่ติดไข้ด้วย” เดือนธันวากล่าวทิ้งท้ายและทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าคำถามของอีกฝ่ายทำให้เขาหยุดอยู่กับที่
“คุณเดือนธันวา คนอื่นอาจจะมองว่าคุณใจร้าย แต่เพ้นท์รู้นะคะว่าคุณรักและหวังดีกับน้องเสือมาตลอด”
“...”
“คุณอย่าตัดขาดกับเขาเลยนะคะ เพ้นท์อยากให้เขารู้จักคุณจริงๆ ในวันที่เขารู้ความ” เธอร้องขอความต้องการของตนเองอีกครั้ง แม้ว่าเมื่อวานเขาจะขอให้เธอปล่อยเขาไปแล้วก็ตาม
“น่าจะขัดกับความต้องการของคุณอัมพิกานะครับ”
“คุณไม่ใช่คนที่จะร้องขออะไรจากเขา คุณไม่ใช่คนอย่างที่คุณแม่เข้าใจ” พอขึ้นเสียงก็เริ่มมีอาการปวดจี๊ดที่หัว แต่หญิงสาวสะกดกลั้นไว้เพราะอยากจะพูดให้จบ “ถึงคุณจะไม่เกี่ยวข้องกับเพ้นท์ แต่คุณให้เขาเรียกว่าพ่อได้นะคะ เพ้นท์ไม่ถือ เพราะเพ้นท์รู้สึกว่าคุณเป็นพ่อที่ดีสำหรับเขาได้”
“แต่ผมถือ ขอตัวนะครับ” เขาตัดบทสนทนาโดยเร็วเพราะไม่อยากกลับไปย้ำเรื่องเดิมอีก
พอลุกขึ้นอีกคนก็รีบคว้าข้าวของลุกตามทันที ทว่าอาการไข้ส่งผลให้หน้ามืดและล้มลงไปนั่งบนโซฟาอีกครั้ง
“โอย”
เสียงร้องเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มวกสายตากลับไปหา พบว่าเธอกำลังนั่งพิงโซฟาพลางเอามือนวดขมับอยู่ ความสงสัยทำให้เขาเข้าไปแตะแก้มคนป่วยโดยไม่บอกกล่าวก่อน
จากนั้นต่างคนก็ต่างสะดุ้ง คนหนึ่งตกใจที่ถูกแตะแก้ม อีกคนตกใจอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติเยอะ
“ผมว่าคุณไปโรงพยาบาลเถอะ”
“คุยกับคุณจบเพ้นท์ก็ว่าจะไปค่ะ... คุณเดือนธันวา คุณคิดดูอีกทีนะ”
ปกติเวลาร้องขออะไรใครพรรณวษาจะชอบเขย่ามืออีกฝ่ายไปด้วย ครั้งนี้เธอจับมือเขาโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น ต่างจากเดือนธันวาที่ยืนนิ่ง หลุบตามองมือเรียวที่บีบมือเขาพร้อมแกว่งเล็กน้อยเหมือนเด็ก
แล้วเขาก็จับตอบ ก่อนจะดึงเธอให้ลุกขึ้นยืน
“ผมว่าเราคุยกันไม่จบหรอก เพราะคุณเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นไรครับ ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาลเอง”
ความคิดเห็น |
---|