บทที่ ๑๔
เดือนอ้ายวางสายจากญาติผู้พี่ด้วยหัวใจชุ่มชื้น ไม่แห้งผากดังเช่นหลายวันที่ผ่านมา เมื่อดลฤดีบอกว่าพรุ่งนี้จะมาหาเธอที่เชียงรายพร้อมกับคนรัก และให้เธอจัดหาบ้านพักไว้สองหลังที่รีสอร์ตบนเขาอันเป็นกิจการของครอบครัวพวกตน
ร่างอวบอิ่มซึ่งผ่ายผอมลงกว่าก่อนก้าวออกมาจากเรือนหลังเล็ก ทันทีที่ก้าวออกมาก็พบกับทิวทัศน์สีเขียวขจีของภูเขาลูกติดกัน ช่วงฤดูฝนเช่นนี้ต้นไม้ใบหญ้าดูเขียวชอุ่มเป็นสีเข้มเย็นตาเย็นใจ เดินจากบ้านไม้หลังเล็กสไตล์คอตเทจมาไม่ไกลก็ถึงเรือนหลังใหญ่ที่เป็นบ้านของพ่อเลี้ยงโอภาส ที่ซึ่งแม่ของเธอย้ายมาอยู่นับแต่ท่านตกลงปลงใจอยู่กินฉันสามีภรรยากับอดีตพี่เขย หลังเขาตกพุ่มม่ายเพียงครึ่งปี
บ้านหลังใหญ่สร้างจากไม้ทั้งหลัง หลังคาสามเหลี่ยมเป็นจั่วแหลมสูงเช่นที่พบในสถาปัตยกรรมล้านนา แต่สิ่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุดคือระเบียงไม้ขนาดใหญ่รอบตัวบ้าน โดยเฉพาะระเบียงด้านหลังซึ่งยื่นออกไปจากพื้นดิน มองลงไปเห็นบรรดาบ้านพักรีสอร์ตซึ่งลดหลั่นไปตามสันเขา ไกลออกไปเล็กน้อยเป็นแปลงนาขั้นบันไดที่ชาวบ้านปลูกข้าว ซึ่งชาวบ้านเหล่านี้จะมารับจ้างทำงานกับรีสอร์ตระหว่างรอเก็บเกี่ยว แต่ส่วนมากพนักงานประจำของ ‘สุขคีรี รีสอร์ต’ นั้นเป็นลูกหลานชาวบ้านที่พ่อเลี้ยงให้ทุนการศึกษาจนจบแล้วกลับมาร่วมงาน
เดือนอ้ายก้าวไปตามระเบียงทางเดินอ้อมตัวบ้านเมื่อแว่วเสียงพูดคุยมาจากระเบียงด้านหลัง เธอเห็นแม่กับพ่อเลี้ยงโอภาสนั่งจิบชายามบ่ายอยู่ด้วยกันบนเก้าอี้ไม้ที่มีเบาะรองนั่งหลากสีสดใส ก่อนบุรุษวัยกลางคนจะเงยหน้ามาเห็นเธอ
ผู้มีศักดิ์เป็นลุงยิ้มให้ แต่เธอไม่อาจยิ้มตอบท่านได้อย่างสนิทใจเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว
“ลุงกำลังถามหาเรากับแม่อยู่เลย จะชวนไปดูแปลงผักปลอดสารพิษที่หมู่บ้าน อ้ายอยากไปไหมลูก”
หญิงสาวอยากไปแต่จำต้องเก็บอาการ เธอมีเรื่องสำคัญกว่านั้นมาแจ้งให้พวกท่านทราบ
“อ้ายว่าจะลงไปที่รีสอร์ต พี่หนูดีเพิ่งโทร. มาบอกว่าพรุ่งนี้จะขึ้นมากับคุณสิทธาค่ะ”
เธอลอบปรายตามองแม่พร้อมกับคาดว่าจะได้เห็นแววปริวิตกของท่าน แต่ก็มีเพียงแววตาตื่นเต้นยินดียามสบตากับสามี เธอไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าพวกท่านมีความสุขบนความทุกข์ของลูกหลานเช่นนี้ได้อย่างไร
“อ้ายมาบอกเพื่อขออนุญาตจัดการเรื่องที่พักให้พี่หนูดี อ้ายขอตัวก่อนนะคะ” เธอเอ่ยย้ำ หวังให้พวกท่านเข้าใจว่าที่ดลฤดีเลือกพักที่รีสอร์ตแทนที่จะเป็นบ้านตัวเองก็เพราะอึดอัดใจ
“ถ้าอย่างนั้นลุงไปส่ง”
โอภาสแตะหลังมือภรรยาก่อนลุกตามหลานสาวไป หลายปีมานี้เขาพยายามเข้ากับเดือนอ้ายให้ได้ แต่เด็กที่เคยว่านอนสอนง่ายและติดลุงแจกลับวางตัวห่างเหิน หลังจากไปศึกษาต่อและอยู่กับดลฤดีที่กรุงเทพฯ ด้วยแล้วก็ยิ่งปั้นปึ่งใส่เขาและแม่แท้ๆ ของตน
รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแล่นไปตามถนนลูกรังลดเลี้ยวลาดชัน ชายวัยกลางคนขับรถอย่างระมัดระวัง ระยะทางใกล้ๆ จึงใช้เวลานานนักในความรู้สึกของผู้ที่โดยสารมาอย่างไม่ใคร่เต็มใจ
“ลุงดีใจนะที่พี่น้องรักกัน แต่ลุงไม่อยากให้อ้ายน้อยใจหรือโกรธเคืองแม่เขาเลย”
หัวใจสาวกระตุกวูบ เธอคิดว่าพวกท่านไม่เคยมองเห็นความรู้สึกของใคร จึงกล้าแสดงออกอย่างกระด้างกระเดื่องต่อท่าน ทว่าถ้อยคำรู้เท่าทันที่ผู้เป็นลุงเอ่ยออกมาก็ทำเอาเธอรู้สึกผิดและร้อนตัว
“อ้ายไม่ได้โกรธอะไรนี่คะ” ผู้ร้ายปากแข็งยืนกรานปฏิเสธ
“แล้วทำไมอ้ายไม่ขึ้นมาเยี่ยมแม่บ้างล่ะลูก ดูสิ พออ้ายขึ้นมาหนูดีก็จะตามมา ถึงเป็นน้องก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตามพี่เสียทุกอย่าง ลุงน่ะหมดหวังจะทำให้หนูดีหายโกรธลุงแล้ว ก็มีแต่อ้ายนี่แหละนะที่จะช่วยพูดกับพี่เขาได้”
“อ้ายไม่ได้พูดอะไรหรอกค่ะลุงโอ๋” เธอขัดขึ้น ไม่ชอบใจที่ใครมาว่าพี่สาวของตน “พี่หนูดีเธออยากมาก็มาเอง อ้ายอยากให้ลุงโอ๋สนใจและเข้าใจพี่หนูดีมากๆ ไม่ต้องสนใจอ้ายกับแม่หรอกค่ะ”
นอกจากจะไม่ถือสาคนที่เถียงฉอดๆ และบังอาจสั่งสอนผู้ใหญ่ พ่อเลี้ยงโอภาสยังหัวเราะในลำคอ เดือนอ้ายอ่านออกง่ายมาแต่ไหนแต่ไร และเขาก็รู้มานานแล้วว่าแกโกรธและผิดหวังในตัวผู้ใหญ่ทั้งแม่และลุง
เขาเคยคิด...ปรึกษากับอินทุอรตั้งแต่เมื่อครั้งตกลงปลงใจกันว่าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกหลานฟัง ทว่าเจ้าหล่อนขอไว้เพราะเห็นแก่จิตใจของดลฤดีที่ต้องสูญเสียแม่ หลังจากนั้นไม่นานลูกของเขาก็ขอผู้เป็นยายไปเล่าเรียนต่อถึงต่างแดน เรื่องที่เคยคิดจะพูดคุยเปิดอกจึงถูกพับเก็บนับแต่นั้นมา เวลาผ่านไปจึงได้รู้ว่าการปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้มีแต่ทำให้การเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวในอดีตยากกว่าเดิม
เขาสูญเสียลูกสาวไปจนแทบมองหน้ากันไม่ติด และดูเหมือนจะเสียหลานสาวให้แก่ความเข้าใจผิดอีกคน คิดมาถึงตรงนี้ชายวัยกลางคนก็ลอบถอนหายใจ
“อ้ายคิดจริงๆ หรือว่าลุงกับแม่ของหนูไม่สนใจพี่หนูดี ลุงมารู้ทีหลังว่าหนูดีรู้เรื่องราวในอดีตทุกอย่างจากคุณยาย แต่หนูดีก็เลือกจะไปจากลุงเพื่อความสบายใจ ลุงรู้จักและเข้าใจลูกของตัวเองดี อาจดีกว่าหนูดีเข้าใจตัวเองเสียอีก”
จบประโยคนั้น เดือนอ้ายรู้สึกเหมือนตนเป็นคนโง่เง่าที่สุดที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวต่างๆ เธอจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสอย่างรอคอยคำตอบ แต่ท่านเพียงส่งยิ้มเปี่ยมเมตตามาให้เธอ
“ถึงแล้ว ลุงฝากอ้ายบอกผู้จัดการว่าเวลคัมดริงก์พรุ่งนี้ขอเป็นน้ำอัญชันลอยดอกมะลิด้วยนะลูก”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ พลางกวาดตามองรอบตัว รถกระบะมาจอดหน้าเรือนรับรองของรีสอร์ตตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้เพียงว่าเธอได้ปลดปล่อยความรู้สึกตกค้างในใจออกไปจนเบาใจลง ขณะเดียวกันก็มีเรื่องใหม่เข้ามาให้ขบคิด แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าคำไหว้วานที่ผู้เป็นลุงบอกตน มันแสดงถึงความใส่ใจว่าท่านไม่เคยลืมว่าลูกสาวคนเดียวชื่นชอบสิ่งใด
เดือนอ้ายรับคำพร้อมกับไหว้ขอบคุณผู้ที่มาส่ง เธอขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อความรู้สึกด้านลบแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน หญิงสาวฉุกคิดได้อย่างหนึ่งว่าดลฤดีไม่เคยตัดสินหรือกล่าวร้ายใคร หรือเป็นเธอที่ด่วนตัดสินพวกท่านเสียเอง
รถตู้ซึ่งออกไปรับผู้เดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงกลับมาถึงสุขคีรี รีสอร์ต ราวสิบโมงเช้า ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีของพนักงานบางส่วนที่จะได้พบอดีตนางเอกดังเป็นครั้งแรก และคนที่มารอรับพี่สาวถึงเรือนรับรอง
พนักงานชายในชุดม่อฮ่อมกางร่มคันใหญ่ฝ่าสายฝนปรอยๆ ออกไปรับแขกที่ลงจากรถตู้ เดือนอ้ายยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นดลฤดีกับสิทธาก้าวลงมา แต่แล้วเธอก็รู้สึกราวกับใครสาดน้ำโครมใหญ่ใส่ พวกเขาไม่ได้มาด้วยกันตามลำพัง แต่ยังมีบุคคลที่สามอย่างนภนต์เดินทางมาด้วย
“ยายอ้าย คิดถึงจัง”
เดือนอ้ายคลี่ยิ้มได้อีกครั้งเมื่อถูกญาติผู้พี่สวมกอดแรงๆ ทีหนึ่ง เธอพนมมือไหว้ทั้งดลฤดีและสิทธา ก่อนจะวาดมือที่พนมมาทางชายหนุ่มที่ยืนเยื้องหลังเพื่อนไวๆ แล้วลดลงโดยไม่รอเขารับไหว้ นภนต์ได้แต่เท้าเอวพลางกลอกตาอ่อนใจ
“อ้ายดีใจที่สุดเลยค่ะที่พี่หนูดีมา ลุงโอ๋สั่งให้เตรียมน้ำอัญชันลอยมะลิสำหรับต้อนรับพี่หนูดีเป็นพิเศษด้วย แล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงไปกินข้าวที่บ้านกันนะคะ เพราะลุงโอ๋บอกว่าเผื่อตอนเย็นพี่หนูดีอยากเข้าเมือง”
พนักงานยกแก้วเครื่องดื่มต้อนรับมาพอดี ดลฤดีพิศมองน้ำสีม่วงอ่อนในแก้วปากกว้างอย่างแก้วค็อกเทล ที่ขอบแก้วมีเลมอนฝานบางเสียบตกแต่ง แล้วหัวใจที่แข็งกระด้างก็อ่อนลงจนเผลอยิ้มออกมา
พ่อยังจำได้ว่าน้ำอัญชันสูตรนี้เธอกับยายเคยทำใส่กระติกไปให้ท่านระหว่างคุมการก่อสร้างสุขคีรี รีสอร์ต แต่เมื่อรอท่านคุมงานไม่เสร็จเสียทีเธอจึงดื่มน้ำดับกระหายจนเกือบหมด เหลือให้ท่านต้องเปิดฝาเพื่อยกดื่มน้ำที่เหลือติดก้นกระติกเท่านั้น
“นี่ค่ะ กุญแจและคีย์การ์ดบ้านพักของพี่หนูดีกับคุณสิทธา” เดือนอ้ายยังคงพูดเจื้อยแจ้วด้วยความดีใจ
“แล้วของฉันล่ะ”
สิ้นสุดคำถามของนภนต์ พลันบังเกิดความเงียบขึ้นมาราวกับมีคนถอดถ่านออกจากตุ๊กตาช่างจ้อ ดลฤดีหัวเราะคิกกับความคิดของตัวเอง
“หนุ่มๆ นอนด้วยกันแล้วกันเนอะ”
สิทธาพยักหน้าอย่างไม่มีปัญหา แต่ชายหนุ่มอีกคนดูจะมีปัญหากับเดือนอ้ายแค่คนเดียวเท่านั้น ถึงได้จ้องเอาๆ ทำท่าอย่างกับเสือรอขย้ำแม่เนื้อทรายก็ไม่ปาน
“ไปดูบ้านพักกันเถอะค่ะคุณสิทธา”
ดลฤดีคล้องแขนคนรักก่อนพากันเดินออกไปจากเรือนรับรองพร้อมพนักงานกางร่ม ผู้เป็นน้องทำท่าจะรีบตามไปติดๆ แต่ก็ถูกร่างสูงก้าวมายืนขวาง มองด้วยสายตาตำหนิติเตียน
“จะตามไปเป็นก้างทำไม พาฉันเดินสำรวจรีสอร์ตหน่อยสิ” นภนต์ข่มใจกลืนเก็บศักดิ์ศรีแล้วพูดจาดีๆ กับอีกฝ่ายราวไม่เคยบาดหมางกันมาก่อน
“แต่อ้ายต้องดูแลพี่หนูดีค่ะ” เธอตอบไวจนลิ้นแทบพันกัน แล้วหันไปเรียกพนักงานชายอีกคน “พี่คะ ฝากดูแลแขกทางนี้ด้วยนะคะ”
ว่าแล้วก็สับขาวิ่งลงจากเรือนรับรองโปร่งโล่งทันที เดือนอ้ายไม่ยี่หระกับสายฝนซึ่งยังคงโปรยปราย เธอก้าวเดินไปตามทางปูอิฐแผ่นใหญ่อันนำไปสู่บ้านพักที่ตั้งอยู่สูงต่ำลดหลั่นกันไป
“โอ๊ย”
หญิงสาวสะดุ้งตกใจเมื่อถูกกระชากข้อมือให้หมุนตัวไปเผชิญหน้า เป็นนภนต์ที่วิ่งตามมาด้วยสภาพเปียกปอนไม่ต่างกัน มิหนำซ้ำยังไม่มีพนักงานคนไหนตามเขามา
“บอกแล้วนะว่าอย่าวิ่งหนี แล้วดูรอบตัวซิ ลื่นตกเขาไปจะเป็นไงฮึ!” เขากระซิบดุ
“ไม่ตกหรอกค่ะ วิ่งมาแต่เด็ก คุณนั่นแหละจะตก” เธอขู่พร้อมกับออกแรงผลักเขาสุดกำลัง แต่ไม่ทำให้คนตัวยักษ์สะท้านสะเทือน แถมยังเปิดโอกาสให้เขารวบข้อมือเธอไว้ทั้งสองข้าง
“ไม่มีคนอบรมสั่งสอนไม่กี่วัน ปากเก่งขึ้นเยอะ” เขาเอ่ยลอดไรฟัน
“ก็ดีกว่าคนไม่รักษาคำพูด”
ถ้าเธอคิดว่าคำพูดแค่นี้จะทำให้เขาอับอาย เสียศักดิ์ศรี และเลิกตอแยเธอละก็ เจ้าหล่อนคิดผิดถนัด เพราะเขาเตรียมใจมารับฟังคำพูดเช่นนี้อยู่แล้ว แล้วก็จะหน้าด้านหน้าทนให้ถึงที่สุด
“ไหน มาให้พิสูจน์ซิว่าเก่งขึ้นแค่ไหน”
ชายหนุ่มรั้งร่างนุ่มนิ่มที่เขาสุดแสนจะคิดถึงมาใกล้ ครั้นโน้มใบหน้าลงไป คนในอ้อมแขนก็เบี่ยงตัวหลบหมุนหน้าหมุนหลังเป็นพัลวัน
อารมณ์ขุ่นมัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูในที่สุด เขาหลุดหัวเราะในลำคอพลางกอดกระชับเธอไว้แนบอก แค่นี้ก็ลืมเลือนความบาดหมาง ความโกรธ ความคิดถึงที่สั่งสมมานานนับสัปดาห์
“คิดถึงเหมือนจะบ้า”
ความรู้สึกที่ส่งผ่านเสียงกระซิบริมหูสะกดคนที่ดิ้นรนออกจากอ้อมกอดให้หยุดนิ่ง เม็ดฝนซึ่งยังคงพร่างพรมลงมาบอกให้เธอรู้ว่าความอบอุ่นจากร่างกายนี้เป็นของจริง เป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันต้องการ แม้เพียรปฏิเสธตัวเองมาหลายต่อหลายวัน
เดือนอ้ายยกแขนโอบเอวของชายหนุ่ม ซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อกับอกเสื้อของเขา เธอจึงไม่ได้เห็นสีหน้าโล่งใจและรอยยิ้มมุมปากของนภนต์
“ทีนี้จะพาฉันไปบ้านพักได้หรือยัง จะได้ชวนสองคนนั้นไปที่บ้านใหญ่ เธอจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
หญิงสาวพยักหน้าทั้งที่ยังก้มหน้างุด แต่ครั้นจะขยับตัวออกจากอ้อมกอด เขากลับอิดออดที่จะปล่อยเสียอย่างนั้น
“ปล่อยสิคะ”
“พูดว่าคิดถึงก่อน” นภนต์เรียกร้อง “เร็วเข้า ก่อนที่ใครจะมาเห็น”
“คิดถึง” เธอเอ่ยอุบอิบ ก่อนจะรีบจ้ำหนีทันทีที่เขาปล่อยตน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะอ่อนใจขณะก้าวตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่เร่งร้อน ถ้าเขารู้ว่าการยอมกลืนน้ำลายตัวเองมางอนง้อเจ้าหล่อนจะเห็นผลความสุขทันตาเช่นนี้ รู้อย่างนี้เขาบินตามเธอมาตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว
นี่กระมังคือสาเหตุที่ทำให้เขาพอใจเดือนอ้ายกว่าใคร เธอไม่เรื่องมาก น่ารำคาญ หรือทำตัวแสนงอนไร้เหตุผล เธออยู่ในที่ของเธอ ไม่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หรือพยายามเที่ยวปล้ำผู้ชาย
นภนต์คิดจะยกระดับความสัมพันธ์ไปอีกขั้น จากที่ต้องการพูดคุยทำความรู้จัก เขาจะลองคบหาดูใจกับเธอ อย่างน้อยก็ในระหว่างนี้ที่เขายังไม่มีใครถูกใจเข้ามา
ทันทีที่หนุ่มสาวนั่งรถตู้ไปถึงบ้านใหญ่บนเขาสูงขึ้นไป พ่อเลี้ยงโอภาสก็ออกมาต้อนรับทุกคนอย่างดี โดยเฉพาะสองหนุ่มที่คนหนึ่งเป็นว่าที่ลูกเขย ส่วนอีกคนเป็นลูกชายของเพื่อนรัก เขาพาทุกคนเข้าไปในห้องรับแขกติดกับระเบียงหลังบ้าน หน้าต่างบานสูงเอื้อให้มองออกไปเห็นภูเขาเขียวชอุ่มเป็นฉากหลัง งดงามกว่าภาพวาดใดๆ
“ผมจำได้ว่าตอนมาที่นี่ครั้งแรก ภูเขาลูกนั้นยังแห้งแล้งอยู่มาก” สิทธาเอ่ยกับว่าที่พ่อตา
เจ้าบ้านแลตามสายตาคู่คม แล้วหันไปยิ้มกับหนุ่มใหญ่อย่างพึงพอใจในความช่างจดจำแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม
“ใช่ ตอนนี้พอกิจการของสุขคีรีอยู่ตัว นายทุนก็หันมาอนุรักษ์ป่าเพื่อจับธุรกิจรีสอร์ตบ้าง”
“แบบนี้เราก็มีคู่แข่งสิคะ” ดลฤดีเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกนับแต่มาถึงบ้าน ก่อนจะเสมองออกไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างเมื่อรู้สึกถึงสายตายิ้มๆ ของพ่อ
“อย่าคิดว่าเป็นคู่แข่ง คิดว่าช่วยกันรักษาป่า อะไรก็ตามที่มนุษย์เห็นค่าของมัน เขาจะไม่ทำลาย”
คำตอบอันแสดงถึงแนวคิดเท่าทันโลกของบุรุษวัยกลางคนสร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่คนรุ่นใหม่ แม้แต่ลูกสาวที่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจพ่อบังเกิดเกล้าอยู่เนืองๆ ยังภาคภูมิใจในตัวพ่อเสมอมา และบัดนี้ยังเจือความห่วงใยที่ท่านเริ่มแก่ชราแต่ยังต้องบริหารกิจการ สู้รบตบมือกับปัญหาหรืออุปสรรคที่เข้ามา
“ฝนหยุดแล้ว อ้ายขอตัวไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนนะคะ พี่หนูดีกับคุณสิทธาจะได้พูดธุระด้วย” เดือนอ้ายไม่อาจข่มความเริงร่าในน้ำเสียง หลังเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าพี่และคนรักเดินทางมาด้วยเรื่องใด
“ถ้าอย่างนั้นผมขอออกไปเดินเล่นแถวนี้นะครับคุณอา”
เดือนอ้ายลุกออกไปก่อนได้ยินว่าพ่อเลี้ยงโอภาสตอบนภนต์ว่าอย่างไร ฝนที่เพิ่งหยุดตกทำให้ผืนดินชื้นแฉะจนต้องระมัดระวังย่างก้าวกว่าเดิม แล้วเธอก็ได้รู้คำตอบก่อนหน้านี้เมื่อนภนต์ตามตนมา
“นั่นบ้านเธอหรือ” เขาถามพลางพยักพเยิดไปทางบ้านไม้สีน้ำตาล มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีช็อกโกแลต ด้านหน้ามีระเบียงซึ่งมีหลังคายื่นปกคลุม
เขาเผลอยิ้มเมื่อเห็นว่าหลังคาระเบียงหน้าบ้านมีโมไบล์หลากชนิดแขวนอยู่ ทั้งที่ทำจากไม้ อะลูมิเนียม และเปลือกหอย เหมือนที่เขาชอบสะสมและปีนขึ้นไปแขวนตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ในสนามหน้าบ้านด้วยตัวเอง
“ค่ะ อ้ายขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวๆ ใจคอจะไม่เชิญแขกเข้าบ้านหรือ นี่เธอเป็นเจ้าบ้านประสาอะไร”
เจ้าบ้านมองค้อน ก่อนจะกวาดสายตาล่อกแล่กเพื่อมองหาผู้คน
“ไม่เอาน่าอ้าย เลิกทำเหมือนฉันจะฆ่าเธอหมกป่าเสียทีเถอะ” เขาลากเสียงอย่างอ่อนใจ
“คุณไม่เดินเล่นดูรอบๆ หรือคะ ถ้าไปทาง...”
นภนต์ตัดบทด้วยการฉวยกุญแจบ้านมาจากหญิงสาว เมื่อไขประตูแล้วจึงถือวิสาสะก้าวเข้าไป เจ้าของบ้านจึงต้องรีบก้าวตามพร้อมกับปิดประตูก่อนที่คนงานจะผ่านมาเห็น
เดือนอ้ายลอบถอนใจพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ เมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มหยิบกรอบรูปต่างๆ บนชั้นหนังสือมาเพ่งพิศ แทบทุกรูปมีเธอปรากฏอยู่ในนั้น ในเมื่อบ้านนี้เป็นบ้านที่เธออาศัยอยู่ตั้งแต่จำความได้
ครั้นเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญให้ความสนใจรูปถ่าย เธอจึงตรงเข้าไปในห้องนอนของตน จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชื้นหมาดมาสวมชุดใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อออกมาจากห้องก็พบว่าชายหนุ่มกำลังสำรวจครัวเล็กๆ ที่มีเพียงเคาน์เตอร์และตู้ลอยติดผนัง ตรงข้ามกันเป็นโต๊ะไม้เนื้ออ่อนจำนวนสี่ที่นั่ง เธออดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นเขาไล้มือสัมผัสไปตามเครื่องเรือนหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ เธอเพิ่งเคยเห็นท่าทางดื่มด่ำหรือลุ่มหลงในบางสิ่งบางอย่างของนภนต์เช่นที่เขาเป็นในยามนี้
“บ้านน่าอยู่”
คำชมสั้นๆ เหมือนผู้พูดลืมตัวเปรยออกมามากกว่าจะต้องการชม เพราะเขามิได้หันมามองเธอขณะเอื้อนเอ่ย เรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏบนใบหน้าผุดผาดผ่องใส
“เธออยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ ถึงว่าสิ ฉันเคยตามพ่อมาหาคุณอาบ่อยๆ แต่ไม่เคยเจอเธอที่บ้านในเมือง” เขาถาม คราวนี้หันไปมองผู้ที่เพิ่งเปลี่ยนชุดออกมาเต็มตา แล้วก็อดทำหน้านิ่วไม่ได้
“ค่ะ อ้ายอยู่ที่นี่ตั้งแต่จำความได้ แต่ก็เฉพาะช่วงปิดเทอม ตอนเปิดเทอมจะไปอยู่ที่บ้านในเมืองเพราะสะดวกกว่า คุณคงขึ้นมาเที่ยวช่วงปิดเทอมมั้งคะ”
“อืม” นภนต์ตอบรับ แต่ยังไม่ละสายตาจากหญิงสาวง่ายๆ “อยู่ที่นี่ใส่แต่ชุดแบบนี้เหรอ”
“คะ?”
เดือนอ้ายรีบก้มสำรวจตัวเอง เธอสวมเสื้อแขนกุดสีขาวขนาดพอดีตัวกับเอี๊ยมกางเกงยีน ดูอย่างไรก็ไม่น่าแปลกหรือสะดุดตาจนถูกเอ่ยทัก
ทว่าในสายตาคนมอง ทั้งชุดนี้และชุดก่อนที่เป็นเสื้อคอเต่าแขนกุดสีชมพูอ่อนกับกระโปรงผ้าสีน้ำเงินต่างก็ดูเย้ายวนตาเมื่ออยู่บนเรือนกายของเดือนอ้าย ถึงเธอจะมีแก้มอิ่มเหมือนเด็กและรูปร่างไม่ผอมบางอย่างพี่สาว แต่ยามที่สวมเสื้อแขนกุดเผยลำแขนเรียวราวลำเทียนก็ช่างยวนตายวนใจคนมองเหลือเกิน
“ทำไมหรือคะ” เธอถามละล่ำละลักเมื่อชายหนุ่มสาวเท้ามาใกล้มากขึ้น
“ถามหาเรื่องจริง” เขาเอ่ยเสียงพร่า
มือหนายื่นไปจับข้อมือทั้งสองข้างลำตัวของเดือนอ้าย ก่อนจะเคลื่อนมือขึ้นถึงต้นแขนของเธอ เขายิ้มน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอขนลุกเกรียว ร่างนุ่มนิ่มสะท้านไหวเมื่อเขาเชยคางเธอขึ้นมารับจุมพิตที่โหยหาจนเหมือนจะลงแดง
ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีคนอื่นรอพวกตนอยู่ นภนต์ไม่แน่ใจว่าเขาจะหยุดยั้งความปรารถนาที่จะครอบครองหล่อนได้หรือไม่ แต่เมื่อยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง เขาจึงถอนจุมพิตจากริมฝีปากอิ่มมาพรมจูบบนใบหน้าของหญิงสาวเพื่อเรียกสติทั้งเธอและเขากลับมา
“ถ้าไม่มีฉันอยู่ด้วย ต่อไปห้ามใส่เสื้อแขนกุดอีก จำไว้” เขาออกคำสั่งเสียงเบา
“ก็ที่นี่มีแต่เสื้อผ้าเก่าของอ้าย” เธอเถียงอุบอิบ ก่อนจะถูกดุอีกตามเคย
“ยัง ยังจะเถียงอีก”
เดือนอ้ายก้มหน้า เธอจึงไม่ได้เห็นว่าดวงตาของคนบ้าอำนาจพราวระยับอย่างขบขันระคนอ่อนใจ
“อ้ายขอไปช่วยแม่ในครัวก่อนนะคะ”
คำว่าแม่ของเธอทำให้นภนต์ย้อนนึกถึงวันที่ทะเลาะกันรุนแรง เขารักแม่มาก และรู้ว่าใครต่างก็รักแม่ของตน ไม่แปลกที่เดือนอ้ายจะบอกว่าเกลียดเขาทั้งน้ำตา
แทนที่ชายหนุ่มจะเดินแยกกลับเรือนใหญ่หลังออกมาจากบ้านไม้สไตล์คอตเทจ เขากลับเดินตามเธอไปทางโรงครัวที่อยู่อีกด้านของบ้านหลังใหญ่ เดือนอ้ายแปลกใจเสียจนชะงักก้าวเดิน
“คุณไม่ต้องตามอ้ายมาก็ได้” เธอเอ่ยอ้อมแอ้ม ทุกครั้งที่ประหวัดนึกได้ว่าเขาชังแม่ของตนเพียงไร ผู้เป็นลูกก็พลอยหดหู่ใจ
“ทำไมล่ะ ก็ฉันจะไปสวัสดีแม่ของเธอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ขัดฉันอีกแล้วนะอ้าย” นภนต์เอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะเดินผ่านหญิงสาวไปเสียเอง
เดือนอ้ายมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างสับสนเต็มกำลัง เธอรีบก้าวตามเขาไปทางโรงครัวซึ่งเปิดโล่ง เห็นแม่ของตนกำลังสาละวนกับการจัดชุดขันโตกให้คนงานยกออกไป
“แม่คะ”
อินทุอรผินมองตามเสียงลูกโดยไม่ได้วางมือจากงานเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาคุ้นๆ แต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ครั้นเขาพนมมือไหว้ เธอก็รีบวางทัพพีเพื่อรับไหว้อีกฝ่ายทันที
“คุณนภนต์ เพื่อนพี่หนูดีค่ะ” เดือนอ้ายแนะนำไปแกนๆ ตามมารยาท
“อ๋อ ลูกชายพี่สุนทรใช่ไหมคะ อาก็ว่าคุ้นหน้าชอบกล”
“ครับ” นภนต์ตอบสุภาพ
“พี่สุนทรสบายดีไหมจ๊ะ ปีที่แล้วก็ไม่เจอกัน เพราะหนุ่มสองคนเขาไปกระบี่ด้วยกันประสาหนุ่มๆ”
ผู้เป็นลูกประหลาดใจเสียเอง เขาไม่รู้ว่าพ่อไปกระบี่หรือเดินทางไปไหนๆ ด้วยกิจธุระใด เพราะนานๆ จึงจะกลับบ้านที แต่เขาจำต้องปดไปว่าท่านสบายดีทั้งที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของท่านอีกนั่นแหละ
“เอ...อ้ายจำคุณลุงสุนทร พ่อของพี่เขาได้ไหมลูก”
นภนต์หันมองคนที่ถูกถามอย่างสนใจขึ้นมา เขาไม่ได้ถือตัวที่แม่ของเจ้าหล่อนใช้สรรพนามสื่อถึงตัวเขาว่าพี่ ตรงกันข้ามกลับชอบเสียจนยิ้มบางๆ
“จำได้ค่ะ” เธอตอบตามตรง ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องด้วยความอึดอัดใจเมื่อมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ยินดีที่แม่ของเธอเมตตาเขานักหรอก “ป่านนี้พี่หนูดีคงหิวแล้ว แม่ให้อ้ายช่วยทำอะไรหรือเปล่า”
ชื่อของดลฤดีทำให้อินทุอรดึงความสนใจกลับมาจากแขกอีกคนได้ เธอรีบผละไปหน้าเตาที่มีหม้อใบใหญ่ตั้งอยู่ พลางสั่งลูกให้จับขนมจีนสดม้วนเป็นก้อนขนาดกำลังพอดีวางเรียงรอบจานใหญ่ เมื่อน้ำเงี้ยวสีจัดจ้านเดือดแล้วจึงตักใส่ชามแก้วที่วางไว้ตรงกลาง
นภนต์มองสองแม่ลูกหยิบจับงานครัวอย่างแข็งขัน ดูอย่างไรสตรีต่างวัยสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เขาคิดเข้าข้างเพื่อนสาว และดลฤดีก็คงหลอกตัวเองเพื่อระบายความเจ็บช้ำเช่นกัน
ความคิดเห็น |
---|