บทที่ ๕
หญิงสาวก้าวขึ้นรถเมล์ที่จอดป้ายหน้าห้างสรรพสินค้าเพียงเพราะอยากหนีจากคนใจร้ายให้ไกลที่สุด เมื่อขึ้นไปนั่งและปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปสักพัก เธอจึงลงจากรถโดยสารประจำทางที่มุ่งหน้าไปคนละทางกับที่หมาย ก่อนจะโบกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้านเพื่อนริมคลองมหานาค
จากที่นัดกันสี่โมงเย็น เธอมาถึงชุมชนริมคลองเกือบสี่ทุ่ม เดือนอ้ายพยายามปั้นหน้าสดใสขณะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้านครึ่งไม้ครึ่งตึกที่ตนเคยมาหลายครา ทันทีที่งับประตูปิดก็เห็นพิมพ์อักษรและโชติก้าวมาหา
“ขอโทษทีน้า เรามีธุระ เลยมาถึงดึกเลย” เธอเอ่ยอย่างเกรงใจเพื่อน “คุณย่าเข้านอนหรือยังน่ะโชติ จะได้ไปสวัสดีท่าน”
“เข้าห้องไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ก็เจอ” ชายหนุ่มซึ่งสวมแว่นสายตาหนาตอบเพื่อน
“ฉันโทร. หาอ้ายตั้งหลายทีก็ให้ฝากข้อความ เป็นห่วงจะแย่”
“เราทำมือถือหายไปที่ไหนก็ไม่รู้” เดือนอ้ายปดพิมพ์อักษรพลางก้มถอดรองเท้า
“เหรอ แต่ตอนโทร. ไปครั้งหลังสุดมีคนรับสายนะ”
หญิงสาวชะงักทุกการกระทำราวกับร่างกายแข็งเป็นหิน พิมพ์อักษรก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้า มือของเพื่อนที่แตะลงมาบนไหล่ทำเอาเดือนอ้ายไม่อาจเสแสร้งเข้มแข็งอีกต่อไป
“อ้าย แกก็รู้ว่ามีอะไรบอกฉันกับโชติได้เสมอ ฉันรู้หมดแล้วนะว่าพักนี้แกใจลอยเพราะใคร เมื่อเย็นโชติเล่าว่าวันเสาร์ที่แล้วแกหายไปกับใคร แล้วใครคนนั้นก็เพิ่งรับสายฉัน บอกว่าแกลืมมือถือไว้ที่เขา ถ้าแกมาถึงให้โทร. กลับด้วย”
“พิมพ์...” เดือนอ้ายครางเรียกเพื่อน เจ็บปวดเหมือนใจจะขาดรอนๆ “เราโง่มากเลยใช่ไหม เราไม่อยากชอบเขาเลยพิมพ์”
พิมพ์อักษรมองตอบดวงตาซึ่งกบด้วยหยาดน้ำตา แล้วก็ทำได้เพียงสวมกอดเพื่อนไว้พลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน
“แค่ชอบ ไม่เห็นโง่ตรงไหนเลย” เธอปลอบพลางชี้ช่องความรู้สึก “ฉันยังชอบณเดชน์ ชอบเวียร์ ก็สอบได้เอตลอดนะแก”
คนทุกข์ใจหัวเราะทั้งน้ำตา เดือนอ้ายคิดทบทวนตามคำของเพื่อน เปรียบเทียบความรู้สึกที่เธอมีต่อนภนต์ว่าเป็นความชอบอย่างที่คนอื่นมีต่อดาราหรือไม่ หากไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกระมัง เพราะถึงแม้เธอจะมิได้หลงใหลได้ปลื้มเขาแต่แรกพบ ทว่าความแตกต่างระหว่างกันกลับกลายเป็นแรงดึงดูดเธอกับเขาให้ใคร่รู้ใคร่ลองคบหา แค่คบหา...ไม่ได้หมายความว่าจะมีอนาคตร่วมกัน
“เข้าบ้านเถอะ นี่เรากับพิมพ์ลองทำข้าวมันไก่ในหม้อหุงข้าวด้วยนะ” โชติชวนเพื่อนสาวทั้งสองก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน
เดือนอ้ายยิ้มขันเมื่อเพื่อนเอาของกินมาล่อเสียอย่างนั้น เห็นความหวังดีของพิมพ์อักษรกับโชติแล้วเธอก็ได้แต่ก่นด่าความอ่อนไหวของตัวเอง เธอไม่น่าคิดไกลเกินตัวเลย โลกของเธอแม้ไม่น่าตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ แต่ก็เป็นโลกที่ให้ความสุขความสบายใจแก่เธอ
หญิงสาวสูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมความเข้มแข็ง แม้จะได้คืนมาน้อยนิด แต่เมื่อนั่งลงบนพื้นไม้ที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันโดยมีข้าวมันไก่ส่วนสะโพกตั้งอยู่ตรงหน้า พร้อมกับน้ำจิ้มสีน้ำตาล ไม่เข้มด้วยซีอิ๊วดำเหมือนบางร้าน เธอก็พลอยเบิกตาโตอย่างถูกใจ
“เสียดาย ไม่มีมือถือถ่ายรูปเลย” เธอบ่นอุบอิบ ก่อนคำถามของเพื่อนจะทำให้คิดหนักอีกครั้ง
“แล้วอ้ายจะโทร. กลับหาเขาไหม”
“เอาไงดีอ่าพิมพ์”
“เป็นฉันจะโทร. ให้เขารู้ว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องหนีหรือกลัวนี่ คนอย่างนั้นมีแต่จะยิ่งได้ใจ” พิมพ์อักษรแนะประสาคนมั่นใจ
“ทำไมถึงคิดว่าเรากลัวเขาล่ะ”
“โธ่ ก็วันที่พวกเราบังเอิญเจอเขากับมิลกี้ แกวิ่งหนีก่อนเพื่อนเลย อีกอย่าง...ตอนที่ฉันทำใจกล้าไปขอถ่ายรูปกับยายมิลกี้นะ เขาดูนิ่งๆ เฉยๆ แต่ตางี้คมกริบเชียว เจอทีเดียวยังขยาด”
เดือนอ้ายตวัดค้อนใส่เพื่อน มีอย่างที่ไหนตัวเองยังกลัว แต่กลับยุให้เธออย่ายอมนภนต์เสียนี่
“เอาน่า แกเป็นลูกพี่ลูกน้องเพื่อนรักของเขา ไม่จำเป็นต้องเกรงแบบฉันนี่นา” พิมพ์อักษรแก้ตัว “แล้วเมื่อกี้น้ำเสียงเขาก็ฟังร้อนใจน่าดู ถึงจะเก๊กๆ อยู่ก็เหอะ”
คนที่ควรเครียดกลับขำ เมื่อชายหนุ่มสมบูรณ์แบบในสายตาใครต่อใครถูกเพื่อนรักของเธอวิพากษ์เป็นฉากๆ
“กินก่อนค่อยโทร. ก็ดีนะแก ให้รอไป” พิมพ์อักษรยุอีก
“โชติกับพิมพ์เล่นเสิร์ฟข้าวมันไก่ตอนสี่ทุ่ม แล้วอย่าว่าเราอ้วนล่ะ”
“ยังต้องกลัวอ้วนอีกเหรออ้าย” โชติเอ่ยแซ็ว เรียกเสียงหัวเราะแห่งมิตรภาพให้อบอวลในบ้านหลังเก่าทรุดโทรม
เดือนอ้ายคิดถูกแล้วที่มาที่นี่แทนที่จะปลีกตัวจากเพื่อน เพราะการมีคนร่วมแบ่งปันทุกข์อาจมีค่ากว่าการมีคนสร้างสุขให้แก่เราเสียอีก
นภนต์กลับเข้าห้องชุดบนคอนโดมิเนียมหลังวางสายจากเพื่อนของเดือนอ้ายที่โทร. เข้ามายังเครื่องของหญิงสาวพอดี ทั้งที่เขาตั้งใจจะไม่ข้องเกี่ยวกับโลกของเด็ก แต่สถานการณ์ก็ทำให้เขาต้องแสดงตัวต่อเพื่อนเจ้าหล่อนจนได้
แต่กลับมาถึงที่พักก็แล้ว หาอะไรดื่มก็แล้ว ไม่มีทีท่าว่าคนที่หนีกลับไปก่อนจะโทร. เข้ามาเสียที มีแต่สายจากมณิศรที่ตัดพ้อเมื่อเขาไม่ได้เข้าร้าน ชายหนุ่มจึงอ้างว่าเขาติดธุระ และโทร. ไปกำชับให้ผู้จัดการร้านดูแลความเป็นส่วนตัวแก่เจ้าหล่อนและเพื่อนให้ดี
หลังจากนั้นก็มีข้อความและรูปภาพส่งมาจากนางเอกวัยรุ่นเป็นระยะ เขาได้แต่ตอบกลับ ไม่ตัดไมตรี แม้ในใจจะแสนเหนื่อยหน่ายและโทษตัวเองที่ริจะคบเด็ก...เพียงเพื่อต้องการคำตอบว่าความรู้สึกอยากรังแกเด็กนั้นเป็นรสนิยมใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา หรือเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อใครบางคนเป็นพิเศษ แล้ววันนี้นภนต์ก็ได้คำตอบ...เขาต้องการพูดคุยทำความรู้จักกับเดือนอ้าย เด็กที่พ้นวัยเด็กมาหลายปีดีดัก แต่ช่างห่างไกลจากคำว่าหญิงสาวเต็มตัว
เขาชอบความเป็นธรรมชาติในตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด สายตา กลิ่น และรสสัมผัส ทุกอย่างไร้การปรุงแต่ง แตกต่างจากผู้หญิงในสังคมที่เขาคบหา หรือแม้แต่มณิศรซึ่งอ่อนวัยกว่ายังมีจริตจะก้านอย่างสาวๆ มากกว่าเดือนอ้ายเสียอีก
ถ้าไม่นับที่เดือนอ้ายหนีกลับไปเช่นนั้น นภนต์คิดว่าเดตในวันนี้ไม่เลวเลย เธอขัดใจเขาบ่อยๆ แต่ก็มีด้านที่ถูกใจเขามากกว่า โดยเฉพาะท่าทางเชื่อฟัง แววตาสัตย์ซื่อ และจุมพิตที่นุ่มและหวานตามธรรมชาติ เธอทำให้เขาเหมือนจะคลั่งเพราะกระหายในรสสัมผัสอีกไม่รู้เบื่อ ที่ไหนได้...
คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ถอนใจแรงอีกครา เขากระดกน้ำสีอำพันลงคอ มืออีกข้างเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อดูความเป็นไปในชีวิตเจ้าของเครื่องนั้น ก่อนเสียงเรียกเข้าที่เฝ้ารอจะดังขึ้นขัดจังหวะ
“ฮัลโหล” ความรู้สึกหลากหลายกลั่นเป็นน้ำเสียงร้อนใจ “อ้าย เธอหรือเปล่า”
“ค่ะ” เสียงเบาๆ ตอบกลับมา
นภนต์ต้องหลับตาตั้งสติและสูดหายใจลึก ตั้งใจว่าจะไม่เอาเรื่องคนผิดในตอนนี้ เขาอยากให้เธอสำนึกได้เองว่าไม่ควรทำแบบนั้นอีก
“อืม ถึงบ้านเพื่อนแล้วก็แล้วไป”
มีเพียงความเงียบตอบกลับมา แต่เขารู้ว่าเธอยังมิได้วางสาย
“พรุ่งนี้กลับกี่โมง จะไปรับ”
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ”
“ใจคอจะปฏิเสธฉันทุกอย่างใช่ไหมอ้าย วันนี้ก็ยอมให้ไปแล้ว จะอะไรอีก”
“คุณไม่ได้ยอม อ้ายหนีมาเอง” เธอเถียงเสียงอู้อี้
ชายหนุ่มกลอกตาอ่อนใจ แม่ตัวดีคงเห็นว่าเป็นการคุยโทรศัพท์จึงกล้าเถียงสิน่า ทีเวลาอยู่ต่อหน้าเขาทีไร เอะอะก็บีบน้ำตา
“แน่สิ ฉันยอม ถ้าไม่ยอมคิดเหรอว่าฉันจะไม่กล้าไปหาถึงบ้านเพื่อนของเธอ” นภนต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนแรง “ให้พิสูจน์ตอนนี้เลยไหมล่ะ ฉันมีแผนที่ไปบ้านเพื่อนของเธอจากที่พวกเขาเช็กอินในเฟซบุ๊ก”
“อย่านะ” หญิงสาวห้ามเสียงสั่น ตามมาด้วยเสียงลมหายใจขาดห้วง “อ้ายเกลียดคุณ”
นภนต์เม้มปากแน่น ก้อนเนื้อในอกสะท้านไหวเมื่อมันเพิ่งรู้จักความเกลียดชัง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครบอกว่าเกลียดเขา ไม่มีสักคนเดียว
“ไว้พรุ่งนี้เธอพูดประโยคนี้ต่อหน้าฉันนะอ้าย พูดต่อหน้าฉัน” เขาย้ำเสียงเครียด “แล้วเราจะได้ไม่ต้องพบ ไม่ต้องมองหน้ากันอีกต่อไป”
เขากดตัดสายอย่างไม่อาจทนฟังเสียงเธอร้องไห้หรือเอื้อนเอ่ยถึงความเกลียดชัง มือหนากวาดเอาข้าวของบนโต๊ะรับแขกตกเกลื่อนกลาด แก้วทรงเตี้ยที่มีน้ำแข็งติดก้นแก้วแตกกระจาย
สิบโมงกว่าแล้ว เป็นเวลาที่เดือนอ้ายตั้งใจจะกลับบ้าน ทว่าคนที่บอกว่าจะมารับกลับยังไม่มาเสียที จริงอยู่ที่เธอไม่ได้นัดหมายเวลากับเขา แต่หากหนีกลับก่อนก็เกรงว่านภนต์จะนำความเดือดร้อนมาสู่เพื่อนของตน
“โทร. ไปสิอ้าย เมื่อคืนปรับความเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ” โชติเอ่ยตามที่เพื่อนบอกว่าอย่างนั้น
“ใช่ โทร. ไปถามก็จบแก เขาอาจจะหลงทางก็ได้” พิมพ์อักษรยัดโทรศัพท์มือถือใส่มือเพื่อน
หญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้งๆ เป็นเพราะเมื่อคืนเธอโทร. หานภนต์ตอนที่เพื่อนๆ แยกย้ายไปอาบน้ำ ก่อนจะปดเพื่อนว่าเธอกับนภนต์เข้าใจกันดีแล้ว เธอไม่อยากให้เสียความตั้งใจที่จะมาอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วยกัน แล้วกลายเป็นว่าพวกเขาต้องมาปลอบใจเธอ
“เร็วสิ เดี๋ยวพี่หนูดีมาถึงก่อน อ้ายไม่อยากให้พี่หนูดีคิดว่าทิ้งบ้านไม่ใช่เหรอ” แม่เพื่อนช่างยุกระตุ้นอีกครา
เดือนอ้ายยอมต่อสายไปยังหมายเลขตัวเองในที่สุด หัวใจสาวโลดแรงเมื่อจินตนาการถึงเสียงตวาดดุรับสาย แต่แล้วมันก็เต้นแผ่วลง...แผ่วลง หลังรอสายอยู่นานจนตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความ
เธอสั่นศีรษะกับเพื่อนให้รู้ว่าไม่มีคนรับ แต่พิมพ์อักษรกลับกดโทร. ออกอีกครั้งและส่งให้เธอ
“อืม...”
คราวนี้เสียงคุ้นหูดังแทนเสียงสัญญาณรอสาย ฟังเหมือนคนรับไม่มีสติสัมปชัญญะขณะเอ่ยทักทาย
“ฮัลโหล” เดือนอ้ายเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ “อ้ายนะคะ”
“อืม”
“คุณบอกว่า...”
“ปวดหัว ขอนอนก่อนได้ไหม” เขาเอ่ยยานคางราวกับเด็กไม่อยากไปโรงเรียน
“ถ้าอย่างนั้นอ้ายกลับเองนะคะ” หญิงสาวรีบเสนอ
เธอไม่มีปัญหาที่ต้องกลับเอง ตรงกันข้ามกลับโล่งใจเสียด้วยซ้ำ เพราะคำขู่เค้นของนภนต์เมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้เธอปวดร้าวไปทั้งใจ...ดั่งมีคนบิหัวใจจากขั้ว เธอไม่อยากตัดขาดจากเขาถึงเพียงนั้นเลย เธอแค่ต้องการให้เขาดีต่อเธอทั้งคำพูดและการกระทำเท่านั้นเอง
“อ้าย...” หางเสียงทอดยาวเจือแววเว้าวอน “ปวดหัว มาหาหน่อยได้ไหม ปวดท้องด้วย ไม่มีอะไรกิน”
จบประโยคนั้นตามมาด้วยเสียงขลุกขลักจากปลายสาย เดือนอ้ายตกใจจนหน้าถอดสีเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังจะอาเจียนก่อนสายตัดไป
“เหมือนเขาไม่สบาย ทำไงดีอ่า” หญิงสาวหันมาปรึกษาเพื่อนอย่างร้อนรน
เห็นท่าทางของเพื่อน พิมพ์อักษรก็ได้แต่โคลงศีรษะหนักใจ เดือนอ้ายดูจะผูกจิตผูกใจกับบุรุษผู้นั้นมากเหลือเกิน แต่ด้วยความเป็นเพื่อน เมื่อเพื่อนรักอยากทำสิ่งใดหรืออยากจะรักใคร เพื่อนก็มีแต่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน
“เขาบอกให้แกกลับเองหรือ”
“เปล่า แต่เหมือนอยากให้ซื้อของกินไปให้ แต่เราไม่รู้ที่อยู่เขานี่สิ”
“หมายความว่าถ้ารู้ก็จะไป?”
เดือนอ้ายพยักหน้าอย่างสิ้นท่าพลางเสหลบตาเพื่อนทั้งสอง เธอรู้ว่าในสายตาเพื่อนคงเต็มไปด้วยความห่วงใยเมื่อคิดว่าเธอเล่นกับไฟ แต่เธอไม่เคยคิดเปลี่ยนนภนต์เหมือนอย่างที่ผู้หญิงยอมทุ่มเทกายและใจเพื่อหวังเปลี่ยนผู้ชายเจ้าชู้ เวลานี้เธอแค่เป็นห่วงเขา ถ้าเขาหายดีและพูดจาร้ายกาจกับเธอ เธอก็แค่ถอยห่างจากเขาอย่างที่ตั้งใจ
หลังพิมพ์อักษรใช้เส้นสายที่เคยฝึกงานกับกองบรรณาธิการของนิตยสารชื่อดังสืบหาที่อยู่ของนภนต์มาได้ สองสาวจึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่มายังคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ด้านหน้าตึกสูงระฟ้าเป็นพื้นที่สวนสีเขียว เดินลึกเข้าไปจนเสียงรถราบนท้องถนนซาลงจึงถึงตัวตึกที่ทางเข้าเป็นกระจกสูงสองชั้น เพิ่มความโอ่โถงให้แก่พื้นที่ต้อนรับของคอนโดมิเนียม
“ฉันรอข้างล่างดีกว่า เขาคงไม่ทำอะไรแกหรอกเนอะ แกเป็นน้องพี่หนูดีนี่นา”
เดือนอ้ายพยักหน้ากับเพื่อน ต่างคนต่างเกรงเจ้าของห้องพักที่ไม่ใคร่จะเป็นมิตรกับพวกตนเท่าไร
“ขอบคุณนะพิมพ์ เราขึ้นไปไม่นานหรอก เอาโจ๊กให้เขาแล้วก็เอามือถือเราคืน”
หญิงสาวผละไปที่พนักงานต้อนรับเพื่อแจ้งว่าจะมาพบเจ้าของห้องบนชั้นยี่สิบห้า แล้วพนักงานจึงกดโทรศัพท์ภายในขึ้นไป เธอรออีกฝ่ายพูดสักพักก่อนเจ้าหน้าที่จะเดินนำคีย์การ์ดไปกดลิฟต์ให้ตน
หัวใจสาวเต้นรัวเมื่อลิฟต์มุ่งขึ้นมาสู่ชั้นที่หมายเร็วกว่าจะทำใจให้พร้อม เธอก้าวช้าๆ ไปตามโถงทางเดินที่มีแสงสว่างนวลตา กระทั่งมาถึงประตูสีดำบานใหญ่ซึ่งมีตัวเลขสีเงินบอกหมายเลขห้องพัก เธอจึงสูดหายใจลึกพร้อมกับกดกริ่งข้างประตู
เดือนอ้ายสะดุ้งน้อยๆ เมื่อประตูเปิดออก ร่างอวบอิ่มผงะถอยไปก้าวหนึ่งอย่างยากจะตัดสินได้ว่าเป็นเพราะไอเย็นจากภายในจู่โจมปะทะ หรือเพราะคนที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า เธอเห็นแววตาของนภนต์สว่างวาบขึ้นมา ก่อนเขาจะเบือนหน้าหนีแล้วเดินกลับเข้าไป
สิ่งที่พบเป็นอย่างแรกหลังก้าวเข้าไปข้างในคือเคาน์เตอร์ครัวสำเร็จรูป อีกด้านหนึ่งเป็นตู้รองเท้าและชั้นวางของสูงจดเพดาน กลางห้องมีชุดโซฟาดีไซน์เหมือนลูกคลื่นตั้งอยู่บนผืนพรม นภนต์นั่งยองๆ อยู่ข้างโต๊ะรับแขกตัวเตี้ยนั้น เขากำลังเก็บเศษแก้วใส่ถังขยะใบเล็ก เห็นดังนั้นเธอจึงสืบเท้าไปช่วยอีกแรง
“ไม่ต้อง” เขาขัดเสียงดุ
หญิงสาวพลอยหวิวไหวในหัวอกเมื่อถูกปฏิเสธน้ำใจ ทั้งที่ปกติแล้วนภนต์เป็นฝ่ายเรียกร้องการเอาใจเสมอ
เธอได้แต่ถอยไปรอจนเขาลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงเดินผ่านเธอไปล้างมือยังอ่างล้างจาน เดือนอ้ายจึงส่งถุงโจ๊กให้เขาบนเคาน์เตอร์ครัว
“คุณ...มียาหรือเปล่าคะ อ้ายไม่รู้จะซื้อยาอะไร”
“ไม่มี ฉันไม่ได้ไม่สบาย แค่เมา”
คนฟังหน้าม้านชา แม้เขาจะยอมรับตามตรง แต่น้ำเสียงและวาจาของเขาช่างตัดรอนความห่วงใยของเธอ
“มาเอามือถือใช่ไหม รอเดี๋ยว”
ดวงตาซึ่งร้อนผ่าวขึ้นมามองค้อนแผ่นหลังของคนที่เดินหนีเธออีกครา ถ้าเขารำคาญ ไม่ต้องการให้เธอยุ่มย่ามชีวิตส่วนตัวแล้วไยจึงขอให้เธอมาหา ทำเหมือนว่าเธอมีความสำคัญต่อความเจ็บป่วยทุกข์ร้อนของเขา แต่เปล่าเลย เขาคงพูดไปตอนที่สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนกระมัง
เสียงประตูห้องนอนปิดลง เดือนอ้ายรีบปาดน้ำตาก่อนที่อีกฝ่ายจะมาเห็น เธอมัวแต่ก้มหน้าหลบตาจึงไม่ทันเห็นว่าคนที่ยื่นโทรศัพท์คืนให้มีสีหน้าและสายตาที่เปี่ยมด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่พอใจ...
“ถ้าอย่างนั้น...อ้ายกลับนะคะ” เธอเอ่ยตะกุกตะกักพร้อมกับพนมมือไหว้
ทว่าหญิงสาวเดินสวนเจ้าของห้องไปได้เพียงก้าว มือแข็งแรงก็คว้าข้อมือของเธอ ร่างนุ่มนิ่มเซปะทะอกกว้าง ก่อนเขาจะวาดแขนอีกข้างมากอดและกดศีรษะเธอแนบอก
เดือนอ้ายไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน ตรงกันข้าม อ้อมกอดอบอุ่นของคนใจร้ายกลับทำให้เธอไม่อาจฝืนกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เสียงเล็กๆ ครางสะอื้น เธอกำเสื้อของเขาแน่นตามความกดดันในใจ
“พูดสิว่าเกลียดฉัน” นภนต์ท้า
เขามั่นใจ เห็นเธอเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าเดือนอ้ายมิได้เกลียดตน แล้วทำไมจึงต้องเอ่ยคำนั้นออกมาให้เขาคิดหวั่นแทบบ้า ถึงกับต้องดื่มเหล้าย้อมใจและหาข้ออ้างไม่ไปรับเธอ
“พูดสิอ้าย”
เมื่อถูกเค้นเอาคำตอบ คนในอ้อมแขนก็ยิ่งสะอื้นแรงจนตัวสั่น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดร้ายกาจออกมา นภนต์วางคางบนศีรษะของหญิงสาวพลางลอบถอนหายใจ
“มาได้อย่างไร มากับใคร”
คราวนี้เธอยอมตอบเสียงเครือ “พิมพ์...พิมพ์ค่ะ”
นึกถึงเพื่อน เดือนอ้ายก็ค่อยรวบรวมสติกลับมา เธอขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขาพร้อมกับยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนฝ่ามืออุ่นจัดจะเชยคางเธอแล้วช่วยซับน้ำตา
เพราะด้านอ่อนโยนและปฏิบัติกับเธออย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้มาก่อนเช่นนี้ เธอจึงได้พ่ายแพ้แก่เขาอยู่ร่ำไป เดือนอ้ายไม่อยากยอมรับเลยว่าเธอแพ้เขาขาดลอย
“พะ...พิมพ์รออ้ายอยู่ข้างล่าง” เธอบอกเขาหรือย้ำเตือนตัวเองก็สุดรู้
“อืม โทร. บอกให้กลับไปก่อน”
“แต่ว่าพี่หนูดีน่าจะแลนดิงแล้ว”
“ให้ฉันกินอะไรก่อน แล้วจะไปส่ง” คนหิวจ้องริมฝีปากอิ่มไม่วางตา
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้ายกลับ...”
ราวกับเธอจงใจแกว่งลูกเชอร์รียั่วเขาทุกครั้งที่เจ้าหล่อนขยับปากเอื้อนเอ่ย นภนต์สุดหักห้ามใจมิให้ตะครุบคว้าตะโบมจูบ ดูดกินเจ้าเชอร์รีนั้นด้วยความกระหายอยากในรสสัมผัสที่เขาได้ชิมและติดใจมาตั้งแต่เมื่อวาน
ทว่าพายุอารมณ์ที่ทำท่าจะเลยเถิดจนกู่ไม่กลับมีอันต้องหยุดชะงัก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของเดือนอ้ายขัดขึ้นอย่างรู้งาน แต่เจ้าของเครื่องดูจะตกอยู่ในภวังค์มิคลาย เขาฉวยโทรศัพท์จากเธอมารับสายเสียเอง
“ครับ อ้ายอยู่นี่ เดี๋ยวไปส่งเอง คุยกับอ้ายไหม”
หญิงสาวรับโทรศัพท์กลับมาอย่างงุนงง เธอตอบคำถามให้เพื่อนสบายใจและไม่ลืมเอ่ยขอโทษที่ทำให้พิมพ์อักษรต้องรอ ขณะที่หางตาก็เหลือบเห็นนภนต์กำลังเทโจ๊กใส่ชาม แล้วยังตอกไข่ดิบจากตู้เย็นใส่ลงไปอีกฟอง
หลังวางสายจากเพื่อน เดือนอ้ายก็ยืนคว้างอย่างแปลกที่แปลกทาง แต่ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้สตูลตรงเคาน์เตอร์ครัวกลับตบลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเธอเขย่งตัวนั่ง ชายหนุ่มจึงคว้ามือขวาของเธอไปกุม เขาไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากจับมือเธอพลางละเลียดกินโจ๊กอย่างไม่รีบร้อน
ความร้อนรุ่มยามผิดใจกันแปรเปลี่ยนเป็นความอุ่นซ่านที่เดือนอ้ายไม่เคยได้รับจากใคร เธอชอบนภนต์คนนี้ แต่เธอเลือกไม่ได้ใช่ไหมที่อยากให้เขาเป็นเช่นนี้ตลอดไป ในเมื่อตัวจริงของเขาคือคนใจร้อน เอาแต่ใจ และได้ชื่อว่ารักเพื่อนฝูงมากกว่าอะไรทั้งหมด หญิงสาวคิดและทำใจเผื่ออนาคตที่เขา ‘เลิกถูกใจ’ เธอ แต่ในเมื่อวันนั้นยังมาไม่ถึง เธอก็อยากมีมือหนาคอยกุมมือเธอไว้แบบนี้ต่อไป
“ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีกนะ”
เดือนอ้ายเงยหน้ามองชายหนุ่มตาปริบๆ ก่อนจะรีบหลบตาเมื่อเห็นดวงตาสีสนิมเหล็กทอดมองเธออยู่ก่อนแล้ว เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาจัดการโจ๊กและน้ำดื่มหมดเกลี้ยง
“อย่าวิ่งหนีไปแบบนั้น มันดีหรืออ้าย ถามตัวเองดูซิ”
“คุณว่าอ้ายก่อน คุณชอบดูถูกอ้าย”
นภนต์เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ ถือว่ามีจูบหวานๆ ที่เขาแพ้ทางจึงกล้าเถียงเขาหรืออย่างไร
ทว่าชายหนุ่มก็ไพล่คิดทบทวนตามคำกล่าวโทษของเจ้าหล่อน ก่อนจะถึงบางอ้อในที่สุด
“ที่ฉันบอกว่าเธอยอมให้จูบน่ะเหรอ ดูถูกตรงไหน”
ฟังเขาพูดสิ เธอน่าจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์จะอธิบายกับคนที่ไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเอง เดือนอ้ายทั้งขุ่นเคืองและละอายแก่ใจเมื่อนึกถึงจุมพิตที่ยินยอมพร้อมใจมอบให้คนฉกฉวยถึงสองครั้งสองครา เธอพยายามชักมือออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาที่ฉายแววเจ็บช้ำจึงตวัดมองไปที่เขาอย่างโกรธๆ แทน
“เออๆ ขอโทษ จบเรื่องเมื่อวานนะ” เขาเอ่ยส่งๆ ไป คร้านจะทะเลาะกับเด็กอีก เขาอยากให้เธอทำตัวน่ารักมากกว่าปึ่งงอน “ดูทีวีระหว่างรอฉันอาบน้ำก็ได้ แป๊บเดียว”
หญิงสาวมองคนคิดเร็วทำเร็ว นภนต์แช่แก้วและจานในอ่าง ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน การกระทำของเขาบ่งบอกถึงนิสัยง่ายๆ ไม่ใส่ใจในทุกสิ่ง เช่นที่เขาเอ่ยคำขอโทษออกมาอย่างไม่ใส่ใจจริงจัง
คนที่เปลี่ยนไปคือเธอต่างหาก จากที่เคยรังเกียจพฤติกรรมของเขา เธอกลับรับได้และมองเห็นด้านดีที่นภนต์ปฏิบัติต่อเธอ ความเอาใจใส่ ดูแล และห่วงใยที่ถึงแม้อาจจะมากเกินไป แต่ลึกลงไปในใจมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีเสมือนมีตัวตนในสายตาใครสักคน
เดือนอ้ายเผลอยิ้ม ก่อนจะรีบสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดเพ้อเจ้อ เธอลุกไปล้างจานประสาคนที่ไม่ชอบทิ้งงานให้ค้างคา แล้วจึงหยิบตำราเรียนออกมาอ่านระหว่างรอ
“เฮ้อ เพิ่งรู้ว่าเธอเป็นเด็กเรียนขนาดนี้”
นภนต์ยีผมอย่างเบื่อหน่ายขณะรอพบเพื่อน แต่ลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนเอาแต่อ่านหนังสือ ตั้งแต่ที่คอนโดมิเนียมของเขา บนรถ และจนกระทั่งในห้องรับแขกบ้านของดลฤดี
“ถ้าอย่างนั้นอ้ายขึ้นไปอ่านบนห้องนะคะ” เธอเอ่ยกล้าๆ กลัวๆ อีกทั้งการอ่านหนังสือโดยมีคนคอยจดจ้องก็ทำให้ไม่มีสมาธิ
“ตลก” ชายหนุ่มตอกกลับ “ฉันเข้าใจว่าตามมารยาทเธอต้องชวนแขกคุย ไม่ใช่เอะอะก็หนี”
เออหนอ เขาดุออกอย่างนี้ ใครจะกล้าชวนคุย เดือนอ้ายระบายลมหายใจอึดอัดแน่นอก แต่ก็ยอมปิดหนังสือแต่โดยดี
“เทอมสุดท้ายแล้ว จบแล้วคิดอยากทำงานอะไร” นภนต์เป็นฝ่ายถามเสียเอง
“คุณสิทธาชวนอ้ายไปทำงานด้วยค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบกระตือรือร้นขึ้นมา เจือร่องรอยของความภูมิใจ
“งานก่อสร้างน่ะเหรอ” เขาถามประชด อดหมั่นไส้ไม่ได้
“บริษัทก่อสร้างค่ะ”
“ต่างกันตรงไหน” ชายหนุ่มย้อนกลั้วหัวเราะ “แล้วเด็กอักษรฯ อย่างเธอจะไปทำอะไร”
“คุณสิทธาบอกว่าอ้ายสามารถทำงานที่แผนกติดต่อประสานงานได้ เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ทางการสื่อสารเพื่อติดต่อและประสานกับผู้จ้างหรือหน่วยงานที่จ้าง โดยเฉพาะเวลาร่างจดหมายติดต่อหน่วยงานราชการที่ทางบริษัทร่วมประมูลงาน”
เสียงหวานใสกับคำโต้ตอบยาวๆ แบบนี้ทำให้คนฟังหวนนึกถึงคืนที่เขาถือวิสาสะรับโทรศัพท์ของดลฤดี นภนต์รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นอีกจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจเดือนอ้าย และก็เพิ่งมีครั้งนี้ที่เธอพูดกับเขายาวๆ โดยไม่มีอาการเกร็งหรือตื่นกลัว เขาก็ยิ่งนึกชอบใจ
“เหนื่อยไหม”
“คะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วฉงน
“พูดยาวๆ แบบนั้นน่ะ เหนื่อยไหม”
“มะ...ไม่ค่ะ”
“เก่ง”
คำชมสั้นๆ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มร้ายตรงมุมปากทำเอาคนฟังร้อนเห่อไปทั้งใบหน้า ก่อนจะลามไปยังทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่เก้าอี้ที่นั่งยังร้อนจนต้องขยับตัวยุกยิก
ทว่าเสียงประตูรั้วเปิดตามด้วยเสียงรถแล่นเข้ามาก็ทำให้หนุ่มสาวต่างลืมเรื่องที่กำลังสนทนา เดือนอ้ายรีบลุกออกไปจากห้องนั่งเล่น เจอกับสาวใช้ที่โถงทางเดินพอดี จึงจูงมือกันไปต้อนรับเจ้าของบ้านด้วยความดีใจ
หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ดลฤดีและสิทธาที่ลงมาจากรถ ผู้เป็นพี่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อสายตาหลังแว่นกันแดดแลไปเห็นผู้ที่ก้าวออกมาทีหลัง ร่างระหงจึงพุ่งไปหาด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้เจอนภนต์ที่นี่วันนี้เช่นกัน
“ไหนชุดเจ้าสาว”
“ตลก” เพื่อนสาวค้อนขวับ “หนูดีไปเลือกแบบและวัดตัว เขาจึงจะตัดและส่งมาให้”
“อ้าวเหรอ ไม่ยักรู้” ชายหนุ่มบอกกวนๆ
“แหม รู้อะไรบ้างยะ นอกจากพานางเอกใหม่ไปเมาหัวราน้ำที่ร้าน”
นภนต์หัวเราะกังวาน มีแต่ดลฤดีที่รู้ทันว่าเขาใช้วิธีนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเสนอตัวของผู้หญิงแต่ละรายที่เข้ามาติดพัน ง่ายที่สุดคือทำให้พวกหล่อนเมาและหาทางส่งกลับบ้านเสีย
แต่เพื่อนสนิททั้งสองหารู้ไม่ว่าหญิงสาวอีกคนที่ได้ยินบทสนทนาใจแป้วเพียงไร เดือนอ้ายเพิ่งเคยเห็นนภนต์หัวเราะเต็มเสียง ปากอ้ากว้าง และหางตาจับจีบย่น ตอกย้ำว่าเขาหัวเราะออกมาจากใจ อีกทั้งเขายังไม่ปฏิเสธว่าคบหากับนางเอกวัยรุ่นสักคำเดียว
หญิงสาวเบือนหน้าหนีอย่างไม่อาจทนเห็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่ของเธอ ก่อนจะสบตาเข้ากับสิทธาโดยบังเอิญ แววตาของหนุ่มใหญ่บอกว่าเขากำลังอึดอัดใจไม่ต่างกัน
ความคิดเห็น |
---|