1

บทนำ


บทนำ

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือเร่งเร้าผู้ที่ช่วยพี่สาวรูดซิปชุดเกาะอกรัดรูปให้หันไปมองที่เตียง บนนั้นมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเปิดค้างไว้และกระดาษที่เย็บติดกันด้วยลวดอีกชุดหนึ่ง นั่นคือเตียงของเดือนอ้าย...นักศึกษาปีสุดท้ายที่ญาติผู้พี่เมตตาให้มาอยู่ด้วยกัน

“เสร็จแล้วค่ะพี่หนูดี”

“แหม รีบเชียวนะ แฟนโทร. มาเหรอ” ดลฤดีเย้าลูกพี่ลูกน้อง

เดือนอ้ายที่พุ่งตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือหันหน้าจอให้พี่สาวดู แล้วมุมปากเคลือบสีแดงเบอร์กันดีก็กระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อคนโทร. เข้า

“รับสายสิ พี่ไปก่อนละ นี่เพื่อนถึงร้านกันแล้ว”

เจ้าของห้องอ้าปากหวอ ไม่ทันได้โต้แย้งอะไร พี่ของเธอก็เดินออกไปจากห้อง รวดเร็วไม่ต่างจากตอนที่เข้ามา

หญิงสาวลังเลว่าจะรับสายสิทธา...คนรักของพี่ดีหรือไม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนมีปัญหากันแล้วเธอต้องกลายเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่สร้างปัญหาคือพี่สาวของเธอ

ด้วยความเห็นใจอีกฝ่าย เดือนอ้ายกลั้นใจกดรับสายในที่สุด

“สวัสดีค่ะคุณสิทธา”

“สวัสดีครับอ้าย หนูดีถึงบ้านหรือยัง” เสียงถามติดจะร้อนใจอย่างปิดไม่มิด

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความว่าดลฤดีถึงบ้านแล้วและเพิ่งออกไป

“อ้อ ครับ ขอบใจมากนะอ้าย”

กลับเป็นคนฟังที่ร้อนใจเสียเอง เมื่อเสียงทุ้มต่ำเจือแววห่วงกังวลในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเหนื่อยใจ

“เดี๋ยวค่ะคุณสิทธา” เธอรีบเรียกไว้ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไปด้วยกระแสเสียงปลุกปลอบโดยไม่รู้ตัว “พี่หนูดีกลับมาถึงแล้วจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวอ้ายช่วยพูดกับพี่หนูดีให้เอง”

พูด...เธอจะช่วยพูดเรื่องอะไรก็ยังไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร รู้แต่ว่าทุกครั้งที่พี่และคนรักทะเลาะกัน เธอจะช่วยเจรจาผ่อนหนักเป็นเบาเพื่อให้พวกเขารักษาความสัมพันธ์กันไว้ เธอคงเสียใจหากพี่ต้องเลิกรากับคนดีสมบูรณ์แบบอย่างสิทธา ทั้งที่มีกำหนดการจะหมั้นหมายและแต่งงานกันในอีกไม่นาน

โชคดีที่สิทธาวางสายไปโดยมิได้ซักไซ้มากไปกว่านั้น เธอเข้าใจความลำบากใจของเขา เมื่อนักธุรกิจบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ต้องมาพูดจากับเด็กนักศึกษาอย่างเธอ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็มีเมตตาต่อเธอเสมอ หนุ่มใหญ่วัยย่างสี่สิบปีไม่เพียงแต่รักพี่ของเธอ เขายังเผื่อแผ่ความรักและน้ำใจแก่เธอซึ่งเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องคนรักของเขา เธอจึงนับถือและรักเขาดั่งผู้มีพระคุณคนหนึ่ง

เดือนอ้ายเพิ่งนึกได้ เธอควรแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนด้วยการส่งข้อความไปบอกดลฤดีถึงสิ่งที่เธอพูดคุยกับสิทธา

เฮ้อ...

 

ร้านอาหารกึ่งบาร์คือสถานที่สังสรรค์ของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ชนชั้นสูง’ คำนิยามที่ได้มาโดยไม่ต้องมีเชื้อสายผู้ดิบผู้ดีมาจากไหน แค่มีเงินก็สถาปนาตัวเองมาอยู่ในชั้นนี้ได้อย่างง่ายดาย ต่อให้พวกเขาไม่ได้หาเงินทองเหล่านั้นด้วยตัวเองก็ตาม

กลุ่มชายหญิงเจ็ดคนที่นั่งดื่มกินที่ชุดโซฟาโค้งเข้ามุมกระจกของร้านล้วนเป็นลูกหลานผู้มีอันเหลือกินเหลือใช้ทั้งนั้น พวกเขาต่างมีความเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งกับตระกูลดังในวงการแนวหน้าของประเทศ อาทิ เจ้าของห้างสรรพสินค้า โรงแรม นักการเมือง ทหาร หรือแม้กระทั่งวงการบันเทิง คนจำพวกหลังสุดนั้นคือดลฤดีวัยสามสิบเอ็ดปี อดีตนางเอกซึ่งหันหลังให้วงการบันเทิงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งเมื่อมีข่าวว่าจะลั่นระฆังวิวาห์กับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ในอีกไม่ถึงปี

“ฝ้าย หนูดีอยากเข้าห้องน้ำ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เธอบอกมนสิการ เพื่อนสาวทายาทเจ้าของโรงแรมและร้านอาหารหลายแห่ง แล้วจึงหันไปบอกเพื่อนชายคนสนิทพลางส่งโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าคลัตช์ให้อีกฝ่าย “ฝากด้วยย่ะ”

นภนต์หัวเราะในลำคอ นอกจากจะไม่ถือสาที่ดลฤดีพูดจาเหมือนเหวี่ยงใส่ตนแล้วยังขบขันเสียด้วยซ้ำ เพราะในกลุ่มคนเหล่านี้เจ้าหล่อนคือเพื่อนสนิทที่สุดที่เขาคบหามาแต่เด็กเพราะพ่อรู้จักกัน

พ่อของเขาเป็นทหารอากาศที่ไต่เต้าจากลูกแม่ค้าจนได้เป็นใหญ่ถึงนายพล ส่วนพ่อของดลฤดีเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำใจกว้างขวาง พวกท่านเป็นเพื่อนสนิทร่วมห้องเรียนกันมา จนกระทั่งแยกย้ายกันศึกษาต่อและทำงานตามหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน พวกเขาจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการติดตามพวกท่านไปมาหาสู่กัน

แรงสั่นน้อยๆ ของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้แก้วเครื่องดื่มดึงความสนใจของนภนต์กลับมา เขาคุ้นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแต่คร้านจะนึกย้อนว่าเคยได้ยินจากไหน รูปภาพประกอบสายเรียกเข้าต่างหากที่ทำให้เขาสนใจ สาวน้อยหน้าแฉล้มมีผมสีดำสนิท ผมหน้าม้าหนากระเซิงเล็กน้อย เธอยิ้มกว้างเสียจนเห็นเขี้ยวมุมปาก ชายหนุ่มลืมตัวกดรับสายราวกับเป็นโทรศัพท์ของตน

“พี่หนูดี อ้ายส่งข้อความไปหา ไม่เห็นพี่หนูดีอ่านเลย อ้ายจะบอกเรื่องที่คุยกับคุณสิทธาน่ะค่ะ อ้ายบอกเขาว่าพี่หนูดีกลับถึงบ้านแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าออกไปไหนต่อ ถ้าคุณสิทธาถามพี่หนูดีจะได้ตอบตรงกันนะคะ”

เสียงพูดฉอดๆ ไม่ได้หยุดส่งผลให้คนฟังหลุดขำเล็กน้อย ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะได้ยินและรู้ตัว ประโยคต่อมาจึงเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ฮัลโหล เอ่อ นั่นใช่เบอร์ของพี่หนูดีหรือเปล่าคะ”

“ใช่ หนูดีไปห้องน้ำ” เขาตอบห้วนสั้นตามประสาตน

ถ้าหูไม่ฝาด นภนต์แน่ใจว่าได้ยินเสียงอึกๆ อักๆ จากปลายสาย ก่อนเจ้าหล่อนจะวางสายไปพร้อมกับที่ดลฤดีเดินกลับมา

“ทำอะไรน่ะเดียว แอบเล่นมือถือหนูดีเหรอ” เธอไม่ได้โวย แต่ถามอย่างจับผิดเสียมากกว่า

“เอ๊า ก็เห็นมีสายเข้ามา ชื่ออ้าย ใครนะชื่อคุ้นๆ”

หญิงสาวฟาดฝ่ามือลงบนต้นขาคนขี้ลืมพลางหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ ดึงดูดสายตาคมกล้าให้จับนิ่งที่คู่สนทนาขณะอีกฝ่ายเอ่ย

“ลูกพี่ลูกน้องของหนูดีไง ที่แม่แกเป็นทั้งน้าแท้ๆ และเมียใหม่ของพ่อหนูดีน่ะ จำได้ยัง”

“อ้อ” เขาทำเสียงรับรู้ในลำคอ คลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาว่าดลฤดีให้เด็กสาวมาอาศัยอยู่ด้วยตั้งแต่ที่แกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่กรุงเทพฯ

เพราะเหตุนี้เขาถึงชื่นชมและเห็นใจเพื่อนสนิทของตน ดลฤดีไม่เคยตั้งแง่รังเกียจผู้อื่น แม้เจ้าหล่อนจะหัวสูง แต่ก็ไม่เคยดูถูกคน แม้แต่กับลูกสาวของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแย่งสามีพี่สาว เป็นเหตุให้แม่ของดลฤดีตรอมใจและประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เธอเพียงแค่ขอพ่อไปเรียนต่อเมืองนอกและกลับมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ไม่ได้กลับไปเชียงรายอีกเลยเท่านั้นเอง

นภนต์นับถือจิตใจเจ้าหล่อนนัก เขาไม่รู้ว่าเธอทนได้อย่างไร ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเขาต้องมีใครตายกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่ และเพราะมีความรู้สึกเช่นนั้นเป็นตัวตั้งจึงตามมาด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และเอาใจ ใช่...เขาตามใจดลฤดีทุกอย่างและยกเจ้าหล่อนเหนือเพื่อนทุกคน

“นี่ สองคนนั้นจะซุบซิบกันอีกนานไหม”

เสียงทักของเพื่อนสาวคนหนึ่งเรียกให้ชายหญิงที่หันหน้าคุยกันหันไปมอง ก่อนที่นภนต์และดลฤดีจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“หนูดี เธอไม่กลัวคุณสิทธางอนบ้างเหรอ จะแต่งงานอยู่รอมร่อยังมาปาร์ตีกับคนโสดคนโฉดอย่างพวกเราได้” ตระการ ลูกชายอดีตนายตำรวจใหญ่และเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถยนต์เอ่ยถาม ไม่วายสัพยอกตามความคิดตน “เป็นกูนะ ไม่กล้าเอาคุณเธอทำเมียแน่นอน”

“ช่วยไม่ได้ ก็เขาไม่มาเองนี่นา” ดลฤดีตอบฉะฉานอย่างคนที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “อีกอย่างนะ เป็นคุณมึงฉันก็ไม่เอาทำพันธุ์แน่นอน”

บทโต้ตอบเผ็ดร้อนเรียกเสียงหัวเราะครืนไปทั้งโต๊ะ ทว่าไม่มีใครถือเป็นจริงเป็นจังทั้งสองฝ่าย แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไปยังหัวข้ออื่นได้ไม่รู้จบ โดยมีเจ้าของร้านอย่างนภนต์เป็นผู้ฟังและเพื่อนดื่มที่ดี

 

“คิดดูสิ แค่ชุดแต่งงานจากฝรั่งเศสแค่นี้ ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงเสียด้วยซ้ำ ฉันจะบินไปดูเขาก็บอกให้รอเขาก่อน หลังจากนั้นก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงมาเป็นเดือนแล้ว เขาทำเหมือนไม่อยากแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น ถ้าฉันรู้ว่าเขาไม่เห็นความสำคัญกันแบบนี้ ฉันไม่มีวันเลือกเขาเด็ดขาด!” เสียงอ้อแอ้กลับเฉียบขาดเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย

นภนต์เพียงปรายตามองเพื่อนสาวที่ตกอยู่ใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างกึ่งขันระคนอ่อนใจ ถ้าไม่เมาละก็ ดลฤดีไม่มีทางพูดจาไม่น่ารักเช่นนี้ แล้วก็คงไม่มีวันบอกว่าเธอจะเปลี่ยนใจไปจากสิทธา ในเมื่อนักธุรกิจหนุ่มคนนั้นคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของดลฤดี

“เลิกบ่นเสียทีน่า จะถึงบ้านแล้ว” เขากระเซ้า ก่อนถูกฟาดลงมาที่ต้นแขนเต็มแรง

แม้ตัวเขาเองจะมึนๆ ไม่น้อย แต่เพื่อเพื่อนแล้ว นภนต์จึงอาสามาส่งอย่างไม่มีเกี่ยงงอน แต่ก็ไม่บ่อยนักที่ดลฤดีเมาจนหมดสภาพเช่นนี้ อดีตนางเอกสาวที่ประกาศหันหลังให้วงการบันเทิงเมื่อหนึ่งปีก่อนห่วงภาพลักษณ์อย่างกับอะไร

“เดียว หนูดีไม่อยากแต่งงานแล้ว”

“ไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง” เขาตอบง่ายๆ ง่ายสมกับเป็นตัวเขา

เมื่อคนงานชายวัยกลางคนเปิดประตูรั้วให้รถบีเอ็มดับเบิลยูแล่นเข้าไปในอาณาบริเวณบ้านซึ่งมีเนื้อที่กว่าหนึ่งไร่ ชายหนุ่มจึงเคลื่อนรถไปส่งคนเมามายถึงหน้าระเบียงบ้านหลังใหญ่ เขาเพิ่งสังเกตว่าดลฤดีเงียบไปจึงผินมอง

“เป็นอะไร” ปลายเสียงที่ถามทอดอ่อน มือหนาวางบนเรือนผมดัดเป็นลอนด้วยความเอ็นดู

“กอดหน่อย” หญิงสาวบอกง่ายๆ บ้าง

“ตลก” นภนต์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

“ตลกก็ขำสิ”

เขาขำไม่ออก แต่ปลดเข็มขัดนิรภัยของตนและเจ้าหล่อนพร้อมกับวาดแขนโอบไหล่เพื่อนสนิท ดึงร่างบางเข้ามาอิงแอบอกกว้างตามความต้องการของเธอ

ในความคิดของนภนต์ มันเป็นอ้อมกอดที่แสดงถึงความรักฉันมิตร เมื่อเพื่อนต้องการความรักหรือกำลังใจ เขาก็แค่มอบมันให้แก่เธอ ทว่าในสายตาคนมองย่อมไม่มีทางคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้ได้เมื่อแลเลยผ่านกระจกฝั่งผู้โดยสารไปเห็นใบหน้าซีดเผือดกับดวงตาเบิกกว้างของหญิงสาว คราวนี้เขาจำได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร

นภนต์รู้สึกหายเมาเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นสายตาคู่นั้น ทำอย่างกับไม่เคยเห็นคนกอดกัน แล้วแม่เพื่อนตัวดีก็ดันหลับพับกับอกเขาแล้วเสียนี่ เขาต้องดันร่างเธอพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะลงจากรถอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ช้อนอุ้มร่างคนเมาออกมา

“ยืนมองอยู่ได้ ไปหยิบกระเป๋ากับมือถือหนูดีสิ” เขาสั่งเสียงดุ เรื่องอะไรที่เจ้าหล่อนมายืนจ้องเอาๆ

เดือนอ้ายเพิ่งได้สติเดี๋ยวนั้น ตามมาด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเธอถูกบุรุษผู้นั้นเอ็ด แต่เพราะภาพที่เห็น มันไม่ถูกต้อง ไม่ควรเลย เธอพลอยรู้สึกผิดต่อสิทธาแทนพี่สาวของตน

หญิงสาวหยิบข้าวของของพี่มาจากรถ เธอก้าวขึ้นบันไดด้วยใจเหม่อลอย เฝ้าแต่ครุ่นคิดว่าเป็นความผิดของเธอใช่ไหมที่หวังให้คนที่เธอรักสองคนครองคู่กัน ทั้งๆ ที่ถ้าเธอไม่เพียรพยายามเป็นกาวประสาน พวกเขาอาจเลิกรากันไปและมีความสุขตามทางของตน

“เฮ้ย หนูดี”

เสียงสบถดังส่งผลให้เจ้าของร่างอวบสะดุ้งตกใจ เธอรีบก้าวเร็วๆ ไปที่ห้องนอนของเจ้าของบ้าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกองเศษอาหารข้างเตียง โดยผู้ที่อุ้มคนเมาขึ้นมาถอยไปยืนเสียไกล

“ไปตามใครมาซิ” นภนต์สั่งคนที่ตามเข้ามา

ทว่าหญิงสาวหน้าตาอ่อนเยาว์ในชุดเสื้อนอนคอบัวกับกางเกงสามส่วนกลับเดินผ่านเขาไปราวไม่ได้ยิน เธอยกถังพลาสติกเล็กๆ ออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะนั่งคุกเข่ากับพื้นข้างกองอาเจียนและใช้กระดาษชำระกอบเศษอาหารมาทิ้งลงถัง ชายหนุ่มทำหน้านิ่วมองด้วยความไม่ชอบใจโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ไม่รังเกียจหรือไงฮะ” เขายั้งปากไม่ได้จริงๆ แล้วก็หงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น “เฮ้ย ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ”

นี่น่ะหรือ อากัปกิริยาของคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ใหญ่’ เดือนอ้ายคิดอย่างขัดเคืองใจก่อนตอบอย่างเสียมิได้

“แล้วจะให้ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้หรือคะ”

“ก็ไปตามใครมาทำสิ” น้ำเสียงของเขามิได้ลดแรงอารมณ์ แม้จะพอใจที่ทำให้เจ้าหล่อนโต้ตอบได้

หญิงสาวลอบถอนใจ เธอลุกเอาถังไปเก็บในห้องน้ำตามเดิมแล้วจึงผูกถุงขยะ ไม่วายคนที่ตนไม่อยากเสวนาด้วยยังตามมายืนเท้าแขนกับกรอบประตูห้องน้ำ เมื่ออยู่ใกล้เช่นนี้ทำให้รู้ว่าเขาสูงเสียจนเธอหวั่นใจ มือที่กดปิดก๊อกน้ำสั่นน้อยๆ ตามความหวาดเกรง

แน่สิ เธอรู้กิตติศัพท์เพื่อนของพี่คนนี้ดี เขาเป็นลูกทหาร มีกิจการบาร์ ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือว่าร้านของเขาเป็นแหล่งขายยาไอซ์ให้แก่ลูกเศรษฐีและคนดังทั้งหลาย

“ตีสองแล้วยังไม่นอนอีก”

คนที่มัวตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งน้อยๆ เห็นดังนั้นนภนต์ก็เผลอกระตุกยิ้มขัน

ขวัญอ่อนจริงแม่คู้น...มันน่าแกล้งนัก

“ไป ลงไปส่งหน่อย”

ไม่พูดเปล่า คนมือไวทำท่าจะเอื้อมคว้าข้อมืออีกฝ่าย ส่งผลให้หญิงสาวถอยกรูด ใบหน้าซีดขาวแล้วจึงแดงก่ำด้วยความตกใจระคนไม่พอใจ

“เอาดีๆ ฉันเป็นแขกของพี่เธอนะ” เขาชักหงุดหงิด น้ำเสียงจึงห้วนดุอีกครา

“ก็...ก็ไปสิคะ” เธอตอบโดยไม่สบตา

เดือนอ้ายเดินไปส่งแขกของพี่ตามที่เขาต้องการ เธอเว้นระยะห่างจากเขาราวสามเมตร ก่อนจะหยุดยืนหลังประตูบ้าน ไม่ได้ก้าวตามไปส่งถึงหน้าระเบียงที่ชายหนุ่มนั่งสวมใส่รองเท้าอยู่บนขั้นบันได

นภนต์ลุกยืนอีกครั้งพร้อมกับทำหน้านิ่วพิจารณาเจ้าหล่อนในใจ ทั้งที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาจะต้องเก็บไปคิดพิจารณาสักนิด หญิงสาวอ่อนกว่าเขาเป็นสิบปีเห็นจะได้ เด็กเกินไป...แก้มป่องๆ ใสเหมือนแก้มเด็ก ยิ่งมีผมหน้าม้าหนาก็ยิ่งลดวัยเจ้าหล่อนลงไปอีก เธอไม่อ้วนแต่ก็ไม่ผอมเพรียวอย่างสมัยนิยม ดูมีเนื้อมีหนัง มีหน้าอกหน้าใจ...ซึ่งไม่มีสิ่งใดป้องกัน แล้วหัวคิ้วของชายหนุ่มก็ขมวดเข้าหากัน สงสัยเหลือเกินว่านี่เจ้าหล่อนใสซื่อจนไม่คิดจะหาเสื้อคลุมมาสวมทับก่อนออกจากห้องนอนหรือไร

ให้ตายสิ เขาว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษพอใช้ แต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนใจอยากรังแกเด็กขึ้นมา บ้าเอ๊ย!

นภนต์ถอนใจฮึดฮัดพร้อมกับก้าวเร็วๆ ไปขึ้นรถของตน รถเก๋งซีดานพุ่งทะยานออกไปราวพายุ เดือนอ้ายสาแก่ใจเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอแกล้งลืมยกมือไหว้เขากระมัง ก็ผู้ใหญ่อย่างเขาน่าไหว้เสียที่ไหน 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น