บทที่ ๑

บทที่ ๑

ความฝัน

 

วามอึดอัดราวลมหายใจจะขาดหายปลุกหญิงสาวให้ลืมตาขึ้น วินาทีแรกเห็นเพียงห้วงดำสนิท พยายามกะพริบตาเพ่งมอง เริ่มเห็นเลือนรางว่าถูกห้อมล้อมด้วยดงไม้หนาทึบ เธอพาร่างบอบบางเดินแหวกพุ่มไม้ไปข้างหน้าอย่างงุนงง ในใจคิดเพียงว่าต้องหาทางหลุดพ้นจากตรงนี้ไปให้ได้ จนลืมความเจ็บปวดจากหนามเกี่ยวตามหลังมือและลำแขน เร่งฝีเท้าให้กระชั้นพร้อมกับปัดกิ่งไม้ระเกะระกะให้พ้นตัว

ชั่วอึดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นสูดหายใจอีกครั้ง สายตาซึ่งเริ่มชินกับความมืดบอกว่าเธอกำลังยืนอยู่ในลานหญ้าโล่งกว้าง เบื้องหน้าสลัวรางด้วยม่านหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความเย็นแล่นวาบจับหลังเท้า เมื่อก้มมองจึงเห็นไอขาวลอยเรี่ยพื้นเหมือนมีใครเอาสำลีมาโปรยไว้จนขาวโพลน มันลอยฟุ้งขึ้นมายามเธอจดเท้าลงไปอย่างระแวดระวัง

แสงสีเหลืองลอดผ่านม่านหมอกเห็นวอมแวมอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวชะเง้อมองแล้วเร่งก้าวไป ด้วยหวังว่าจะพบใครสักคนที่พอจะพึ่งพิงได้ เพราะเหนื่อยล้าจนแทบทรงกายต่อไปไม่ไหว 

กลิ่นหอมรวยรินโชยมาอ่อนจางคล้ายดอกไม้ ยิ่งก้าวเข้าไปความอบอวลยิ่งทวีมากขึ้น จนเมื่อเบี่ยงตัวพ้นพุ่มไม้สูง เธอก็ต้องชะงักฝีเท้า ยืนตะลึง จับจ้องไปเบื้องหน้า

แสงเหลืองนวลตาสาดจับร่างหนึ่งที่ยืนห่างออกไป

เด็กหนุ่มเจ้าของร่างผอมสูง ผิวคล้ำเนียนละเอียด กำลังมองมาที่เธอ ดวงตาคมคู่นั้นแฝงแววเศร้า เขาสวมเสื้อเข้ารูปคอตั้งสีขาวหม่น ปล่อยชายยาวคลุมถึงสะโพก ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งแปลกตาสีเข้มซึ่งเก็บรวบชายด้านหน้าแล้วขมวดไปเก็บไว้ด้านหลัง

ร่างนั้นยืนนิ่งดุจรูปปั้นอยู่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง มีระเบียงฉลุลวดลายงดงามทั้งสองข้าง ตรงกลางเป็นบันไดทอดขึ้นไปสู่ชานกว้าง ตัวเรือนไม้สีเขียวซีดหม่น มีช่องหน้าต่างเป็นบานไม้กระทุ้งสองบานใหญ่ ใต้หลังคาประดับด้วยเชิงชายฉลุเป็นลวดลายเครือเถายาวตลอดแนว หลังคาทรงจั่วสูงพอประมาณมุงด้วยกระเบื้องสีเขียวเข้มกว่าตัวเรือน รอบบริเวณโอบล้อมด้วยต้นลั่นทมขนาดใหญ่หลายต้นพักกิ่งก้านบนหลังคา อวดพวงดอกสีขาวละลานตาส่งกลิ่นหอมกระจาย พ้นไปข้างหลังคือแนวป่าทึบทะมึนโอบล้อมไว้ทุกทาง

เด็กหนุ่มคนนี้คือใคร แล้วทำไมบ้านหลังนี้ถึงมาปลูกอยู่กลางป่ารกทึบเช่นนี้

ความเหนื่อยล้าสับสนทำให้คิดอะไรไม่ออก รู้สึกลำคอแห้งระคาย อยากดื่มน้ำเย็นสักแก้วให้ชื่นใจ แต่ก่อนจะขยับปากร้องขอ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ยื่นมือมา รอยยิ้มจางผุดตรงมุมปาก เขาผายมือออก หญิงสาวรู้สึกเลื่อนลอยอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก้าวเดินเข้าไปหาเหมือนต้องมนตร์ ยอมวางมือลงบนฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มแปลกหน้าก้าวนำขึ้นบันไดซึ่งทอดสู่ระเบียงหน้าเรือน

“จะพาฉัน...ไปไหน” เสียงแหบเครือหลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก สติที่ยังหลงเหลือบอกว่าต้องขืนตัวเองไว้ หญิงสาวดึงมือกลับ เด็กหนุ่มปริศนาหันหน้ามาช้าๆ ดวงตาทอดแววอ้อนวอน

“มากับกระผมสิขอรับ ไม่ต้องกลัว”

“จะพาฉันไปไหน” หญิงสาวถามซ้ำ เท้ายังก้าวค้างอยู่บนบันไดขั้นแรก

“กระผมมีอะไรจะให้ท่านดู อยู่ข้างในขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ย ยื่นมือมาอีกครั้ง

ก่อนเท้าขยับ ลมเย็นวูบใหญ่พัดกระโชกเข้ามาโดยไร้วี่แวว พาเอากลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วบริเวณ เสียงซ่ากราวคล้ายมีใครเขย่ากิ่งไม้ดังจากราวป่า เสียงนั้นไล่เรื่อยมาจนใกล้ ทั้งคู่หันขวับไปมอง ขนลุกเกรียวเมื่อเห็นกลุ่มควันดำมืดกำลังพุ่งตรงมาทางตัวเรือน

“อะไรกันนี่” หญิงสาวรีบก้าวขึ้นไปหลบหลังเด็กหนุ่ม เอื้อมมือจะจับแขนเพื่อความอุ่นใจ แต่แล้วร่างของเขากลับค่อยๆ แตกสลายกลายเป็นฝุ่นปลิวฟุ้ง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า

หญิงสาวถอยกรูด ยกมือขึ้นปิดปาก กรีดร้องด้วยความตระหนกสุดขีด

“กรี๊ด!”

เดลลาผวาลุกขึ้นนั่ง เหงื่อชุ่มใบหน้าและลำคอ หายใจหอบถี่ รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก เธอยกมือขึ้นลูบแขนเย็นเฉียบ ด้วยผ้าห่มคลุมกายหลุดเลื่อนไปกองอยู่ด้านข้าง นั่งนิ่งในความสลัว นึกทบทวนความฝันที่เพิ่งผ่านไป

นับครั้งไม่ถ้วนแล้วสินะที่ฝันวนเวียนแต่เรื่องเดิมมาตลอด ทุกฉากตอนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเหมือนชมภาพยนตร์ฉายซ้ำไปมา

“ไอ้ฝันบ้า เมื่อไหร่จะไปจากฉันเสียที” เธอจำไม่ได้ว่าพร่ำบ่นกับตัวเองมาแล้วกี่ครั้ง หลังจากผ่านคืนแห่งความฝันแสนสยอง

ฝันประหลาดมาเยือนครั้งแรกเมื่อเธอฉลองวันเกิดครบสิบสองขวบ หลังจากกลับลงมาจากห้องเย็นเยือกห้องนั้น

‘Eternità’๑ ห้องชั้นบนสุดในคฤหาสน์เก่าแก่ของตระกูลเวอร์ราชิโอ ที่ซึ่งเก็บงำเรื่องราวเก่ากาลไว้มากมาย เธอรู้จากแม่ว่าเป็นห้องส่วนตัวที่ปู่ทวดของเธอ จิอานโน เวอร์ราชิโอ ซึ่งเป็นจิตรกร ใช้พำนักและทำงานวาดภาพจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังจากนั้นห้องก็ถูกปิดตาย ไม่มีใครกล้าย่างกรายไปขึ้นไปอีกเลย ลูกหลานทุกคนในตระกูลถูกกันให้ห่างจากห้องนี้ด้วยเรื่องเล่าอันน่าพรั่นพรึง

“สมัยคุณปู่อีวานยังเป็นเด็กเคยแอบเข้าไปในห้องนั้น คุณปู่เล่าว่า ทั้งห้องทาสีเขียว เย็นยะเยือกจนขนหัวลุก มีรูปวาดเก่าแก่แขวนเต็มผนัง คุณปู่เดินดูภาพจนเพลิน แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีคนผลักบานประตูปิด ท่านพยายามเปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ร้องดังแค่ไหนก็เหมือนไม่มีใครได้ยิน ท่านถูกขังไว้นานหลายชั่วโมง กว่าผู้ใหญ่จะหากันเจอ คุณปู่ก็อ่อนระโหยเต็มที ตั้งแต่นั้นมาเด็กๆ ทุกคนก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปที่นั่นอีกเด็ดขาด” คำบอกเล่าของอาสะใภ้ทำให้บรรดาหลานซึ่งนั่งล้อมวงฟังด้วยใจระทึกมองเห็นภาพชัดเจนราวกับขึ้นไปเยือนด้วยตัวเอง

ไม่มีใครคิดขึ้นไปเฉียดกรายห้องลึกลับนั่น แต่ไม่ใช่อเดลลา ความอยากรู้อยากเห็นและนิสัยเชื่อเรื่องเหตุและผลเติบโตมาพร้อมกับเธอ โดยเฉพาะภาพวาดในห้องนั้นสะดุดใจคนรักศิลปะเช่นเธอจนเก็บความต้องการในใจเอาไว้ไม่ไหว จึงแอบขึ้นไปเพียงลำพังในวันปลอดคน พ่อพาคุณปู่ คุณย่า และอาๆ ไปเยี่ยมญาติต่างเมือง ส่วนแม่ก็วุ่นกับงานซักผ้าในห้องข้างล่าง

ทุกรายละเอียดยังฝังแน่นในความทรงจำ จำได้กระทั่งว่าใจเต้นตึ้กตั้กขณะก้าวเดินไปตามบันไดโค้งที่พาขึ้นสู่ห้อง Eternità แม้ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่บรรยากาศรอบกายกลับเย็นยะเยือกไม่ต่างจากฤดูหนาว เธอย่ำไปตามบันไดหินเย็นเฉียบซึ่งคงซับรอยเท้าเก่าคร่ำไว้นับไม่ถ้วน ไปหยุดหน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานใหญ่ที่ข่มเธอจนตัวเล็กจ้อย เหลือบมองแผ่นทองเหลืองรูปวงรีดุนตัวอักษรชื่อห้อง คราบสนิมเขียวจับเป็นหย่อมบอกกาลเวลา

สาวน้อยสูดลมหายใจเรียกความกล้า พร้อมเผชิญเรื่องราวในอดีตหลังบานประตูตรงหน้า ยังจำเสียงแหลมเสียดแทงความรู้สึกเมื่อผลักเข้าไปได้ ความเย็นยะเยือกพุ่งออกมาต้อนรับคล้ายมีตัวตน แม้ไม่ใช่คนขี้กลัว แต่เธอใจก็ฝ่อลงไปไม่น้อย

ภายในนั้นมืดสลัว กลิ่นอับอวลกระจาย ต้องออกแรงดึงม่านกำมะหยี่หนาหนักเปิดให้แสงสาดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เธอปัดละอองฝุ่นที่ปลิวฟุ้ง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือห้องสี่เหลี่ยมยาวลึก ผนังทุกด้านฝังหินแบนเนื้อมันวาวดุจอัญมณีสีเขียวอ่อนแก่หลายแผ่นสลับกันไปจนเต็ม ด้านซ้ายเจาะเป็นช่องหน้าต่างกรุกระจกสองบานที่ฝ้ามัวด้วยคราบฝุ่น กรอบด้านบนสูงเกือบจดเพดานและด้านล่างเกือบจดพื้น อากาศบริสุทธิ์พัดพรูเข้ามาเมื่ออเดลลาผลักบานหน้าต่างออก กลิ่นหอมของกุหลาบเคล้ากลิ่นดอกมะกอกลอยเข้ามากระทบจมูก ไล่ความอึมครึมภายในห้องไปได้มาก มองไกลออกไปเห็นคลองกว้างสะท้อนแดดเป็นประกายระยิบอยู่เบื้องล่าง ตามแนวตลิ่งประดับด้วยเรือนสูงต่ำปลูกเป็นแนวยาว

เธอหันกลับมาภายในห้องอีกครั้ง สะดุดตาภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่นับสิบภาพที่ตรึงอยู่ในกรอบไม้สลักลวดลายงดงาม แขวนเรียงรายลดหลั่นบนผนังด้านขวามือดูละลานตา เมื่อก้าวเข้าไปมองก็พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นภาพวาดสีน้ำมัน มีเพียงไม่กี่ชิ้นเป็นภาพวาดด้วยสีปาสเตล ทุกภาพประณีตบรรจงด้วยรายละเอียดของฝีแปรงที่บอกถึงความชำนาญยิ่ง รายละเอียดของสีและแสงเงาเหมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นภาพของสถาปัตยกรรมยอดแหลมฉาบสีทองอร่ามโดดเด่นกลางดงไม้สีเขียว ถัดไปคือภาพบ้านเรือนรูปทรงแปลกตาปลูกเรียงรายริมตลิ่ง เรือทรงเรียวยาวลอยลำอยู่กลางสายน้ำที่สะท้อนแสงตะวันทอประกายระยิบระยับ ภาพหญิงสาวหลายคนซึ่งมีลักษณะผิวพรรณและโครงหน้าบอกความเป็นชนชาติตะวันออกชัดเจนนั่งจับกลุ่มพูดคุยอยู่บนพรมซึ่งปูลาดบนพื้นหญ้าเขียวขจีกลางสวนร่มรื่นและสดใสด้วยพุ่มดอกไม้หลากสี ทุกคนแต่งกายคล้ายคลึงกัน คือผมตัดสั้นแบบบุรุษ หวีเสยตั้งไปด้านหลัง สวมเสื้อสีขาวจับจีบระบายฟูฟ่องแบบเดียวกับเสื้อของสตรีชาวตะวันตก ท่อนล่างนุ่งผ้าคล้ายกางเกงสีเข้มทรงพอง และอีกหลายภาพที่สร้างความตื่นตาตื่นใจล้นเหลือ ความขลาดแต่แรกเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า อเดลลานึกชื่นชมฝีมือการวาดภาพของปู่ทวดจิอานโนที่งดงามเกินคาดคิด เธอเดินไล่ดูภาพไปด้วยความเพลิดเพลินจนมาถึงสุดผนัง

ภาพสุดท้ายแขวนโดดเด่นเพียงภาพเดียว เธอขนลุก จับจ้องนิ่งงัน

กรอบไม้สี่เหลี่ยมสีเขียวเข้ม แกะสลักนูนต่ำเป็นลายเส้นโค้งเกี่ยวกระหวัดไปมา ล้อมภาพวาดเด็กหนุ่มผิวคล้ำ หน้าคมเข้มแบบชนชาติตะวันออก รูปตาเรียวยาวล้อมด้วยแพขนตาดกดำคู่นั้นแฝงรอยหม่นเศร้า ปลายพู่กันแต้มสีเป็นจุดขาวเล็กๆ ตรงขอบตา มองคล้ายประกายรื้นวาววับ ส่งให้แววตาดูมีชีวิตจนต้องชะโงกไปมองใกล้ๆ วูบหนึ่งรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดให้ติดตรึงกับภาพนี้ คาดเดาว่าบุคคลในภาพคงต้องมีความสำคัญไม่น้อย เพราะเท่าที่สังเกต ภาพนี้เป็นภาพเหมือนบุคคลเพียงชิ้นเดียวในจำนวนภาพทั้งหมด

อเดลลาเดินกลับมา อดไม่ได้ที่จะชำเลืองกลับไปมองภาพเด็กหนุ่มอีกครั้ง คล้ายรู้สึกได้ถึงสายตามองตามไปทุกฝีก้าว เธอเบนสายตาลงมายังโต๊ะสี่เหลี่ยมชิดผนัง คลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีเลือดหมูระบายลวดลายเครือดอกพิมพ์ทองทั่วผืน บนโต๊ะวางแจกันเครื่องเคลือบสีเขียวไข่กา เสียบพู่กันต่างขนาดหลายสิบด้ามจัดเรียงไว้ตามลักษณะหัวพู่กัน บอกชัดเจนถึงความมีระเบียบในการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

ถัดไปคือกล่องไม้ขนาดกลาง มีหูหิ้วและห่วงเปิดปิดแบบเข็มขัด ทำด้วยหนังสีน้ำตาลคล้องกับห่วงทองเหลืองรูปสี่เหลี่ยม อเดลลาปลดห่วงคล้องและเปิดฝากล่อง เธอเบือนหน้าหนีพลางยกมือปัดฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมา ข้างในแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนมีกลักไม้ขนาดเล็กสีน้ำตาลเรียงรายเป็นแถว เมื่อหยิบมาเปิดดูจึงพบว่าบรรจุผงคล้ายแป้งสีฟ้าหม่น เปิดกลักอื่นก็พบสีต่างเฉดกันไป บ้างก็จับตัวแข็งเป็นก้อน อเดลลาเคยอ่านพบในหนังสือศิลปะว่ามันคือผงสีสำหรับนำมาผสมเพื่อเขียนภาพในสมัยโบราณ ต่างจากปัจจุบันที่สีบรรจุในหลอดสำเร็จรูปพร้อมใช้ได้ทันที สาวน้อยจับขอบชั้นบนยกขึ้น ชั้นล่างวางขวดแก้วขนาดเหมาะมือหลายขวด บรรจุของเหลวสีทองใสแจ๋ว พอจะคาดเดาได้ว่าคือน้ำมันลินซีดหรือน้ำมันชนิดอื่นที่ใช้ผสมสี 

อเดลลาวางทุกอย่างลงที่เดิมแล้วปิดกล่อง ไล่สายตาไปยังกรอบโลหะสี่เหลี่ยมสีทองหม่น มีคราบสนิมเขียวจับเป็นหย่อม เพ่งมองผ่านกระจกขมุกขมัวด้วยฝุ่นหนา เธอหยิบขึ้นมาด้วยความสนใจ ใช้นิ้วไล้คราบฝุ่น เผยให้เห็นภาพถ่ายบุคคลสองคนสีน้ำตาลหม่นซีด รอยเลอะเลือนกร่อนกินบางจุด แต่ยังพอมองออกว่าชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงท่าทางภูมิฐานบนเก้าอี้ไม้ทรงโบราณคือปู่ทวดจิอานโนแน่นอน ใบหน้าที่ฉาบรอยยิ้มละไมดูอบอุ่น ประดับด้วยคิ้วดกดำและหนวดเหนือริมฝีปากนั้น ประพิมพ์ประพายคล้ายพ่อของเธอ ท่านแต่งกายแปลกตา สวมเสื้อคอตั้งแบบคอจีนสีอ่อนแทนสูทแบบตะวันตก คล้องสายนาฬิกาพกยึดปลายกับกระดุมเสื้อโยงมาเก็บตัวเรือนไว้ในกระเป๋าบริเวณอกซ้าย ท่อนล่างนุ่งผ้าสีเข้มรวบเก็บ ชายเลยเข่าลงมาเล็กน้อย สวมถุงเท้าสีขาวรับกับรองเท้าหนังสีดำ 

ถัดลงมาด้านล่างคือเด็กหนุ่มผิวคล้ำ สีหน้าเรียบเฉย ดวงตาเรียวยาวบ่งบอกเชื้อชาติตะวันออกชัดเจน เขานั่งพับเพียบ ค้อมหลังเล็กน้อยบนพื้นใกล้กับเก้าอี้ สวมเสื้อแบบเดียวกันกับปู่ทวด ต่างกันตรงสีเข้มกว่าและชายเสื้อรวบเก็บเรียบร้อยไว้ในผ้านุ่ง คาดเอวด้วยผ้า ขมวดชายพกไว้ด้านหน้า เขาไม่สวมถุงเท้า แต่สวมรองเท้าสานโปร่ง อเดลลาเพิ่งสังเกตว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือคนเดียวกันกับเด็กหนุ่มในภาพวาดบนผนังนั่นเอง

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันนะ สนิทชิดเชื้อกับปู่ทวดของเธอเพียงใด หรือจะเป็นเด็กรับใช้ของท่าน ไม่น่าจะใช่สิ เพราะถ้าฐานะเพียงนั้น คงไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพร่วมกันเช่นนี้หรอก 

อเดลลาก้าวถอยหลัง เหลือบมองภาพวาดอีกครั้ง ดวงตาคู่เดิมคล้ายจะจ้องตอบ เด็กหนุ่มคนนี้ต้องมีความสำคัญไม่น้อยเลย เพราะปู่ทวดจิอานโนถึงกับลงมือวาดภาพเขา

ในความคิดของอเดลลา หากเธอจะวาดภาพเหมือนใครสักคน ถ้าไม่นับด้วยเงื่อนไขในการถูกว่าจ้าง ย่อมต้องเกิดจากความตั้งใจ จากความรู้สึกที่ดีและลึกซึ้งต่อคนที่เป็นแบบ ยิ่งภาพนั้นถูกนำมาแขวนไว้ในห้องส่วนตัวเช่นนี้ ยิ่งบอกถึงความสำคัญได้อย่างชัดเจน เมื่อเลื่อนสายตาลงมามองมุมล่างขวาของภาพถ่าย มีตัวอักษรจารึกด้วยลายมืองดงามเป็นระเบียบว่า

La bella memoria...Siam

ความทรงจำงดงาม...สยาม

อเดลลาวางกรอบรูปลงที่เดิม หันไปสนใจภาพวาด ใช้เวลาชื่นชมงานจิตรกรรมในห้องนั้นจนเวลาล่วงไปค่อนวัน จึงตัดสินใจกลับลงมา แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มในภาพวาดกลับประทับแน่นในความทรงจำ เธอพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ทุกครั้งเมื่อหลับตา ภาพนั้นกลับผุดขึ้นมาราวกับรอคอยอยู่แล้วทุกวินาที และในคืนนั้นเอง ความฝันปริศนาก็ได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก เรื่องราวแสนประหลาดสร้างความหวาดกลัวให้เด็กหญิงเป็นอย่างมาก เคยเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง แต่ก็ได้รับเพียงคำปลอบโยนง่ายๆ 

‘ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่ความฝันน่ะจ้ะ’

‘แต่หนูฝันเรื่องเดิมหลายคืนแล้วนะคะแม่’

‘ทุกคนก็ฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำกันได้จ้ะลูก แม่เองยังฝันถึงบ้านเก่าของเราตั้งหลายครั้งแน่ะ’

‘แต่ทุกอย่างในฝัน ทุกรายละเอียดก็เหมือนกันทุกครั้งไม่มีเปลี่ยนเลยนะคะ แล้วหนูไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มนั่นมาก่อนเลย ทำไมหนูต้องฝันถึงเขาด้วย’ อเดลลาอธิบาย

‘เราฝันถึงคนแปลกหน้าได้เสมอจ้ะ แม่ยังเคยฝันถึงคนที่ไม่รู้จักตั้งหลายหน หนูอย่าคิดมากเลยเดล’

อเดลลาจนปัญญาจะอธิบายต่อ หลายครั้งเมื่อหลับตาเข้าสู่ห้วงภวังค์ ความฝันจะเข้ามาทักทายเสมอ สาวน้อยเริ่มกลัวเวลากลางคืน ต้องเผชิญเรื่องราวลึกลับน่าพรั่นพรึงเพียงลำพัง เธอหวาดกลัวเด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีใบหน้าและผิวพรรณแตกต่างจากเธอ ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร มีความเกี่ยวพันกับเธอเช่นไร และเหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ในความฝันทุกครั้ง

เวลาผ่านไป ความฝันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ความหวาดกลัวเริ่มจางหายไป สิ่งที่ยังคงหลงเหลือในใจคือเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นและความถวิลหาดินแดนไกลโพ้น ลึกลงไปในใจ รู้สึกราวกับว่าเคยไปเยือนมาแล้ว

บางทีคำตอบที่กำลังค้นหาอาจจะอยู่ที่นั่น

เสียงนาฬิกาปลุกดังระรัว อเดลลาสะบัดศีรษะเบาๆ ยันกายลุกจากที่นอน บิดตัวไล่ความเมื่อยขบแล้วลุกขึ้นยืน จัดเก็บเครื่องนอนอย่างเป็นระเบียบ รวบผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มซึ่งปล่อยสยายแล้วมัดไว้หลวมๆ ก่อนจะฉวยผ้าเช็ดหน้าเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จธุระจึงเดินไปชงกาแฟในห้องด้านหลังถัดจากห้องนอนซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ เพียงครู่เดียวก็กลับเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟส่งกลิ่นหอมกรุ่น หญิงสาวหยิบแว่นสายตาขึ้นสวม หยิบแผ่นเพลงออกจากกล่อง วางลงบนช่องใส่แผ่นของเครื่องเล่นแล้วกดปุ่มเล่น

กีตาร์คลาสสิกกรีดเสียงหวานเริ่มเพลง “Concierto de Aranjuez” ตามด้วยเสียงหวานปนเศร้าของคลาริเน็ต เข้ากับบรรยากาศยามเช้าตรู่ด้านนอกของปลายฤดูฝนเย็นยะเยือก อเดลลาหลับตา ภาพสวนหย่อมในพระราชวังหลวงอารังฆูเอซซึ่งเจิดจ้าด้วยพรรณไม้หลากสี ชื่นฉ่ำด้วยละอองจากน้ำพุ ผุดขึ้นมาในจินตนาการ คล้ายจะได้กลิ่นหอมของดอกแมกโนเลียโชยกรุ่น เธอโปรดปรานเพลงของ วาคีน โรดรีโก บีเดร คีตกวีชาวสเปนผู้นี้เป็นพิเศษ เพราะเขาตาบอดตั้งแต่อายุสามขวบ แต่สามารถสร้างสรรค์ผลงานงดงามอันยิ่งใหญ่ออกมา หญิงสาวเชื่อมั่นมาตลอดว่าพระเจ้ามีความยุติธรรมให้มนุษย์ทุกคนเสมอ ดังเช่นคีตกวีผู้นี้ที่บกพร่องด้านการมองเห็น แต่ได้รับโสตประสาทอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งจากสวรรค์เป็นการทดแทน

อเดลลาจิบกาแฟเคล้าเสียงดนตรีหวานพลิ้ว มองลอดช่องหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าสีเข้มแต้มเหลืองอร่ามตรงขอบฟ้า ดูงดงามราวกับงานจิตรกรรม เธอฉวยผ้าคลุมขึ้นคล้องแขน ก้าวผ่านประตูห้องนอนออกสู่ระเบียงด้านนอก ยืนมองสายน้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยอยู่เบื้องหน้า ลมเย็นรุ่งอรุณพัดต้องผิวหน้าและผิวกายให้หนาวสะท้านจนต้องคลี่ผ้าขึ้นคลุมไหล่

ท้องฟ้าเริ่มจับแสงเหลืองอ่อนเป็นแนวยาว ขึ้นไปแตะท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มซึ่งครอบคลุมเป็นเวิ้งกว้าง ดาวดวงน้อยกะพริบวิบวับอำลาหมู่เมฆอยู่ตรงโค้งฟ้า หญิงสาวยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ ทอดตามองริ้วคลื่นไหวระริกตามกระแสน้ำ ทำให้หวนนึกถึงแกรนด์คาแนลในเมืองเวนิส หรือเวเนเซียอย่างที่คนประเทศเธอเรียกขานกัน คลองสายยาวไหลผ่านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเวอร์ราชิโอที่เธออาศัยอยู่กับครอบครัวมาตั้งแต่เกิด ปู่ของเธอมักจะใช้ลานหินกว้างใต้ต้นมะกอกใหญ่เก่าแก่แผ่เงาร่มครึ้มเป็นสถานที่รวมญาติในเย็นวันอาทิตย์ ย่าและแม่จะตั้งโต๊ะอาหาร ปูโต๊ะด้วยผ้าปูผืนใหม่สะอาดหอมกรุ่น พวกป้าและอาผู้หญิงจะช่วยกันปรุงอาหารมื้อพิเศษอยู่ในครัว ส่วนลุงและบรรดาอาผู้ชายตั้งวงดื่มไวน์ พูดคุยหัวเราะกันเสียงดังอยู่ด้านนอก กลิ่นหอมของดอกมะกอกระคนด้วยไอเครื่องเทศจากครัวยังติดตรึงในความทรงจำเสมอ

อเดลลามักจะปลีกตัวมานั่งตรงบันไดหินซึ่งเชื่อมจากลานกว้างหน้าตึกทอดลงไปในลำน้ำใส ในขณะที่เด็กคนอื่นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เธอชอบเฝ้ามองกุหลาบพันธุ์บิชอปส์คาสเซิลทอดกิ่งเกาะเป็นพุ่มบนหลังคาชั้นสอง สลัดกลีบสีหวานลงเกลื่อนกลาดบนลานหินสีเข้ม มองคล้ายจิตรกรแต้มสีชมพูกระจายไปทั่วผืนผ้าใบ ยิ่งเย็นลง ท้องฟ้าเริ่มมืด อเดลลายิ่งตื่นตาตื่นใจกับแสงไฟสีเหลืองจากตึกฝั่งตรงข้าม สะท้อนบนผิวน้ำสีน้ำเงินดูอร่ามราวแผ่นทองกระจัดกระจายอยู่บนผืนกำมะหยี่สีเข้มไหวกระเพื่อม

อเดลลารู้ตัวว่ารักศิลปะตั้งแต่จำความได้ หลงรักการวาดภาพและทำด้วยหัวใจเปี่ยมสุข เธอชอบนั่งมองภาพวาดในจานกระเบื้องหลายใบที่แขวนบนผนังในห้องนั่งเล่น ภาพล้อเลื่อนเทียมสุนัขแล่นบนหิมะสีขาว ภาพช่อกุหลาบสีสวยสดมีหมู่ผีเสื้อเกาะ ภาพเรือกอนโดลาแล่นในคลองยามราตรี ฉากหลังคือผืนฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาว ล้วนก่อให้เกิดจินตนาการมากมายในสมองเด็กตัวน้อยเช่นเธอ

ความอ่อนไหวต่อสิ่งที่มากระทบความรู้สึก มองผ่านสายตาละเอียดลึกซึ้ง ซึมซาบด้วยหัวใจแล้วกลั่นกรองจินตภาพถ่ายทอดสู่ปลายนิ้ว เพื่อบรรจงสร้างสรรค์ผลงานอันวิจิตรไว้ประดับโลก คือพรซึ่งสวรรค์ประทานให้แก่เธอและผู้มีใจรักศิลปะอีกมากมายบนโลกใบนี้

ด้วยความรักศิลปะ เมื่อจบระดับไฮสกูล อเดลลาตัดสินใจเลือกเรียนสาขาจิตรกรรมในสถาบันศิลปะชั้นนำของเมืองฟลอเรนซ์ ความตั้งใจบวกกับความมุ่งมั่นทำให้ผลการเรียนของเธออยู่ในระดับแถวหน้า ผลงานภาพวาดได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดงในนิทรรศการประจำปีของสถาบันทุกครั้ง และยังได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากการประกวดศิลปะระดับมหาวิทยาลัยในเมืองฟลอเรนซ์ถึงสองปีติดต่อกัน ทำให้ชื่อ ‘อเดลลา เวอร์ราชิโอ’ เป็นที่รู้จักมากขึ้น

หญิงสาวร่างโปร่งบางจากเมืองเวนิส มีแว่นสายตากรอบดำเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่โดดเด่นเตะตา เริ่มมีหนุ่มๆ แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนแถวตึกเรียนบ่อยขึ้น แต่อเดลลาก็ไม่เคยมีท่าทีพิเศษกับหนุ่มคนไหน ภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตาคือ หญิงสาวใช้เวลาว่างหมกตัวอยู่ในมุมเดิมของห้องสมุดมหาวิทยาลัยกับหนังสือเล่มโปรด หรือไม่ก็จะพบเธอนั่งอยู่หลังผ้าใบเขียนรูป เคล้าด้วยกลิ่นสีและน้ำมันลินซีดในสตูดิโอวาดภาพของคณะ อเดลลายังแบ่งเวลาว่างช่วงเย็นหลังเลิกเรียนทุกวันหารายได้พิเศษด้วยการเป็นพนักงานร้านขายผ้าไหมไทยซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์โน แม่น้ำสายสำคัญของเมืองฟลอเรนซ์

การได้พบปะผู้คนในร้าน ได้เรียนรู้กิริยามารยาทจากเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนชาวไทย ทำให้หญิงสาวเริ่มซึมซับวัฒนธรรมตะวันออกไกลทีละน้อย สุขใจทุกครั้งเมื่อได้สวมชุดพนักงานของร้าน เธอชอบมองกระจกสะท้อนภาพหญิงสาวร่างระหง แก้มฝาดระเรื่อ ผมสีน้ำตาลเข้มหวีเรียบเสย รวบเป็นมวยตรงท้ายทอย ร่างบอบบางดูแปลกตาในเครื่องแบบพนักงาน เสื้อแขนกระบอก คอตั้ง ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเนื้อละเอียดสีครีม เข้าชุดกับผ้าถุงสีเขียวหยก แทรกลายด้วยด้ายเงินในตัวเป็นเงาระยับ ถึงแม้จะเป็นผ้าถุงสำเร็จรูป แต่ก็ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน เธอเพิ่งเข้าใจว่าความแคบและรัดรึงของผ้าถุงวางกรอบให้ผู้หญิงต้องสำรวมกิริยายามเคลื่อนไหว อีกทั้งสไบผืนน้อยทอด้วยไหมสีแดงเลือดนกพาดเฉียงอ้อมไหล่ทิ้งชายไปข้างหลังยิ่งช่วยเสริมให้ดูอ่อนช้อยขึ้นอีก หญิงสาวเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมตะวันตก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้พบเห็นในร้านแห่งนี้จึงงดงามจับตาจับใจยิ่งนัก

เธอหลงรักดินแดนที่ไม่เคยไปเยือนมาก่อนเลยแม้สักครั้ง และไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งจะต้องเข้าไปผูกพันด้วยชีวิตและจิตใจ

อเดลลาทราบข่าวเกี่ยวกับทุนแลกเปลี่ยนนักศึกษาศิลปะระหว่างประเทศมาบ้าง แต่ไม่เคยสนใจจริงจัง ทุนที่มอบให้แก่นักศึกษาศิลปะไม่จำกัดสาขาเป็นโครงการร่วมมือระหว่างสถาบันศิลปะของอิตาลีกับประเทศอื่นที่เข้าร่วม สถาบันจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเป็นเวลาหนึ่งปี อาจารย์หลายท่านบอกให้หญิงสาวลองสอบดู เพราะผลการเรียนและผลงานของเธออยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก มีโอกาสสอบผ่านค่อนข้างสูง แต่อเดลลาตั้งใจไว้ว่าจะเรียนจนจบก่อน แล้วค่อยคิดวางแผนเรื่องอื่น จึงปฏิเสธไป

แต่ในปีนี้ชื่อของประเทศไทย หนึ่งในหลายประเทศที่เข้าร่วมโครงการ สร้างความสนใจให้เธออย่างมาก อเดลลาลงชื่อสมัครสาขาจิตรกรรมทันที เธอผ่านการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์อย่างง่ายดาย หญิงสาวดำเนินการเรื่องพักการเรียนเพื่อใช้เวลาหนึ่งปีอย่างเต็มที่กับประสบการณ์ใหม่ เฝ้านับวันรอ จนกระทั่งถึงวันเดินทาง

อเดลลายังจดจำวินาทีแรกเมื่อก้าวลงบนแผ่นดินไทยได้อย่างไม่มีวันลืม สัมผัสได้ถึงสายลมและแสงแดดแสนอบอุ่นที่อ้าแขนโอบไว้ อิ่มเอิบใจเหมือนคนพลัดจากถิ่นคุ้นเคยไปเนิ่นนานแล้วได้หวนกลับมาอีกครั้ง คงคล้ายกับปู่ทวดจิอานโนที่ครั้งหนึ่งเคยมีความทรงจำงดงาม ณ ดินแดนแห่งนี้

ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในกรุงเทพฯ ทำให้อเดลลาได้อะพาร์ตเมนต์ซึ่งมีทำเลใกล้มหาวิทยาลัย เพียงแต่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ราคาก็ไม่แพงมากนักและอยู่ในวงเงินทุนที่ได้รับ เธอพอใจบรรยากาศร่มรื่นแวดล้อมด้วยต้นไม้ ห้องพักกว้างขวางสะอาดเอี่ยม ด้านหลังเปิดออกสู่ระเบียง มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาทอดยาว อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นฉุนของลินซีดและน้ำมันสนในการวาดภาพสีน้ำมันได้เป็นอย่างดี

เสียงหวูดเรือด่วนแว่วมาแต่ไกล อากาศเริ่มอุ่นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นกลีบเมฆที่ลอยเรี่ยตรงขอบฟ้า หญิงสาวกลับเข้าห้อง เปลี่ยนชุดนอนเป็นเสื้อคลุมเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ เธอจับขอบแว่นสายตาเพื่อจะถอดวาง ตัวอักษรลวดลายอ่อนช้อยสีทองบนแผ่นกระดาษสีแดงเข้มที่วางอยู่บนโต๊ะสะดุดตาจนต้องหยิบขึ้นมามอง แผ่นพับงานนิทรรศการศิลปะที่ได้รับมาเมื่อวานนั่นเอง

‘The Flower of Siam’ 

ชื่อนั้นเรียกความสนใจให้เธอพลิกอ่านด้านในทันที งานแสดงภาพจิตรกรรมแนวเหมือนจริงโดยศิลปินชื่อดังของประเทศไทย...

บุรฉัตร วิชญนานนท์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น