บทที่ ๔
เมลิน
เจ้าของเสียงคือสาวสูงเพรียวในชุดเดรสสั้นเข้ารูปสีดำ อวดท่อนขาเนียนกลมกลึง คอเสื้อคว้านกว้างเห็นเนินเนื้อขาวผ่อง
“เมย์...” บุรฉัตรหันไปมองด้วยแววตาประหลาดใจ เจ้าของร่างเพรียวไม่รอคำเชื้อเชิญ วางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่งชิดชายหนุ่ม มือกระหวัดเกี่ยวแขนเขาอย่างสนิทสนม
“แอบมาทานข้าว ไม่เห็นชวนเมย์เลย” ปลายเสียงกระเง้ากระงอด อเดลลาเห็นหล่อนปรายตามองมา “เดี๋ยวนี้มีความลับกับเมย์แล้วเหรอบรูค”
“เมย์ครับ” บุรฉัตรแกะแขนออกอย่างนุ่มนวล ขยับนั่งตัวตรง อเดลลาเห็นแววเก้อเขินบนใบหน้าเขา
“ไม่รู้ละ ยังไงคืนนี้บรูคต้องแก้ตัว พาเมย์ไปนั่งรถเล่น” หญิงสาวสอดมือเกาะแขนอีก นิ้วเรียวระบายเล็บสีม่วงแต้มลายดอกไม้เล็กๆ เกาแขนเสื้อชายหนุ่มเหมือนเด็กเล็กอ้อนอยากได้ของเล่น
“อเดลลาครับ นี่เมลิน เพื่อนของผม” ชายหนุ่มแนะนำก่อนจะหันไปทางหญิงสาวข้างตัว “นี่อเดลลา นักศึกษาทุนจากอิตาลี”
ดวงตาคมด้วยอายแชโดว์สีเข้ม ติดแผงขนตาหนา โฉบมองมาปราดเดียว อเดลลาสังเกตเห็นความเฉยชา แต่เธอก็เผยรอยยิ้มทักทายก่อน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบคุณเมลิน” คาดว่าเมลินน่าจะสูงวัยกว่าจึงยกมือไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้แบบแกนๆ ตวัดหางตาแล้วเบนความสนใจไปยังชายหนุ่มข้างตัวต่อ
“ไปนะคะบรูค ไปนั่งรถเล่นกันนะคะ นะคะ” หญิงสาวรบเร้า หน้าเง้างอน
“ผมยังไปไหนไม่ได้ครับเมย์” บุรฉัตรปฏิเสธ “อเดลลานัดผมมาเลี้ยงขอบคุณ แล้วเราก็เพิ่งเริ่มทานข้าว”
“ก็รีบๆ ทานสิคะ เมย์รอได้” เมลินตีหน้าเบื่อหน่าย ทิ้งแขนลงข้างตัว
“ไม่ได้ครับ ผมไม่รีบด้วยเหตุผลแบบนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายหน้าคว่ำ มองค้อนมาถึงอเดลลาด้วย
“แล้วเมย์มากับใครล่ะ” บุรฉัตรถาม ทำให้เมลินสะดุ้งเล็กน้อย กลอกตาไปมาเหมือนพยายามนึกหาคำตอบ “มาคนเดียวเหรอครับ”
คนถูกถามนิ่งเงียบ บุรฉัตรจึงหันมาสนใจจานตรงหน้าต่อ อเดลลาลอบชำเลือง เครื่องสำอางซึ่งตกแต่งไว้อย่างประณีตไม่อาจกลบเกลื่อนริ้วรอยบึ้งตึงบนใบหน้าได้เลย
“ทานต่อเถอะครับ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย”
เสียงของบุรฉัตรเรียกเธอให้หันมายิ้มตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ
“มากับเอกค่ะ นั่งโต๊ะข้างหน้าโน่น” เจ้าของใบหน้าสะสวยเปิดปากพูดเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกละเลย แต่เสียงยังห้วนกระด้าง อเดลลาเห็นแววตาชายหนุ่มกระตุกวูบขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่เมลินเอ่ยถึง
“คุณจะทิ้งเอกไว้ที่นี่ แล้วไปกับผมน่ะเหรอ” น้ำเสียงของบุรฉัตรทำให้นึกถึงผู้ใหญ่กำลังตำหนิเด็กน้อย
“เอกเขาก็กลับเองได้นี่” เมลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงคงเดิม หน้าง้ำลงไปอีก
“เอกมากับคุณ ผมเองก็มีแขกของผม จะให้เราทั้งคู่ทิ้งแขกของตัวเองไปแบบนี้ ผมว่ามันไม่เหมาะนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ยังผลให้เมลินเชิดหน้าขึ้น ตาคมตวัดมาทิ้งรอยกร้าวให้ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง อเดลลายกแก้วน้ำขึ้นจิบ แสร้งไม่ใส่ใจ
“ไฮ! คุณบุรฉัตร”
เสียงห้าวทุ้มดังทักทาย อเดลลาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งก้าวมายืนข้างโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง วัยไล่เลี่ยกับบุรฉัตร ใบหน้าเกลื่อนยิ้มนั้นคมเข้มแบบหนุ่มไทย ตาคมกริบแฝงแววแพรวพราวมองเลยมาจับนิ่งที่อเดลลา เธอสบตาครู่เดียวแล้วจึงเบนมามองโต๊ะ ไม่ได้กลัวเกรงหรือเขินอาย แต่รู้สึกไม่ชอบสายตาแบบนี้ แว่วเสียงบุรฉัตรตอบกลับไป
“สวัสดี เอกกมล”
แวบหนึ่งที่อเดลลาเห็นแววขุ่นขวางในตาเมลินขณะเหลือบขึ้นมองผู้มาใหม่ แต่เพียงครู่เดียวหล่อนก็เผยยิ้มได้ทันทีเหมือนมีสวิตช์ ทำทีเอ่ยทักเหมือนมองไม่เห็นตั้งแต่แรก
“อ้าว เอกมาตามเมย์เหรอ บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวกลับ”
“โน ผมแค่จะแวะมาทักทายคุณบุรฉัตรซะหน่อย” เอกกมลตอบ ท้ายประโยคทิ้งสายตามาที่เดิม อเดลลาเหลือบขึ้นมองก็เห็นรอยยิ้มกริ่มรออยู่แล้ว เธอลอบถอนใจเมื่อเสียงเมลินช่วยปัดปัญหาไปได้
“เอก เมย์จะไปกับบรูคนะ เอกกลับคนเดียวละกัน”
“ผมว่าคุณไปกับเอกเถอะ ผมมีแขก” บุรฉัตรเอ่ย แต่อีกฝ่ายแย้งเสียงดัง
“บรูคทานใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอคะ แขกของบรูคก็อิ่มแล้วนี่” เมลินมองอีกฝ่ายซึ่งกำลังรวบช้อนส้อมวางไว้ข้างจาน อเดลลาอดไม่ได้ที่จะช้อนตาขึ้นสบแววตาคมกล้าท้าทาย
“อิ่มแล้วเหรอครับ เพิ่งทานไปนิดเดียวเอง” บุรฉัตรถาม ถือช้อนกับส้อมค้างไว้
“ค่ะ ปรกติดิฉันไม่ทานมื้อเย็น” อเดลลาตอบสั้นๆ หยิบกระเป๋ามาวางบนตัก “ต้องขอตัวก่อนนะคะ จะกลับไปร่างภาพที่อาจารย์สั่งไว้”
เธอเปลี่ยนสรรพนามเรียกบุรฉัตร ก้มศีรษะกระพุ่มมือไหว้ เบี่ยงตัวออกจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน บุรฉัตรมองตามอย่างงุนงง
“อ้าว จะกลับเสียแล้ว ยังไม่ได้รู้จักกันเลยครับ”
น้ำเสียงเอกกมลทำให้อเดลลาขนลุก เธอไม่ตอบ ถอยออกห่างเมื่อเขาขยับเข้าใกล้
“คงมีโอกาสได้พบกันอีกนะครับ Nice to see you tonight.”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมก้มศีรษะ ไม่อยากต่อคำเพราะสายตาซอกซอนทำให้รู้สึกอึดอัด
“อเดลลา รอผมก่อน”
อเดลลาชะงักเท้า
“จะไปไหนคะบรูค” เมลินเสียงดัง คว้าแขนบุรฉัตรไว้
“ผมจะไปส่งอเดลลา” ชายหนุ่มแกะมืออีกฝ่ายออก
“งั้นเมย์ไปด้วย” เมลินเอ่ยขึ้นทันควัน ขยับตัวจะลุกขึ้น
“ไม่ต้อง ผมไปคนเดียว” บุรฉัตรเอ่ยเสียงจริงจัง
เมลินหน้าบึ้ง จำต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อหลีกทาง เอกกมลหลบไปยืนข้างโต๊ะอย่างรวดเร็ว เขาผายมือสองข้าง หันมายักไหล่ให้เมลิน
“ไปก่อนนะคะคุณเมลิน หวังว่าคงได้พบกันอีก”
อเดลลาหันไปเอ่ยลา แต่ฝ่ายนั้นกลับค้อนด้วยหางตาแล้วมองเมินไปอีกทาง เธอก้าวเดินออกไปทันที เลิกใส่ใจว่าหล่อนจะรู้สึกเช่นไร บุรฉัตรเร่งก้าวตามไปจนถึงหน้าร้าน อเดลลาจึงหันกลับมา
“ส่งดิฉันแค่นี้ก็พอค่ะ คุณกลับไปเถอะ”
“ผมต้องขอโทษด้วยอเดลลา” สีหน้าบุรฉัตรดูเคร่งเครียด เธอจึงยิ้มกว้าง เอ่ยเสียงสดใส หวังช่วยให้ชายหนุ่มคลายกังวล
“สบายใจเถอะค่ะ แค่นี้ดิฉันก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณมากค่ะสำหรับคืนนี้”
“ขอบคุณเช่นกัน คงมีโอกาสได้มาทานข้าวกันอีกนะครับ” บุรฉัตรเผยยิ้มอ่อนจางออกมาได้
“Buonanotte ค่ะ” อเดลลายิ้ม ยกมือขึ้นโบกลา
“Buonanotte เช่นกันครับ แล้วพบกันที่มหาวิทยาลัยนะครับ” บุรฉัตรพูดเลียนเสียงบอกราตรีสวัสดิ์ขณะโบกมือให้หญิงสาวซึ่งกำลังเดินห่างออกไป
รอยยิ้มยังเปื้อนใบหน้า แต่ในใจอเดลลากลับตรงข้าม บอกไม่ถูกว่าเสียใจ ผิดหวัง หรือขุ่นเคือง แต่อย่างน้อยความอิ่มใจในการตอบรับจากบุรฉัตรก็ช่วยเจือจางความรู้สึกเหล่านั้นลง เธอเดินคิดเรื่อยเปื่อยจนมาถึงท่าเรือ ขณะเรือข้ามฟากลำสุดท้ายเร่งเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเตรียมออกจากฝั่ง มีผู้โดยสารบางตาเนื่องจากเป็นเวลาใกล้สามทุ่ม หญิงสาวเดินตรงไปเลือกที่นั่งประจำ เรือยนต์เร่งเครื่องเบนหัวออกจากฝั่ง ลมเย็นยามค่ำพัดมาต้องใบหน้าและผิวกาย มองแสงไฟจากบ้านเรือนริมฝั่งสะท้อนบนริ้วคลื่นเป็นสีสันวูบไหวดูแปลกตา ทำให้นึกถึงงานจิตรกรรมของศิลปินหลายคนที่จับเอาเงาแสงเหล่านี้ไปสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างงดงาม
ใจประหวัดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ให้รู้สึกเคืองผู้หญิงที่ชื่อเมลินยิ่งนัก ไม่น่าเข้ามาขัดจังหวะ ทำให้เธอพลาดโอกาสตามที่ตั้งใจไว้ อเดลลายอมรับว่าเมลินเป็นผู้หญิงสวยสะดุดตา ใบหน้าคมเข้มเย้ายวนและทรวดทรงอวบอิ่ม แต่กิริยาแข็งกระด้างกับแววตาไร้มิตรภาพบั่นทอนเสน่ห์ในตัวลงไปไม่น้อยเลย ความสนิทชิดเชื้อที่หล่อนมีต่อบุรฉัตรอย่างเปิดเผยบอกถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบขึ้นในใจ
อีกไม่นานสองคนนั้นคงไปนั่งรถชมทิวทัศน์ยามราตรีด้วยกัน ชายหนุ่มคงกำลังออดอ้อนงอนง้อ แล้วก็คงลงเอยด้วยการพากันไปปลอบใจที่ไหนสักแห่ง บุรฉัตรท่าทางสุขุม อาจเป็นเพียงภาพที่แสดงต่อหน้าเธอในฐานะนักศึกษา ตัวตนแท้จริงอาจจะเจ้าชู้ ปากหวาน หว่านเสน่ห์เป็นไฟ ผ่านผู้หญิงมามากมายแล้วก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นเมลินจะออกอาการหึงหวง แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ บุรฉัตรอาจจะไม่พอใจที่เมลินมากับเอกกมลโดยไม่บอกให้รู้ คงไม่ต่างจากเมลินที่เห็นชายหนุ่มของหล่อนอยู่กับหญิงอื่น
‘อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตานะอเดลลา จนกว่าจะแน่ใจ อย่าให้คนเพียงคนเดียวมาทำลายความเชื่อมั่นในตัวเธอสิ’ หญิงสาวเตือนสติตัวเอง ถอนใจยาว แต่เพียงครู่เดียวอีกความคิดกลับแย้งขึ้นมาในใจ
‘คุณบุรฉัตรมีชื่อเสียงระดับประเทศ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ เขาจะกล้าทำสิ่งที่จะทำลายภาพลักษณ์ดีงามของตัวเองเลยหรือ เมลินอาจเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มาหลงใหลและพยายามตอแยโดยที่คุณบุรฉัตรไม่ได้สนใจไยดี เขาอาจจะเป็นคนดีจริงๆ ก็ได้นะอเดลลา’
ความรู้สึกโล่งใจผุดขึ้นมา เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘อเดลลา เธอคิดอะไรอยู่ เธอกำลังอ่อนไหวอีกแล้วนะ จะปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้’
หญิงสาวถอนใจ พยายามสลัดความคิดทั้งหมดออกไป บอกตัวเองว่าแค่ต้องการตอบแทนชายหนุ่ม และเหตุผลสำคัญก็คืออยากรู้ความจริงเกี่ยวกับภาพวาดเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาสได้พบบุรฉัตรที่มหาวิทยาลัยอีกตั้งหลายครั้ง
อเดลลากลับถึงห้องพักเมื่อใกล้สี่ทุ่ม รีบจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยล้าบวกกับเวลาค่อนข้างดึกทำให้หลับทันทีที่ล้มตัวลงนอน
ประตูความฝันเปิดรับในวินาทีแรกเมื่อเข้าสู่ภวังค์
อเดลลารับรู้ได้ว่าทุกสิ่งคงเดิม เริ่มต้นและจบลงด้วยเหตุการณ์เหมือนเก่า แต่ครั้งนี้กลับผิดแปลกไป บรรยากาศสว่างพร่างพราวราวคืนเดือนเพ็ญ แสงนวลตากระจายอาบทั่วบริเวณ กลิ่นหอมรวยรินพัดโชยมาตามสายลม
เด็กหนุ่มยังคงยืนรอเธออย่างสงบหน้าเรือนไม้สีเขียว สีหน้าซึ่งเรียบเฉยเป็นนิตย์บัดนี้ระบายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาแห้งแล้งไร้ความหวังกลับเปล่งประกาย
“กระผมดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้งขอรับ”
แม้จะประหลาดใจ แต่ทำได้เพียงเดินตามเขาสู่ชานเรือนเช่นทุกครั้ง ก่อนเด็กหนุ่มจะเอื้อมมือผลักบานประตู ความมืดก็โรยตัวลงคลุมอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังพาความเย็นยะเยือกแผ่กระจายไปทั่ว สายลมพัดเอื่อยเริ่มโหมแรงขึ้น เพียงอึดใจก็ก่อตัวเป็นพายุกรีดเสียงแหลมหวีดหวิว ม้วนตัวหอบใบไม้ปลิวว่อน ต้นไม้ส่ายใบดังสวบสาบเหมือนเสียงกระซิบจากมุมมืด ลั่นทมลากกิ่งแกรกกรากบนหลังคาดุจกรงเล็บครูด สะบัดดอกสีขาวร่วงกระจายอย่างไม่ไยดี
อเดลลาหันขวับไปเมื่อเสียงกราวแทรกด้วยเสียงกิ่งไม้หักดังเปรี๊ยะมาจากด้านหลัง รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งอยู่ที่นั่น ความเย็นวาบไล่อาบตั้งแต่ศีรษะลงไป ขนลุกเกรียวเมื่อมองไปยังพุ่มไม้ทึบฝั่งตรงข้ามเรือน
กลุ่มควันสีดำมืดม้วนเกาะกันเป็นก้อน ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายคนสูงเกือบเท่าต้นไทร กายดำทะมึนนั้นส่ายไปมา กลิ่นเหม็นสาบคล้ายเนื้อเน่าตากแห้งโชยตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียน เสียงกรีดร้องโหยหวนดุจคนได้รับความเจ็บปวดดังเสียดแก้วหู เมื่อร่างดำมืดแหวกออกจากพุ่มไม้พุ่งตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว
“กรี๊ด!” อเดลลาหวีดร้องเมื่อกลุ่มควันสยองกระแทกเข้าอย่างจังจนหงายหลังล้มลง เธอยังมีสติเหลียวมองหาเด็กหนุ่ม เห็นเขาถอยกรูดไปชิดผนังเรือน แล้วจู่ๆ ร่างนั้นก็สลายเป็นผงฝุ่นลอยหายไปในอากาศ ทิ้งเธอให้เผชิญกับความหวาดหวั่นเพียงลำพัง
อเดลลาหันมาประจันหน้า ถดตัวหนีด้วยความกลัวสุดขีด ก้อนดำมืดลอยตัวนิ่งอยู่หน้าชานเรือน ส่วนบนซึ่งคล้ายศีรษะคนจ้องมองมาอย่างประสงค์ร้าย แล้วพุ่งเข้ามาหาอีกครั้งอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
“กรี๊ด!” อเดลลาเบี่ยงตัวหลบ ยันกายลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วกระโดดลงจากชาน ทันทีที่เท้าแตะพื้นหญ้า เธอก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
พลันภาพแนวป่าทึบกลับอันตรธานไปในพริบตา แทนที่ด้วยตึกใหญ่ตั้งตระหง่านขวางกั้นทางหนี หญิงสาวหยุดกึก หันรีหันขวางด้วยใจเต้นตึ้กตั้ก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดี กลิ่นเหม็นสาบรุนแรงข้างหลังผลักให้วิ่งอ้อมตัวตึกไปทางขวามือเข้าสู่ทางแคบมืดทึม ขนาบด้วยผนังตึกและแนวพุ่มไม้หนาทึบ มองไปข้างหน้าเห็นแต่โพรงมืดน่าพรั่นพรึง แต่คงน้อยกว่าสิ่งที่กำลังไล่ตามมาเป็นแน่
‘อย่ากลัว อเดลลา มันเป็นแค่ความฝัน ตื่นสิ ตื่นเดี๋ยวนี้เลย’
หญิงสาวพยายามปลุกตัวเอง แต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง ความกลัวครอบคลุมทุกอณูความรู้สึกไว้สิ้น บังคับให้ต้องวิ่งหอบหายใจ ขนานไปกับผนังตึกที่ดูไม่สิ้นสุดเสียที แสงวอมแวมผุดเป็นจุดเล็กท่ามกลางสีดำสนิทเบื้องหน้า
‘แสงไฟ ต้องมีคนอยู่ที่นั่น’
อเดลลากลั้นใจเร่งฝีเท้า พุ่งตัวไปยังแสงสว่างด้วยความหวัง แต่แล้วเมื่อไปถึงกลับต้องหยุดชะงัก ร่างนิ่งแข็ง เบิกตากว้างด้วยความตระหนกสุดขีดกับภาพตรงหน้า
ความคิดเห็น |
---|