บทที่ ๖

บทที่ ๖

บ้านราชพินิจ

เมอร์เซเดสเบนซ์ 170V สีดำมันวับเคลื่อนผ่านประตูไม้สีเขียวหม่นสู่เงาร่มรื่นเขียวขจี ต่างจากความร้อนระอุภายนอกรั้วเหมือนคนละโลก จามจุรียืนต้นสูงตระหง่าน ใบหนาซ้อนเหลื่อมเป็นชั้นกั้นแดดเที่ยงได้เป็นอย่างดี รถแล่นไปตามทางปูกระเบื้องทอดโค้งขึ้นเนิน ผ่านแนวต้นหูกระจงแผ่ใบเขียวเป็นชั้น สลับกับเหลืองปรีดียาธรที่กำลังผลิดอกเหลืองเจิดจ้าทางด้านซ้ายมือ ถัดไปคือลานหญ้าเขียว มองพ้นไปคือลำน้ำเจ้าพระยาที่ทอดตัวยาวขนานกับทางรถสัญจร เห็นหลังคาศาลาริมน้ำปูกระเบื้องสีเขียวโผล่พ้นยอดไม้รำไร

อเดลลามองผ่านกระจกใสอย่างเพลิดเพลิน อากาศเย็นฉ่ำภายในรถกับบรรยากาศข้างทางทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เหลือบมองร่างสูงหลังพวงมาลัย ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสใกล้ชิดกับบุรฉัตรถึงเพียงนี้ ยิ่งวันที่เขาเอ่ยปากกับเธอหลังเลิกชั้นเรียนเมื่อสองวันก่อนยิ่งเหมือนฝัน หัวใจพลันหวามไหวขึ้นมา แต่อีกความคิดผุดขวางอย่างรู้ทัน

อย่าคิดไปไกลเลยอเดลลา เขาก็แค่เอ่ยชวนตามมารยาทเท่านั้นแหละ

‘วันเสาร์ที่จะถึงคุณว่างหรือเปล่า ผมอยากชวนไปที่บ้าน’

เธอจำได้แม่นว่าอึ้งไปชั่วขณะ จ้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง 

‘พอดีคุณย่าจะทำบุญครับ ผมอยากให้คุณได้เห็น ได้ไปร่วมประเพณีไทย อีกอย่างจะได้ไปดูภาพวาดของผมด้วย มีภาพใหม่หลายภาพที่ยังไม่เคยมีใครเห็น ผมกลัวว่าพอแสดงงานแล้วอาจมีคนซื้อไป เลยอยากให้คุณได้ชมก่อน’

‘ได้...ได้ค่ะ’ อเดลลาพูดตะกุกตะกัก ดีใจจนบอกไม่ถูก เหตุผลข้อหลังทำให้ตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล ‘แล้ว...คุณเมลินล่ะคะ คุณชวนเธอด้วยหรือเปล่า’

‘เมย์เขาไม่ว่างครับ ต้องไปดูการตกแต่งออฟฟิศลูกค้าที่พัทยาครับ’ 

อเดลลาโล่งใจ ด้วยไม่อยากพบหน้าผู้หญิงหน้างอคนนั้นเลย

‘แต่คุณคงต้องไปค้างนะครับ เพราะคุณย่าเลี้ยงเพลพระ ผมกลัวคุณตื่นไม่ทัน’ บุรฉัตรเห็นอีกฝ่ายตีหน้าสงสัย เขาจึงยิ้มแล้วรีบเอ่ย ‘ผมหมายถึง...นิมนต์ เอ๊ย เชิญพระมาฉัน เอ้อ...คือ เชิญพระมากินข้าวที่บ้านน่ะครับ’ บุรฉัตรพูดกุกกัก พยายามอธิบายด้วยคำง่ายๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ สีหน้าท่าทางของเขาคงน่าขันไม่น้อย เพราะเห็นอเดลลาอมยิ้ม ทั้งสองสบตาแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

‘ด้วยความยินดีค่ะ’ อเดลลาหน้าแดง พยายามกลั้นหัวเราะ ‘แต่คงต้องขออนุญาตชวนดาริกาไปด้วยนะคะ’

‘ดีเลยครับ คุณจะได้มีเพื่อน’ 

อเดลลาชอบตาเป็นประกายสุกใสของชายหนุ่ม เผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงความรู้สึกตอนนั้น

“รถอาจารย์สวยมากเลยค่ะ” 

ดาริกานั่งยิ้มแป้นบนเบาะหน้า อเดลลาเป็นคนคะยั้นคะยอให้หล่อนไปนั่ง เพราะไม่อยากทนตัวแข็งไปตลอดทาง เธอมองเลยขึ้นไปที่กระจกมองหลังอย่างไม่ตั้งใจ พอสบตาคนขับเข้าก็ร้อนวาบทั้งตัวจนต้องรีบหลุบตาลงด้วยความขัดเขิน

“อาจารย์ชอบรถโบราณเหรอคะ หนูก็ชอบ หนูว่ามันคลาสสิกมาก ยิ่งได้มานั่งแบบนี้นะ นึกว่าตัวเองเป็นหม่อมเจ้าหญิงดาริกาดาราราย มีท่านชายขับรถจากในวังมารับไปดินเนอร์ ฮิๆ อย่าถือสาหนูนะคะอาจารย์ หนูแค่พูดเล่น” ดาริกาเอ่ยเจื้อยแจ้วเสียงใสสลับหัวเราะรื่น

“ผมชอบรถโบราณมาก จริงๆ คือชอบทุกอย่างที่เป็นของโบราณ” เขาตอบเสียงทุ้มกังวาน

รถเคลื่อนมาจอดเทียบหน้าอาคารหลังใหญ่ บุรฉัตรเปิดประตู ก้าวลงมายืน แต่เมื่อเห็นผู้ร่วมทางยังคงนั่งเงียบ จึงก้มลงไปมองพร้อมเอ่ยขึ้น

“ถึงแล้ว เชิญเลยครับ”

สองสาวเปิดประตูรถออกมายืน หันไปมองอาคารสูงตระหง่านตรงหน้าด้วยแววตาตื่นตะลึง

“อู้ฮู! นี่บ้านอาจารย์เหรอคะเนี่ย ใหญ่โตโอฬารปานพระราชวัง” ดาริกาอุทานตาโต ยกสองมือขึ้นแตะแก้ม

อเดลลาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน บ้านของบุรฉัตรใหญ่โตและงดงามจนเกินจะเรียกว่าบ้าน อาคารสองชั้นรูปทรงยุโรปแบบนีโอคลาสสิกทาสีเหลืองเจิดจ้าอย่างที่เรียกว่าเหลืองมัสตาร์ด หันหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา มีลายปูนปั้นสีครีมอ่อนประดับตามมุมอาคารและซุ้มหน้าต่างสีเขียวหม่น ด้านหน้าตึกมีมุขกว้างยกพื้นสูง ขึ้นลงด้วยบันไดสองข้าง เหนือคูหาโค้งตรงมุขหน้าตกแต่งปูนปั้นเป็นลวดลายอ่อนช้อย งดงามอลังการเสมือนกำลังยืนอยู่หน้าวังของเจ้านายยุคโบราณก็ไม่ปาน

“สวยมาก สวยจริงๆ” อเดลลาเอ่ย ยังจับจ้องสถาปัตยกรรมตรงหน้าไม่วางตา

“บ้านเก่าครับ ตั้งแต่สมัยคุณทวดผม” เสียงบุรฉัตรดังอยู่ไม่ไกล อเดลลาเหลือบมอง เห็นแขนเสื้อสีฟ้าครามอยู่ห่างกายไปนิดเดียว “เข้าไปข้างในดีกว่าครับ จะได้พบคุณย่าด้วย”

“อ้าว คุณฉัตร ได้ยินเสียงรถ ไม่แน่ใจเลยออกมาดู” เสียงนั้นมาจากสตรีสูงอายุร่างท้วม ผิวคล้ำ สวมเสื้อขาวปล่อยชาย คอเสื้อระบายลูกไม้อ่อนหวาน เข้าชุดกับผ้าถุงสีน้ำตาลเข้ม ที่กำลังก้าวลงมาตามบันได “เจียมนึกว่าเขามาส่งของที่สั่งไว้เสียอีก”

“แม่เจียม” ชายหนุ่มเอื้อมมือโอบผู้สูงวัยที่เพิ่งมาถึง “อเดลลา ดาริกา นี่แม่เจียม แม่นมของผม” 

สองสาวยกมือไหว้นอบน้อม อีกฝ่ายรับไหว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“ยินดีที่ได้รู้จักแม่เจียมนะคะ หนูชื่อดาริกา ส่วนเพื่อนหนูชื่ออเดลลาค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ผู้แนะนำตัวยิ้มกว้าง ประสานมือไว้ข้างหน้า

“ดิฉัน เอ้อ หนูก็ดีใจเช่นกันค่ะ” อเดลลายิ้มหวาน

“เออแน่ะ แหม่มนี่ พูดไทยเก่งจัง” แม่เจียมกล่าว มองมาด้วยแววตาอ่อนโยน

“ของที่ต้องใช้ครบหมดหรือยังครับ ยังไงผมไปซื้อเพิ่มให้ได้นะครับ” บุรฉัตรถามแม่นมของตน อเดลลายิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มโอบเอวหญิงสูงวัยอย่างสนิทสนม

“ครบทุกอย่างแล้วค่ะคุณฉัตร ทั้งของถวายพระ ของแห้งปรุงอาหาร เหลือก็แต่เตรียมของ พวกของสดกับดอกไม้ พรุ่งนี้ให้คนไปซื้อแต่เช้าเลยค่ะ เราเลี้ยงเพล เลยไม่ต้องรีบมาก”

“ผมขอให้อเดลลากับดาริกามาช่วย จะได้เป็นลูกมือ” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้สองสาว

“ดีเลยค่ะ กำลังหาคนมือเบามาช่วยปั้นลูกชุบ พวกในครัวนั่นมือหนัก สอนกี่ทีก็ไม่เคยจำ ปั้นออกมาบูดๆ เบี้ยวๆ มองไม่รู้ว่าเป็นลูกอะไร อย่าว่าแต่ถวายพระเลยค่ะ ลำพังใส่จานเลี้ยงแขกก็ไม่รู้จะมีใครจิ้มเข้าปากหรือเปล่า”

อเดลลาสงสัยคำว่า ‘ลูกชุบ’ เดาเองว่าคงเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ต้องปั้นด้วยมือก่อนนำไปปรุง

“คุณย่าท่านชอบทำเองค่ะ ไม่ชอบซื้อ กลัวจะสกปรก ถวายพระท่านจะบาปเสียเปล่าๆ” ประโยคหลังแม่เจียมหันมาคุยกับสองสาว

“อุ๊ย ลูกชุบเหรอคะ หนูอยากปั้นค่ะ” ดาริกาว่าเสียงแหลมอย่างตื่นเต้น

“เย็นนี้แหละค่ะ เดี๋ยวป้าสอนให้” แม่เจียมกล่าว เอื้อมมือมาจับต้นแขนดาริกา

“เข้าไปคุยต่อในบ้านดีกว่าครับ ยืนคุยกันแบบนี้เมื่อยขาแย่เลย” บุรฉัตรเอ่ย แตะเอวแม่เจียมให้ออกเดิน

“จริงด้วย เจียมก็มัวคุยเพลิน” หญิงสูงวัยหัวเราะ 

บุรฉัตรหันมาพยักหน้าให้สองสาวแล้วก้าวนำขึ้นบันได อเดลลาก้าวขึ้นไปยืนหน้ามุข เหนือศีรษะคือคูหาโค้ง ประดับด้วยลายเครือเถาพันเกี่ยวกัน งดงามจับตาจนตรึงอเดลลาให้ต้องยืนจ้องมอง คนปั้นสร้างสรรค์ได้อ่อนช้อยจนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือปูนปั้น

อเดลลาเดินเคียงดาริกาผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ตัวเรือนกว้างขวาง ภายในห้องโถงเย็นเยือกและค่อนข้างมืดสลัว แสงจากหน้าต่างไม่อาจกระจายความสว่างไปได้ทั่ว เธอกวาดตามองเพดานสูง ก้มลงมองพื้น แล้วสิ่งที่สะกดสายตาเอาไว้ก็คือกระเบื้องปูพื้นลายพรม งดงามด้วยโทนสีเขียวหม่น ระบายลวดลายโค้งกลมสีน้ำตาลเข้ม สอดสลับด้วยลายเครือเถาอ่อนหวานสีครีมเหมือนกันทุกแผ่น เมื่อเรียงต่อกันทำให้เกิดลวดลายสวยงามเหมือนพรมปูพื้น หญิงสาวมั่นใจว่ากระเบื้องเหล่านี้น่าจะเป็นของเก่าซึ่งปูมาพร้อมกับเมื่อแรกเริ่มสร้างบ้าน

“เดล มานี่สิ มัวก้มๆ เงยๆ อยู่นั่น หาแมลงสาบอยู่หรือไง” 

เสียงเรียกของดาริกาทำให้อเดลลาเงยหน้าขึ้น พบว่าคนทั้งหมดกำลังก้าวผ่านประตูไปยังอีกห้องหนึ่ง จึงรีบสาวเท้าตามไป เดินผ่านห้องเล็กทาสีเขียวมะกอกทั้งห้องซึ่งเชื่อมต่อกับห้องโถง มีเพียงโต๊ะไม้ตั้งชิดผนังวางแจกันใบใหญ่ปักดอกไม้สด สะดุดตาภาพวาดสองภาพที่แขวนประดับผนัง ดูจากสีและฝีแปรง น่าจะเป็นฝีมือบุรฉัตร เธออยากหยุดมอง แต่ด้วยความเร่งรีบจึงจำต้องตัดใจ

“คุณย่าล่ะครับ” บุรฉัตรหันมาถามแม่เจียมขณะที่อเดลลาเดินไปถึง ทั้งหมดก้าวไปตามระเบียงทอดยาว ขนาบสองข้างคือห้องที่ปิดประตูไว้

“คุณย่ากำลังเตรียมแกงสายบัวต้มกะทิ ของโปรดคุณอยู่ในครัวแน่ะค่ะ” แม่เจียมตอบ 

ชายหนุ่มก้าวนำไปจนสุดตัวตึก มีระเบียงทางเดินเปิดโล่งเชื่อมไปยังตึกอีกฟากหนึ่ง เขาหยุดอยู่หน้าห้อง แว่วเสียงคนคุยกันมาจากด้านใน

“เมื่อกี้แม่เจียมเรียกฉันว่าอะไรนะดา” อเดลลาเอียงหน้าเข้าไปกระซิบถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายตอบกลั้วหัวเราะ

“อ๋อ คนไทยชอบเรียกผู้หญิงฝรั่งว่าแหม่ม ไม่ว่าจะสาวจะแก่ก็เรียกแบบนี้ทุกคนแหละ”

สองสาวเดินมาหยุดหน้าห้องพร้อมแม่เจียม อเดลลาและดาริกายิ้มขันเมื่อเห็นอาจารย์หนุ่มหันมายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงห้ามส่งเสียง เขาเดินย่องไปทางด้านหลังสตรีคนหนึ่งซึ่งยืนง่วนอยู่หน้าเตาแล้วสวมกอด

“อุ๊ย! ตาเถรเวรตะไลไฟพะเนียง”

“ผมเองครับ ไม่ใช่ตาเถร” บุรฉัตรหัวเราะ หอมแก้มผู้เป็นย่าฟอดใหญ่

“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยพ่อฉัตร เล่นเอาย่าตกใจหมด” สตรีชราร่างท้วมวางทัพพีลงบนจานข้างเตา หมุนตัวมามองด้วยแววตาอ่อนโยน

“เพิ่งมาถึงครับ” เขาตอบพร้อมกับหอมแก้มผู้เป็นย่าอีกฟอดใหญ่

“ฮื้อ! ตัวย่าเหนียวเหนอะ เหม็นกลิ่นกับข้าวไปทั้งตัว ดูแน่ะ คนเขายืนมองกันออกเยอะแยะ ไม่อายหรือไง” หญิงชรายิ้มขัดเขิน

อเดลลายิ้มตาม เธอชอบชายหนุ่มยามนี้ ดูอ่อนโยนเหมือนเด็กชายตัวน้อยขี้อ้อน ต่างจากบุคลิกเงียบขรึมเมื่ออยู่หน้าชั้นเรียนเป็นคนละคน

อเดลลาสัมผัสถึงความอบอุ่นรอบกายตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ย่าปรุงยิ้มแย้ม ใบหน้าอิ่มเอิบและแววตาอ่อนโยนฉายความเมตตาเต็มเปี่ยม ผมหยักศกเป็นลอนขาวโพลน ตัดสั้นเสมอคอ แต่งทรงเรียบร้อยเสริมให้สตรีชราวัยแปดสิบดูภูมิฐาน ทำให้อดคิดถึงย่าของเธอไม่ได้

แม่เจียมเป็นคนอารมณ์ดี คุยเก่ง ดาริกาก็ช่างฉอเลาะ จึงเข้ากันได้รวดเร็ว ผลัดกันถามตอบสนุกสนาน ทำให้การทำขนมลูกชุบมีชีวิตชีวา เคล้าเสียงหัวเราะตลอดเวลา อเดลลาเพลินกับการปั้นถั่วเขียวกวนให้เป็นรูปผลไม้ต่างๆ ฝีมือด้านศิลปะช่วยให้เธอประดิษฐ์ลูกชุบออกมางดงามจนแม่เจียมออกปากชม

“เออ หนูแหม่มนี่ มือเบ๊าเบา ปั้นออกมาได้งามเชียว โบราณว่าของถวายพระ ถ้าตั้งใจทำ บุญจะส่งให้ชาติหน้าเกิดมาสวยเหมือนชาตินี้นะหนู” 

ดาริกาเหลือบมองแล้วท้วงเสียงดัง “แล้วอย่างหนูล่ะคะ จะได้บุญกับเขาบ้างไหมคะเนี่ย”

หญิงวัยกลางคนเอียงคอพินิจก้อนถั่วกวนในมืออวบอูมผู้อ่อนวัยแล้วอมยิ้ม “กลมกระปุกหลุกแบบนั้น สงสัยชาติหน้าได้เกิดเป็นโอ่งมังกรเสียละมั้งหนูดาจ๋า”

“ตายแล้ว แม่เจียม หนูไม่ปั้นแล้ว รอระบายสีกับชุบวุ้นดีกว่าค่ะ”

แม่เจียมกับอเดลลาหัวเราะท่าทางกระเง้ากระงอดของผู้พูด นี่เป็นครั้งแรกที่อเดลลาได้เรียนรู้การทำขนมลูกชุบซึ่งแสนอัศจรรย์ในความรู้สึก นึกชื่นชมผู้ที่คิดสูตรขนมชนิดนี้ ถั่วกวนรสหวานกลมกล่อมเคล้ากลิ่นหอมจากกะทิ ซ่อนมาในรูปผลไม้จำลองหลากชนิดขนาดเล็กน่ารักและสีสันสวยสด ให้ความสุขทั้งการมองและการลิ้มรส

“คนไทยโบราณนี่เก่งเนาะ ช่างคิดช่างทำ ดูสิ สวยจนไม่อยากกินเลย” ดาริกานั่งมองขนมเรียงเป็นแถวในจานตาปริบๆ 

“ไม่ใช่จ้ะหนูดา” ย่าปรุงบอก “ขนมลูกชุบมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโน่นก็จริง แต่พวกโปรตุเกสต่างหากที่ทำขนมลูกชุบเป็นพวกแรกเลย คนที่คิดสูตรก็คือ มารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา แต่คนไทยเรียกกันว่าท้าวทองกีบม้านั่นแหละจ้ะ จริงๆ เขาใช้เม็ดอัลมอนด์บดละเอียดกวนกับน้ำตาลและน้ำมันมะกอก แต่สมัยโน้นกรุงศรีอยุธยาคงหาเม็ดอัลมอนด์ได้ยาก ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ถั่วเขียวแทน”

“หนูก็เพิ่งทราบนะคะ หลงเข้าใจว่าเป็นขนมไทยเสียตั้งนาน” ดาริกาเอ่ย

“ยังมีอีกหลายอย่างเลยจ้ะที่เป็นขนมของโปรตุเกส แต่คนมักเข้าใจว่าเป็นขนมไทย อย่างพวกฝอยทอง ทองหยอด หม้อแกง สังขยา พวกนี้ใช่หมดเลย หนูลองสังเกตดูสิ ขนมไทยโบราณส่วนใหญ่จะเป็นแป้ง น้ำตาล แล้วก็กะทิ แต่ถ้ามีไข่และเนยเข้ามาผสมเมื่อไหร่ก็จะเป็นขนมฝรั่งจ้ะ” ย่าปรุงอธิบาย ประจงวางลูกชุบเรียงบนจานอย่างเป็นระเบียบ

อเดลลานึกชื่นชมคนไทยที่นำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผสมปรุงแต่งในอาหารได้อย่างลงตัวและยังปราศจากสารพิษ อย่างเช่นดอกอัญชันที่ให้สีน้ำเงินคราม หรือใบเตยที่นอกจากให้สีเขียวแล้วยังเจือกลิ่นหอมอีกด้วย เธอต้องประหลาดใจอีกครั้งบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น เมื่อพบว่าก้านของดอกบัวสายหรือวอเทอร์ลิลีที่เธอรู้จักสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารแสนอร่อยได้ แกงสายบัวเนื้อข้นด้วยกะทิ รสชาติออกหวานอมเปรี้ยวจากน้ำมะขาม ใส่ปลาทูเนื้อนิ่ม ทำให้เธอกินข้าวได้มากกว่าทุกวัน ดาริกานั้นไม่ต้องพูดถึง เติมข้าวพูนจาน เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

“คุณย่าขา แกงสายบัวฝีมือคุณย่าอร่อยเลิศเจิดจำรัสเลยค่ะ”

“ทานเยอะๆ เลยหนู นานๆ ย่าจะลงครัวสักที วันนี้พ่อฉัตรกลับบ้าน ย่าก็เลยทำแกงสายบัวของโปรดเขาจ้ะ” หญิงชรายิ้ม มองดาริกาอย่างเอ็นดูแล้วมองเลยมาที่อเดลลา ถามอย่างห่วงใย “หนูล่ะ อาหารไทยถูกปากบ้างหรือเปล่า เผ็ดไปไหม”

“ไม่เผ็ดเลยค่ะ อร่อยมากค่ะ” อเดลลาตอบพร้อมรอยยิ้ม

“คุณย่าทำกับข้าวเก่งมากๆ เลยค่ะ น้ำพริกนี่ก็อร่อยล้ำเลยค่ะ” ดาริกาชมขณะใช้ช้อนกลางตักดอกขจรและถั่วพู ราดกะทิขาวข้นลงในจานของตน แล้วตักน้ำพริกสีแดงเข้มราดลงบนผัก

“น้ำพริกต้องชมแม่เจียมเขา เพราะเขาเตรียมเครื่องโขลกเองกับมือ ย่าแค่ช่วยปรุงช่วยชิม”

“โถ...ถ้าไม่ได้คุณย่า น้ำพริกก็คงไม่ได้รสหรอกค่ะ” แม่เจียมถ่อมตัว ยิ้มกว้าง

“กับข้าวฝีมือคุณย่ากับแม่เจียมเป็นต้นตำรับจากในวังเก่าเลยนะครับ” บุรฉัตรยิ้มให้ผู้เป็นย่า

“คุณย่าเรียนทำอาหารจากที่ไหนเหรอคะ” อเดลลารู้สึกสนใจขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าวังเก่า

“โอย ไม่ได้รงได้เรียนจากที่ไหนหรอกจ้ะ คุณแม่ของย่าท่านเคยเข้าไปอยู่ในวัง ก็เลยได้ตำรับตำราอาหารชาววังมาสอนย่าอีกที ย่าก็ไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่หรอก แต่ช่วยทำบ่อยๆ มันก็จำไปเอง นี่ยังนึกเสียดายสูตรอาหารอีกตั้งหลายอย่าง จำไม่ได้เสียแล้ว” ย่าปรุงเล่าพลางจิ้มผลไม้จากจานเปลแบ่งใส่จานเล็กตรงหน้า “เรื่องคุณย่าทวดยาวเป็นแม่น้ำเชียวละ เล่ากันเป็นวันก็ไม่จบ ทานข้าวกันต่อเถอะ เย็นแล้วจะเสียรสหมด”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น