4

บทที่ 4


 

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังมาจากชั้นสองของคฤหาสน์ ก่อนชลันธรในชุดนักศึกษามัดผมหางม้าจะเดินแกมวิ่งลงบันไดมา หญิงสาวหยุดยืนหน้าผนังกระจกสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง เวลาหนึ่งสัปดาห์ช่วยให้หล่อนทำใจรับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น ตอนนี้ผมยาวถึงกลางหลังไม่ได้น่ารำคาญอีกแล้ว แถมหล่อนยังรู้สึกสนุกกับทรงผมที่มาลีช่วยทำให้ในแต่ละวันอีกด้วย

หญิงสาวหยิบลูกผมทัดหู แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร หล่อนพบพ่อกับแม่นั่งอยู่ก่อนแล้ว พ่ออ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับจิบกาแฟ ส่วนแม่กำลังเติมเครื่องปรุงใส่ข้าวต้ม พอได้ยินเสียงเดินของหล่อน พวกท่านก็หันมามอง แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“มาแล้วเหรอลูก เช้านี้มีข้าวต้มปลา ลูกจะกินไหม”

“กินค่ะแม่” หญิงสาวเดินไปนั่งตรงข้ามแม่ ป้าศรีนวลยกข้าวต้มมาเสิร์ฟ หล่อนตักกินพลางมองพ่อกับแม่ไปด้วย แม่เลื่อนชามข้าวต้มไปให้พ่อ พ่อก้มหน้าลงมอง แล้วอ้าปากรอ แม่มองค้อน แล้วตักข้าวต้มป้อนพ่อ ทุกกิริยาอ่อนโยนนุ่มนวล แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ ต่อกัน แต่หล่อนรู้ว่านี่คือความรัก

“เอ้า นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ ไม่รีบกินเดี๋ยวไปสายหรอก” แม่หันมาดุหล่อน

ชลันธรยิ้มหน้าเป็น แล้วตักข้าวต้มกินคำใหญ่ แม่เป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยทั้งรูปร่างหน้าตา สวยทั้งกิริยามารยาท อาจารย์มุจลินท์เล่าว่านาคาในวงศ์โอปปาติมีรูปกายงดงาม ไม่รู้เพราะเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้แม่สวยขนาดนี้

“เอ้าลูกคนนี้ พอเลิกนั่งเหม่อ ก็หันมานั่งจ้องแม่ ข้าวต้มไม่อร่อยเหรอจ๊ะ”

“อร่อยค่ะ” หล่อนยิ้มประจบ “วันนี้แม่สวยมาก น้ำมองแม่เพลิน เลยลืมกินข้าว”

“ไม่ต้องมาชมแม่เลย รีบกินให้หมด จะได้รีบไปเรียน”

“ค่ะแม่” หล่อนตักข้าวต้มกิน แล้วหันไปมองพ่อ เมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมอง “มีอะไรหรือเปล่าคะพ่อ”

“ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว มีอะไรแปลกๆ เกิดกับลูกอีกหรือเปล่า”

ชลันธรนิ่งคิด สัปดาห์ที่ผ่านมาทุกอย่างปกติดี ยกเว้นเรื่องของอาจารย์มุจลินท์ หล่อนรู้สึกว่าเขาไม่ชอบมาพากล จู่ๆ ก็มาสอนแทนอาจารย์สมบุญ แล้วยังชื่อของเขา หน้าตา และตำนานนาคาพิภพอีก ทุกอย่างล้วนน่าสงสัย แต่หล่อนไม่มี

หลักฐานมาพิสูจน์ นอกจากความรู้สึกส่วนตัว ถ้าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ การเล่าเรื่องของเขาให้พ่อฟัง คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

“ไม่ค่ะ น้ำปกติดีค่ะ” หล่อนตัดสินใจไม่เล่า เพราะไม่อยากให้พ่อกังวล

“ปกติก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น หรือมีคนแปลกๆ เข้ามาหาลูก ลูกต้องบอกพ่อทันที เข้าใจไหม”

“ค่ะพ่อ” หล่อนรับคำ

“ผมอิ่มแล้ว” พ่อหันไปบอกแม่ “ผมไปทำงานก่อนนะ”

“ขับรถดีๆ นะคะ” แม่ยิ้มหวาน พ่อยิ้มตอบ แล้วเดินออกไป โดยไม่ลืมหยุดลูบศีรษะหล่อนตอนเดินผ่าน

ชลันธรมองตามจนลับตา แล้วหันกลับมามองแม่ แม่ใจเย็นกว่าพ่อในทุกเรื่อง ถ้าเล่าเรื่องอาจารย์มุจลินท์ให้ฟัง ไม่รู้ว่าแม่จะคิดเหมือนหล่อนหรือเปล่า

“มองแม่อีกแล้ว วันนี้ลูกดูแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“คือ…”

“คืออะไรจ๊ะ”

“องค์มุจลินท์หน้าตายังไงคะ” หล่อนถามเรื่องอื่นแทน

“ลูกอยากรู้จักพระองค์เหรอจ๊ะ”

“ค่ะ” หล่อนพยักหน้า “เผื่อบังเอิญพบกัน น้ำจะได้ดูออก”

“นาคาในวงศ์โอปปาติสามารถจำแลงกายเป็นใครก็ได้ ลูกไม่มีทางรู้หรอก ถ้าพระองค์ไม่ทรงเปิดเผยเอง”

“แล้วเวลาไม่แปลงกาย พระองค์หน้าตายังไงคะ”

“เวลาอยู่ในร่างมานพหนุ่ม ทรงหล่อเหลา สูงสง่า พระเนตรสีน้ำเงินเข้ม พระฉวีดั่งทองทา พระเกศา...”

ชลันธรคิดตาม ภาพชายหนุ่มในฝันคืนนั้นลอยขึ้นมา ทำไมเขาถึงได้คล้ายกับองค์มุจลินท์ หรือว่าทั้งสองจะเป็นคนเดียวกัน

“ดำยาวถึงกลางหลัง” หล่อนเผลอพูดออกไป แม่ชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจ

“ลูกรู้ได้ยังไงจ๊ะ”

“น้ำแค่เดาค่ะ บังเอิญถูก” หล่อนยิ้มกลบเกลื่อน “แล้วนิสัยใจคอเป็นยังไงคะ”

“ทรงฉลาด อ่อนโยน น้ำพระทัยงดงาม และเปี่ยมด้วยบารมี”

“แม่พูดเกินไปหรือเปล่าคะ คนอะไรจะดีไปหมดทุกอย่าง”

“ถ้าลูกได้พบพระองค์ ลูกจะรู้ว่าสิ่งที่แม่พูดยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”

“ถ้าทรงสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ทำไมต้องมาขอหมั้นน้ำด้วย ไม่มีนาคีสาวๆ ในเมืองบาดาลให้ทรงเลือกแล้วเหรอคะ” หล่อนค่อนขอดอย่างอดไม่ได้

แม่หัวเราะเสียงเบา แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เรื่องบางเรื่องลูกต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งกังวลเรื่ององค์มุจลินท์เลย เอาเวลามาคิดเรื่องเรียนดีกว่า ลูกเลือกหัวข้อสารนิพนธ์ได้หรือยังจ๊ะ”

“ยังค่ะ แต่คงได้เร็วๆ นี้ น้ำไปเรียนก่อนนะคะ”

ชลันธรหอมแก้มแม่ แล้วเดินออกจากห้องอาหาร แม่พูดถูก สิ่งที่หล่อนควรสนใจคือการเรียน ส่วนเรื่องคู่หมายอมนุษย์ตนนั้น เขาจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนต้องใส่ใจ

 

รถเบนซ์สีดำแล่นมาจอดข้างกำแพงมหาวิทยาลัย ชลันธรขอบคุณสมพงศ์ คนขับรถสูงวัย แล้วหยิบกระเป๋าสะพายลงจากรถ หญิงสาวเดินตรงไปที่คณะอย่างไม่รีบร้อน เพราะเช้านี้รถไม่ติด หล่อนจึงมาถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลาเรียนเกือบครึ่งชั่วโมง

ชลันธรหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ตอนแรกจะโทร. ไปถามแพรพรว่ามาถึงหรือยัง แต่นึกได้ว่าเช้านี้มีเรียนวิชาคติชนวิทยา ศิษย์เอกอย่างผู้เป็นเพื่อนคงไปนั่งรออาจารย์คนใหม่ที่ห้องเรียนแล้ว หล่อนเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพาย แล้วเดินขึ้นอาคารเรียนไปหาเพื่อนสาว

หญิงสาวเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องเรียน แต่ต้องหยุดยืนอย่างประหลาดใจ เมื่อพบว่าห้องเรียนที่เคยกว้างกลับแคบลงถนัดตา เพราะมีนักศึกษาหญิง ทังที่ลงทะเบียนเรียนและไม่ได้ลงทะเบียนเรียน มานั่งรอฟังบรรยายกันเต็มห้อง หนึ่งในนั้นคือบัวชมพู ดาวคณะโบราณคดี นักศึกษาเอกฝรั่งเศส คู่ปรับของแพรพร ซึ่งเคยพูดว่าไม่ชอบวิชานี้ แต่กลับมานั่งเรียนตรงข้ามโต๊ะอาจารย์เลย

“น้ำ”

ผู้เป็นเพื่อนกวักมือเรียก หล่อนจึงเดินเข้าไปหา แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ว่าง ซึ่งอีกฝ่ายเอากระเป๋าสะพายจองไว้ให้

“ทำไมเธอมานั่งตรงนี้” หล่อนกระซิบถาม ปกติเพื่อนสาวชอบนั่งหน้าห้อง แต่วันนี้กลับมานั่งเกือบท้ายห้อง

“ฉันโดนแย่งที่นั่ง มาช้าไปนิดเดียว เลยต้องนั่งตรงนี้” แพรพรพยักพเยิดไปที่บัวชมพู

หล่อนพยักหน้าเข้าใจ แล้วกวาดตามองไปรอบห้อง

“ครั้งที่แล้วมีคนเรียนแค่สิบคนเอง แต่ทำไมวันนี้คนมาเรียนเต็มห้อง หลายคนไม่ได้เรียนคณะเราด้วยซ้ำ”

“เขามารอดูอาจารย์มุจลินท์”

“อะไรนะ” ชลันธรถามเสียงเบา ผู้เป็นเพื่อนยังไม่ทันได้ตอบ อาจารย์มุจลินท์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาก่อน เขาแจกยิ้มให้ทุกคนอย่างอารมณ์ดี ก่อนหยุดสายตาที่หล่อนเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวรีบก้มหน้าหลบตา แล้วหยิบสมุดเลกเชอร์ออกมาวางบนโต๊ะ เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ หาว่าเขาสบตาหล่อนนานกว่าคนอื่น

“สวัสดีครับ วันนี้มากันเต็มห้องเลยนะ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยทักทาย แล้วเดินไปที่กระดานไวต์บอร์ด เขียนชื่อและนามสกุลของตัวเองลงไป ก่อนหันกลับมาพูดกับทุกคน “ผมชื่อมุจลินท์ พวกคุณบางคนคงรู้แล้ว วันนี้เราจะเรียนเรื่องนาคาคติกันต่อ กติกาเหมือนเดิมพูดคุยกันได้ แต่เวลาที่ผมสอนขอให้ทุกคนเงียบ และถ้ามีข้อสงสัยให้ยกมือถาม”

“อาจารย์คะ” บัวชมพูยกมือขึ้นทันที “หนูมีคำถามค่ะ”

“เก็บไว้ถามตอนท้ายชั่วโมงนะครับ ตอนนี้ผมขอสอนหนังสือก่อน เพราะเพื่อนของเราบางคน ไม่ชอบให้ผมเริ่มคลาสสาย”

ชลันธรชะงักมือที่กำลังเขียนวันที่ลงในสมุดเลกเชอร์ อาจารย์มุจลินท์จงใจพูดแขวะหล่อน ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว เขายังอุตส่าห์จำเรื่องที่หล่อนแกล้งขัดคอเขาได้ ไม่รู้ว่าความจำดีหรือเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นกันแน่

“สัปดาห์ที่แล้วเรารู้ว่านาคาคติเป็นความเชื่อที่แพร่หลายไปทั่วทวีปเอเชีย รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย วันนี้ผมจะเจาะลึกความเชื่อนาคาคติในลุ่มน้ำโขง หรือความเชื่อเรื่องนาคในวัฒนธรรมอีสานของไทย๔” เขาเขียนหัวข้อลงบนกระดาน แล้วหันกลับมาพูดอีกครั้ง “สัญลักษณ์นาค ปรากฏในมิติทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ ของสังคมอีสานลุ่มน้ำโขง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่พบในทุกแง่มุมของชีวิตชาวอีสาน”

“เสียงอาจารย์เพราะจัง” แพรพรพึมพำเสียงเบา

หญิงสาวหันไปมอง ผู้เป็นเพื่อนนั่งเท้าคาง มองอาจารย์หนุ่มตาปรอย ไม่ได้จดเลกเชอร์เลยสักตัว

“จดบ้างสิ เดี๋ยวก็จำไม่ได้หรอก” หล่อนกระซิบบอก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันยืมของเธอไปถ่ายเอกสารก็ได้”

ชลันธรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วหันไปมองอาจารย์มุจลินท์ วันนี้เขาสวมกางเกงขายาวสีดำกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวลายจุดสีดำ ทั้งที่เป็นเสื้อผ้าแบบหนุ่มออฟฟิศทั่วไป แต่เมื่อมาอยู่บนตัวเขา เสื้อผ้าธรรมดากลับดูดีขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

“ความหมายของนาคในวัฒนธรรมอีสาน เมื่อมองผ่านวรรณกรรมปรัมปราท้องถิ่น พบว่ามีความหลากหลาย ข้อแรกนาคเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกำเนิดและการล่มสลายของเมืองในลุ่มน้ำโขง ดังปรากฏในตำนานท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีเค้าโครงเรื่องเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือกล่าวถึงกำเนิดของเมืองที่เกิดจากการบันดาลของพญานาค และในตอนท้ายเมืองเหล่านั้นถูกทำลายลงด้วยอิทธิฤทธิ์ของพญานาคอีกเช่นกัน วรรณกรรมปรัมปราเหล่านี้ ได้แก่ ตำนานสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวติกุมาร ตำนานเมืองหนองแส อุรังคนิทาน และนิทานเรื่องผาแดง-นางไอ่ เป็นต้น” เขาหยุดพูดแล้วหันมาสบตาหล่อน “จดกันด้วยนะครับ นั่งใจลอย ระวังจะสอบตก”

ชลันธรรีบก้มลงจดเลกเชอร์ สองแก้มร้อนผ่าว ตอนแรกหล่อนแค่มองเฉยๆ ไม่รู้ว่าเผลอจ้องเขาเพลินตั้งแต่เมื่อไร ถ้าแพรพรเห็นเข้าต้องล้อหล่อนทั้งเดือนแน่

“ข้อที่สอง นาคเป็นผีบรรพบุรุษสายมาตุพงศ์ ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมเรื่องขุนทึง และนิทานของเขมรเรื่องพระทองกับนางนาค...”

อาจารย์หนุ่มบรรยายต่อด้วยน้ำเสียงน่าฟัง นักศึกษาส่วนใหญ่จ้องมองเขาไม่วางตา แต่หล่อนไม่กล้าเงยหน้ามอง เพราะกลัวถูกเสน่ห์ของเขาดึงไว้จนถอนสายตาไม่ได้อีก

“ข้อที่สาม นาคเป็นผู้ให้กำเนิดแม่น้ำ แหล่งน้ำต่างๆ รวมทั้งน้ำฝนด้วย ดังปรากฏในตำนานสุวรรณโคมคำ และอุรังคนิทาน...” เขาเล่าพงศาวดารและตำนานท้องถิ่นต่างๆ อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพลิกตำราดูเลย บางตำนานอาจารย์สมบุญเคยเล่าแล้ว แต่ไม่น่าสนใจเท่ากับที่เขาเล่า

“ข้อที่สี่ นอกจากนาคจะเป็นผู้ดูแลผืนน้ำแล้ว นาคยังเป็นผู้ดูแลแผ่นดินของชาวอีสานด้วย การเคารพนาคจึงหมายถึงการเคารพแผ่นดินและผืนน้ำ อันนำไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ในสังคมเกษตรกรรม

“ข้อที่ห้านาคเป็นผู้สะสมธรรม เพื่อบรรลุพุทธิภาวะ การสะสมบารมีของนาค เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ตามแบบพุทธอุดมคติ ดังเช่นพระสมณโคดมพุทธเจ้าก็เคยเสวยชาติเป็นพญานาคมาก่อน จากทั้งหมดจะเห็นได้ว่า นาคาคติสะท้อนให้เห็นการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และระหว่างมนุษย์กับสังคม” เขาหยุดพูด มองรอบห้อง แล้วเอ่ยถาม “มีใครสงสัยอะไรไหมครับ”

“หนูค่ะ” บัวชมพูยกมือคนแรกอีกครั้ง “อาจารย์แต่งงานหรือยังคะ”

เสียงโห่ดังขึ้นทันที แต่หญิงสาวไม่ใส่ใจ หล่อนมองค้อนไปรอบๆ แล้วหันกลับไปมองอาจารย์หนุ่ม

“คำถามนี้ผมตอบไปแล้ว ถามเพื่อนดูนะครับ”

“อาจารย์เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าคะ” นักศึกษาอีกคนยกมือถาม

“คำถามนี้ผมก็ตอบไปแล้วครับ”

“อาจารย์เคยถ่ายแบบไหมคะ” นักศึกษาที่นั่งข้างแพรพรถาม

“ไม่เคยครับ” เขาส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ขอคำถามเกี่ยวกับบทเรียนนะครับ ส่วนคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ผมจะไม่ตอบอีกแล้ว”

มือที่ยกกันสลอนในตอนแรกหดลงทันที เห็นพูดเพราะยิ้มเก่งแบบนี้ เวลาดุขึ้นมาก็น่ากลัวเหมือนกัน

“คุณสงสัยอะไรไหม” เขามองตรงมาที่หล่อน

“ไม่สงสัยค่ะ แต่อึดอัดมากกว่า” ชลันธรตอบตามตรง “ตอนนี้ยังเพิ่มรายวิชาได้ คนที่อยากเรียนจริงๆ ควรไปยื่นเรื่องที่ฝ่ายทะเบียน คณะจะได้จัดห้องเรียนที่ใหญ่กว่านี้ให้พวกเรา ไม่ต้องมานั่งเบียดกันแบบนี้”

“เป็นข้อเสนอที่ดีมาก” เขาเอ่ยชมแล้วพูดกับทุกคน “ครั้งหน้าผมจะไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ได้ลงทะเบียนเข้าเรียน ใครรู้ตัวว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย ส่วนคนที่เข้าเรียนครั้งที่แล้ว รวบรวมการบ้านไปส่งที่ห้องทำงานของผม แล้วสัปดาห์หน้ามาลุ้นกันว่าใครจะได้รางวัล ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว ผมขอจบการเรียนแค่นี้”

พอพูดจบอาจารย์มุจลินท์ก็เดินออกจากห้อง โดยมีบัวชมพูเดินตามออกไปติดๆ แพรพรพยักพเยิดให้หล่อนดู แต่ชลันธรไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น จึงหันไปรวบรวมการบ้าน แล้วนำมาส่งให้ผู้เป็นเพื่อน

“ช่วยเอาการบ้านไปส่งทีสิ ฉันปวดท้อง จะไปเข้าห้องน้ำ”

“ได้เลย เจอกันที่ศูนย์อาหารนะ” แพรพรคว้าการบ้านวิ่งออกไปทันที

หญิงสาวมองตามอย่างอ่อนใจ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพาย แล้วเดินออกจากห้องเรียน

 

ม้านั่งใต้ต้นจันกลางสวนแก้ว ชลันธรนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ส่วนแพรพรไปซื้อน้ำดื่มที่ศูนย์อาหาร สายลมพัดผ่านช่อดอกแก้ว หญิงสาวสูดกลิ่นหอมเย็นเข้าปอด แล้วพลิกหนังสือหน้าถัดไปอ่าน หล่อนชอบอ่านหนังสือในสวน เพราะมีเสียงนกเสียงลมเป็นเพื่อน ไม่ต้องนั่งเหงาคนเดียวในหอสมุด

เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดตรงหน้า ชลันธรนึกว่าผู้เป็นเพื่อนกลับมาแล้วจึงเอ่ยถามโดยไม่เงยหน้ามอง

“กลับมาแล้วเหรอแพร ทำไมไปนานจัง จะหมดเวลาพักแล้วนะ”

“ฉันบัวชมพู ไม่ใช่แพรพร” เสียงเย่อหยิ่งดังขึ้น

ชลันธรเงยหน้าจากหนังสือ ปกติหล่อนกับบัวชมพูไม่ค่อยวิสาสะกัน เหตุใดวันนี้ถึงยอมลดตัวมาคุยด้วย

“ขอโทษที เธอมีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันอยากรู้ว่าเธอกับอาจารย์มุจลินท์เป็นอะไรกัน”

“เป็นอาจารย์กับลูกศิษย์” หล่อนตอบตามตรง แต่กลับถูกอีกฝ่ายแว้ดใส่

“ฉันไม่เชื่อ! อย่ามาโกหกหน่อยเลย”

“ฉันจะโกหกเธอทำไม” หล่อนถามเสียงเข้ม

บัวชมพูยักไหล่ แล้วลอยหน้าตอบ “ฉันจะไปรู้เหรอ เห็นเธอพูดอะไรอาจารย์ก็เชื่อหมด แถมเขายังสบตาเธอนานกว่าคนอื่นอีก เลยคิดว่าเป็นมากกว่าลูกศิษย์กับอาจารย์”

ชลันธรร้องครางในใจ อยากจับหัวดาวคณะโขกต้นจันทน์สักโป๊ก เวลาสอนอาจารย์มุจลินท์สบตานักเรียนทุกคน แล้วบัวชมพูเอาอะไรมาวัดว่าเขาสบตาใครนานกว่ากัน

“เธอสบายใจได้เลย ฉันไม่เคยคิดอะไรกับเขา เพราะฉันไม่ชอบคนแก่”

“ไม่ชอบก็ดี เพราะฉันจองอาจารย์มุจลินท์ไว้แล้ว เราสองคนจะได้ไม่ต้องเป็นศัตรูกัน” บัวชมพูมองขู่ แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป

ชลันธรมองตามอย่างอ่อนใจ เพิ่งเจอกันวันเดียวก็จองเขาเสียแล้ว แถมยังประกาศเสียงดังฟังชัด ช่างไม่มีความละอายบ้างเลย

“เมื่อกี้ฉันเดินสวนกับบัวชมพู แม่นั่นมาพูดอะไรกับเธอ” แพรพรที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยถาม

“เปล่า ไม่มีอะไร” หล่อนไม่บอก เพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่ผู้เป็นเพื่อนไม่เชื่อ

“ไม่จริง ต้องมีสิ แม่นั่นมาพูดเรื่องอาจารย์มุจลินท์ใช่ไหม”

“ไม่ใช่ เกือบบ่ายโมงแล้ว เราไปเรียนกันเถอะ”

ชลันธรหยิบกระเป๋าเดินนำไป เพื่อนสาวไม่ค่อยพอใจ แต่จำเป็นต้องเดินตาม เพราะใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว ด้านหลังบนหลังคาหอศิลป์ นกสีดำตัวใหญ่เกาะอยู่บนรางน้ำ ดวงตาสีเหลืองสดจับจ้องไปที่ทั้งสอง ก่อนโผบินขึ้นไปในอากาศ แล้วหายไปในท้องฟ้ากว้าง

 

บนยอดตึกร้างย่านใจกลางเมือง เงาร่างโปร่งแสงบินผ่านก้อนเมฆ แล้วร่อนลงบนดาดฟ้าอย่างนุ่มนวล เส้นสายโปร่งใสค่อยๆ คมชัดขึ้น จนเห็นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง...

ท้าวเตชทัตทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรท้องฟ้า ดวงตะวันยามบ่ายทอประกายร้อนแรง ปุยเมฆสีขาวสะอาดตัดกับแผ่นฟ้าสีครามเข้ม แม้ไม่งดงามเท่าดินแดนสวรรค์ แต่ก็แปลกตาชวนมอง พญาสุบรรณลดสายตาลงมองตึกรามบ้านเรือนเบื้องล่าง ปกติผู้มีสถานะกึ่งเทวาเช่นพระองค์ไม่ค่อยขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ด้วยเห็นว่าที่นี่วุ่นวายและเต็มไปด้วยคนบาปที่ยังวนเวียนอยู่ในกิเลสตัณหา

ตอนมาโลกมนุษย์ครั้งแรก พระองค์ก็ทรงคิดเช่นนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งได้พบหญิงมนุษย์คนหนึ่ง หล่อนอ่อนหวานนุ่มนวล ไม่เหมือนสตรีใดที่ทรงเคยพบ พญาสุบรรณทรงถอนพระปัสสาสะ รักแรกพบครั้งนั้นสุกงอม หล่อนให้กำเนิดบุตรชายกับพระองค์ แต่วาสนาของหล่อนน้อยนัก หลังจากคลอดไม่นานหล่อนก็ตายจากไป ทิ้งให้ทรงเลี้ยงพระโอรสน้อยเพียงลำพัง

เวลายี่สิบห้าปีบนโลกมนุษย์ผ่านไป ทารกน้อยเติบโตเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา โดยไม่รู้ว่าบิดาที่ให้กำเนิดไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยว่าเมื่อถึงเวลาสมควร จะทรงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสฟัง ทว่าโชคชะตาพรากเขาไปก่อนวันนั้นจะมาถึง

“สดายุ” ท้าวเตชทัตรับสั่งด้วยพระสุรเสียงสั่นเครือ พระหทัยเจ็บปวดเหมือนถูกมีดพันเล่มทิ่มแทง ถ้าไม่มีนางนาคีตนนั้นกับเผ่าพันธุ์ของหล่อน พระโอรสของพระองค์คงไม่ต้องตาย...

นกสีดำตัวใหญ่บินมาจากขอบฟ้า แล้วโฉบลงตรงเบื้องพระพักตร์ ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวสีทองแดง หน้าตาคมเข้ม แต่มีรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนแก้มข้างขวา เขาคือพาหน องครักษ์คนสนิทของพระองค์

“ฝ่าบาท” ครุฑหนุ่มคุกเข่าลงถวายบังคม

“ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เขาลุกขึ้นยืน

“เรื่องที่เราให้เจ้าไปสืบ ได้ความอย่างไรบ้าง” รับสั่งถาม พาหนรับใช้พระองค์มาหลายปี ฝีมือดี ซื่อสัตย์ แต่มีข้อเสียตรงใจร้อน

“องค์มุจลินท์เสด็จขึ้นมาบนโลกมนุษย์แล้ว ทรงปลอมเป็นมนุษย์หนุ่มชื่อมุจลินท์ ตอนนี้ทรงสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัย เพื่อหาทางใกล้ชิดกับบุตรสาวของเจ้านางมณีเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

ท้าวเตชทัตทรงเลิกพระขนงอย่างประหลาดพระทัย องค์มุจลินท์ถือตัวว่ามีกำเนิดสูงส่ง น้อยครั้งนักที่จะขึ้นมาเหยียบบนโลกมนุษย์ แต่ครั้งนี้ถึงกับจำแลงกายเป็นมนุษย์เพื่อพิชิตใจหญิงสาวคนหนึ่ง ช่างน่าสนใจเสียจริง

“มนุษย์นางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“รูปร่างหน้าตาหมดจด ทว่ากิริยากระโดกกระเดกไม่น่ามอง กระหม่อมไม่รู้ว่าองค์มุจลินท์ทรงเห็นอะไรดีในตัวนาง”

ท้าวเตชทัตทรงแย้มพระสรวล องครักษ์หนุ่มไม่เคยมีความรัก จึงไม่รู้ว่าบ่วงรักรุนแรงแค่ไหน ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก...

“พระองค์จะให้กระหม่อมทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

“เฝ้าดูไปเรื่อยๆ ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร” รับสั่งเสียงเรียบ การแก้แค้นเหมือนผลไม้ จะกินให้อร่อยก็ต้องรอให้สุกเสียก่อน เมื่อใดที่องค์มุจลินท์รักนางมนุษย์จนถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อนั้นการแก้แค้นจะยิ่งหอมหวาน

“พ่ะย่ะค่ะ” พาหนค้อมศีรษะคำนับ แล้วคืนร่างเป็นนกตัวใหญ่ บินหายไปบนท้องฟ้า

ท้าวเตชทัตทรงหลับพระเนตร ร่างมนุษย์โปร่งแสงลงเรื่อยๆ ก่อนเลือนหายไปจากยอดตึก เหมือนไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น