3

บทที่ 3


 

3

 

“สวัสดีค่ะพี่ฉัตร” นครายกมือไหว้คนที่ต้องมารับหล่อนไปซื้อแหวนหมั้นตามคำสั่งของคุณหญิงสรวงสุดาผู้เป็นมารดาของชายหนุ่ม หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดเรื่องวุ่นๆ ที่ทำให้ทุกคนคิดกันไปว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ซึ่งก็คงมีบ้างไม่น้อยเพราะทั้งคู่โดนผู้ใหญ่ทั้งสามปลุกขึ้นมาในสภาพเปลือยท่อนบน ดีที่มีผ้าห่มปิดไว้ แต่ภาษากายที่แสดงชัดว่านอนกอดก่ายกันก็ชวนให้คิดไปตามที่เห็นจริงๆ หลังจากนั้นก็เนื้อเต้นกันใหญ่เพราะทุกคน โดยเฉพาะคุณหญิงแม่ของฝ่ายชายตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าจะให้ทั้งคู่แต่งงานกัน พอมาเจอแบบนี้เลยยิ่งมีข้ออ้างในการมัดมือชกไปกันใหญ่

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ มองคนตรงหน้าที่สดสวย สดชื่น ต่างกับเขาที่ออกจากห้องผ่าตัดเมื่อชั่วโมงก่อนก็ต้องรีบมารับอีกฝ่ายตามคำสั่งของมารดา ดีที่ท่าทางหล่อนพูดกันรู้เรื่องว่าหลังจากแต่งจะต่างคนต่างอยู่ เพราะหล่อนก็แค่จะเอาชนะ ส่วนเขาก็จะทำให้มันจบๆ ไป

“ทานอะไรยังคะ เมื่อกี้คุณป้าโทร. มาบอกว่าพี่ฉัตรเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเอง เราแวะหาอะไรทานกันก่อนก็ได้นะคะ นิคกี้ไม่รีบ” หญิงสาวตอบท่าทางสบายๆ แต่ดูไว้ตัวเกินวัยยี่สิบเอ็ดปี รัศมีความน่ายำเกรงบางอย่างฉายชัด “ไม่มีธุระที่ไหนค่ะ”

ก็ใช่น่ะสิ คุณหญิงสรวงสุดาเปรยเข้าหูเขาว่านคราไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ช่วยนาคราชดูงาน ซึ่งก็คงเป็นคำอธิบายแบบเข้าข้างของคนที่ใช้เงินบิดาไปวันๆ ตามประสาลูกคนรวย ส่วนเขาน่ะไม่ใช่ บางทีอยู่เวรยาวสามคืนก็ยังเคยมาแล้ว

“แต่ผมมีคลินิกตอนหกโมง นี่ก็สามโมงแล้ว ไม่ทันหรอก” เขาเคยตามมารดาไปร้านเพชร ทำไมจะไม่รู้ว่าผู้หญิง ใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระแบบนี้มากเท่าไร

“ไม่เป็นไรหรอก ทำให้เสร็จๆ ไป ผมทานข้าวไม่ตรงเวลาจนชิน” ฉัตรบดินทร์ตอบนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้น นึกรำคาญอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกันที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ไม่สนใจคนที่ขับรถให้นั่งอย่างเขาอีก

นี่คิดว่าตัวเองท่ามากคนเดียวหรืออย่างไร คนอย่างนคราก็ไม่เคยก้มหัวให้ใครพอกันนั่นแหละ

 

เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าทั้งคู่จะเดินทางมาถึงที่หมาย ฉัตรบดินทร์รีบเดินนำคนตัวบางที่ทรงตัวอยู่บนรองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว ฝ่ายหญิงสาวก็ก้าวเท้ายาวไม่แพ้กัน เดินไวเหมือนสวมรองเท้ากีฬาจนคุณหมอแปลกใจ และต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อนคราเดินนำหน้าเขาไปก่อน

“จะรีบไปไหน” ปากถามคนที่เดินแซงเขา แต่ก็มองเห็นว่าหล่อนเดินรี่ไปหาคนสนิทที่ยื่นถุงอะไรบางอย่างให้ ก่อนที่ฝ่ายโน้นจะก้มหัวทำความเคารพผู้เป็นนายแล้วหลบฉากไปเงียบๆ ไม่ให้เกะกะสายตาใคร

“นิคกี้ให้ภูมิเอาเบเกิลมาส่ง จากเบเกอรีในโรงแรมข้างๆ รสชาติพอทานได้แหละ พี่ฉัตรทานรองท้องเถอะค่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็ส่งถุงที่เพิ่งรับมาจากคนสนิทประจำตัวอย่างภูมิให้ว่าที่เจ้าบ่าว ก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าร้านเพชรไป ทำเอาฉัตรบดินทร์อดสงสัยไม่ได้ว่าหญิงสาวเอาเวลาไปจัดการหาของกินมาให้เขาตอนไหน

ถึงจะอยากปั้นปึ่งใส่พี่ฉัตรคนนี้มากแค่ไหน แต่ความรู้สึกบางอย่างในจิตใจที่ฝังรากมามากกว่าสิบปีก็ทำให้นครานิ่งเฉยใส่อีกฝ่ายไม่ลง จึงต้องกดส่งข้อความหาคนสนิทที่มีหน้าที่รองมือรองเท้าทุกอย่าง จัดแจงหาของว่างมาให้คนที่มีฤกษ์แต่งงานกับหล่อนในอีกสามเดือนข้างหน้า

ชายร่างสูงใหญ่เดินตามว่าที่คู่หมั้นเข้าไปในร้านเครื่องประดับเงียบๆ และนั่งลงบนข้างๆ เก้าอี้สตูลที่มีเจ้าของ ร้านนำเพชรตามที่มารดาเขาโทร. สั่งมาให้หญิงสาวเลือกเป็นสิบๆ เม็ด พร้อมกับตัวเรือนแบบต่างๆ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจคนที่เพิ่งนั่งลงอย่างเขา แต่ตื่นเต้นกับของมีค่าตรงหน้า

“ขอบคุณ”

“คะ?” มือหนึ่งถือแว่นขยาย อีกมือคีบเพชรขึ้นดูด้วยท่าทางเป็นมืออาชีพ ในขณะที่หน้าสวยหันมามองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม ตาสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายสดใสแข่งกับเพชรหลายสิบเม็ดที่กองอยู่ตรงหน้า

“สำหรับขนม” ชายหนุ่มกระซิบ ไม่ให้ขัดจังหวะการอธิบายที่มาของเพชรแต่ละเม็ดจากเจ้าของร้าน “ว่าแต่คุณไปสั่งตอนไหน”

“สั่งตอนนั่งในรถไงคะ ภูมิหาได้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็บอกไปเถอะค่ะ” ปากตอบแต่ตาส่องอัญมณีราคาแพงตรงหน้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นปากแดงสดตามธรรมชาติก็เจื้อยแจ้วเจรจากับเจ้าของร้านที่ดูแลว่าที่ลูกสะใภ้ตระกูลฉัตราวุธเป็นอย่างดี

“เม็ดนี้ใช้ได้” คนเสียงหวานพูดเบาๆ เหมือนบอกตัวเอง ใช้ปลายแหนบเขี่ยเพชรเม็ดงามแยกไว้ที่มุมหนึ่งของถาดกำมะหยี่ “พี่ฉัตรดูแบบไปพลางๆ สิคะ”

หญิงสาวออกคำสั่งกับอีกฝ่ายตามความเคยชิน ไม่ได้ใส่ใจคิ้วของชายหนุ่มที่ขมวดเข้าหากันนิดหน่อย เพราะไม่เคยต้องรับคำสั่งจากคนอื่นเหมือนกัน

“ดูเป็นเหรอ” คนที่ไม่อยากใส่ใจอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงานแต่งงานถาม มือหนึ่งส่งขนมเข้าปาก ท่าทางเรียบร้อยน่าดู อีกมือก็เลื่อนหน้าจอไอแพดดูแบบขอไปที เลือกส่งๆ ให้มันเสร็จจะได้จบๆ ไป

“ค่ะ ดูบ่อยเลยละ เวลาคนเอาของมาตึ๊ง” นคราหมายถึงเวลามีคนเอาของมาจำนำกับบิดาหล่อนเพื่อแลกเงินสดไป

“ชุดใหญ่ๆ ทั้งนั้นที่เอามา คุณพ่อเลยให้คนสอนนิคกี้ดูตั้งแต่เด็กๆ เพราะชอบไปวิ่งวนในห้องนั้น” หญิงสาวหมายถึงห้องนิรภัยที่มีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบอัญมณีหลายคนทำงานอยู่ คอยตรวจสอบสินค้าที่มีคนเอามาจำนำ ซึ่งนคราในวัยเด็กก็ชอบเข้าไปเล่นในห้องนั้นตามประสาเด็กผู้หญิงชอบของสวยๆ งามๆ โตมาเลยซึมซับวิชาความรู้ ความชำนาญ และได้รับผิดชอบงานส่วนนี้เป็นหลัก

“ของพี่ฉัตรเอาสักไม่เกินกะรัตก็พอ ใหญ่ไปคงใส่ไม่สะดวก ส่วนของนิคกี้ คุณป้าสั่งมาแล้วว่าให้เอาแบบติดนิ้วสักห้ากะรัต เพราะของที่จะใช้หมั้นจริงๆ คุณป้าจะยกวงที่คุณลุงขอแต่งงานให้” นคราจัดแจงเสร็จสรรพ เลือกเพชรเม็ดงามที่ตัวเองพอใจ ก่อนจะแยกทั้งเม็ดของตัวเอง ทั้งเม็ดของชายหนุ่มไว้ให้ทางร้าน โดยที่ฉัตรบดินทร์ก็ชี้แบบแหวนง่ายๆ ส่งๆ ไปแบบนั้น

“ส่วนแบบของนิคกี้...เอาแบบนี้นะคะ” หญิงสาวกดส่งอีเมลรูปให้ทางร้านเมื่อได้เพชรเม็ดที่ต้องการ

“มันเป็นแหวนที่พ่อกับแม่นิคกี้ใส่ตอนแต่งงานกัน เอาแบบนี้เป๊ะเลยนะคะ ห้ามพลาด ลองไปถามช่างดู ถ้าทำไม่ได้ก็บอกนะคะ นิคกี้จะส่งคนมารับเฉพาะเพชร แต่ไปขึ้นเรือนที่อื่น” นคราบอกทางร้านชัดเจนทุกอย่างตามประสาคนออกคำสั่งเป็นนิตย์

หล่อนปรายตามองว่าที่เจ้าบ่าวที่พอกินขนมเสร็จก็จิ้มเลือกแบบแหวนเสร็จภายในห้านาทีแรก แล้วก็นั่งอ่านอะไรในไอแพดของเขา ไม่สนใจหล่อนอีกเลย แต่พอหญิงสาวสั่งจบ ผู้ชายตัวโตก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้านเหมือนใส่ใจอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตให้อีกฝ่ายทันที

“จัดการค่าใช้จ่ายเลยนะครับ”

นคราอดค้อนให้เขาไม่ได้ ดูเอาเถอะ ใช้เวลาด้วยกันมาเกือบสองชั่วโมง ฉัตรบดินทร์พูดกับหล่อนไม่ถึงห้าประโยค แถมพอเสร็จธุระก็รีบราวกับว่าถ้าอยู่ด้วยกันต่ออีกสักห้านาทีจะขาดใจตายลงไปให้ได้อย่างนั้นแหละ

 

ไม่เกินสิบนาทีหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็กลับมาอยู่ในรถยนต์หรูหราของนายแพทย์ใหญ่ โดยที่ชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตา ขับรถแบบไม่ใส่ใจหญิงสาวคนสวย นคราก็ได้แต่ยักไหล่ให้เขา จะให้หล่อนมานั่งออเซาะเอาใจเขา ทั้งๆ ที่ปกติทำได้ ทำบ่อย นคราก็ไม่อยากทำ ไม่อยากเอาใจเพราะนึกหมั่นไส้คนที่ทำท่ามาก วางมาดใส่หล่อน จนคนที่ต้องแต่งงานด้วยอดขัดใจไม่ได้ ทว่าก็ได้แต่เงียบและเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองไป จนเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น

“ครับ” เสียงรับโทรศัพท์ก็เรียบพอกับหน้าตา “ได้ครับ งั้นผมเข้าไปเดี๋ยวนี้”

พูดจบชายหนุ่มก็สั่งหล่อนราวกับเป็นผู้ช่วยเขา “มีเคสผ่าตัดด่วน ผมคงต้องเข้าโรงพยาบาลเลยยังไปส่งคุณไม่ได้ รอได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ให้ใครมารับ”

อันที่จริงนายแพทย์รูปหล่อก็ตั้งใจจะไปส่งอีกฝ่าย เพราะแม่ของเขาสั่งไว้ กอปรกับเกรงใจนาคราชไม่น้อย ภาวนาให้นคราสั่งให้ใครสักคนมารับกลับไป แต่จะอ้อนให้อีกคนรอเขาก็ไม่เคยทำ ตั้งใจว่าหากนครารอไม่ได้ก็จะถือเป็นการเรียนรู้นิสัยกันไว้

แต่หญิงสาวกลับตอบหน้าตาเฉย “ได้ค่ะ นิคกี้ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว ว่าแต่มีตรวจคนไข้ต่อด้วยไม่ใช่หรือคะ”

“ใช่ ก็ถ้าจะให้ไปส่ง ก็คงต้องรอกันจนเสร็จ สองทุ่ม” ฉัตรบดินทร์ปรายตามองหญิงสาวอายุยี่สิบเอ็ดข้างๆ ไม่ได้เกรงใจ ไม่ได้ใส่ใจ แค่อยากวัดใจดูว่าจะทนกับวิถีชีวิตแบบหมอๆ ของเขาได้สักแค่ไหน “อย่างที่บอก ถ้ารอไม่ไหวก็ให้คนมารับละกัน”

 

ฉัตรบดินทร์โยนหน้ากากอนามัยลงถังหน้าห้องผ่าตัด ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก บิดร่างสูงใหญ่ด้วยความอ่อนล้า และส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจว่าวันนี้เขาก็ไม่สามารถออกตรวจคนไข้ที่มาขอรับคำปรึกษาในคลินิกช่วงหกโมงเย็นถึงสองทุ่มตามตารางได้ เพราะการผ่าตัดด่วนยืดเยื้อกว่าที่คิดไปมาก

“ดูความดันละกัน สักสองชั่วโมง แล้วบอกผม เดี๋ยวค่อยดูอีกทีว่าถ้าย้ายเข้าห้องผู้ป่วยคืนนี้เลยจะไหวไหม”

อาจารย์แพทย์รูปหล่อบอกผู้ช่วยที่เข้าผ่าตัดด้วยกันวันนี้ ก่อนจะสาวขายาวกลับห้องทำงานบนชั้นผู้บริหาร ห้องที่เขาทิ้งว่าที่คู่หมั้นไว้ตั้งแต่เมื่อเกือบห้าชั่วโมงก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าคุณหนูหยิบโหย่งแบบนั้นจะยังรอเขาไหวหรือไม่

ชายหนุ่มมั่นใจว่าห้องทำงานเขาคงจะว่างเปล่าไร้เงาผู้หญิงสวยแต่จิตใจไม่ดี แต่กลับชะงักทันทีที่เปิดประตูแล้วเห็นร่างระหงสมส่วน ไม่สูงเกณฑ์มาตรฐานหญิงไทย สอดรับกับส่วนโค้งเว้าชัดเจน นี่ถ้าไม่ใช่นครา เขาอาจจะหลงใหลไปกับความงามของผู้หญิงคนนี้ หล่อนยืนหันหน้าออกไปทางกระจก ดูทิวทัศน์กรุงเทพมหานครเบื้องล่างจากชั้นสามสิบ ส่งเสียงนิ่งบอกปลายสายชนิดที่ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

“ถ้าไม่จ่ายก็เอาคนลงไปจัดการ เอาทีมบีลงไปสักครึ่งทีมก็พอ พวกกเฬวรากแบบนี้ไม่ต้องเอามือดีไปให้เสียเวลา” เสียงหวานนั้นเรียบสนิท ราวกับสั่งให้แม่บ้านจัดอาหารขึ้นโต๊ะ

ทั้งๆ ที่ประโยคที่ฉัตรบดินทร์ได้ยินหล่อนพูดมันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวเข้าห้องทำงานตัวเอง ปิดประตูเสียงไม่เบานัก จนนคราหันหน้ามามองเขา สายตานิ่งเรียบพอกัน

“เอาเท่านี้ก่อน ภูมิคุมคนออกไปเองด้วยนะ ถ้ามีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ก็ส่งข้อความมาละกัน นิคกี้ต้องวางละ”

มือบางหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากระโปรงตัวสวย มองหน้าชายหนุ่มที่นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว

“ได้ตรวจคนไข้ไหมคะ”

ฉัตรบดินทร์ชะงักมือที่พลิกเอกสารทางการบริหาร เงยหน้ามองนครา และส่ายหน้าเบาๆ ก่อนสนใจงานตรงหน้าต่อ

“แล้วคนไข้ที่ต้องผ่า เรียบร้อยดีไหมคะ” นครายังถามต่อ ทั้งๆ ที่อารมณ์กรุ่นไม่น้อย เขาให้หล่อนนั่งรออยู่ห้าชั่วโมง ก่อนที่จะกลับมาไม่พูดไม่จาอะไรกับว่าที่คู่หมั้นอย่างหล่อนสักคำ ได้แต่พยักหน้าโดยแทบจะไม่สบตานคราด้วยซ้ำ “แล้วนี่จะกลับได้ยังคะ”

“ผมมีงานต้องเคลียร์ บอกคุณแล้วนะ ถ้ารอไม่ไหวก็ให้ใครมารับไปก่อน”

คนตอบตอบทั้งๆ ที่ตาอยู่กับเอกสารกองโตตรงหน้า มือหนาเซ็นชื่อให้วุ่นวายไปหมด ท่าทางมึนตึง จนนคราเริ่มของขึ้น เดินไปเท้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ก้มหน้ามองคนที่ไม่สนใจหล่อนแม้แต่น้อย มีแต่เสียงเข้มดังออกมาจากริมฝีปากบางสีแดงจัดราวกับผู้หญิง

“ผมมีความรับผิดชอบ ไม่ได้ลอยชายไปวันๆ แบบคุณ”

นคราหน้าชาไม่น้อยเมื่อได้ยินประโยคดูถูกจากเขา แต่ก็แน่ละ จะให้ไปอธิบายความว่าหล่อนประกอบอาชีพอะไรได้อย่างไร ในเมื่อที่หล่อนช่วยผู้เป็นบิดาทำอยู่ทุกวันนี้มีแต่เรื่องซิกแซ็ก หรือไม่ก็บอกใครไม่คล่องปากทั้งนั้น

“ก็แค่พูดว่าจะเสร็จกี่โมง มันเดือดร้อนมากหรือไงคะ พี่ฉัตรไม่ได้จะตัวคนเดียวแล้วนะคะ ทำอะไรก็คิดบ้าง”

เสียงหล่อนไม่ได้แสดงความกระเง้ากระงอดหรือวี้ดว้ายอย่างที่ฉัตรบดินทร์คาดว่าจะได้ยิน แต่ออกจะเย็นเยียบ เอาจริง จนคุณหมอชื่อดังต้องยอมเงยหน้ามองหญิงสาว นี่ไม่ใช่สาวน้อยขี้อ้อนที่วิ่งตามเขาเป็นเงาเมื่อตอนเด็กๆ ไม่ใช่คนที่เขาบอกอะไรก็ฟังเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแม้แต่น้อย นครากลายเป็นผู้หญิงจริงจังน่ากลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร และถึงแม้จะรู้สึกขัดแย้งและขัดใจเพราะหล่อนไม่ออดอ้อนเขา แต่กลับมีความพอใจลึกๆ เมื่อเห็นกิริยามั่นใจในตัวเองแบบนี้

“ที่นิคกี้ถาม ก็เพราะนิคกี้จะได้ให้ใครเอาอาหารมาส่ง” เสียงที่ว่านิ่งแล้ว แต่แววตากลับนิ่งกว่า “แล้วที่นิคกี้รอ ก็เพราะคุณพ่อบอกว่าให้พาพี่ฉัตรเข้าไปที่บ้านด้วย นิคกี้ไม่อยากกลับไปคนเดียวแล้วให้คุณพ่อรู้สึกว่าพี่ฉัตรไม่สนใจอะไรนิคกี้เลย แต่ในเมื่อพี่ฉัตรพูดหมาๆ ใส่นิคกี้แบบนี้ก็ดีค่ะ นิคกี้กลับก่อน have fun กับงานไปค่ะ

ทันทีที่บอกจบ นคราก็ยกมือไหว้ฉัตรบดินทร์ที่เงยหน้ามองหล่อนนิ่งๆ นิ่งจนหญิงสาวหมั่นไส้ คิดว่านิ่งเป็นคนเดียว พูดจาไม่แคร์ความรู้สึกใครเป็นคนเดียวหรืออย่างไรถึงได้ทำแบบนี้ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตูห้อง คนที่แก่กว่าสิบห้าปีก็ดุหล่อนเสียงแข็งกร้าวจนเกือบขนลุก

“กลับมานั่งก่อน” พูดทั้งๆ ที่อารมณ์ไม่ดีพอกัน เด็กบ้านี่จะยอมเขาสักนิดก็ไม่ได้ ในใจเขาเริ่มเดือดปุดๆ แต่ตายังอยู่กับเอกสารในมือ

“นี่มันกี่โมงเข้าไปแล้ว เดี๋ยวผมไปส่ง” ในใจรู้สึกแย่ๆ ลึกๆ เมื่อฟังเหตุผลที่อีกฝ่ายซักไซ้เขา แต่แล้วยังไง เขาไม่ได้ว่างพอมาง้อใครหรอก เอาแค่พอไม่ให้เสียมารยาทก็พอ

นคราได้ยินแบบนั้นก็สูดลมหายใจลึกระงับโทสะที่กำลังจะระเบิด หันมองต้นเหตุแห่งความหงุดหงิดตาวาว มีใครเคยบอกเขาไหมว่าหล่อนนี่ลูกเจ้าพ่อใหญ่ ใครขัดใจเป็นได้เรื่องเมื่อนั้น

“อย่ามาตบหัวแล้วลูบหลังนิคกี้ นิคกี้อาจจะอายุอ่อนกว่าพี่ฉัตรเยอะ แต่...” นิ้วสวยเคาะตรงขมับ “...ตรงนี้อาจจะโตกว่าพี่ฉัตรก็ได้” พูดจบเจ้าตัวก็ลดมือลงแล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้น “ทำตัวให้มีวุฒิภาวะหน่อยค่ะ แล้วก็หัดรักษาน้ำใจคนอื่นบ้าง”

ฉัตรบดินทร์ไม่รู้จริงๆ ว่าที่รู้สึกตอนนี้คือโกรธหรือรู้สึกผิด เมื่อได้ยินประโยคนั้นออกจากปาก
นครา แต่นายแพทย์ใหญ่ของคนไข้ อาจารย์หมอของนักศึกษาก็นั่งทำงานต่อไปไม่ไหว ปิดแฟ้มทันที คว้ากุญแจรถแล้วรีบเดินตามคนตัวบางที่เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร เพราะอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์อยู่ และดูเหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเดินตามหลังมา

“ตกลงภูมิออกไปคุมพวกนั้นใช่ไหม”

หล่อนเดินช้ากว่าปกติ ทำเอาคนเดินตามหลังต้องผ่อนเท้าให้ช้าตามไปด้วย น้ำเสียงก็อ่อนกว่าที่พูดกับเขา จนชายหนุ่มเริ่มคันในหัวใจ

“อือ...เขายังไม่เสร็จงาน แต่ภูมิไม่ต้องมารับนะ ทำงานที่นิคกี้สั่งให้เสร็จเถอะ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบื้องหน้า เล่นเอาฉัตรบดินทร์ชะงักเท้า นคราเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนกลอกตาดูอะไรบางอย่างบนเพดาน หารู้ไม่ว่าสาวตรงหน้าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาประจานความอ่อนแอของตัวเอง ถึงแม้จะไม่มีใครเห็น แต่ก็ใจนักเลงพอที่จะไม่โกหกตัวเอง

“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวนิคกี้โทร. เรียกใครมารับเอง ไม่ต้องห่วง จะหาอะไรทานระหว่างรอแถวนี้” พูดจบนคราก็หย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะหันไปกดลิฟต์ ทำให้เห็นจากหางตาว่าฉัตรบดินทร์เดินตามมา คนหน้าสวยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเห็นปลายจมูกรั้นโชว์สันโด่งรับกับใบหน้า และถามเขาเสียงไม่แข็ง แต่ก็ไม่อ่อนเท่าไร

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถามแบบไม่มองหน้าอีกฝ่าย

อีกคนก็ส่ายหน้าให้กิริยาของนครา แต่ก็ยอมตอบโดยดี ไม่ได้ดีในสายตาคนทั่วไป แต่ก็เรียกว่าดีกว่าที่ผ่านมา

“ผมจะไปส่ง หวังว่าดึกป่านนี้คุณลุงคงยังไม่นอนนะ”

 

นคราลืมตาขึ้นทันทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รับรู้ได้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร  มือบางคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงได้แม่นทั้งๆ ที่ห้องนอนมืดสนิท และกดรับทันที ไม่มีเสียงง่วงงุนเจือแม้แต่น้อย

“เรียบร้อยไหมภูมิ” จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกน้องคนสนิทที่โทร. มารายงานเหมือนทุกครั้งหลังจากเสร็จภารกิจ หญิงสาวตื่นทันที รับฟังเรื่องทั้งหมดที่ชายหนุ่มแจกแจง รอยยิ้มน้อยๆ ติดที่มุมปากเมื่อได้ยินว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่ง

“ดีมาก...พรุ่งนี้เช้าให้ทีมเข้าไปที่บริษัท เดี๋ยวนิคกี้จะให้รางวัล ขอบคุณภูมิมาก เหนื่อยแทนนิคกี้ตลอดเลย”

หญิงสาววางสายจากลูกน้องเสร็จก็จดโน้ตเตือนความจำไว้ในโทรศัพท์มือถือว่าต้องจัดการอะไรบ้างตอนเข้าไปช่วยงานคุณพ่อที่ออฟฟิศพรุ่งนี้ ก่อนจะเห็นข้อความเตือนว่าถึงกำหนดที่หล่อนจะต้องไปเอารายชื่อแขกจากว่าที่คู่หมั้นเสียที ทั้งๆ ที่เขาส่งตรงให้ออร์แกไนเซอร์ได้เลย แต่เพราะคุณหญิงสรวงสุดาเอ่ยปากบอกไว้ เพราะอยากให้หนุ่มสาวได้เจอกันบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น นคราจึงกดส่งข้อความหาฉัตรบดินทร์ทันทีแบบไม่สนว่าเป็นเวลาเท่าไร

Nicky : พรุ่งนี้สิบเอ็ดโมง นิคกี้จะเข้าไปเอารายชื่อแขกนะคะ

แค่นั้นนคราก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะกดอ่านหรือไม่ สาวสวยคว้าสายชาร์จแบตเตอรี่ที่เสียบคาไว้ที่หัวเตียงมาเพิ่มพลังให้โทรศัพท์มือถือต่อ ก่อนจะลดตัวลงนอนหลับได้ในทันที

ฝ่ายคนที่ได้รับข้อความจากว่าที่คู่หมั้นตอนตีสามกว่าก็ต้องชะงักขณะเขียนชาร์ตคนไข้ฉุกเฉิน เปิดอ่านข้อความที่ไม่ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่ที่ทำให้ต้องอ่านซ้ำๆ น่าจะเป็นการที่หญิงสาวส่งข้อความมาหาเขาในเวลานี้มากกว่า ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่าหล่อนเพิ่งกลับจากการตระเวนตามคลับบาร์ ชายหนุ่มส่ายหัวน้อยๆ ให้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว พานนึกในใจไปว่าดีเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าตัวก็อยู่ไม่ติดบ้านเท่าไร เวลาแต่งงานกันไปแล้วเขาต้องมาเข้าเวรแบบนี้จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นห่วงเป็นใยอะไรอีกฝ่ายมากนัก

 

คุณหมอรูปหล่อเดินเร็วๆ พ้นวอร์ดคนไข้มาได้ก็รีบเร่งฝีเท้าทำความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย เมื่อเช้าตรู่เขามีงานด่วนเข้ามา ทำให้ตารางออกตรวจวันนี้ล่าช้าไปกว่าที่ควรจะเป็น กว่าคนไข้จะหมดก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว และฉัตรบดินทร์ก็คงจะแวะขึ้นไปดูคนไข้พิเศษบางรายเหมือนที่ทำเป็นประจำ หากผู้ช่วยของเขาที่คอยดูแลเรื่องงานบริหารไม่ต่อสายลงมาบอกว่านครามารอพบอยู่

ไม่นานร่างสูงใหญ่พร้อมหน้าตาหล่อเหลาชนิดที่บอกใครว่าเป็นหมอก็ต้องโดนถามซ้ำว่า ‘จริงเหรอ’ ก็เดินมาถึงห้องทำงานในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล

เลขานุการหน้าห้องยิ้มแหยๆ ให้ ก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ เหมือนกลัวคนในห้องได้ยิน “คุณหมอจะแต่งงานเหรอคะ”

คราวนี้ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะมองเลขาฯ ที่สูงไม่เลยไหล่ ดวงตาฉายแววสงสัย เขาไม่คิดจะปิดเพราะรู้ดีว่าอย่างไรก็ปิดไม่มิด แต่ก็ยังไม่เห็นช่องที่จะป่าวประกาศให้ใครทราบ คิดไว้แค่ว่าถ้าบัตรเชิญเรียบร้อยค่อยรู้พร้อมๆ กันตอนนั้นก็ไม่สาย เพราะตามตาราง เขาควรจะได้รับการ์ดเพื่อมาแจกจ่ายก่อนงานไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน

“ใครบอก”

“เอ่อ...แฟน...คู่หมั้น หรือ” จริยาชะโงกหน้าบุ้ยใบ้ไปทางห้องทำงานของลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล “จะให้เรียกว่าอะไรดีคะ จุ๋มเรียกไม่ถูกเลย”

หญิงสาวไม่รู้จะใช้คำใดบรรยายสถานะของเจ้านายกับผู้หญิงสวยจัดที่นั่งอยู่ในห้อง เพราะตั้งแต่ทำงานร่วมกันมาก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนโผล่มา ไม่เคยรับรู้ว่าชายหนุ่มมีแฟน อยู่ดีๆ ก็มีใครไม่รู้เดินมาถามหารายชื่อแขกในงานแต่งงานของเจ้านายรูปหล่อจากผู้ช่วยอย่างหล่อน หลังจากสาวสวยมาขอพบนายแพทย์ฉัตรบดินทร์ แต่หล่อนแจ้งว่าเจ้าตัวยังออกตรวจไม่เสร็จ

“นิคกี้”

สิ้นเสียงทุ้มของผู้เป็นนาย จริยาก็เงยหน้ามองคนที่ทำงานด้วยกันมาหลายปี ไม่แน่ใจว่าเขาพยายามสื่ออะไร

“อะไรนะคะ”

เลขาฯ หน้าห้องทำหน้าเหลอใส่ จนเจ้านายหนุ่มขมวดคิ้วระหว่างอธิบายเพิ่มเติม ปกติก็เห็นเข้าใจอะไรง่ายๆ ดี ทำไมวันนี้ดูช่างซักช่างถามนักก็ไม่รู้

“เธอชื่อนิคกี้”

“แล้ว?” จริยาซักไซ้เบาๆ หล่อนควรจะรู้ทุกเรื่องของเจ้านาย “เป็นอะไรกันนะคะ” เพราะเหตุนี้จึงถามให้มันชัดเจน หล่อนจะได้วางตัวถูก จะได้ตอบคนอื่นถูก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความอยากรู้อยากเห็นทั้งสิ้น มีแต่เพื่อประโยชน์ของโรงพยาบาลเท่านั้น

“อีกไม่เกินสามเดือนผมจะแต่งงานกับเธอ” ฝ่ายต้นเรื่องก็ตอบเรียบเฉย เหมือนบอกให้หล่อนลงนัดตามปกติ

จริยาอดค้อนเบาๆ ไม่ได้ แต่ก็อารมณ์ดีจนยิ้มกว้าง ตบมือเล็กๆ เบาๆ ท่าทางเหมือนเพนกวิน ยินดีกับผู้เป็นนายอย่างที่สุด

“ดีใจจังเลย นึกว่าคุณหมอจะโหนคานโรงพยาบาลให้สาวๆ เสียดายเล่น ว่าแต่ไปคบกันตอนไหน ทำไมจุ๋มไม่ทราบเลยคะ” เป็นเจ้านายลูกน้องกันมานาน นานจนจริยากล้าล้อเล่นกับเจ้านายหน้านิ่ง รู้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นคนดุ แค่เป็นคนเอาจริงกับทุกเรื่อง คงอยู่กับตำราและคนป่วยมากเกินไปจนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไรก็แค่นั้น

คราวนี้คุณหมอใหญ่ส่ายหน้า เพราะผู้ช่วยตัวดีชักจะคุ้ยลึกจนเกินไป เลยได้แต่กำราบเบาๆ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องทำงานไปหาคนที่มารอเขาเกือบสองชั่วโมง ไม่รู้ป่านนี้จะเหวี่ยงจะวีนไปขนาดไหนแล้ว

“ยุ่ง”

 

นครากำลังพลิกซ้ายพลิกขวาเปิดแฟ้มตัวอย่างการ์ดแต่งงาน และเงยหน้ามองผู้ชายที่บังอาจให้หล่อนรอมาสองชั่วโมง สองชั่วโมงที่เป็นเงินเป็นทองมหาศาลหากหล่อนยังช่วยผู้เป็นพ่ออยู่ที่ออฟฟิศ ป่านนี้อาจจะต่อรองเจรจาได้ที่ผืนงามกลางกรุงเทพฯ เพิ่มมาสักผืนสองผืนเพื่อค้ำประกันเช็คที่นักธุรกิจดังๆ เอามาแลกกับเงินสด หรืออาจจะปิดดีลงานรักษาความปลอดภัยของอีเวนต์ไหนได้อีกสักแห่ง แต่หล่อนก็ต้องรีบมาเอารายชื่อแขกที่จะมาร่วมงานหมั้นงานแต่งกับเขา รวมถึงให้ช่วยกันตัดสินใจเลือกแบบการ์ดที่หล่อนบอกแล้วบอกอีกกับมารดาชายหนุ่มว่าให้ตัดสินใจไปเลย แต่ดูเหมือนคุณป้าจะไม่ฟังหล่อนแม้แต่น้อย

หรือบางทีอาจจะเป็นความต้องการบางอย่างในหัวใจก็ได้ที่ทำให้นครามาหาฉัตรบดินทร์เอง และยอมรอแบบไม่เคยรอใครมาก่อน

“ขอโทษที” ฉัตรบดินทร์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามารับรู้ได้ว่านครากำลังตำหนิเขาทางสายตา

พอเขาเอ่ยปาก หญิงสาวก็ผงกหัวรับคำ ยืนขึ้นยื่นแฟ้มที่ดูอยู่ให้ชายหนุ่มทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ไม่งี่เง่าบ่นอะไรให้มากความ

“ค่ะ ช่วยเลือกระหว่างสามแบบนี้หน่อยค่ะ”

สามแบบนั้นฉัตรบดินทร์ไม่รู้ว่าต่างกันอย่างไร คนหน้าหล่อจึงขมวดคิ้ว ก่อนจะเงยหน้ามองว่าที่คู่หมั้นเหมือนไม่เข้าใจที่หล่อนพูด

“เลือก?”

“ค่ะ ชี้มาสักแบบ แล้วขอรายชื่อแขกด้วย” นิ้วเรียวของนคราชี้ไปที่ตัวเลือกทั้งสาม ทำใจแล้วว่าทุกอย่างในวันสำคัญของหล่อนคงถูกจัดแบบขอไปที ทำให้จบๆ ไปแบบที่ว่าที่เจ้าบ่าวชอบพูด แต่ก็ยอมรับสภาพ ไม่รู้จะบ่นไปทำไม เพราะคนตรงหน้าคงไม่ใส่ใจสักนิด และก็ไม่ใช่นิสัยของหล่อนที่จะมาขอความเห็นใจจากใคร

“วันหลังถ้าช้า ฝากไว้กับเลขาฯ ก็ได้นะคะ” นคราพยายามควบคุมเสียงไม่ให้ฉายถึงความน้อยใจ ซึ่งก็ทำได้ดี “นิคกี้จะได้ไม่เสียเวลา”

“ผมทำงาน” ได้ยินประโยคนั้นฉัตรบดินทร์ก็เงยหน้ามองว่าที่คู่หมั้นอีกรอบ กวาดตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจดเท้า หน้าตาแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ จะไปทำงานอะไรนอกจากลอยชาย ทำหน้าสวยไปวันๆ ผมยาวรวบเป็นหางม้าปล่อยพวงผมสวยถึงกลางหลัง หน้าสวยตกแต่งไว้อย่างประณีต แต่ไม่มากเกินพอดี ฉายราศีเศรษฐีชัดเจน ร่างสมส่วนสวมเดรสเปิดไหล่ลายดอกทานตะวัน ดูก็รู้ว่าราคาไม่ต่ำกว่าหกหลัก ไม่คุ้มราคาเพราะสั้นแค่ครึ่งขาอ่อนโชว์ขาเรียว มีรองเท้าสานพันข้อเท้า ดูน่ารัก เซ็กซี่ ชวนมอง อยากหลงใหล

ชั่ววูบที่ฉัตรบดินทร์อยากฝังจมูกโด่งของเขาลงบนลาดไหล่หล่อน อยากรู้ว่าเนื้อเนียนจะหอมเหมือนกลิ่นที่ลอยโชยอยู่ตอนนี้หรือไม่ แต่แค่พริบตาเดียวชายหนุ่มก็ดึงสติกลับมาเป็นปกติจนได้

“หึ” ชายหนุ่มทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ปล่อยมือจากสิ่งที่นคราบอกให้เขาเลือก และมองหน้าคนสวยตั้งแต่ศีรษะจดเท้า มองแบบไม่อคติก็ต้องยอมรับเลยว่านคราสวยขึ้น สวยมาก สวยจัดชนิดที่ทำให้คนมองลืมหายใจได้ สวยจนไม่เหลือเค้าเดิมของนิคกี้สมัยเด็กๆ

แต่จะสวยอย่างไร ความคิดที่เขาพยายามหักห้ามตัวเองมาหลายปีพร้อมอคติเพราะคุณแม่จับคู่ให้ตั้งแต่ทีแรกก็พุ่งพรวดขึ้นมา บอกตัวเองอีกครั้งว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นการยอมรับสภาพเพื่อตัดปัญหา ลดความน่ารำคาญในการเซ้าซี้ของแม่ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องตกหลุมรักนครา หลงใหลหล่อน หรือมองหล่อนไม่วางตาแบบที่ผู้ชายทั่วไปทำ

“อย่างคุณจะทำงานอะไร ตัวก็เท่านี้ เรียนจบอะไรมานะ” น้ำเสียงเย้ยหยันแบบที่ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากเขาดังขึ้น

หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว เมื่อโดนคนที่หล่อนชื่นชมตั้งแต่จำความได้ดูถูกซึ่งหน้าขนาดนี้ ถึงแม้วิชาที่หล่อนเรียนมาจะไม่ต้องใช้เซลล์สมองมากมายอย่างที่เขาเรียน แต่ก็ไม่สามารถรอดมาได้หากไม่มีความสามารถเหมือนกัน ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นี่ใช่พี่ฉัตรคนที่จับมือหล่อนเขียนหนังสือ คนที่ระบายสีเป็นเพื่อนตอนเด็กๆ จริงๆ หรือ ผู้ชายคนนี้จริงๆ หรือที่ช่วยชีวิตหล่อนขึ้นมาจากสระน้ำวันนั้น วันที่หล่อนรู้แจ้งแก่ใจตัวเองว่าไม่ได้รักเขาแบบพี่ชายอีกต่อไป

“แฟชั่นดีไซน์ค่ะ”

คราวนี้ฉัตรบดินทร์มองหญิงสาวอีกครั้ง สายตาไม่มีความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด

“มิน่า”

“มิน่าอะไรคะ”

“มิน่าถึงแต่งตัวเหมือนหลุดออกจากหนังสือมาเดินอยู่ในโรงพยาบาล ที่โรงเรียนเขาคงสอนแต่เรื่องแฟชั่น แต่ไม่ได้สอนเรื่องกาลเทศะสินะ”

เหน็บจนเจ็บ แม้แต่ฉัตรบดินทร์เองก็ตระหนักได้ว่าเป็นผู้ชายปากร้ายไม่น้อย จากนั้นก็ทำท่าจะกลับไปสนใจงาน ไม่เหลือบมองสิ่งที่หญิงสาวเอามาให้เขาเลือก

นคราก้มลงมองตัวเองบ้าง ไม่เห็นว่ามันจะเว่อร์วังตรงไหน นี่แต่งลวกๆ เพราะต้องรีบเข้าบริษัทไปจัดการตกรางวัลให้ลูกทีมที่ออกปฏิบัติงานเมื่อคืน แล้วก็ซิ่งรถคันจิ๋วมาหาเขา สลัดคนติดตามออกจนหมด อารมณ์น้อยใจตีตื้นขึ้นมาทันที แต่ไม่มีวันเสียหรอกที่คนอย่างนคราจะเปิดเผยด้านอ่อนแอให้ใครเห็น โดยเฉพาะการที่จะทำให้คนตรงหน้ารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหล่อนน่ะอ่อนยวบทุกครั้งที่เห็นเขา

“อย่ามามัวแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นค่ะ นิคกี้ไม่คิดว่าคนที่ใส่แต่เสื้อกาวน์ทุกวันจะมีสิทธิ์บอกว่าใครแต่งตัวดีไม่ดีนะคะ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นแบบลองดี แล้วก็เคาะนิ้วซ้ำๆ ตรงที่ต้องการการตัดสินใจจากเขา โดยที่อีกฝ่ายก็ปรายตามองวินาทีเดียวแล้วจิ้มเลือกเหมือนเสี่ยงดวงมากกว่าที่จะใส่ใจจริงๆ จากนั้นก็หยิบรายชื่อแขกทั้งที่เป็นเอกสารแบบพรินต์เรียบร้อยและแฟลชไดรฟ์มายื่นให้ เป็นอันหมดธุระในวันนี้ระหว่างคนที่จะหมั้นจะแต่งกัน

“ขอบคุณค่ะ” นคราบอกระหว่างเก็บของใส่กระเป๋า “เที่ยงกว่าแล้ว นิคกี้ไปนะคะ รีบตื่นรีบออกมาตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้ทานอะไร หิว” พูดเหมือนบ่นกับตัวเอง

อีกฝ่ายก็ยักไหล่ ตื่นเอาตะวันสายโด่งสินะ ถึงไม่ทันกินอาหารเช้า

ชายร่างสูงลุกขึ้น เรียกได้ว่ายืนค้ำหัวนครา ก่อนเหลือบมองนาฬิกา กว่าจะถึงเวลาเปิดคลินิกของเขาอีกทีก็บ่ายสอง จึงหันมองคนตรงหน้าอีกรอบ อยู่ดีๆ ก็เผลอพูดประโยคที่ทำให้อุ่นวาบในหัวใจทั้งสองดวง

“ทานอะไรที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับละกัน”

 

ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันออกมาจนถึงหน้าลิฟต์ชั้นผู้บริหาร คนหนึ่งมัวแต่กดโทรศัพท์ อีกคนก็อ่านอีเมลที่เลขาฯ เพิ่งส่งให้เมื่อครู่ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าบรรดาพนักงานที่เดินสวนไปมีสีหน้าท่าทางกันแบบไหน

"จะกินอะไรล่ะ" นายแพทย์ใหญ่สอดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าเมื่อจัดการธุระของตัวเองเสร็จ เหลือบมองคนที่แวะมาเอารายชื่อแขกจากเขา ซึ่งแต่งตัวเหมือนถ่ายแบบลงหนังสือโว้ก ถึงแม้จะดูสวยน่ารักชวนมองจนทั้งหมอทั้งคนไข้มองกันตาไม่กะพริบ แต่ฉัตรบดินทร์กลับรู้สึกว่ามากเกินไป ทว่าบ่นไปก็เท่านั้น เพราะคนอย่างเขาเกลียดการพูดมาก คิดมาตลอดว่าถ้าเจออะไรทำให้ไม่ถูกใจก็จะเลี่ยงคนหรือบรรยากาศนั้นๆ ไปเอง หลีกเลี่ยงการมีเรื่องกับทุกคน

“ไม่รู้ค่ะ” นคราตอบแบบขอไปที เหมือนไม่สนใจจะฟังประโยคที่เขาถามสักเท่าไร มือเรียวยังพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือไม่หยุด

“งั้นกินแคนทีนข้างล่างไหม” ศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งเสนอ อ่อนให้อีกคนมากเท่าที่จะอ่อนให้ใครแล้ว ปกติไม่เคยต้องถามความเห็นใครด้วยซ้ำ

แต่อีกฝ่ายยักไหล่ตอบทั้งๆ ที่ไม่เงยหน้ามองเขา “คนเยอะค่ะ”

“อาหารญี่ปุ่น?” ทางเลือกที่สองถูกเสนอขึ้น พร้อมกับเสียงที่เริ่มห้วนขึ้นทุกที

“เมื่อวานเพิ่งกินเอง”

“แฮมเบอร์เกอร์?” ง่ายและเร็วที่สุด เขาจะได้ไปทำงานต่อเสียที อารมณ์ที่เริ่มจะดีกลับมาเสียอีกครั้ง ตาคมเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ มัวแต่ต่อปากต่อคำกันจนนี่จะบ่ายโมงอยู่แล้ว

“อ้วน”

“พิซซา?”

“นิคกี้แพ้ชีส”

นายแพทย์ฉัตรบดินทร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แบบอดกลั้นเต็มที่ รายการอาหารทั้งหมดที่มีในโรงพยาบาลถูกนำมาเสนอให้คนตัวบางที่เรื่องเยอะที่สุดในโลกคนนี้ ตอนเด็กๆ ไม่เห็นจะมากความ เขาบอกอะไรก็ทำจนเขานึกเอ็นดูว่าเลี้ยงง่ายกว่าน้องสาวตัวเองด้วยซ้ำ

ในขณะคนที่กวนโทสะเขายังยืนทำไม่รู้ไม่ชี้กดโทรศัพท์เล่นและหัวเราะคิกคักกับหน้าจอ

“เลือกมาสักอย่างเถอะ ผมมีคลินิกในอีกหนึ่งชั่วโมง”

ก็นิคกี้ไม่อยากกินที่พี่ฉัตรพูดมาสักอย่าง ออกไปกินอะไรข้างนอกไม่ได้เหรอคะ ออกไปแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวนิคกี้วนมาส่ง

คนตัวบางเผลออ้อนเขาแบบที่ใจอยาก เพราะสมาธิอยู่แต่กับบทสนทนาระหว่างหล่อนและลูกน้องในโทรศัพท์มือถือ เลยไม่ทันสังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายว่าเกือบถึงจุดเดือดแล้ว

“ไม่!” คำพูดเด็ดขาดตามประสานายแพทย์ฉัตรบดินทร์ที่เคยทำให้ทุกคนเกรงดังขึ้น

คราวนี้คนสวยชะงัก เงยหน้ามองหน้าเขาด้วยแววตาใสซื่อ ไม่มีเจตนาจะกวนประสาทแต่อย่างใด

“พี่ฉัตรอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ ทำคนไข้ตายหรือไง ถึงมาลงกับนิคกี้แบบนี้” มือบางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าถือราคาเรือนแสนระหว่างพูดต่อ “นิคกี้ไม่คิดเลยนะคะ ว่าพี่ฉัตรจะเป็นคนเอาใจยาก เอาแต่ใจตัวเอง”

ด้านคุณหมอใหญ่แทบจะถลึงตาใส่คนตรงหน้า เขาเนี่ยนะเอาใจยาก ใครกันแน่ที่เลือกไม่ได้สักทีว่าจะกินอะไร ท้ายที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ถอนหายใจ นี่เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ แบบไม่มีทางเลือกใช่ไหม

“ถ้าเราต้องอยู่กันอีกห้าสิบปี โดยที่พี่ฉัตรไม่คิดจะปรับตัวเลย นิคกี้คงเหนื่อยแย่ ยังไงก็ลองพยายามดูนะคะ นิคกี้จะเอาใจช่วย”

 

แต่แล้วก็กลายเป็นว่าทั้งคู่รับประทานอาหารกลางวันกันที่แคนทีนของโรงพยาบาล เพราะชายหนุ่มยื่นคำขาดว่าถ้าไม่กินในสิ่งที่เขาเลือกหลังจากเสียเวลาเถียงกันร่วมสิบนาที ก็ให้นครากลับบ้านไปได้เลย โดยที่นครากินไปบ่นไปเพราะอาหารไม่น่ากิน

“มันย่องเลย อี๋! พี่ฉัตรกินได้ยังไงอะ นิคกี้ไม่เอาแล้วดีกว่า” หล่อนรวบช้อน ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ ควักโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งงานต่อ วันนี้เสียเวลาอยู่นอกออฟฟิศไปมาก ทำให้ต้องประสานงานกันทางโทรศัพท์ตลอดเวลา

ในขณะที่อีกฝ่ายยังกินอาหารต่อไปโดยไม่สนใจว่าหญิงสาวตรงหน้าจะบ่นอะไรบ้าง ฟันธงไปแล้วว่านคราก็แค่เด็กติดมือถือคนหนึ่ง จนได้ยินเสียงคุ้นหูของผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลทักขึ้น คุณหมอรูปงามถึงได้เงยหน้าขึ้นจากจานข้าวรับการทักทายนั้น

“คุณหมอ วันนี้ลงมาทานข้าวที่แคนทีนได้ด้วย คนไข้น้อยเหรอคะ” ปากพูดกับชายหนุ่ม แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่นครา

หล่อนได้ยินเขาพูดกันหนาหูว่ามีผู้หญิงสวยจัดมารอคุณหมอฝีมือดีที่มีดีกรีเป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลถึงในห้องทำงาน แถมยังเดินเคียงคู่กันไปทั่ว แถมชายหนุ่มยังพามากินข้าวกลางวันในที่แจ้งอย่างโรงอาหารของโรงพยาบาลที่มีพนักงานทุกหมู่เหล่ารวมถึงคนไข้ใช้บริการกันอย่างหนาแน่น เรียกว่าคนรู้คนเห็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง หล่อนเลยเดินตามมาดูให้เห็นกับตาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

 “ครับ”

“แล้วนี่พาใครมาทานด้วยเอ่ย คนไข้พิเศษที่ไหน ให้ปิ่นช่วยดูแลดีกว่าไหมคะ” ความอยากรู้อยากเห็นถึงขีดสุด ทำเอาเจ้าตัวโพล่งถามออกไป อย่างไม่กลัวที่จะเสียมารยาท

“มีอะไรติดขัดบอกได้เลยนะคะ” หญิงสาวผู้มาใหม่พูดกำกวม “โรงพยาบาลของเรายินดีรับใช้ค่ะ”

คราวนี้นคราถึงกับกดมุมปาก จะยิ้มเยาะก็ไม่ใช่ จะไม่พอใจก็ไม่เชิง เพราะคำว่า ‘ของเรา’ กระแทกหูหล่อนชัดเจน

ฝ่ายชายหนุ่มไม่ตอบ แต่นครากลับยิ้มกว้าง แนะนำตัวเองเสร็จสรรพกับคนที่แหลมเข้ามา ตาหวานสบตาผู้ชายตัวโตตรงหน้า นึกหมั่นไส้การหวงความโสดจนวินาทีสุดท้ายของเขา

“นิคกี้ค่ะ”

“ปิ่นค่ะ”

ชายหนุ่มรับประทานอาหารเสร็จพอดีจึงรวบช้อนบ้าง ไม่ได้นึกอยากปิดบังอะไร แต่รู้ดีว่าหากแนะนำสถานะที่แท้จริงไป ข่าวนี้จะกระพือไปไวแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวซุบซิบออกมาไม่น้อยว่าเขากำลังจะมีข่าวดี  แต่คนอย่างเขาก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวเสียด้วย

“คุณปิ่นเป็นประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลเรา” คำว่า ‘เรา’ ที่ฉัตรบดินทร์พูดนั้น เขาสื่อความหมายทางสายตากับนครา ตาคมกริบมองคนที่เคยเป็นน้องเป็นนุ่ง แต่ดันมาเปลี่ยนสถานะกันแบบปุบปับเพราะผู้ใหญ่มาเจอเขากับหญิงสาวแบบน้องไม่นุ่งผ้า

“ส่วนนี่นครา ต่อไปคุณปิ่นคงเห็นบ่อยๆ” ฉัตรบดินทร์แนะนำว่าที่คู่หมั้นได้สั้นที่สุด ไม่มีการแจ้งสถานะ ไม่มีการบอกใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนที่จะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เป็นการปิดมื้ออาหารบ้าง

เขาพลิกข้อมือดูเวลาอีกรอบ ก่อนจะเงยหน้ามองว่าที่คู่หมั้นคนสวยที่นั่งให้ผู้ชายมองทั้งโรงพยาบาล นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาดื้อๆ รำคาญสายตาไม่มีมารยาทพวกนั้น หมงหมอในสังกัดเขาก็พานเป็นไปกับเขาด้วย มองนคราไม่วางตากันแบบไม่เกรงใจลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลที่นั่งเป็นคู่รับประทานอาหารอย่างเขาสักนิด

“ได้เวลาออกตรวจแล้วครับ” ประโยคแรกบอกทั้งคนของเขาและพนักงาน แต่ประโยคที่สองเจ้าตัวเจาะจงแจ้งให้ว่าที่คู่หมั้นรับทราบ “นิคกี้ลงไปเองได้นะ”

สาวสวยพยักหน้ารับ ไม่ติดใจกับการที่เขาไม่บอกว่าเป็นอะไรกับหล่อน อยากปิดก็ปิดไปเถอะ อีกสองเดือนคนก็รู้กันทั้งประเทศเองแหละว่าเขาเป็นของใคร

“เจอกันนะครับคุณปิ่น"

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น