6

บทที่ 6


 

6

 

“นิคกี้เอาการ์ดไปให้ตาฉัตรที่โรงพยาบาลหน่อยสิลูก นี่ไม่กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์ๆ เห็นว่ามีคิวผ่าตัดทุกวันเลย”

คนอ้อนผู้หญิงแทนลูกชายบอกสาวสวยซึ่งวันนี้มารับการ์ดที่เพิ่งออกจากโรงพิมพ์สดๆ ร้อนๆ กลับไปให้แจกแขกเหรื่อในส่วนของหล่อน สาวสวยเลยได้แต่เงยหน้ามองคุณป้า ทำตาใสก่อนจะพยักหน้าแบบไร้ทางปฏิเสธ แต่ยังไม่วายถามคำถามซื่อๆ ออกไป

“แล้วนิคกี้ต้องให้กับมือไหมคะ ฝากเลขาฯ พี่ฉัตรไว้ได้ไหม” ขนาดบ้านตัวเองเขายังไม่กลับมาเจอหน้าพ่อหน้าแม่ แล้วนับประสาอะไรกับคู่หมั้นที่เขาไม่อยากเสวนาด้วยอย่างหล่อน จากที่เคยอยากเห็นหน้า ก็เริ่มไม่อยากไปเจอท่าทางรังเกียจหล่อน

หน้าสวยฉายแววเศร้าจนคนสูงวัยอดสงสารไม่ได้ และโอบคนตัวบางเข้ามากอด

“รอเจอตาฉัตรหน่อยแล้วกัน วันนี้ไม่มีคิวผ่าตัด แม่จะบอกคุณจุ๋มไว้ให้ว่าหนูจะเข้าไปรอเพื่อเอาตัวกลับมาทานข้าว” คุณหญิงสรวงสุดาลูบหัวหญิงสาว “เดี๋ยวคุณพ่อ...เอ่อ พ่อพี่ฉัตรกับพ่อหนูกลับมาจากตีกอล์ฟก็ทานด้วยกันที่นี่เลย แม่จะโทร. ไปจัดการกับพ่อๆ ไว้เอง”

“งั้นรบกวนคุณป้าด้วยนะคะ” หญิงสาวเก็บบัตรเชิญส่วนของฉัตรบดินทร์ใส่กระเป๋า ก่อนเงยหน้ามองสตรีสูงวัยอีกรอบ ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จสิ้นเสียดีกว่า “ถ้าแบบนั้นนิคกี้ออกไปเลยดีกว่า เดี๋ยวรถติด”

 

ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีจากบ้านฉัตราวุธ นคราก็เดินทางมาถึงที่ทำงานของฉัตรบดินทร์ เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็จะถึงงานสำคัญของทั้งคู่ คนร่างบาง หุ่นเป๊ะ เดินเข้าโรงพยาบาลด้วยความมั่นใจ รองเท้าส้นสูงสี่นิ้วทำให้คนสวยอยู่แล้วโดดเด่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หน้าสวยยิ้มแย้มแต่ไม่มากจนพร่ำเพรื่อให้คนที่มองมา คาดว่าพนักงาน หมอ และพยาบาลของทั้งโรงพยาบาลคงรับรู้สถานะของหล่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกว่าจะถึงชั้นของผู้บริหาร นคราก็ปั้นหน้าเสียจนเมื่อย

“คุณนิคกี้” จริยารีบลุกขึ้นต้อนรับ เมื่อเห็นหญิงสาวเดินใกล้เข้ามา โดยที่อีกฝ่ายก็ยิ้มก่อนจะยกมือไหว้ ไหนลือกันว่าเป็นลูกสาวเจ้าพ่อใหญ่ ก็ดูมีสัมมาคารวะ เรียบร้อยดี ถึงแม้ว่าจะมีรังสีความน่ายำเกรงฉายออกมา แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเป็นกันเองกับตนไม่น้อย “โอ๊ย ไหว้ทำไมคะ จุ๋มต่างหากที่ต้องไหว้”

“แต่นิคกี้เด็กกว่าเยอะ คุณจุ๋มอย่ามา...” เสียงหวานให้ความคุ้นเคยกับผู้ช่วยของชายหนุ่ม ก่อนจะหันซ้ายหันขวา “แล้วนี่พี่ฉัตรยังไม่เสร็จใช่ไหมคะ” หายใจโล่งคอขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ เมื่อครู่ระหว่างทางมาหล่อนได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับปัญหาเรื่องงาน อยากขอพักหายใจให้หายเหนื่อยสักครู่ ก่อนต้องสู้กับฉัตรบดินทร์ต่อ “ดีเลยค่ะ จะได้พักเหนื่อยก่อน”

“อะไรกันคะ เจอหน้าแฟนต้องหายเหนื่อยสิ นี่คุณหมอตรวจคนไข้ทั้งวัน เห็นหน้าคุณนิคกี้คงลืมเหนื่อยเชียวละ”

นคราเลยไม่รู้จะตอบอะไร นี่รับรองว่าถ้าเจ้าตัวออกมาเห็นหน้าหล่อนมีหวังกุมขมับมากกว่าเดิม

“คุณนิคกี้รอแป๊บค่ะ จุ๋มว่าไม่เกินสิบห้านาที เพราะพยาบาลที่เคาน์เตอร์บอกว่าคนไข้คนสุดท้ายเข้าไปแล้ว คุณหมอไม่มีราวด์วอร์ดด้วย”

ได้ยินแบบนั้นนคราก็เลยพยักหน้าและยิ้มให้จริยากว้างขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงระดับสามที่ยอมให้คนที่หล่อนวางใจ รอไม่เกินเวลาที่อีกฝ่ายบอก คนที่หล่อนมาหาก็เปิดประตูเข้ามา ตาคมกริบมีแววล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างพาดผ่านเมื่อเขาเจอนครานั่งอยู่

“คุณแม่บอกคุณจะแวะมา” พูดแล้วก็เดินไปนั่ง

หญิงสาวไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม หรือประโยคแสดงอาการไม่พอใจ แต่ก็ไม่ถือสาหาอะไร รู้ดีว่าเขาก็เป็นของเขาแบบนี้ จากที่คาดหวังก็เริ่มกลายเป็นชินชาเรื่อยๆ และมั่นใจว่าหากยังเป็นแบบนี้อยู่หล่อนคงตัดใจได้ในไม่ช้า

“เอาการ์ดมาให้ค่ะ คุณป้าบอกว่าเดี๋ยวพี่ฉัตรจะแจกไม่ทัน”

“เย็นนี้ผมก็กลับบ้าน เอามาแจกพรุ่งนี้ก็ทัน” คนไม่เข้าใจแม่เริ่มบ่น “ไอ้ที่ให้คุณมาถึงนี่ ก็เพราะตั้งใจว่าจะให้คุณลากผมกลับบ้านไม่ใช่เหรอ”

นคราก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นจริงอย่างที่เขาว่า ทว่าหล่อนไม่ได้มีเจตนาจะมาเซ้าซี้แต่ประการใด หากฉัตรบดินทร์ยืนยันว่าไม่ไป ไม่กลับ หล่อนจะไปทำอะไรได้

“คุณป้าบอกว่าเผื่อผู้ใหญ่ท่านไหนที่นิคกี้ควรจะเข้าไปเชิญด้วยก็ให้พี่ฉัตรจัดการเสียวันนี้ค่ะ” คนสวยบอกเรียบๆ ทั้งๆ ที่น้ำตาเริ่มจะตกใน นัยน์ตาไหววูบชัดเจนแค่แวบเดียว แต่ก็นานพอให้คนที่แอบสังเกตอาการหล่อนอยู่รับรู้ได้ จนต้องแสร้งบอกเป็นการตัดรำคาญ

“เอ้าๆ” คนตัวโตพูดระหว่างปิดแฟ้มที่ไม่ได้ด่วนอะไรลง เปิดอ่านแค่เพราะไม่อยากมองหน้าคนตรงหน้านานๆ เท่านั้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน เขานึกถึงหล่อนไม่น้อยว่ามัวไปทำอะไร ไปไหนมาไหนทำไมไม่รู้จักบอกว่าที่คู่หมั้นอย่างเขาบ้าง วันนี้เมื่อมารดาส่งข้อความมาบอกว่านคราจะเข้ามา เขาก็รีบทำเวลาระหว่างเดินกลับขึ้นมาบนห้องแทบแย่ กะไว้ว่าจะตำหนิอีกฝ่ายเสียหน่อยที่หายไป แต่พอเห็นหน้ากับแววตาของนคราก็ทำให้เจ้าตัวพูดไม่ออก เหมือนแววตาของคนท้อและล้าเต็มทน

“ถ้าจะต้องแจกการ์ดวันนี้ให้ได้งั้นก็ไป เสร็จแล้วจะได้กลับบ้าน ไหนจะต้องกินข้าวเย็นกับคุณอีก เหนื่อยจะแย่” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปหยุดยืนรอ ไม่ช้าหญิงสาวก็เดินมาเคียงข้างในฐานะคู่ครอง ออกไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายพร้อมกัน

 

นัยน์ตาที่มองโลกมาไม่ต่ำกว่าหกสิบปีละจากซองที่จ่าหน้าถึงตัวเอง รับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าสิ่งนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากสารแจ้งข่าวมงคลของนายแพทย์รูปหล่อฝีมือดี คนที่เป็นทั้งลูกน้องและเจ้านายของเขาในเวลาเดียวกัน

“ดีใจด้วยคุณหมอ ขอให้มีความสุขนะ ถ้าไม่มีคนไข้ด่วน เดี๋ยวผมไปงานแน่ๆ” หัวหน้าแผนกโรคหัวใจวัยหกสิบหกเอ่ยปากอวยพรคนที่เห็นมาวิ่งเล่นในโรงพยาบาลตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้มาเป็นรองหัวหน้าแผนกของเขา พ่วงด้วยตำแหน่งฝ่ายบริหารที่นั่งเก้าอี้รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่หรูหราแห่งนี้อีกหมวกหนึ่ง

ตาของผู้สูงวัยตวัดมองสาวสวยที่หมอหนุ่มพามาด้วย ไม่แนะนำอย่างเป็นทางการ แต่ควงกันมาแจกการ์ดแต่งงานก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าสาว ผู้สูงวัยเลยก้มลงมองชื่อสกุลของฝ่ายหญิงอีกรอบ สะดุดตั้งแต่ชื่อผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว ไล่เรียงมาจนถึงนามสกุลที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล ทำธุรกิจคาบลูกคาบดอก จะขาวก็ไม่ใช่ จะดำก็ไม่เชิง ประมวลผลเสร็จก็มองหน้าเจ้าบ่าวอีกครั้ง ‘เห็นเงียบๆ เรียบๆ ล่อลูกสาวเจ้าพ่อเลยเว้ยหมอฉัตร’

“เจ้าสาวสวยมาก เด็กด้วย” พูดจบก็หัวเราะ เพราะเห็นหน้าคุณหมอรูปหล่อที่ทำทั้งคนไข้ทั้งพยาบาลกรี๊ดกร๊าดแดงเรื่อขึ้น ตาคมของฝ่ายชายเหลือบมองสาวสวยข้างๆ แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนจะหันมามองหน้าเขาเหมือนเดิม “ก็ถึงว่าทำไมไม่ยอมมีแฟนสักที ที่แท้รอเจ้าสาวโตทันใช้นี่เอง”

คำพูดหยอกเย้าของแพทย์ผู้ใหญ่ทำเอาฉัตรบดินทร์หน้าแดงจัดได้ในเพียงวินาทีเดียว ก่อนเจ้าตัวจะกระแอมเคลียร์เสียงกลบเกลื่อนอาการที่เกิดขึ้น

“ก็ไม่ใช่อะไรแบบนั้นครับ พอดีอะไรหลายๆ อย่างมันลงตัว” คนเป็นเจ้าบ่าวบอกหน้านิ่ง คิดว่าแค่นี้ก็อธิบายเรื่องส่วนตัวกับคนนอกมากพอแล้ว

ส่วนนายแพทย์ผู้ใหญ่ที่เห็นกันมานานก็รู้นิสัยชายหนุ่มดีเลยตัดบท ไม่ต้องให้ใครบรรยายอะไรให้มากความ แค่เห็นแววตาที่ฉัตรบดินทร์ใช้มองสาวสวยข้างๆ ก็รับรู้เรื่องราวได้เกือบหมดแล้ว

“จะยังไงก็ได้ ขอให้มีความสุขคุณหมอ หนูด้วย ผมยินดีด้วยจริงๆ”

 

พ้นออกจากห้องทำงานของหมอสูงวัยได้ไม่เท่าไร ฉัตรบดินทร์ก็บอกเสียงไม่สบอารมณ์ แต่เป็นที่คุ้นหูนครายิ่งนัก คุ้นจนหญิงสาวแอบนับถือตัวเองที่ทำจิตแข็งสู้กับคนใจร้ายอย่างเขาได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นบิดา พี่ชาย หรือพลพัฒน์ทำเสียงแบบนี้ใส่ หล่อนคงได้มีบ่อน้ำตาแตก ได้วีนเหวี่ยงงอนใส่กันบ้าง

“แจกเฉพาะพวกหัวหน้าแผนกละกันนะ เดี๋ยวพวกหมอคนอื่น ผมจะให้คุณจุ๋มไปจัดการ” ชายหนุ่มมองคนที่ต้องใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า นี่เจ้าตัวเล่นสวมกางเกงยีนแนบเนื้อโชว์ก้นงอนงามกับเสื้อกล้ามพอดีตัว เซ็กซี่เสียจนเมื่อกี้ผู้ป่วยในแผนกโรคหัวใจแทบหัวใจวาย ไม่นับตอนที่เดินร่อนในโรงพยาบาล ทำเอาคนที่มาใช้บริการมองตาค้าง แล้วจะให้เขาพาหล่อนเดินไปทั่วโรงพยาบาลได้อย่างไร ยิ่งเดินยิ่งหงุดหงิด

“เดินกับคุณไปทั่ว ผมละเบื่อ แต่งเนื้อแต่งตัวอะไรไม่ได้ดูกาลเทศะ” บ่นเหมือนที่เคยบ่นอีกครั้ง แต่ใจเหมือนจะทรยศเพราะเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่มองนครา จนต้องบอกตัวเองว่าอาการที่เป็นอยู่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความไม่พอใจที่พวยพุ่งขึ้นมา

อีกฝ่ายก็ได้แต่เม้มปากแน่น น้อยใจพอตัวเมื่อเขาออกอาการรังเกียจกันถึงขั้นไม่อยากเดินไปไหนมาไหนด้วย เลยได้แต่ยกมือบางขึ้นพนมไหว้เขา คิ้วเรียวขมวดแน่น เจ็บ หน่วง น้ำตาจะไหล หน้าสวยสะบัดน้อยๆ ข่มขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว จากที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าบางอย่างมันก็ฝืนกันได้ไม่ตลอด เอาเถอะ ถ้ามันหมดทางจริงๆ หล่อนจะยอมเฉือนหัวใจตัวเองเพื่อรักษาชีวิต ไม่ต้องมาเจ็บยืดเยื้อแบบนี้

คนเสียงหวานบอกคนที่รักมาหลายปี ดีใจเมื่อควบคุมไม่ให้สั่นได้ “งั้นนิคกี้กลับนะคะ ถ้าคุณป้าถามพี่ฉัตร ฝากตอบด้วยละกันว่าพี่ฉัตรเลือกแจกแค่นี้ ส่วนเรื่องอาหารเย็นพี่ฉัตรทานกับคุณป้าเถอะค่ะ นิคกี้ไม่อยู่รบกวนสายตาดีกว่า”

ยิ่งเจอแบบวันนี้ คนที่คิดว่าความรักจะชนะแบบในนิยาย หรือแม้กระทั่งเขาจะมองเห็นความดีของเราบ้าง ยิ่งท้อถอย เกือบจะถอดใจ ขอกลับไปตั้งสติดีๆ คิดดีๆ บางทีหล่อนควรจะปล่อยมือจากเรื่องแบบนี้แล้วยอมรับความเป็นจริงเสียบ้าง คนร่างบางจะหมุนตัวกลับ แต่คนตัวโตกลับรั้งข้อมือไว้ น้ำเสียงไม่ได้ดีขึ้นเลย แต่ดึงดันไม่ให้อีกคนกลับบ้านหน้าตาเฉย

“ไปด้วยกันนี่แหละ ผมไม่ได้นอนมาหลายวันละ ขี้เกียจขับรถ”

 

 

“นี่ถ้าแม่รู้ว่าส่งนิคกี้ไปแล้วฉัตรจะกลับบ้าน แม่ให้น้องไปทุกวันเลยดีไหม” คุณหญิงสรวงสุดาหรี่ตามองอย่างจับสังเกตปนพอใจ พูดได้เลยว่าตั้งแต่ฉัตรบดินทร์ก้าวเข้าสู่เส้นทางทางการแพทย์ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักศึกษา ชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหล่อนตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน พอเข้ามารับตำแหน่งที่โรงพยาบาลเต็มตัว บวกกับภาระหน้าที่ของหมอด้วยแล้ว สองสัปดาห์เห็นหน้าลูกชายคนนี้ทีก็ถือว่าคุณหญิงโชคดีอย่างมาก

“ผมบอกคุณแม่แล้วนี่ครับ ว่าวันนี้จะกลับ ไม่ต้องให้ใครไปตามหรอกครับ ดีไม่ดีโผล่ไปให้เห็นหน้าผมจะไม่อยากกลับเอาดื้อๆ”

ฉัตรบดินทร์บอกหน้านิ่ง ในขณะที่ปรายตามองนคราซึ่งนั่งเชิดหน้าอยู่ข้างๆ มารดาเขา ไม่สบอารมณ์สักนิดเมื่อเจ้าตัวอยากจะผลุบอยากจะโผล่มาในชีวิตเขาเมื่อไรก็ทำ ปากบางอยากเปิดถามว่าระยะเวลาที่ห่างหายหล่อนไปไหนทำอะไร อย่างน้อยเวลาใครถามเขาว่าทำไมไม่เห็นว่าที่เจ้าสาว เขาจะได้มีข้อมูลไว้พอตอบบ้าง

“พูดจาอะไรคิดบ้าง โตจนอายุสามสิบหกแล้ว อย่าให้แม่ต้องดุเป็นเด็กๆ นะตาฉัตร” คนเป็นแม่อดไม่ได้ ยิ่งรู้ว่านครามีใจให้ลูกชายยิ่งต้องปรามเพราะเป็นห่วงความรู้สึกหญิงสาว “พูดจาแบบนี้ น้องเสียใจแย่”

หน้าสวยเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งนับวันนครายิ่งเก็บอาการได้น้อยลง ในขณะที่ฉัตรบดินทร์ก็ทำตัวร้ายกาจมากยิ่งขึ้นเสียจนคุณหญิงชื่อดังเริ่มจะคิดว่าตัวเองตัดสินใจพลาด อ่านเกมผิดหรือเปล่า แต่เป็นนคราที่อึดกว่าที่คิด ออกปากบอกผู้ใหญ่ให้คลายกังวล และยังเป็นการเหน็บฉัตรบดินทร์เสียจนฝ่ายชายหน้าชา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า นิคกี้ทนได้ ถ้าพี่ฉัตรเขาจะสบายใจที่เป็นแบบนี้ นิคกี้ก็ไม่ว่าอะไร ที่นิคกี้ยอมให้เขาทำ เพราะนิคกี้มีมารยาทค่ะ แต่ถ้าวันไหนนิคกี้ไม่ไหว นิคกี้ขออนุญาตคุณป้าไว้ตรงนี้นะคะ”

“ขออะไรลูก” คนแก่กว่าเริ่มใจเสีย คุ้นเคยกับสาวสวยคนนี้มานาน รู้ดีว่าจริงๆ นคราไม่ได้แข็งกระด้างแบบที่เป็นกับฉัตรบดินทร์ แต่ก็ไม่ได้ขี้อ้อนเหมือนเวลาอยู่กับคนใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะถ้าถึงจุดเดือดนคราก็เลือดเย็นได้แบบหน้าซื่อตาใสเชียวละ

“ขอไปอยู่ในจุดที่ทำให้ตัวเองสบายใจดีกว่าค่ะ คนเรารับได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องถือไว้ตลอดให้ตัวเองเหนื่อยนะคะ” พูดจบตาหวานสีน้ำตาลอ่อนก็สบเข้ากับแววตาเอาจริงของฝ่ายชาย ที่ดูจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความหมายที่หล่อนสื่อ

แต่อีกคนก็ดูจะไม่ยอมง่ายๆ “ทำไมไม่ไปตั้งแต่วันนี้เลยล่ะ” สีหน้าเย้ยหยันระหว่างพับแขนเสื้อตัวเองขึ้น “เรื่องงานแต่งนี่ผมพร้อมยกเลิก พร้อมหย่าตลอดเวลาแบบที่บอกคุณไว้ ไม่ลืมใช่ไหม”

แค่นั้นนคราก็ลุกขึ้นยกมือไหว้คุณหญิงสรวงสุดา ยอมเสียมารยาท ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้านฉัตราวุธทันที ก้าวไวๆ ไม่ล้มด้วยความคุ้นทางทั้งที่น้ำตาบดบังการมองเห็นจนหมด

ด้านฉัตรบดินทร์ก็ตกใจไม่น้อยเมื่อจู่ๆ นคราก็เดินหนีออกไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่คิดว่าคำพูดตัวเองจะร้ายแรงขนาดนั้น เพราะหลายครั้งที่ทำกับหล่อนแย่กว่าวันนี้ก็ไม่เห็นจะมีทีท่าอะไร และเป็นมารดาเสียอีกที่ได้สติ เรียกเขาเสียงเขียวชนิดที่นายแพทย์วัยสามสิบหกตัวหดเหมือนเป็นเด็กอายุสามขวบไปเสียดื้อๆ

“ไปตามกลับมานะตาฉัตร” ตาที่เคยมองเขาด้วยความรักกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าเย็นนี้ไม่มีนิคกี้ร่วมโต๊ะ ฉัตรก็รอดูว่าแม่ทำจะอะไรได้บ้าง!”

 

ชายร่างสูงใหญ่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามคนตัวบางมาทันพอดีที่อีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูรถ วางมือหนาลงบนไหล่บางทั้งสองข้างเพื่อเป็นการหยุดยั้งอีกคนไว้ ออกปากรั้งเพราะทั้งแม่สั่งและเพราะอะไรอีกไม่รู้ตีกันมั่วไปหมด

“จะไปไหน เขาจะตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว” ใจหายวาบ รับรู้ได้ผ่านฝ่ามือว่าคนตรงหน้ากำลังร้องไห้เพราะตัวนครากำลังสั่น เสียงทุ้มที่เคยเอาเรื่องเลยอ่อนลงทันที

“กินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ” เขาพูดจบนคราก็ยังยืนนิ่ง ไม่หันกลับมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธทั้งนั้น จนฉัตรบดินทร์ต้องออกแรงหมุนตัวว่าที่ภรรยากลับมาเผชิญหน้า แล้วที่คิดว่าใจหายเมื่อครู่ก็พบว่าเป็นเรื่องเบาๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับความรู้สึกในตอนนี้

หน้าสวยของคนที่เขาเห็นตั้งแต่แบเบาะเปื้อนน้ำตา ตาวาวสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ฉายแววถือดีก็พร่าไปด้วยหยาดน้ำที่คลอหน่วย ปากแดงอิ่มที่ต่อปากต่อคำกับเขาเม้มแน่น จนฉัตรบดินทร์อดยื่นมือไปประคองแก้มใสเนียนไว้ไม่ได้ และใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยริมฝีปากคู่สวยให้คลายออก

ด้านคนที่โดนทำร้ายจิตใจก็ได้แต่ส่ายหน้าให้พ้นจากการแตะต้องของเขา เหนื่อย เจ็บ ร้าวในอกจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ได้แต่ร้องไห้แบบไม่อายให้เขาเห็นเป็นการระบายอย่างตอนนี้

“ปล่อยค่ะ” หัวใจอ่อนแอ แต่ร่างกายยังต้านทานเขาไหวอยู่

“นิคกี้เหนื่อย จะกลับบ้าน” เสียงหวานแข็งกระด้าง ใช้มือบางบิดข้อมือชายหนุ่มเพื่อให้ออกห่างจากหน้า ทว่าเขากลับคว้ามือหล่อนอีกข้างไว้

“ก็ทานข้าวกันก่อน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่...สรรพนามที่เขาไม่เคยใช้มานานนับสิบปีดังขึ้น โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่รู้ตัว แต่สั่นประสาทหญิงสาวได้ชะงัดนัก

“ถ้าไม่อยากให้ดุกันเป็นเด็กๆ ก็อย่ามาทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้น่า” คนที่รู้ตัวว่าพูดแรงไปบอก แต่ยังไม่ยอมหมอบราบคาบแก้ว

“นิคกี้ไม่ได้ทำตัวเป็นเด็ก พี่ฉัตรบอกเองว่าให้ไป”

หน้าสวยเชิดขึ้นแบบถือดี ปลายจมูกแดงรั้นขึ้น เสียงหวานออกแนวแง่งอนมากกว่าจะเย็นชาแบบที่เคยได้ยิน  ทำเอาฉัตรบดินทร์อดยิ้มไม่ได้ ภาพนคราในวัยเด็กค่อยๆ ฉายชัดทับขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ

“ไม่เด็กก็อย่าดื้อสิ” เสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน ระหว่างรั้งต้นแขนคนตัวบางให้เดินเข้าบ้าน

“ไม่ละค่ะ นิคกี้ไม่อยากทาน” หญิงสาวส่ายหน้าแน่วแน่ ไม่ใช่ว่าเขาเดินตามมาเรียกก็อ่อนยวบตามเขาไป ศักดิ์ศรีที่มีอยู่จะไม่มีวันลดลงเพราะแค่คำผู้ชาย

ฉัตรบดินทร์รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่อ่อนลงแน่ๆ หนุ่มหล่อเลยต้องส่ายหน้ายินยอม รู้ว่าถ้านคราไม่เข้าไป เขาก็ต้องฟังแม่บ่นจนรำคาญ แถมตาวาววับของท่านเมื่อครู่ยังสื่ออย่างชัดเจนว่า เขาต้องรับกรรมมากกว่าฟังมารดาตำหนิแน่ๆ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกไม่ดีจริงๆ เมื่อเห็นน้ำตาของนครา น้ำตาที่เขาเคยเป็นคนเช็ดมาตลอดสิบสองปีแรกของหญิงสาว

“ทานเถอะ เมื่อกี้ไม่ได้ไล่ ขอโทษละกัน เหนื่อยไปหน่อย นอนน้อยมาหลายคืน คงเบลอๆ เลยพูดจาอะไรไม่ได้คิดแบบนั้น” ฉัตรบดินทร์พานคราเดินมาได้สองสามก้าวก็ต้องปลอบกันอีกยกหนึ่ง กว่าหญิงสาวจะยอมก้าวเท้าต่อ

“ไม่เอา นิคกี้หมดอารมณ์แล้ว”

“น่า กินก่อน เดี๋ยวค่อยโกรธต่อก็ได้ แต่ตอนนี้เห็นแก่คุณแม่เถอะ อย่าทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจเลย”

คนตัวโตปลอบอีกครั้ง รั้งตัวคนที่ต้องแต่งงานกันเข้ามาอีก ซึ่งแรงและเร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเสียหลักปะทะเข้ากับอกกว้างทันที

“โอ๊ย! เบาๆ สิคะ” นคราเหวี่ยง ทำหน้ายุ่ง ดิ้นหนีทันที

“ไม่ต้องดึงแล้ว นิคกี้เดินเองได้” หล่อนพยายามบิดแขนเรียวออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม กลัวความอ่อนไหวที่มีในหัวใจจะปะทุออกมาให้เขาเห็น ให้เขาดูถูกเหยียดหยามมากกว่าเดิม รู้ตัวดีว่าความอดทนลดลงทุกวัน เจ็บจนปวดร้าวในอกทุกครั้งที่เจอหน้าเขา จนร่ำร่ำอยากจะยกเลิกเรื่องนี้ด้วยตัวเองอยู่รอมร่อ แต่ก็เพราะทั้งทิฐิ ทั้งอยากเอาชนะ และที่สำคัญเพราะรัก ถึงยังยอมหน้าหนาทนให้เขาทำร้ายอยู่แบบนี้

หน้าสวยก้มงุด แทบจะซ่อนหน้าไว้กับอก แต่กลับโดนนิ้วเรียวแกร่งของว่าที่คู่หมั้นเชยคางขึ้น จนตาสองคู่ประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ตาหวานกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาออกไป และเมื่อพบว่าฉัตรบดินทร์มองมาด้วยแววตาอ่อนโยนมากกว่าปกติ คนสวยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

“ทำไมมองนิคกี้แบบนั้นคะ” นคราถามด้วยความสงสัย เผลอลดกำแพงลงเผยตัวตนที่แท้จริง

และนั่นยิ่งทำให้หินที่กดทับในใจฉัตรบดินทร์ค่อยๆ เคลื่อนออก เผลอยิ้มอ่อนให้ผู้หญิงตรงหน้า จนนคราอดตาโตด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ปากอิ่มอ้าออก อยากจะคาดคั้นถาม แต่กลายเป็นว่าต้องตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเงาของอีกฝ่ายทับทาบลงมาพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะชะงักไม่ต่างกัน และปล่อยมือที่เกาะกุมหล่อนไว้

“เอ่อ...ขอโทษ” หมอหนุ่มหล่อหันหน้าหนีความรู้สึกประหลาด คิ้วเข้มขมวดแน่น ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรตัวเองถึงทำแบบนี้ เสียหน้าไม่น้อยเมื่อพบว่าเป็นเขาที่หลวมตัวกับนคราก่อน “รีบเข้าบ้านเถอะ ป่านนี้คุณแม่รอแย่แล้ว”

 

“โอ๊ย ลุ้นแทบตาย” คุณหญิงสรวงสุดารีบซอยเท้าออกจากมุมหน้าต่างซึ่งมองเห็นบริเวณที่ลูกชายกับว่าที่ลูกสะใภ้ยืนอยู่ ก่อนหันบอกอุไร แม่บ้านเก่าแก่ที่อยู่ดูแลกันมา ซึ่งลุ้นเรื่องของหนุ่มสาวทั้งคู่ไม่ต่างกัน

“นี่ตาฉัตรปากแข็งที่สุด ถ้ารู้อย่างนี้นะอุไร ฉันจะไม่แกล้งถามเจ้าตัวตั้งแต่หกปีก่อน” ผู้เป็นแม่ของคุณหมอบอก ผิดสังเกตเมื่อเห็นแววตาที่บุตรชายมองสาวน้อยคนสวยมาตั้งแต่นคราอายุสิบห้า พบรูปถ่ายของหญิงสาวตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งเดี่ยว ทั้งคู่ ทั้งหมู่ ในห้องนอนลูกชาย จนคนเป็นแม่อดแซ็วไม่ได้

‘จะกินเด็กหรือฉัตร’

ฉัตรบดินทร์ในวัยสามสิบสำลักกาแฟจนหน้าดำหน้าแดง ‘คุณแม่เอาอะไรมาพูดครับ เด็กที่ไหน’

‘ก็นิคกี้ไง แหม รูปน้องเต็มห้อง เยอะกว่ารูประวีอีก นี่เราเอ็นดูน้องก็ดีละ อีกหน่อยแต่งกันก็จะได้อยู่กันได้’ คนเป็นแม่พูดดักคอ เพราะเห็นแววตาที่ลูกชายมองนครา ลูกสาวเพื่อนสนิทสามี ที่แวะมาว่ายน้ำเล่นกับฉัตรระวีเมื่อวันก่อน กลับมาจากปิดเทอมรอบนี้สาวน้อยวัยสิบห้าสวยขึ้น แทบจะเป็นสาวเต็มตัวตามประสาคนไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งถูกบำรุงด้วยเนื้อนมไข่สารพัด ‘อดใจรอน้องโตหน่อยนะ ถึงแม่ไม่ขัด แต่นิคกี้เพิ่งสิบห้า แม่กลัวฉัตรจะได้เข้าห้องกรงก่อนห้องหอ’

คนโดนจับได้ว่าใจเต้นคร่อมจังหวะก็รีบปฏิเสธ หน้าชาขึ้นมาทันที เมื่อมารดาชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างวัย ฉัตรบดินทร์ก็รู้สึกเหมือนถูกใครเอากำแพงมากั้นทันที คนดีพร้อมทุกอย่างแบบเขาไม่ยอมให้ใครมามองว่าเป็นไอ้โรคจิต โลลิคอน กินเด็กแน่ๆ

‘ชอบที่ไหนกันครับ เก้งก้างแบบนั้น’ พูดไปก็นึกถึงขายาวๆ คู่นั้นที่โผล่พ้นกางเกงสั้นเสมอแก้มก้น

‘ผมสามสิบแล้วนะครับคุณแม่ เด็กนั่นเพิ่งสิบห้า อย่ามาอยากได้นิคกี้เป็นลูกสะใภ้มากจนยัดเยียดข้อหาให้ผม’ หนุ่มหล่อรีบเบี่ยงประเด็น ‘สาวๆ ผมแต่ละคนสวยระดับเอลิสต์นะครับ’

‘ก็ไม่เคยเห็นเป็นตัวเป็นตนสักคน แม่ก็นึกว่าฉัตรรอนิคกี้โตน่ะสิ’ คนเป็นแม่ยังเย้าไม่จบ ยิ้มเพราะเห็นลูกชายมีพิรุธ

ส่วนฉัตรบดินทร์ถอนหายใจ เขาก็ไม่จริงจังกับใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาและความรับผิดชอบของวิชาชีพทำให้ไม่อยากคบใครลึกซึ้ง ลำพังจะดูแลตัวเองยังหาเวลาไม่ได้ จะมามีแฟนให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นอีกทำไม ส่วนไอ้ที่เพิ่งเห็นนคราเป็นผู้หญิง ไม่ใช่น้องสาวมันก็เริ่มต้นแค่วันก่อน และเขาคงคิดไปตามประสาผู้ชายเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมาย

‘พอเลยครับ แล้วไอ้เรื่องให้ผมแต่งงานกับน้องก็เลิกพูดได้แล้ว เห็นมาตั้งแต่เกิด จะให้มาคิดเป็นอย่างอื่น...ไม่ไหว’

คนเป็นแม่ก็ยังไม่ลดละ มองออกแค่พริบตาเดียว ‘เยอะแยะ เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ละ เรามีหน้าที่ทำงานหาเงิน ไว้เลี้ยงนิคกี้ตอนโต จำคำแม่ไว้’

พูดจบคุณหญิงสรวงสุดาก็ลุกเดินไป ไม่ได้สนใจว่าเรื่องที่ตัวเองเพิ่งพูดไปนั้นก่อให้เกิดทั้งความรู้สึกผิด ทั้งอคติในใจที่ฉัตรบดินทร์สร้างขึ้นมาเป็นเกราะกำบังมากมายไม่รู้เท่าไร

“แล้วคราวนี้จะไม่เหมือนคราวที่แล้วหรือคะคุณหญิง”

“ยอมแต่งทั้งๆ ที่ใครเคยบังคับได้ที่ไหน คงยังมีเชื้อในใจอยู่บ้างละ เหลือก็แต่ไอ้อาการหมาบ้า จ้องจะกัดน้องทุกครั้งที่เจอ ไม่รู้เมื่อไหร่จะหาย”

“แหม คุณหญิงก็น่าจะทราบ คุณฉัตรน่ะดื้อเงียบ ยิ่งถ้าโดนบังคับก็ยิ่งออกอาการ แต่เท่าที่เห็นเมื่อกี้ อุไรว่าไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวก็กลับไปเป็นพี่ชายแสนดีให้คุณนิคกี้เหมือนเดิม” แม่บ้านเก่าแก่ออกความเห็น รู้จักนิสัยเจ้านายหนุ่มดีพอๆ กับมารดาแท้ๆ “จะหวั่นใจก็ตรงคุณนิคกี้น่ะสิคะ ไม่รู้ทำไมทำแข็งใส่คุณฉัตรแบบนั้น ปกติน่ารักขี้อ้อนจะตาย”

“ก็เพราะตาฉัตรทำก่อนไง นิคกี้ถึงแข็งใส่ พอกันจริงๆ คู่นี้ ไม่รู้ว่ากว่าจะพูดกันรู้เรื่อง ฉันจะแก่ตายก่อนไหมนะ อุไร”

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเรามองไม่ผิด ต่างคนต่างรัก อะไรๆ ก็คงไม่ยาก”

แม่บ้านพูดยังไม่ทันขาดคำดี ฉัตรบดินทร์ก็พานคราเดินมาถึงโต๊ะอาหาร ขัดจังหวะการหารือของผู้ใหญ่ คนร่างหนารั้งตัวว่าที่คู่หมั้นที่เดินตามหลังมาให้นั่งถัดจากเขา

“มาแล้วครับ คนโปรดคุณแม่” บอกเหมือนประชดมารดา แต่มือกุมข้อมือหญิงสาวไว้ไม่ห่าง

“ทีนี้เราจะเริ่มทานอาหารกันได้หรือยังครับ”

“เดี๋ยวสิ รอคุณพ่อกับระวีก่อน แม่ให้เด็กขึ้นไปบอกแล้ว” คนเป็นแม่ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ลอบยิ้มระหว่างยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

นาคราชตีกอล์ฟกับฉัตรภพเสร็จและตั้งใจว่าจะร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นด้วย กลับมีธุระด่วนจึงขอตัวกลับไปก่อน วันนี้เลยเหลือแค่สมาชิกของบ้านฉัตราวุธเท่านั้น

“แล้วนี่เรื่องการ์ดจัดการกันเรียบร้อยไหม ของพวกพ่อๆ กะแม่เรียบร้อยหมดแล้วนะ” คุณหญิงแสร้งถามเรื่องงานแต่งงาน แต่แอบมองอาการของทั้งคู่

“ครับ หมอผู้ใหญ่ ผมพาเขาไปจัดการหมดแล้ว” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางว่าที่เจ้าสาวนิดหนึ่ง สีหน้าเป็นปกติเสียจนมารดาอ่อนใจ นี่ถ้าไม่แอบเห็นเจ้าตัวขโมยจูบนคราก็คงมีถอดใจบ้างเหมือนกัน “ส่วนที่เหลือ เดี๋ยวจะให้คุณจุ๋มจัดการ”

“แล้วพวกเพื่อนๆ เรามากันกี่คน อาฟเตอร์ปาร์ตีอะไรแบบที่เขานิยมกันจะทำหรือเปล่า แม่จะได้ให้เขาทำรายละเอียดมาให้”

“เพื่อนผมโตกันหมดแล้วนะครับ จะให้มากระโดดเหยงๆ คงไม่ใช่ เราล่ะ อยากมีไหม”

เกินคาด เมื่อฉัตรบดินทร์ถามหญิงสาวข้างๆ แบบนั้น ปกติเคยอยากรู้ความต้องการของหล่อนเสียเมื่อไร นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มเปิดปากถามความเห็น และทำท่าจะตามใจว่าที่เจ้าสาว

“เอ่อ...” คนแข็งกร้าวที่ฉัตรบดินทร์พบก็หายไปเช่นกัน เหลือเพียงหญิงสาวที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ถามอะไรก็ทำท่าเคอะเขิน ตอบไม่ได้อยู่นั่น “เอ่อ...เพื่อนนิคกี้ที่นี่มีไม่กี่คน ส่วนที่โน่นก็ยังไม่คอนเฟิร์มด้วยค่ะ ว่าจะบินมากันได้หรือเปล่า” หญิงสาวตอบตามความจริงเพราะเพิ่งส่งการ์ดเชิญอิเล็กทรอนิกส์ไปให้เมื่อวันก่อน

“แล้วยังไงล่ะ อยากจัดไหม”

“อย่าเลยค่ะ แค่งานแต่งก็เหนื่อยจะแย่ ถ้าเพื่อนๆ นิคกี้อยากสนุก ไว้นิคกี้ค่อยพาไปเลี้ยงที่คลับไหนสักที่ก็ได้”

“นี่คิดจะออกไปเที่ยวหลังแต่งงานจริงๆ เหรอ” คุณหมอรูปหล่อถามพลางทำหน้ายุ่ง ตั้งใจว่าจะปล่อยมือออกจากข้อมือหล่อนแล้วเชียว หากเจ้าตัวไม่พูดประโยคนี้ขึ้นมา

“แต่งงานแล้วก็ต้องมาอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ไปอยู่ที่คอนโดกับผม ถึงผมจะไม่อยากแต่ง แต่คุณก็ควรทำหน้าที่เมียที่ดี คอยดูแลสามี ไม่ใช่คิดจะไปตะลอนๆ นอกบ้านนะ”

พูดจบเขาก็หันไปหามารดาเหมือนจะขอตัวช่วย แต่คนเป็นแม่กลับเข้าข้างอีกฝ่ายแบบที่เป็นมาตลอด ไม่แน่ใจว่าใครเป็นลูก ใครเป็นคนนอกกันแน่

“จะไปบังคับอะไรน้องขนาดนั้น น้องยังเด็ก อยากกินอยากเที่ยวอะไรก็ปล่อยไปเถอะ แล้วเราเองก็พูดเหมือนมีเวลากลับบ้านมาให้เมียดูแลงั้นแหละ” รอยยิ้มแปลกๆ ถูกส่งออกมา ฉัตรบดินทร์ออกอาการมากกว่าที่คิด เหมือนคนสติแตกแบบไม่รู้ตัว

“แต่งแล้วก็ไม่ต้องไปอยู่หรอกจ้ะ ที่คอนโด อยู่ที่นี่แหละ ตาฉัตรมีบ้านอยู่ข้างหลังอีกหลัง เพิ่งปลูกเสร็จยังไม่ถึงปีเลย แต่เจ้าตัวไม่ยอมย้ายเข้าไปอยู่ แม่ว่าถือโอกาสจัดการให้เป็นเรือนหอ แล้วก็ทำบุญบ้านให้เรียบร้อยหลังงานหมั้นดีไหม” พูดจบก็คว้าโทรศัพท์ออกมาจดสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม ลงกำหนดการใหม่ที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ โชคดีที่ฤกษ์หมั้นกับฤกษ์แต่งห่างกันหนึ่งสัปดาห์ พอให้แทรกกิจกรรมดังกล่าวลงไปได้

ส่วนฉัตรบดินทร์ก็ได้แต่มองหน้าอนาคตคู่สมรส พูดเสียงเรียบพอได้ยินกันแค่สองคน แต่ก็สร้างความชุ่มชื้นให้หัวใจไม่น้อย

“เดี๋ยวกินเสร็จก็เดินไปดูละกัน จะทำอะไรเพิ่ม อยากได้อะไรเพิ่ม จะได้รีบจัดการ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น