2

บอกลา

2

บอกลา

 

หญิงสาวร่างบางเดินเข้ามายังห้องนอนใหญ่บนเรือนไม้บะเก่าของยายทวด ภายในห้องของใช้ทุกอย่างถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้ไม้จะดูเก่า แต่ทุกอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผงสักนิด หรือใยแมงมุมสักสาย ร่างไร้ลมหายใจที่จากไปอย่างสงบเมื่อคืนนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกยัดนุ่น ใบหน้าเหี่ยวย่นเกิดจากการผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 106 ปี แม้อย่างนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น 

มันตรานั่งพับเพียบก้มลงกราบบนเท้าเย็นซีดเผือด รอยเส้นเลือดที่ตอนนี้กลายเป็นเส้นสีดำอมเขียวปูดขึ้นมาอย่างคนที่ทำงานเยอะ เดินบ่อย น้ำตาใสๆ ของมันตราคลออยู่ที่เบ้าตากลมของเธอ แม้เธอจะมาไม่ทันดูใจยายทวด แต่ถือว่าเธอได้มาบอกลายายทวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างอันไร้วิญญาณนี้จะถูกนำไปไว้ในโลงศพ

“หม่อนจ๋า มันตรามาส่งหม่อนไม่ทัน สิ่งใดที่มันตราเคยทำไม่ดีกับหม่อน ทำให้หม่อนต้องเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ มันตราขออโหสิกรรมกับหม่อนด้วยนะคะ”

ว่าจบสาวเจ้าก็ก้มลงกราบอีกครั้ง ยายที่ยืนรออยู่ข้างหลังก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แม้ยายจะเหมือนคนที่เข้มแข็ง เพราะหลังจากยายทวดสิ้นใจไม่มีน้ำตาออกมาสักแอะ แกบอกกับคนอื่นๆ ว่ายายทวดท่านไปดีแล้ว เหมือนกับที่ท่านเคยบอกไว้กับยายว่า ยายทวดจะอยู่ที่แค่ 106 ปีเท่านั้นละ หลังจากนั้นก็จะไปแล้ว ตอนที่ได้ยินยายก็คงคิดว่ายายทวดแค่อำเล่น แต่สุดท้ายแกก็จากไปเมื่อวันที่อายุครบ 106 ปีพอดิบพอดี

“ยายจ๋า”

มันตราหันไปมองยายที่เริ่มสะอึกสะอื้น หญิงสาวขยับตัวลุกเดินไปกอดร่างเล็กๆ ของยายเบาๆ อายุอานามยายตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อยแล้วเช่นกัน 71 ปีแล้ว ส่วนพ่อและแม่ของมันตราก็เข้าไปกราบศพต่อจากเธอ

“แม่เปิ้นบอกละลู่ว่าจะไปต๋อน 106 ยายก่อบะเจื้อ เปิ้นว่าเปิ้นจะอยู่ถึงต๊ะเอี๊ยะ” (แม่ท่านบอกแล้วนี่ว่าจะไปตอนอายุ 106 ยายก็ไม่เชื่อ ท่านบอกว่าจะอยู่ถึงแค่นี้แหละ)

เสียงเล็กแหบสะอื้นพร้อมกับมือเหี่ยวหยาบยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง

“ว่าจะบะไห้ละหนา” (ว่าจะไม่ร้องไห้ละนะ)

สิ้นเสียงสะอื้นแกก็บ่นกับตัวเอง ก็แกคิดว่าทำใจได้แล้ว แต่พอเห็นหลานรักมาไหว้ศพแม่ของแก แกก็เกิดน้ำตาแตกขึ้นมาเสียได้ เสียเชิงแกหมดเลยแกว่า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างปลอบใจตัวเอง

“ยายก็อยู่กับหนูนานๆ นะ”

หลานสาวบอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จนยายเผลอยิ้มไม่หุบเลย แกพยักหน้าให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะให้พวกลูกหลานผู้ชายเข้ามาจัดการเรื่องโลงศพต่อไป

 

พอเวลาล่วงเลยจนดึกแล้ว ฝนที่เทกระหน่ำลงมาเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ก็หยุดหมด ทิ้งไว้ก็แต่ร่องรอยของน้ำขัง ทางเจ้าภาพจึงอำนวยความสะดวกให้แขกทุกคนโดยการหาทรายและหินมาถมแอ่งน้ำขัง ให้พอเดินแล้วไม่กระเด็นไปเลอะผ้าซิ่นหรือชายกางเกงของพวกเขาเท่านั้น และแม้จะเป็นงานศพ แต่บรรยากาศรอบๆ ก็ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด ด้วยพิธีศพถูกจัดแบบเรียบง่าย แขกเหรื่อในงานวันแรกนี้ก็เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งนั้น วงเหล้าถูกตั้งตั้งแต่สายแล้ว ทีมแม่ครัวก็ทีมญาติๆ นี่แลที่ช่วยกันทำอาหารเลี้ยงคนในงาน 

พอตกดึกชาวบ้านก็มาร่วมฟังพิธีสวด คืนนี้มีข้าวต้มทรงเครื่องเลี้ยงคนที่มานอนเฝ้าศพ และไหนจะเลี้ยงกลุ่มที่มาตั้งวงเล่นไพ่ ไฮโล และวงหมากรุกของกลุ่มผู้สูงอายุอีก ทำให้คืนนี้งานศพยายทวดไม่เหงาเลย

ทางด้านมันตรา หลังจากจบพิธีสวดศพ พ่อและแม่ของเธอก็แยกออกไปนอนโรงแรมที่จองไว้เพราะแม่ของเธอเป็นคนรักสบาย จะให้มานอนที่นอนยัดนุ่นหรือนอนกับพื้นก็กลัวจะลำบาก ส่วนพ่อของเธอก็ต้องตามแม่ไป แต่มันตรายืนยันว่าอยากจะนอนอยู่เป็นเพื่อนยาย เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานแล้ว มีเรื่องมากมายอยากจะเล่าสู่กันฟังเยอะแยะเชียว

“พี่มันตราๆ มาอาบน้ำกันเถอะ”

กลุ่มสาวๆ ที่เป็นญาติพี่น้องกันต่างชวนกันไปอาบน้ำ ด้วยว่าประการแรกแม้ยายทวดจะเป็นคนใจดี แต่แกก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ลูกหลานหลายคนก็กลัวว่าจะเจออะไรแปลกๆ เพราะยายทวดก็เป็นที่นับหน้าถือตาทางด้านสิ่งลี้ลับต่างๆ อีกทั้งยังมีเรื่องเล่ามากมาย ที่เมื่อพอเล่าไปแล้วก็ถึงกับขนหัวลุกเชียวละ

“จ้า” มันตราตอบเสียงใส

ประการที่สองก็คือ เนื่องจากเรือนไม้บะเก่าไม่นิยมมีห้องน้ำบนตัวบ้าน ห้องน้ำและบริเวณอาบน้ำจึงตั้งอยู่นอกตัวบ้านไม้ แยกออกไปห่างจากครัวไฟนิดหน่อย โดยมีบ่อน้ำเก่ากั้นอยู่ ในอดีตพวกเธอต้องสาวน้ำจากบ่อน้ำขึ้นมาใส่ถัง ก่อนจะหาบมาเทลงที่โอ่งใหญ่บริเวณลานปูน ซึ่งเมื่อก่อนเคยตีรั้วไม้ไผ่กั้นให้พอลับตาคน แต่ไม้ไผ่ที่สานต่อๆ กันมักจะมีช่องว่างให้พวกถ้ำมองส่องเข้ามาดูสาวๆ นุ่งกระโจมอกอาบน้ำ ยายทวดจึงสั่งให้เปลี่ยนมาเป็นก่ออิฐบล็อกสีเทาขึ้นตั้งเป็นรั้วกั้น เปลี่ยนโอ่งเป็นบ่อซีเมนต์กลมสำหรับใส่น้ำแทน และแทนที่จะต้องสาวน้ำขึ้นมาก็เปลี่ยนมาเป็นต่อก๊อกน้ำขึ้นมาที่บ่อซีเมนต์เลย

“โคะ คนหยังมานัก” (โห คนทำไมเยอะจัง)

ยายถึงกับอุทานเมื่อเห็นกลุ่มสาวๆ พากันมายืนรอ แกเองก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ รีบเร่งจัดเตรียมผ้าถุงอาบน้ำให้มันตราและหลานสาวคนอื่น มือหนึ่งหยิบขันและตะกร้าใส่สบู่ยื่นให้มันตราเตรียมไปด้วย ก่อนสาวๆ จะพากันถอดเสื้อผ้า นุ่งผ้าถุงกระโจมอกเดินลงมาจากเรือนทางด้านหลัง นับจำนวนคนแล้วตอนนี้ก็ไม่ต่ำกว่า 10 คน เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังอยู่ไม่ให้วังเวง

ไฟจากหลอดไฟนีออนที่ติดตั้งเอาไว้ให้ความสว่างมากทีเดียว หลังจากเดินเข้าไปด้านในที่บ่อน้ำซีเมนต์ตั้งอยู่ใจกลางบล็อก พวกเธอก็จับจองมุมของตัวเอง ก่อนน้ำขันแรกจะถูกสาดโครมลงบนเนื้อสาว ก็ตามประสาของเด็กสาววัยรุ่น เวลาอาบน้ำเย็นๆ ก็จะพากันวี้ดว้ายเสียงดัง เพราะน้ำเย็นเฉียบสัมผัสผิวทีก็พาให้ขนลุกขนชัน

“จะไปหุย!! ก้อยๆ เลาะ!” (อย่าส่งเสียงดัง! เบาๆ หน่อยสิ)

เสียงยายดุออกมาจนสาวๆ ต้องปิดปากขำคิกคัก

“มะค่ำมะคืน ไผสั่งไผสอนหื้อเสียงดัง ผีบ้านผีเฮือนเปิ้นจะด่าหัวเน่อ” (กลางค่ำกลางคืน ใครสั่งใครสอนให้ทำเสียงดัง ผีบ้านผีเรือนเขาจะด่าเอา)

ว่าจบยายก็ตักน้ำขึ้นมาสาดบ้าง ก่อนแกจะยืนสั่นและบ่นหนาวๆๆ ไม่ขาดปาก ทำเอาสาวๆ อดหัวเราะท่าทีของแกไม่ได้ มันตราเองก็ยิ้มให้ยายและเริ่มอาบน้ำบ้าง น้ำเย็นสาดลงบนผิวขาวเนียนของเธอลู่เอาผ้าถุงเปียกแนบไปกับทรวดทรงองค์เอวสวย เธอกลั้นหายใจในทันที เหมือนว่าจะช่วยให้หายหนาวได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อากาศที่เย็นทำเอาทุกอย่างในตัวตั้งชูชันไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ยอดถันของพวกเธอ

“พี่มันตราหุ่นดีจัง”

เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอเป็นลูกของป้ามาลี พี่สาวของแม่มันตรา เธอชื่อน้องจุ๊บแจง แต่ตอนนี้ป้ามาลีเลิกกับสามี และไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ ย้ายไปอยู่เมืองนอกได้หลายปีแล้ว จะกลับมานานๆ ทีเท่านั้น จุ๊บแจงหวังว่าเธอจะได้เจอแม่ของเธอในงานศพยายทวด

“ไม่หรอก” มันตราปฏิเสธหน้าแดง มือก็หยิบสบู่ขึ้นมาฟอกตัวแก้เขินไป

“ไม่หรอกอะไร ดูเอวดิ” ว่าไม่ทันขาดคำมือเล็กของเด็กสาวก็จับไปที่บั้นเอวของมันตรา ลูบขึ้นลูบลงตามสัดส่วนสวยของเธอ 

เจ้าของร่างงามสะดุ้งก่อนจะเผลอร้องออกมา มือเรียวยกขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกว่าเธอจะร้องเสียงดังเกินไปแล้ว

ขันน้ำถูกหยิบมาเคาะไปที่หัวของเด็กสาวเบาๆ ด้วยมือของพี่น้องคนอื่นๆ

“รีบอาบเร็วๆ หนาวก็หนาว ยังจะเล่นอีก”

บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นสนุกสนานเช่นเคย สาวๆ ทั้งอาบน้ำไป ร้องเพลงไป แถมยังพูดจานินทาผู้ชายหน้าตาดีหลายๆ คนในงานศพอีกด้วย เล่นเอายายห้ามทัพแทบไม่ไหว จึงปล่อยเลยตามเลยเสีย เพราะบรรยากาศที่จะได้มาพบปะกันแบบนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ เสียด้วยสิ

ลมเย็นเริ่มพัดโชยมาจนรู้สึกได้ เมื่อกระทบบนเนื้อเย็นก็ทำเอาขนลุกขนชัน ท้องฟ้าเริ่มครึ้มมาอีกครั้ง ฟ้าที่เปิดจนกระทั่งเห็นกลุ่มดาวเมื่อตอนหัวค่ำตอนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆดำทะมึน คืนนี้ฝนคงจะลงเม็ดมาอีกระลอกเป็นแน่ ยายขอตัวขึ้นไปบนเรือนก่อน ด้วยเพราะทนอากาศหนาวไม่ค่อยไหว ปล่อยให้สาวๆ อาบน้ำกันสนุกสนานต่อไป

 

เมื่อบิดน้ำออกจากชายผ้าถุงพอให้หมาด สาวๆ ก็ค่อยๆ ทยอยกลับไปที่เรือนนอนของแต่ละคน มันตราเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้จุ๊บแจงจะคะยั้นคะยอว่าจะเดินกลับด้วยกัน แต่เหล่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ลากจุ๊บแจงกลับไปก่อนจนได้ มันตราหยิบตะกร้าและตรวจดูรอบๆ บ่อซีเมนต์ว่ามีใครลืมอะไรไว้หรือเปล่า เมื่อแน่ใจแล้วจึงหันหลังออกมายังทางเดินเพื่อเตรียมตัวกลับ

แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งแสงไฟสีแดงก็ปรากฏจากที่หนึ่งไกลๆ ผ่านหางตาของเธอไปแค่แวบเดียวเท่านั้น มันตราหันขวับตามไป พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนนั้นเองที่ใจหายวาบลงไปถึงช่องท้อง แสงสีแดงเพลิงสองดวงลอดผ่านเงาไม้มืดสนิทคล้ายดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมองมายังเธออยู่เนิ่นนาน สาวเจ้ารีบจ้ำอ้าวออกจากลานอาบน้ำ ไม่แม้แต่จะหันมองกลับไปทางด้านหลัง มุ่งตรงขึ้นบันไดเรือนไม้บะเก่าในทันที สาวเท้าเข้ามาในเรือนนอนของยาย ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง’ ทำเอายายที่ออกมานั่งคุยกับญาติๆ คนอื่นๆ ที่เติ๋นด้านนอกต้องเดินมาดู

“มันตรา อาบน้ำเสร็จละก๋าลูก” (มันตรา อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอลูก) ยายเคาะประตูเรียก

“ค่ะยาย” หลานสาวในห้องขานรับ

“ปิ๋ดประตู๋เฮือนก้อยๆ ก่าอีหล้า” (ปิดประตูเรือนเบาๆ หน่อยสิลูก)

“ขอโทษค่ะยาย”

มันตรากล่าวขอโทษแม้ว่าตอนนี้ใจเธอจะเต้นโครมครามอยู่ก็ตาม มือเรียวกุมหน้าอกข้างซ้ายเอาไว้เหมือนกลัวว่ามันจะเต้นแรงเกินไปจนกระเด็นออกมาด้านนอก ไม่นานสาวเจ้าก็ตั้งสติได้ เธอกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้องที่เงียบและปลอดภัยแห่งนี้ ตู้เรือนไม้ของยายตั้งอยู่มุมห้องเพียงตู้เดียว ข้างๆ มีหีบไม้ใบใหญ่สำหรับใส่ผ้าซิ่นของแก เตียงนอนไม้สักหลังใหญ่เก่าแก่ที่ถูกใช้มานานกว่า 70 ปี พอมีร่องรอยให้เห็นว่าถูกใช้งานอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นเตียงไม้ที่สวยอยู่เช่นแต่ก่อน

มันตราเดินออกจากประตูไปยังกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอเพื่อหาเสื้อผ้าสำหรับสวมนอน ของใช้ต่างๆ วางไว้บนชั้นไม้ของยาย กระจกบานใหญ่หันแยกออกจากเตียงนอนตามความเชื่อ มันตราใช้เวลาไม่นานในการสวมชุดนอน แต่ใช้เวลาอีกกว่า 10 นาทีกับการใช้น้ำมันและน้ำอบทาตัว ไม่แปลกถ้าตัวของเธอจะมีกลิ่นหอมของแป้งจางๆ เป็นเพราะเธอติดการใช้สิ่งนี้ จนบางทีมันกลายเป็นกลิ่นประจำตัวของเธอไปเสียแล้ว

กลอนประตูถูกเปิดออกก่อนมันตราจะเดินออกไปเพื่อร่วมวงกับญาติคนอื่นๆ

“ไม่ได้เจอกันนานเลย หนูมันตราสวยขึ้นเป็นกองเลยนะลูก”

เสียงญาติผู้พี่คนหนึ่งเอ่ยทักทาย ถ้าให้ไล่เรียงลำดับญาติของเธอแล้วมันตราก็คงจะต้องเป็นลมไปก่อนแน่ๆ ก็เพราะยายทวดมีลูกเยอะ แถมลูกแต่ละคนก็เป็นลูกผู้หญิง บ้างก็ออกเรือนไปอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ บ้างก็ผู้ชายแต่งเข้าบ้าน เรือนเล็กๆ ใกล้ๆ ก็คือบ้านของลูกสาวยายทวดแต่ละคนนั้นแล ส่วนยายของมันตรามีลูกสาวทั้งหมดสามคน ป้ามาลี พี่สาวคนโตแต่งงานกับชาวต่างชาติ ป้ามาลา คนกลางเป็นสาวโสดไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ใช่ว่าแกหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่หรอก เพียงแต่ป้ามาลาชอบผู้หญิงด้วยกัน ทุกวันนี้แกอาศัยอยู่ที่เรือนของแกกับเด็กสาวที่คบหาดูใจกันมาได้หกเจ็ดปีแล้ว ส่วนลูกสาวคนสุดท้องของยายก็คือแม่มาลัย คุณแม่ของมันตรานั่นเอง

“มะ...ไม่หรอกค่ะ”

เธอยิ้มอย่างเขินอายให้อีกฝ่าย ส่วนหนึ่งก็อายเพราะได้รับคำชม แต่อีกส่วนหนึ่งก็คืออายเพราะจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร ก็ด้วยเธอเองสนิทกับยายและยายทวดมาก เรียกว่าหลานรักของทั้งสองท่านเลยเชียวละ ส่วนใหญ่เวลาที่มาเที่ยวหายายและยายทวดก็จะอาศัยอยู่แต่ในเรือนยาย ไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร แต่ดูเหมือนคนอื่นจะจำเธอได้หมดเลย

“เรียนจบรึยังลูก ทำงานทำการอะไร” เธอถามต่อ

“จบปริญญาตรีแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นเลขาฯ แต่ว่าลาออกมา ตั้งใจว่าจะเรียนต่อน่ะค่ะ”

มันตราตอบตามความจริง แต่ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดงานของเธอเท่าไร ก็เพราะงานที่สมัครไปทำนั้นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่เหมือนจะไม่ได้สวยงามอย่างที่เธอคิด เลขานุการของประธานอาจจะเปลืองตัวเกินไป เพราะหลังจากที่ถูกเจ้านายของเธอฟัดสะโพกงอนงามนี้ เธอก็ตัดสินใจลาออกทันที โดยไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่แท้จริง บอกเพียงแค่ว่าอยากออกไปเรียนต่อเท่านั้น

“ออ เหรอลูก ดีแล้วคิดเรื่องเรียนต่อ เดี๋ยวนี้จบปริญญาตรีมันได้เงินเดือนน้อย”

อีกฝ่ายปราศรัยตามประสาชาวบ้าน ก่อนจะวกไปคุยเรื่องลูกๆ ของตัวเอง และเปรียบเทียบกันไปมา เล่นเอามันตรายิ้มเจื่อนๆ ไปเหมือนกัน

เวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืนแล้ว หลายๆ วงก็แยกย้ายกันกลับไปนอน ก็จะเหลือเพียงวงเหล้าและวงไพ่ที่ยังคงสนุกสนานกันอยู่ไม่ให้งานเงียบเหงา ยายและมันตรากลับมานอนยังเรือนนอนเล็ก ห้องนอนประจำของยายที่ตั้งอยู่ข้างๆ กันกับเรือนนอนยายทวดนั้นแล ภายในห้องนอนสะอาดสะอ้านตามประสาคนรักความสะอาด ฟูกที่นอนของยายเป็นแบบสมัยใหม่ ก็พ่อของมันตราซื้อให้เพราะเห็นที่นอนยายเก่าแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะซื้อให้ทั้งยายและยายทวด แต่ยายทวดแกชอบที่นอนแน่นๆ อย่างฟูกยัดนุ่น แกว่าฟูกนุ่นแกนอนสบายดีแล้ว เลยยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยน ส่วนยายชอบที่นอนนุ่มๆ พ่อจึงจัดแจงหายี่ห้อดีมาเปลี่ยนให้แทน

 

เสียงนาฬิกาแขวนโบราณส่งเสียงร้องเตือนว่าบัดนี้เวลาล่วงเลยไปกว่าเที่ยงคืนแล้ว ยายที่เพิ่งสวดมนต์เสร็จค่อยๆ ล้มตัวลงนอน มันตราก็เช่นกัน แม้ปกติแล้วตอนอยู่ที่บ้านเธอไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอนเลยสักครั้ง แต่พอมาที่นี่มันตราเลือกที่จะสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยบทง่ายๆ ท่องนะโม 3 จบ และบทแผ่เมตตาเท่านั้น ยายเอื้อมมือขึ้นไปปิดโคมไฟบนหัวนอน ภายในห้องมืดลงทันที จะมีก็แต่แสงไฟด้านนอกที่ลอดผ่านบานกระจกฝ้าเหนือหน้าต่างไม้เก่าเท่านั้น

“ฝันดีนะคะ” มันตราบอกอย่างเคยชิน

ไม่นานสติก็เริ่มหลุดลอยไปอย่างช้าๆ เพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางมาทั้งวัน ประกอบกับต้องแวะทักทายแขกต่างๆ เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงมาอัตโนมัติ เสียงลมหายใจที่ยาวเป็นจังหวะทำเอาม่อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นมาจนเธอสะดุ้งตื่น

กรรรรร!!

กรรรรรรรรรรรร!!

“ยายจ๋า!! เสียงอะไร!!”

พอมันตราลืมตาตื่นขึ้นมาได้ก็คว้ามือเล็กของยายไว้แน่น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งและขยับไปใกล้ยายมากขึ้น 

ยายเองที่ตกใจพอกันลุกขึ้นปลอบหลานสาว เสียงร้องคำรามของสัตว์ใหญ่ดังอยู่ไม่ขาด ก่อนมันจะเงียบเสียงไปเมื่อยายเปิดไฟบนหัวนอน และคว้าเอาสร้อยพระองค์เล็กของแกสวมให้มันตรา

“จะไปตั๊กลูก บะหมีอะหยังๆ” (อย่าเพิ่งไปทักลูก ไม่มีอะไรหรอกๆ)

หญิงสาวพยักหน้ารับคำก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องนอน แสงไฟจากโคมไฟหัวนอนพอให้มองเห็นว่าในห้องทุกอย่างสงบดี

“นอนก่อน แหมพูกก้อยว่ากั๋น” (นอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่)

“ค่ะยาย”

มันตราตอบอย่างว่าง่ายก่อนจะทิ้งหัวลงกับหมอน ตอนนี้ยายเลือกจะเปิดไฟที่หัวนอนเอาไว้ก่อน เหงื่อเม็ดโตผุดออกทั้งตัว จะให้ข่มตาหลับได้ยังไงกันเพราะได้ยินเสียงคำรามแบบนั้น 

ยายลุกขึ้นสวดมนต์อีกครั้งก่อนจะใช้มือเล็กของแกปาดไปที่ส้นเท้าของตัวเอง แล้วถูตรงหน้าผากหลานรักตามความเชื่อ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือวิธีที่ยายเลือกทำ

ท่ามกลางความเงียบสงัดของคืนนี้ มันตราม่อยหลับไปอีกครั้ง แต่แล้วเสียงคำรามนั้นก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้ดังอยู่ใกล้เหลือเกิน แต่ไม่ใช่ห้องนี้ ไม่ใช่เสียงจากในห้องนอนที่เธอนอนอยู่ แต่มันดังมาจากฝั่งตรงข้าม สาวเจ้าพยายามข่มความกลัวไว้ก่อนจะรับรู้ได้ว่า...

กรรรรร

กรรรรรรรรรร!!!

เสียงนั้นโหยหวน เยือกเย็น ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก เหมือนความเจ็บปวดเข้าไปเกาะกุมจนถึงขั้วหัวใจ น้ำตาค่อยๆ เอ่อออกมาช้าๆ ในดวงตาใสของหญิงสาว แม้อยากจะลองลุกไปดู แต่ใจก็ไม่กล้า เธอจึงรีบยกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตา สวดแผ่เมตตาในใจอยู่เพียงลำพัง ตอนนั้นเองที่เสียงคำรามเงียบไปอีกครั้ง มันตราจึงม่อยหลับไปจนกระทั่งรุ่งเช้า


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น