
11
พินัยกรรม
“ค่ะแม่ วันนี้ตอนบ่ายจะมีเปิดพินัยกรรม”
มันตรานั่งคุยโทรศัพท์เสียงอ่อนหวานอยู่ชั้นใต้ถุนของบ้านไม้บะเก่าหลังเดิม น้ำเสียงร่าเริง ยิ้ม และหัวเราะไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่ปลายสายเล่าให้ฟัง แม้พื้นซีเมนต์ของบริเวณใต้ถุนนี้จะเย็นเฉียบจนหญิงสาวต้องยกขาขึ้นมานั่งพับเพียบบนตั่งไม้สักตัวใหญ่ก็ตาม แต่สาวเจ้าก็ยังนั่งคุยอยู่อย่างนั้น ก่อนเธอจะขอตัววางสาย แม้ปลายสายจะงอแงกับเธออยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมวางสายไปแต่โดยดี
กระโปรงผ้าฝ้ายยาวคลุมเข่าถูกมือเรียวดึงลงปกข้อเท้าเย็นของเธอเพื่อให้มันอุ่น เสื้อไหมพรมแขนยาวเข้ารูปสีเทาอ่อนเข้ากับกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวของเธอได้อย่างดี ผมยาวสลวยปล่อยลงตามธรรมชาติ แม้ตอนนี้จะยาวลงไปจนถึงสะโพกแล้วก็ตาม แต่สาวเจ้าก็ไม่คิดที่จะตัดมันออก หรือทำสีตามสมัยนิยมแต่อย่างใด
เจ้าเมี่ยงที่วันๆ เอาแต่เดินเล่น ใช้ชีวิตอย่างอิสระแวะกลับเข้ามาใช้บริการเกาหลังเกาคอกับมันตราอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเธอจะหยุดบริการมันเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างบางขยับลงจากตั่งไม้ เดินออกมาตามเสียงชายคนหนึ่งที่ยืนร้องตะโกนเรียกยายแปงอยู่หน้าเรือน
“มาหายายเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเขาอย่างเป็นมิตรก่อนจะยิ้มให้ เธอมองขึ้นไปบนเรือน แต่ไม่มีแม้แต่เสียงยายตอบกลับมา แสงแดดของเช้านี้ที่ทอแสงลงมาผ่านซอกใบไม้ของต้นขนุนใหญ่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นกว่าตอนอยู่ใต้เรือนโขเชียว
“จ้ะ พอดีฉันจะมาขอเข้าไปไหว้ศาลพ่อปู่หน่อย” ชายมีอายุผิวดำกร้านอย่างคนทำงานหนักเหมือนกับตากแดดตากลมอยู่ทั้งวันตามประสาชาวบ้านทั่วๆ ไปตามชนบทคนนั้นบอก แกดูมีท่าทางร้อนรนอยู่มาก
“ปู่สมิงเหรอคะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับรู้สึกประหลาดใจ
“ยี่หยังก๊ะ!” (มีอะไรเหรอ)ยายแปงที่เพิ่งจะเดินมาที่หัวบันไดก้มลงมอง
“โฮะ...ไอ่แดงบะใจ้ก๋า มีอะหยังก่อ” (โอ๊ะ...ไอ้แดงไม่ใช่เหรอน่ะ มีอะไรหรือเปล่า) แกถามขึ้นอีกครั้งเมื่อมองลงมาแล้วพบว่าชายคนนี้คือลุงแดง พ่อของนายหนุ่ยนั่นเอง แต่มันตราน่าจะยังไม่รู้จักเขา ก็ด้วยลุงแดงคนนี้เอาแต่ทำงานที่อู่ซ่อมรถของแกทั้งวัน จะมาร่วมงานศพยายทวดก็แค่ตอนสวดช่วงกลางคืนเท่านั้น
“ใช่จ้ะยาย ฉันว่าจะขอเข้าไปขอขมาพ่อปู่ท่านเสียหน่อย หมอเมื่อท่านว่าไอ้หนุ่ยลูกชายฉันมันไปล่วงเกินท่านเข้า ท่านจะให้ไปขอขมาแล้วให้สัญญาว่าจะบวชสัก 15 วัน เพราะมันต้องลาเรียนมาบวช”
เมื่อได้ยินชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น มันตราถึงกับเลิกคิ้วทันที ลุงแดงเล่าให้ยายฟังด้วยสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วน เหมือนกำลังร้อนรนกระวนใจอยู่มาก
ยายได้ฟังแบบนั้นก็ค่อยๆ ก้าวลงเรือนไม้มาอย่างช้าๆ มันตราที่ยืนอยู่ก็รีบเดินเข้ามาประคองแกในทันที นัยน์ตาเล็กของยายมองมาที่มันตราอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกระซิบกระซาบกับมันตราเบาๆ
“อะหยังน่ะ ตะวายังอู้กั๋นจ๊าดดี” (อะไรน่ะ เมื่อวานยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ)
มันตรารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าสมิงทำอะไรกับเจ้าหนุ่ยไปบ้าง แต่พอโยนเจ้าหนุ่ยออกไปแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย และดูจากท่าทางที่วิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว เขาก็ยังพอวิ่งเอาตัวรอดได้อยู่ ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
“มันไปยะอะหยังหื้อเปิ้นหน่า” ยายแปงถามอย่างสงสัย (มันไปทำอะไรให้ท่านน่ะ)
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อวานตอนเช้ามันยังนั่งกินเหล้าแต่งรถของมันอยู่คนเดียว สัก 11 โมงมันวิ่งเข้ามาในบ้าน ปากแตก ดั้งหัก เลือดนี่อาบหน้ามาเชียว ฉันก็คิดว่ามันไปต่อยตีกับอริที่ไหนมาหรือเปล่า ก็ให้แม่มันทำแผลให้เหมือนทุกที ครั้นพอตกดึกมันจับไข้ตัวสั่น ร้องโอดโอยอยู่ทั้งคืน แถมรอบคอมันก็ขึ้นเป็นรอยมือเหมือนโดนบีบคอ ฉันเลยไปถามหมอเมื่อ ท่านว่าไอ้หนุ่ยมันไปลบหลู่พ่อปู่เข้า ท่านจะเอาชีวิตมัน”
แกว่าไปพลางปาดน้ำตาไป มันตราถึงกับใจอ่อนเพราะน้ำตาของคนเป็นพ่อที่พยายามจะช่วยลูกชายของเขา
“เปิ้นบะเอาหรอก จะไปว่าอั้น ไปขอสูมาเปิ้น เดวเปิ้นก็ตึงจ้วยนะ เอาเต๊อะ เข้าไปเต๊อะ ยายก้าหาเพ้วหญ้าไปติ๊ดแล้วนี่บะดาย” (ท่านไม่เอาหรอก อย่าไปพูดแบบนั้น ไปขอขมาท่านเดี๋ยวท่านก็จะช่วยเอง เอาเถอะ เข้าไปเถอะ ยายเพิ่งให้คนไปตัดหญ้าเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง) ยายแปงว่าก่อนตบหลังมือมันตราอย่างรู้กัน
ลุงแดงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณยายก่อนจะขอตัวเดินออกไป ท่าทางดูอมทุกข์เสียจนมันตราแทบทนมองไม่ได้ แม้ลูกชายของเขาจะเคยล่วงเกินเธอก็ตาม
“อิหล้าไปถามเปิ้นได้ก่อ มันเป็นหยังใด จะได้แก้ถูก” (หนูไปถามท่านให้หน่อยได้มั้ย มันเกิดอะไรขึ้น จะได้แก้ไขถูก)
ยายแปงกระชับมือเรียวของมันตรา ด้วยว่ายายแปงรู้จักกับลุงแดงคนนี้มาตั้งแต่สมัยลุงแดงเป็นหนุ่มแล้ว แกเป็นคนขยันขันแข็ง เข้าวัดเข้าวา แม้งานซ่อมรถของแกจะเยอะจนบางทีไม่ได้ออกไปไหนเลย แต่พอเข้าวันพระวันโกนทีไรก็จะเห็นแกหอบสลุงเดินไปวัดกับแม่ยายแกตลอด ผิดจากเมียแกที่เป็นคนชอบเข้าสังคม วันๆ เข้าบ่อนมากกว่าเข้าวัดเสียอีก
หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะพยุงยายไปนั่งยังใต้ถุนเรือน เจ้าเมี่ยงที่นั่งรออยู่ที่ตั่งไม้ก็ขยับหลบให้แก
“ค่ะยาย หนูจะลองดู” มันตรารับคำ
แดดยามเช้าอบอุ่นสาดลงมายังชานเรือนไม้สีดำหลังเก่า เสือใหญ่นอนเอกเขนกแผ่กายลงกับไม้แผ่นสีเข้ม ให้แสงแดดสาดลงมาแผ่ความอบอุ่นทั่วทั้งร่างใหญ่ แต่ด้วยความยาวของลำตัวนั้นเกินกว่าแสงแดดจะส่องได้ทั่วถึง ร่างนั้นจึงขยับขดไปมาอยู่เพียงลำพังตรงนั้น เสียงสวบสาบจากรองเท้าส้นเตี้ยของคนที่เดินมายังเรือนร้างช้าๆ ทำเอาเจ้าของร่างใหญ่ลุกขึ้นมองเงาที่ทอดยาวลงกับทางเดินดิน หูใหญ่ ขยับบิดเงี่ยฟังเสียงที่เบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน จมูกขยับน้อยๆ เพราะกลิ่นคุ้นเคยที่โชยมาเป็นกลิ่นของสาวนางนั้นแน่นอน ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยทรวดทรงองค์เอวเมื่อพิจารณาจากเงาแล้วก็ยิ่งตอกย้ำคำตอบเข้าไปอีก
“สมิง...” ผู้มาเยือนเอ่ยเรียกเสียงหวานอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรว่าอีกฝ่ายจะอยู่บนเรือนเล็กหรือไม่ สาวเจ้าไม่ลืมที่จะหยิบส้มผลใหญ่สองผลออกมาวางให้เจ้าแดงที่บ่อน้ำด้วย ก่อนจะหันกลับมาชะเง้อมองหาอุ้งตีนใหญ่สีดำที่เหยียดอยู่บนเรือนเก่า เจ้าตัวทำทีไม่สนใจเธอเท่าไร
“หลับเหรอ...สมิง”
ริมฝีปากเล็กเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เสือสมิงร่างใหญ่ผงกหัวขึ้นพลางอ้าปากหาว เสียงคำรามในคอดังไปทั่วบริเวณนั้นจนสาวเจ้าสะดุ้ง
“ขะ...ขอคุยด้วยได้มั้ยคะ” สาวร่างบางบอก แต่เธอไม่แม้แต่จะก้าวขึ้นไปบนเรือน ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุเช่นวันก่อนซ้ำสองไปอีก มือเรียวดึงแขนเสื้อไหมพรมของเธอลงมาน้อยๆ เนื่องจากลมเย็นที่โชยมาทำเอารู้สึกหนาวขึ้นมา
เสือใหญ่ถึงกับถอนหายใจอย่างเสียดาย “มีอะไร” ตอบเสียงทุ้มกลับไป ก่อนลุกเดินมายืนอยู่ตรงบันไดเรือนในสภาพชายร่างใหญ่ ท่อนล่างสวมกางเกงขาก๊วยสีเทาตัวเดิม แผ่นอกกว้างที่ถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์อุ่นเผยมัดกล้ามเป็นลอนสวย จนมันตราที่หันมาเจอถึงกับหน้าแดงฉ่า เท้าเปลือยเปล่าที่มีเล็บคมก้าวลงเรือนอย่างไม่รีบร้อนอะไร
เจ้าของใบหน้าสวยที่ยกหลังมือขึ้นป้องแก้มออกสีของเธอเบือนสายตาไปมองทางอื่น ก่อนจะต้องหันกลับมามองเขาด้วยมือใหญ่ที่เชยคางเล็กของสาวเจ้าให้หันมา นิ้วโป้งลอบสัมผัสริมฝีปากเล็กอวบอิ่มนั้นอยู่เนืองๆ แม้อยากจะก้มลงไปจูบเสียให้หายอยาก แต่มันตรายกมือขึ้นเกี่ยวปอยผมยาวของเธอขึ้นทัดใบหูเล็กพลางบอกเรื่องที่ทำเอาเสียอารมณ์แต่เช้า
“สมิงทำอะไรหนุ่ยอีกรึเปล่า” สาวเจ้าเอ่ยออกมา
ชายร่างใหญ่ถึงกับคิ้วกระตุก ละมือจากหน้างามในทันที
“ข้าจะไปทำอะไรได้ เจ้าไม่อยากให้ข้าฆ่ามันไม่ใช่เหรอ” เสียงเขาเปลี่ยนไปเป็นทุ้มต่ำอย่างไม่สบอารมณ์
“เมื่อสักครู่ ลุงแดง...พ่อของนายหนุ่ยมาหายายที่บ้านน่ะค่ะ ท่านว่า...”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนช้อนมองร่างใหญ่เบื้องหน้า สองมือเรียวที่เย็นเฉียบค่อยๆ ถูกันเพื่อให้ความอบอุ่น ด้วยเพราะบริเวณนี้อยู่ภายใต้เงาต้นมะม่วงใหญ่ แสงแดดส่องลงมาถึงได้ไม่กี่นาที เงาของใบมะม่วงก็บดบังเสียหมดแล้ว ทำเอาคนขี้หนาวอย่างมันตราต้องคอยถูมือไปมาอยู่เป็นพักๆ
สมิงใหญ่ขยับคว้ามือเรียวสองข้างนั้นของมันตราขึ้นมาจูบเบาๆ สาวเจ้าสะดุ้งโหยง แต่ไออุ่นจากลมหายใจของร่างใหญ่อบอุ่นเสียจนเธอปล่อยให้เขาทำตามใจ ริมฝีปากสีเข้มเป่าลมหายใจร้อนปะทะนิ้วเรียวครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะขบเม้มเบาๆ เล้าโลมนิ้วมือเธออย่างได้ใจ ทำเอาร่างบางถึงกับสะท้าน หน้าหวานแดงไปจนถึงใบหูเล็ก
“ทะ...ทำอะไรน่ะ” ร่างบางเอ่ยอย่างขวยเขิน
“ทำให้มือเจ้าอุ่นไง” สมิงตอบไปตามตรง
“อะ...อุ่นพอแล้วค่ะ” มันตราบอกพลางค่อยๆ ดึงมือกลับ
“คือ...”
หญิงสาวพยายามเรียกสติที่เตลิดเปิดเปิงกลับมาอีกครั้ง มือไม้อยู่ไม่เป็นสุข กระทั่งร่างใหญ่ต้องกอบกุมมือมันตราเอาไว้อีกครั้ง ทีนี้ไม่ได้หยอกเธอเล่นเหมือนเมื่อครู่แล้ว
“อย่าทำอะไรเขาได้มั้ย...แค่...เมื่อวานก็...น่าจะพอแล้ว” มันตราเอ่ยขอไปตามตรง เธอสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน ดวงตากลมกะพริบน้อยๆ อย่างรอคอยคำตอบ
“แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาแลก” เอ่ยถามเสียงทุ้มด้วยท่าทีจริงจัง
มือเรียวของมันตรายังคงถูกเขาหอมด้วยริมฝีปาก คิ้วเรียวขยับย่นด้วยเพราะไม่เคยรู้เรื่องของการแลกเปลี่ยนนี้มาก่อน “เหมือนแก้บนเหรอคะ” เสียงหวานถามขึ้นอย่างใสซื่อ ความคิดมากมายผุดออกมา ทั้งไข่ต้ม 100 ฟอง ตุ๊กตาเสือ ช้าง ม้า หรือแม้กระทั่งหัวหมู เครื่องอาหารคาวหวาน ทำเอาชายร่างใหญ่กระตุกยิ้มพลางส่ายหน้า ด้วยเพราะแค่เธอเอ่ยสิ่งที่เธอต้องการออกมา สมิงก็พร้อมจะทำตามแล้ว เมื่อครู่เพียงแค่อยากหยอกล้อให้เธอร้อนรนเล่นเท่านั้น
“ข้าจัดการเอง...เจ้าไม่ต้องหรอก” ชายร่างใหญ่รับปาก
“จะไม่ทำให้เขาถึงตายใช่มั้ยคะ” สาวร่างเล็กย้ำคำ แววตาน่าสงสารยิ่งทำให้สมิงใหญ่ใจอ่อน
“เข้าใจแล้วหน่า” แม้จริงๆ แล้วหมายใจจะให้จับไข้หัวโกร๋นจนจะต้องบวชไปเต็มๆ หนึ่งพรรษา แต่พอสาวเจ้าขอร้องมาแบบนี้ ก็จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน
“แต่ข้าบอกไว้ก่อน ครั้งหน้าจะไม่มีปรานีแบบนี้อีก”
น้ำเสียงจริงจังของสมิงทำเอามันตรากลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืดๆ ด้วยท่าทีน่ากลัวจนเธอต้องยอมพยักหน้ารับ เขี้ยวคมของสมิงขบนิ้วมือเรียวของมันตราเล่นก่อนจะปล่อยมือเธอไป
“กลับไปได้แล้ว ไม่หนาวรึไง” เขาว่า
หญิงสาวผมดำพยักหน้าตอบน้อยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ่อ...บ่ายนี้ยายชวนสมิงมาทานข้าวที่บ้านนะ”
ริมฝีปากเล็กรีบบอกเขา นัยน์ตาสีเพลิงหันมามองตอบพร้อมพยักหน้ารับ ร่างใหญ่กระโจนออกไปในร่างเสือ ทิ้งไว้แต่กางเกงขาก๊วยที่ปลิวขึ้นไปพาดอยู่บนพุ่มไม้ เจ้าของริมฝีปากสีชมพูอมยิ้มมองอยู่ก่อนจะเดินไปหยิบกางเกงนั้นกลับไปด้วย ตั้งใจว่าจะเอาไปซักและคืนยายแปงไป หล่อนก้มมองดูมือเรียวสวยของเธอ ประคองข้างที่อีกฝ่ายได้แต่จูบและหอมมันอยู่เนิ่นนานนั้นขึ้นแนบแก้ม มันตราถึงกับอมยิ้มเขินอายไปตลอดทาง
พระอาทิตย์ดวงเดิมเคลื่อนขึ้นอ้อมเรือนไม้บะเก่า แม้จะอยู่ในตอนเที่ยงวัน แต่แสงแดดกลับเฉไปทางทิศใต้ เกิดเป็นเงาไม้ที่พาดผ่านตัวเรือนทำให้เรือนไม้บะเก่าหลังนี้ไม่ร้อนอย่างที่คิด บนเรือนถูกจับจองที่นั่งด้วยกลุ่มญาติๆ นับสิบกว่าชีวิต ด้วยเพราะกำลังรอทนายเหมวิทย์เดินทางมาที่เรือน เสียงเด็กๆ เจี๊ยวจ๊าวกันจนยายแปงถึงกับส่ายหน้า
“เบาๆ หน่อยเด็กๆ ไม่ก็ลงไปเล่นข้างล่าง” น้าสาวตะโกนบอก ด้วยเพราะเริ่มจะยุ่งวุ่นวายกันไปหมดแล้ว
มันตรายื่นยาดมให้ยายแปงที่เริ่มจะหมดความอดทนกับความซุกซนของพวกเด็กๆ แล้ว ป้าหมวยรีบลุกไปคว้าแขนลูกเล็กเด็กแดงที่วิ่งเล่นกันโดยไม่ได้สนใจหัวหงอกหัวดำที่นั่งหัวโด่กันอยู่ที่เติ๋นและชานไม้ ก่อนจะบอกให้ลูกๆ ของแกลงไปดูแลหลานที่ใต้ถุนเรือน
จังหวะนั้นเองรถสีดำถูกขับเข้ามาจอดยังลานหน้าเรือนไม้ใหญ่ ทุกคนต่างหันมองเป็นตาเดียวกัน และคนที่เปิดประตูออกมานั้นก็คือ ทนายเหมวิทย์กับพี่สาวของเขา คุณหยาดทิพย์นั่นเอง
สาวในชุดสูทเข้ารูปสีแดงก้าวลงจากรถคันหรูอย่างสง่า หล่อนย่ำลงกับลานดินด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำ พื้นรองเท้าสีแดงสวยเข้ากับชุดสูทของหล่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมยาวเป็นลอนสวยสมมาดสาวนักธุรกิจของแท้ทีเดียว ส่วนอีกคนลงมาในชุดสูทเนี้ยบสีดำ หน้าตาหล่อเหลา ผมทรงอันเดอร์คัตเซตเสยขึ้นมองดูสะอาดสะอ้าน แม้อายุเขาจะปาเข้าไปสามสิบแปดแล้ว แต่ยังดูดีภูมิฐานอยู่เลย
“สวัสดีครับ/ค่ะ”
ทั้งสองเดินขึ้นเรือนมาพร้อมๆ กับสวัสดีเหล่าญาติๆ ทุกคนบนเรือน พูดทักทายถามไถ่กัน โดยเฉพาะคุณเหมทำเอาเหล่าสาวหัวดำหัวหงอกกรี๊ดกร๊าดกันเกรียวกราว
“พ่อเหมเนี่ย ไม่เจอกันเสียนาน ยังฟิตเหมือนเดิมเลย”
ป้าๆ เอ่ยแซว ด้วยความที่ว่าลูกของยายทวดทุกคนล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น มิหนำซ้ำรุ่นของหลานที่เกิดจากลูกสาวแกก็มีลูกชายเพียงแค่สองคนเท่านั้น แถมผู้ชายที่แต่งงานกับลูกของแกส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะอายุไม่ยืน ชิงจากโลกนี้ไปก่อนกันเกือบหมดแล้ว
“ช่วงนี้ดูแลสุขภาพครับ พวกพี่สาวก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ” ทนายหนุ่มตอบกลับเสียงนุ่ม ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่วี้ดว้ายกันไปเป็นแถบๆ
ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มดำเนินไปตามขั้นตอนของมัน ทนายเหมก็เปิดพินัยกรรม ค่อยๆ แจงรายละเอียดต่างๆ มากมายให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ทราบ ด้วยสมบัติเก่าของยายทวดมีค่อนข้างมาก แกจึงแบ่งสันปันส่วนแต่ละอย่างออกเป็นห้ากองใหญ่ๆ กองละเท่าๆ กัน เงินทอง ที่นา ที่ไร่ รวมไปถึงเครื่องประดับต่างๆ น่าจะได้เท่าเทียมกันทั้งหมด นอกเสียจากบ้านและโฉนดที่ดินที่แกได้แบ่งที่ไว้ให้สำหรับคนที่แต่งเข้าบ้านตามธรรมเนียมเก่าเท่านั้น นั่นหมายถึง ครอบครัวป้าหมวยและป้าพรที่แต่งงานออกไปอยู่บ้านฝ่ายชายจะไม่ได้มรดกในส่วนนี้
แต่ยังมีสมบัติของยายทวดบางส่วนที่ถูกระบุเอาไว้ในพินัยกรรมก่อนที่ยายทวดจะเสียนานแล้ว โดยทนายเหมได้ไล่เรียงและแจกแจงให้ตามลำดับ
“ของสะสมที่เก็บไว้ในเรือนไม้บะเก่าหลังนี้ให้เป็นของนางคำแปงทั้งหมดทั้งสิ้น” ทนายเหมอ่านข้อความในจดหมายพินัยกรรม จนกระทั่งมาถึงข้อสุดท้าย
“เครื่องประดับเงิน ขันเงิน และสลุงเงิน ผ้าซิ่นคำเคิบในหีบเล็ก ให้เป็นของนางสาวมันตรา”
เมื่อข้อนี้ถูกประกาศออกไป ทุกคนบนชานต่างหันมองหน้ากันและกัน ไม่น่าเชื่อว่ามันตราจะมีชื่อในพินัยกรรมด้วย ด้วยเพราะหากไล่ลำดับแล้ว มันตราอยู่ในลำดับเหลน ซึ่งหากนับจำนวนเหลนทั้งหมดของยายทวดแล้วนั้นมีมากกว่า 16 คน
มันตราเองก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ตัวเธอเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที่ทำให้ยายทวดแบ่งสมบัติที่กล่าวมาให้เธอ แต่มันถูกเขียนอยู่ในพินัยกรรมฉบับนี้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าแย้งขึ้นมา
ทนายเหมจึงอ่านพินัยกรรมฉบับนั้นต่อ ไล่ไปตามข้อความต่างๆ ที่จำเป็นต้องแจ้ง
“ข้าพเจ้าขอรับรองว่าในเวลาที่ทำพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทุกประการ ข้าพเจ้าได้อ่านและเข้าใจข้อความนี้ดีตลอดแล้ว เห็นว่าตรงตามเจตนารมณ์ของข้าพเจ้าทุกประการ จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยาน เมื่อวันที่และ ณ สถานที่ระบุไว้ข้างต้น”
ทนายเหมอ่านพินัยกรรมที่ถูกเขียนเอาไว้จนครบถ้วน ก่อนจะส่งพินัยกรรมฉบับนี้ให้ยายแปงเป็นผู้เก็บรักษาเอาไว้
ระหว่างนั้นเองชายร่างใหญ่เดินเข้ามาจากทางหลังเรือน เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวสะอาด นุ่งกางเกงขาก๊วยยาวเข้าชุดกัน ผมยาวปล่อยสยายอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ยืนกอดอกพิงผนังไม้ของเรือนอยู่ตรงนั้น โดยไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมใดๆ กับการอ่านพินัยกรรม
สาวร่างบางนั่งอยู่บนเติ๋นใกล้ๆ กับยายแปง เธอหันไปมองยังทางเดินเล็กกลางเรือนไม้ แล้วพบว่าเขาคนนั้นมายืนรออยู่แล้ว มันตรายิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย ก่อนจะโบกมือให้น้อยๆ ชายหนุ่มก็ยกมือใหญ่ขึ้นโบกรับ แต่ก็ยังยืนรอตรงนั้น ไม่ได้เดินเข้ามาหาแต่อย่างใด
“น่าแปลกจัง ทำไมหนูมันตราถึงได้มรดกกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแค่เหลนแท้ๆ”
ป้าหมวยเปิดประเด็นอย่างทีเล่นทีจริง แต่แม้จะทำให้เหมือนแกพูดหยอกมันตราอย่างไรก็ตาม ก็พลอยทำให้หลายๆ คนที่คิดเห็นแบบเดียวกับแกพูดแทรกขึ้นอย่างเสนอความคิด
“ลูกหลานทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกนะครับ หากมีชื่ออยู่ในพินัยกรรม” ทนายเหมแจงให้ตามประสาทนาย
“จริงค่ะ แต่ก็ยังมีพินัยกรรมอีกฉบับที่ยายมอญทิ้งไว้ที่ร้านของฉันเช่นกัน”
คุณหยาดทิพย์พูดต่อ ก่อนจะหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขึ้นมาพร้อมๆ กับกล่องแหวนสีแดงบุด้วยผ้ากำมะหยี่กล่องใหญ่กล่องหนึ่ง
พินัยกรรมฉบับนี้ไม่ได้เป็นทางการเท่าฉบับของทนายเหม แต่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของยายทวดโดยแท้จริง เนื้อความในจดหมายกล่าวว่า
“เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ข้าพเจ้าขอยกแหวนทองคำยอดทับทิมวงนี้ อันของชิ้นนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ทำการฝากไว้กับ นางสาวหยาดทิพย์ หัวใจนรสิงห์ ให้แก่ผู้ใดก็ตามที่ถือครองแหวนทองยอดทับทิมวงเล็ก หากไม่สามารถหาผู้ถือครองแหวนทับทิมวงเล็กได้ ให้ นางสาวหยาดทิพย์ หัวใจนรสิงห์ เป็นผู้จัดการมรดกชิ้นนี้ต่อไป”
เมื่อคุณหยาดทิพย์อ่านข้อความในจดหมายจบ หล่อนก็วางรูปแหวนทองวงเล็กนั้นไว้กลางโต๊ะไม้ตัวเตี้ยในทันที ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่ามันตราได้เป็นคนถือครองแหวนวงนี้อยู่ มิหนำซ้ำยังสวมอยู่ในมือตอนนี้เสียด้วย
“แหวนวงนี้มัน...” ป้าหมวยร้อนรนขึ้นในทันที ก็ด้วยมันคือแหวนวงที่เกือบจะทำให้นิ้วมือลูกสาวคนเล็กแกขาดไปเมื่อคืนก่อนนั้นนี่นา
อีกคนหนึ่งที่ถึงกับถอนหายใจออกมาในทันทีก็คือสมิงร่างใหญ่ที่ดันเข้ามาฟังตอนที่อ่านพินัยกรรมฉบับที่สองนี้จนได้
“เจ้าถึงกับเอาแหวนของข้าไปฝากไว้กับแม่หยาดเลยอย่างนั้นหรือมอญ” ชายหนุ่มยกยิ้มน้อยๆ ระหว่างพึมพำกับตัวเอง
“แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วนะคะว่าตอนนี้คนที่สวมอยู่ก็คือหนูมันตรา ฉันจึงขอส่งแหวนวงนี้ให้หนูมันตราเพื่อจะได้ทำตามที่คุณยายมอญแกต้องการนะคะ” มือเรียวสวยของเธอหยิบกล่องแหวนอีกวงส่งให้มันตราเองกับมือ แม้ว่าแท้จริงแล้วหากหล่อนได้แหวนที่มันตราสวมมาครองแล้ว สมบัติทั้งสองชิ้นนี้จะตกเป็นของเธอโดยปริยายก็ตาม ในใจเธอก็ยังคงเสียดายอยู่แท้ๆ
“อะ...เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
มันตราเอ่ยเสียงเบากับคุณหยาดทิพย์ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นหลุบต่ำ ด้วยเพราะแทบจะไม่อยากสบตากับญาติๆ คนอื่นๆ เลย
หลังจากเสร็จสิ้นการอ่านพินัยกรรมแล้วนั้น ยายแปงก็เลี้ยงอาหารกลางวันทุกๆ คน โดยนั่งร่วมวงกินเมนูพื้นเมืองของทางเหนือ และแกงของทางใต้ฝีมือป้าหมวย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนั่งร่วมวงกับกลุ่มญาติสนิทมิตรสหายของตน ก่อนมันตราจะแยกออกมาเพื่อเดินมาหาใครคนนั้นที่ยืนรออยู่
แต่เขาคนนั้นยืนคุยกับคุณหยาดอยู่ก่อนหน้าแล้ว มันตรายืนมองอยู่อย่างแปลกใจ ทั้งๆ ที่ยายของเธอเองก็เพิ่งเคยเจอสมิงแท้ๆ กับคุณหยาดทิพย์คนนี้ ทำไมถึงได้...
ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจนิดๆ แม้จะไม่อยากรู้สึกแบบนี้ก็ตาม
“อี่หล้า ไปฮ้องท่านมานั่งกิ๋นเข้าแล่” (มันตราลูก ไปเรียกท่านมาทานข้าวสิ) ยายแปงตะโกนบอก
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวไปหาทั้งคู่ที่ยืนคุยกันอย่างสนิทสนม
“คือว่า...เชิญทานข้าวกันทางนี้เลยค่ะ” มันตราเอ่ย ก่อนผายมือให้แขกทั้งสองคน
“ขอบใจมากจ้ะมันตรา” คุณหยาดหันมาบอกขอบคุณก่อนจะขอตัวเดินแยกออกไป ปล่อยให้สองหนุ่มสาวยืนอยู่ตรงนั้น
ชายร่างใหญ่มองเธอที่ไม่เงยมองหน้าเขาเหมือนเช่นเคย “เป็นอะไรของเจ้าน่ะ”
สาวร่างบางรีบส่ายหน้าทันที เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ มือเรียวขยับขึ้นเกาแก้มน้อยๆ ก่อนจะเดินนำชายร่างใหญ่มายังวงสนทนาของยายแปงและญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ
ความคิดเห็น |
---|